กระบี่จงมา 497.6 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 497.6 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว

บัณฑิตยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่ชายคนดี เอาชนะเจ้าได้หนึ่งครั้ง ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้ารังเกียจว่าเงินมากจะหนักมือเกินไปหรือ?”

บัณฑิตยิ้มพลางส่ายหน้า “ก็แค่ไม่อาจทำใจให้สงบได้เท่านั้น อัดอั้นมานาน ก่อนจะจากไป หากไม่เอาชนะสักครั้ง ข้ากลัวว่าจิตแห่งเต๋าจะได้รับความเสียหาย”

เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเจ้าไม่เห็นเงินเป็นเงินก็แล้วไปเถิด ยังไม่เห็นสมบัติอาคมเป็นสมบัติอาคมอีกด้วยหรือ”

บัณฑิตถอนหายใจ “ข้าต้องไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะเพื่อการเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ นี่ ก่อนหน้านั้นข้าก็คงไปแล้วไม่กลับมาจริงๆ หันหลังได้ก็หนีไปแล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่ส่ง”

บัณฑิตลุกขึ้นยืน พูดเสียงเบาว่า “พี่ชายคนดี หวังว่าจะมีวาสนาได้พบกันอีก”

เฉินผิงอันสีหน้าซับซ้อน เขาเองก็ลุกขึ้นยืน ทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็ไร้คำพูดใดๆ

ดูเหมือนบัณฑิตจะเดาความคิดของเฉินผิงอันได้จึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “สมกับเป็นพี่ชายคนดีจริงๆ!”

พอกล่าวจบ บัณฑิตก็กลายร่างเป็นควันดำระลอกหนึ่งที่มุดหายไปใต้ดิน

บัณฑิตไปจากที่แห่งนี้จริงๆ อย่างปากว่า

เฉินผิงอันอยู่ต่อในศาล ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู

ตั้งแต่ม่านราตรีดำมืดไปจนฟ้าสาง

เฉินผิงอันลืมตาขึ้น

บนพื้นยังมีปิ่นหยกสีมรกตที่หักออกเป็นสองท่อนนั้นวางอยู่

เฉินผิงอันไม่ได้ไปแตะต้องมัน

เขาลุกขึ้นยืน กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง แล้วพุ่งตัวจากไป

ทิ้งปิ่นที่ต่อให้หักเป็นสองท่อน ไม่มีปราณวิญญาณหลงเหลือแล้ว แต่กลับยังเป็นวัสดุของสมบัติอาคมชิ้นนั้นเอาไว้ที่เดิม

มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหลู

ไม่ได้ไปหาสมบัติหรือเก็บตกของดีที่โพรงมังกรเฒ่าซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นฝูงมังกรที่ไร้หัวไปแล้วแต่อย่างใด

แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาไม่เชื่อบัณฑิตผู้นั้น

ส่วนฟู่ไห่หยวนจวินที่ตอนนี้ได้กลายเป็นสาวใช้ของเขาแล้ว ก่อนหน้านั้นตอนที่บัณฑิตกลับมาที่ศาลเพียงลำพัง นางจะไปอยู่ที่ไหน? ทำอะไร? ก็เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง

ต่อให้ความจริงจะไม่เป็นอย่างนั้น

แต่เฉินผิงอันก็ยังคงเลือกจะกระทำเรื่องนี้โดยอิงตามการคาดเดาที่เลวร้ายที่สุดอยู่ดี

เพียงแต่ว่าจู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเส้นทาง เปลี่ยนไปอีกทิศทางหนึ่ง

หลังจากผ่านไปนานมากแล้ว บัณฑิตที่จากไปก็ย้อนกลับมา มายืนอยู่บนขั้นบันได ก้มหน้ามองปิ่นที่หักออกเป็นสองท่อนแล้วส่ายหน้า “น่าเสียดายนัก ทำไมถึงไม่เก็บเอาไปนะ ไม่อย่างนั้นก็คงจะระเบิดวัตถุจื่อชื่อของเจ้าให้เละได้แล้ว”

เขาหยิบปิ่นหยกสองท่อนใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ไม่ใช่ใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แล้วถึงได้จากไปอย่างแท้จริง

คราวนี้บัณฑิตไม่ได้มุดหายไปใต้ดิน แต่เดินอาดๆ ทะยานลมอยู่บนลำคลองเฮยเหอ กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากถูกผ่ากลาง เนิ่นนานก็ยังไม่ประสานตัวกลับเข้าด้วยกัน

ชายแขนเสื้อใหญ่ทั้งสองข้างของบัณฑิตโบกสะบัดโพงป่อง ส่งเสียงดังฟึ่บฟั่บไปตามสายลม เขาพึมพำเบาๆ ว่า “คนเราอย่าได้อยู่ว่างมากเกินไป เพราะความคิดที่วุ่นวายจะบังเกิดเหมือนวัชพืชที่งอกงาม ยุ่งมากเกินไปก็จะทำให้สันดานที่แท้จริงถดถอย กลุ่มคนแตกกระเจิดกระเจิง ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า คนที่พอจะมีความสามารถสักหน่อยจะไม่ยอมให้กายและใจเหน็ดเหนื่อยเกินไป และไม่ยอมลุ่มหลงอยู่ในอบายมุขทั้งวันทั้งคืน”

เขาทะยานลมเลียบลำคลองเฮยเหอลงใต้ไปตลอดทาง ระหว่างทางก็แค่ชำเลืองมองไปยังทิศทางของภูเขากระจกวิเศษแวบหนึ่ง แต่กลับไม่ขยับเข้าไปใกล้แถบนั้น

นี่คือข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียวที่ทางตระกูลมีต่อการออกเดินทางของเขาในครั้งนี้

ห้ามเข้าใกล้ภูเขากระจกวิเศษ

บัณฑิตสะบัดข้อมือ ในมือก็ปรากฏเชือกกักปีศาจเส้นนั้น ที่แท้ปลายอีกด้านหนึ่งของมันก็มัดฟู่ไห่หยวนจวินเอาไว้ และเวลานี้เขาก็กระชากสตรีร่างกำยำออกมาจากใต้น้ำ

บัณฑิตบิดหมุนข้อมืออีกครั้ง เหวี่ยงให้อีกฝ่ายกระแทกลงไปในน้ำของลำคลองเฮยเหออย่างแรง

ก่อให้เกิดคลื่นสูงหลายสิบจั้งน่าตกใจ

บัณฑิตพลิ้วกายลงไปที่ปลายสุดทางทิศใต้ของลำคลองเฮยเหอ เก็บเชือกกักปีศาจเส้นนั้นมา สตรียืนโงนเงนอยู่ด้านข้าง

บัณฑิตเริ่มสาวเท้าเดินไปทางใต้ต่ออีกครั้ง ส่วนนางก็ตามติดไปด้านหลังอย่างอกสั่นขวัญผวา

ฝีเท้าของบัณฑิตไม่หยุดนิ่ง เพียงแค่หันหน้ามายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้ามีบิดาที่ไม่เห็นแก่ความผูกพันพ่อลูก แต่ก็ยังดีที่ได้ติดตามเจ้านายที่มีคุณธรรมแห่งยุทธภพเป็นที่สุดอย่างข้า ดังนั้น เอาของมาหรือยัง?”

สตรีรีบหยิบภาชนะบรรจุน้ำซึ่งเป็นเครื่องกระเบื้องขนาดเล็กสีทองแดงออกมาจากชายแขนเสื้อ พูดเสียงสั่นว่า “ข้าทำตามคำสั่งด้วยการไปที่โพรงมังกรเฒ่ามาหนึ่งรอบ นำปลาหลั่วคู่นี้ที่พ่อข้าตั้งใจเลี้ยงมาแปดร้อยปีออกมา และยังออกคำสั่งแก่คนสนิทของพ่อข้าว่า ขอแค่คนผู้นั้นแอบแฝงตัวเข้าไปในโพรงมังกรเฒ่า ไปกระตุ้นโดนกลไกก็จะปล่อยผนังตรวจมังกรสี่ด้านออกมากักขังคนผู้นี้ไว้ทันที ต่อให้เขาหลุดรอดไปได้ กลุ่มปีศาจที่ได้รับข่าวลับก็จะต้องไปเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ที่นั่น คิดดูแล้วต่อให้ไอ้หมอนั่นไม่ตายก็น่าจะต้องหนังหลุดไปหนึ่งชั้น”

บัณฑิตรับภาชนะบรรจุน้ำขนาดเล็กไป ถือไว้ในมือแล้วส่ายเบาๆ ก้มหน้ามองอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ต่างหากจึงจะเป็นทรัพย์สินโดยไม่คาดคิดที่ข้าอยากได้มากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้”

บัณฑิตหันหน้าไปมองทางโพรงมังกรเฒ่าของลำคลองเฮยเหอ “ส่วนทางด้านนั้น มีความเป็นไปได้มากว่าจะสิ้นเปลืองความคิดเปล่าๆ แล้ว ไม่มีทางไป ใช่ไหม พี่ชายคนดี?”

สตรีกลืนน้ำลายอย่างอดไม่อยู่

ผู้ฝึกตนที่อยู่นอกหุบเขาผีร้ายล้วนมีจิตใจน่ากลัวแบบนี้หมดเลยหรือ?

บัณฑิตชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง หลังจากเก็บภาชนะบรรจุน้ำใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วก็เอ่ยว่า “วางใจเถอะ ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเหมือนพวกเรา แต่เจ้าเองก็โง่ไปสักหน่อย วันหน้าจะทำแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว จะเอาแต่ให้อายุเพิ่มขึ้นโดยที่สมองไม่เพิ่มตามไม่ได้ ได้เป็นแม่ย่าลำคลองแล้วจะสามารถเป็นเจ้าแม่เทพวารีที่ถูกต้องตามระบบได้หรือไม่ ยังต้องพึ่งตัวเจ้าเอง ข้าไม่เลี้ยงเศษสวะ ใช่แล้ว นอกจากปลาหลั่วคู่นี้ เจ้าไม่มีไหวพริบคิดจะหยิบอะไรติดไม้ติดมือมาบ้างหรือ?”

สตรีพยักหน้ารับรัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก ก่อนจะรีบหยิบเอากล่องหยกขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่งออกมา “มีเจ้าค่ะ มี ท่านพ่อข้าบอกว่านี่คือเหรียญบรรพบุรุษเตียวหมู่ที่ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของหนึ่งในราชวงศ์ยุคนั้นจ้างให้เซียนสันโดษท่านหนึ่งของสำนักชิงเต๋อสร้างขึ้น”

นางหน้าม่อย “กลัวว่านายท่านจะรอนาน ข้าเลยรีบร้อนกลับมา คลังลับแห่งนั้นของท่านพ่อข้าก็มีแค่สมบัติสองชิ้นนี้เท่านั้น เอาปลาหลั่วที่อยู่ในภาชนะบรรจุน้ำมาแล้วก็หยิบกล่องใบนี้มาเพิ่ม จากนั้นข้าก็รีบกลับออกมา ไม่กล้าไปเอาของอย่างอื่นที่อื่นอีก”

บัณฑิตรับกล่องหยกมาเปิดออกดูแล้วจุ๊ปากพูด “เป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดาจริงๆ คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตชั้นเยี่ยมที่ไม่ว่าผู้ฝึกตนสำนักการค้าคนใดก็ล้วนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน”

บัณฑิตยิ้มกล่าว “ดีมาก นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือเทพลำคลองที่ได้รับสืบทอดตามระบบที่ถูกต้องของราชวงศ์ต้าหยวนอย่างแน่นอนแล้ว ขาดก็แค่หนังสือแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากทางราชสำนักก็เท่านั้น ไม่เป็นไร ในบ้านของข้ามีพระราชโองการที่ประทับตราหยกลัญจกรเรียบร้อยแล้วเก็บไว้เยอะมาก ผ่านไปปีแล้วปีเล่าจึงสะสมกลายเป็นกองใหญ่”

นางไม่กล้าเชื่อว่าหลังจากผ่านหายนะใหญ่มาได้จะได้เจอกับข่าวดีกะทันหัน รู้สึกเพียงเหมือนอยู่กันคนละโลก

บัณฑิตหันตัวกลับแล้วออกเดินทางต่ออีกครั้ง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ขอแค่ข้ายินดี จะให้เจ้าเป็นเจ้าแม่เทพแม่น้ำ จะมีอะไรยาก?”

ฝีเท้าของนางแผ่วเบาล่องลอย มองแผ่นหลังนั้นด้วยความซาบซึ้งใจแทบจะหลั่งน้ำตา

ใบหน้าของบัณฑิตประดับรอยยิ้มบางๆ ท่าทางเกียจคร้าน ชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย

ให้นางเลื่อนขั้นจากแม่ย่าลำคลองเป็นเทพลำคลอง

ไม่ได้เป็นเพราะเหรียญบรรพบุรุษเตียวหมู่อะไรทั้งนั้น

ไม่ใช่ว่ามันมีมูลค่าไม่สูง

แต่เป็นเพราะทรัพย์สมบัติของสาวใช้ก็ไม่ควรเป็นทรัพย์สมบัติของเจ้านายอย่างสมเหตุสมผลหรอกหรือ? ยกสองมือประคองส่งให้ ได้รับคำชมไม่กี่คำก็ถือเป็นของรางวัลที่ยิ่งใหญ่แล้ว หากยังกล้าไม่เป็นฝ่ายส่งมอบให้ ถ้าอย่างนั้นต่อให้ถูกตีจนร่อแร่ใกล้ตาย ตากฝนฟ้าผ่าก็ล้วนถือเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า

จะว่าไปแล้วยังเป็นเพราะเขาเห็นแก่หน้าของวัดหยวนเยว่ใหญ่ ถือเป็นการผลักเรือไปตามกระแสน้ำ จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะวันหน้ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ตะพาบเฒ่าตัวนั้นจะเดินลงน้ำ…ภายใต้เปลือกตาของสกุลหยางพวกเขา

มีบุญสัมพันธ์นี้ปูเอาไว้เป็นพื้นฐาน แผนการต่างๆ มากมายของเขาก็สามารถผลักดันให้สำเร็จไปได้อย่างเป็นธรรมชาติและสมเหตุสมผล

เพียงแต่ว่าพอคิดมาถึงตรงนี้

ใบหน้าของเขาก็มืดทะมึนลงในชั่วพริบตา

แผนการ?

สรุปว่าเป็นแผนการที่มีไว้เพื่อใครกันแน่? ตนหรือ?

พอนึกถึงสายตาสุดท้ายของไอ้หมอนั่นตอนอยู่ในศาล เขาก็ยิ่งไม่สบอารมณ์

สายตาเช่นนี้ไม่ใช่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ถึงขั้นไม่ใช่สายตาของความสงสารเวทนา

แต่เป็นสายตาที่บอกไม่ได้ อธิบายไม่ถูก

ทำให้เขาทั้งคิดไม่ตกแล้วก็ทั้งเจ็บแค้นหงุดหงิด!

เพราะเขาถึงขั้นเริ่มรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร!

จู่ๆ เขาก็นึกถึงสะพานเหล็กแขวนที่อยู่ระหว่างหน้าผาของภูเขาสองลูก รวมไปถึงปีศาจสองตัวที่ไม่ต่างจากมดตัวน้อยในสายตาของเขาขึ้นมา

ฆ่าพวกมัน!

ถือเป็นของขวัญก่อนจากลาที่มอบให้แก่พี่ชายคนดีผู้นั้น

และเวลานี้เอง เขาพลันหยุดฝีเท้า ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก

จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

“ใช้ได้ รู้ไว้เถอะว่ากฎสามข้อไม่ใช่เรื่องเล่น”

ที่แท้หยางหนิงซิ่งตัวจริงก็กลับมาแล้ว เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ออกเดินทางไกลหมื่นลี้ ได้ผลเก็บเกี่ยวมาค่อนข้างมาก ถอยกลับมาได้สำเร็จ ยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีก?”

ฟู่ไห่หยวนจวินผู้นั้นก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้า นางหยุดยืนนิ่งไม่ขยับ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นหันตัวกลับมา สีหน้าอ่อนโยน บุคลิกของตลอดทั้งร่างเมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของนางก็แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างยิ่ง เห็นเพียงเขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะแนะนำตัวเองสักหน่อย ข้าชื่อหยางหนิงซิ่ง มาจากหน่วยฉงเสวียน ตำหนักนภากาศของราชวงศ์ต้าหยวน”

สตรีทำท่าจะคุกเข่าโขกหัวตามจิตใต้สำนึก

บัณฑิตยกมือขึ้นทำให้นางไม่อาจคุกเข่าลงได้

เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “อยู่บนเส้นทางของการฝึกตนเหมือนกัน เจ้าและข้าต่างก็ถือเป็นสหายนักพรต วันหน้าเจ้าไม่ควรจะโอหังหยิ่งผยอง แล้วก็ไม่ควรจะดูแคลนตัวเอง”

สตรีร้องไห้ พูดเสียงสะอึกสะอื้นแทบไม่เป็นคำ “บ่าวจดจำเอาไว้แล้ว! จะไม่กล้าลืมคำสั่งสอนของนายท่านแน่นอน!”

บัณฑิตหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้าแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีก

พานางออกเดินทางต่อด้วยกันอีกครั้ง

บัณฑิตมองไปยังทิศทางของภูเขากระจกวิเศษแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ของที่แห่งนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

……

ทางฝั่งของภูเขากระจกวิเศษ

หยางฉงเสวียนเลือดไหลโซมกาย ตั้งแต่หัวจรดเท้าเหลือเนื้อหนังที่สภาพดีแค่ไม่กี่จุดแล้ว เขาหอบหายใจเสียงดัง นั่งขัดสมาธิอยู่ริมลำธารลึก สองหมัดวางไว้บนหัวเข่า สายตายังคงนิ่งสงบสุขุมอยู่ดังเดิม

สตรีหน้าเหม็นชื่อหลี่หลิ่วที่อยู่ฝั่งตรงข้ามผู้นั้นก็แค่ทำลายตราประทับรูปสิงโตตรงเอวและดาบอาคมเล่มหนึ่งเท่านั้น

ส่วนสมบัติอาคมชิ้นอื่นๆ ของนางที่ถูกตนต่อยจนเละต่างก็อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับสองชิ้นนี้ติด ไม่มีค่าพอให้พูดถึงเลย

เจี่ยงชวีเจียงถูกเทพหญิงสิงอวี่พาไปที่วัดร้างตีนเขานานแล้ว

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกและปีศาจจิ้งจอกสาวเหวยไท่เจินถูกหลี่หลิ่วยกมือวาดวงกลมสีทองง่ายๆ หนึ่งวง กักตัวพวกเขาไว้ภายใน ทำให้มองไม่เห็นแล้วก็ไม่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกวงล้อมเลยแม้แต่น้อย

อาณาเขตตรงนั้นคือพื้นที่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบริเวณใกล้เคียงกับลำธารลึกแห่งนี้แล้ว

ใช่ว่าหยางฉงเสวียนจะไม่เคยคิดว่าจะปล่อยหมัดต่อยทำลายพันธนาการ เพียงแต่ว่าทุกครั้งล้วนถูกนางขัดขวางไว้ได้สำเร็จ อีกทั้งทุกครั้งที่ทำเช่นนี้ หยางฉงเสวียนจะต้องเสียเปรียบเล็กๆ พอถึงช่วงหลังๆ ก็ราวกับว่ามีหลุมกับดักอยู่หลุมหนึ่งที่รอให้หยางฉงเสวียนกระโดดลงไปเอง

การท้าทายสามครั้งที่หยางฉงเสวียนเป็นฝ่ายเปิดฉากอย่างขาดๆ หายๆ พักๆ หยุดๆ ล้วนต้องกลับมามือเปล่าอย่างไม่มีข้อยกเว้น อีกทั้งทุกครั้งยังมีสภาพอเนจอนาถมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้ว่าอีกฝ่ายก็ถือว่าเสียหายอย่างหนักเหมือนกัน เพราะเสียสมบัติอาคมไปหลายชิ้น แต่กลับมีสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ ยังคงมีพละกำลังเหลือเฟือ

แต่หยางฉงเสวียนกลับเป็นม้าตีนปลายจริงๆ แล้ว

หยางฉงเสวียนถาม “สตรีน่ารังเกียจ! เจ้ารู้จักบรรพบุรุษตระกูลหยางของข้าจริงๆ หรือ? โชควาสนาในภูเขากระจกวิเศษนี้ก็เป็นเจ้าที่จงใจจัดวางไว้? มารดามันเถอะ เจ้าต้องมีความคิดแบบไหนกันแน่? ถึงได้วางแผนเอาไว้ยาวนานขนาดนี้?”

หลี่หลิ่วกล่าวอย่างเฉยเมย “พูดจาให้น่าฟัง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องตายจริงๆ”

หยางฉงเสวียนเหมือนจะสะอึกอึ้งไปกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดจาหยาบคายอีกแม้แต่คำเดียว

มารดามันเถอะ สตรีตัวเล็กที่เห็นชัดๆ อยู่ว่าแค่ลมพัดมาก็ปลิวกลับมีมือเท้าที่เปี่ยมด้วยพละกำลัง มีสมบัติอาคมที่ทรงอำนาจ แล้วก็ยังมีวิชาอภินิหารที่แม่งเรียกใช้ได้ไม่หมดสิ้นอีก!

หลี่หลิ่วถาม “จะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ยอมแพ้หรือไม่?”

หยางฉงเสวียนชูสองมือขึ้น “ยอมแล้ว”

หลี่หลิ่วถึงได้เดินไปทางวงกลมสีทองนั้น ใช้มือต่างมีดฟันลงเบาๆ แสงสีทองก็สลายหายไปในเสี้ยววินาที

ทำให้หยางฉงเสวียนที่มองดูอยู่เกือบอดไม่ไหวด่าพ่อล่อแม่อีกครั้ง

เด็กสาวและจิ้งจอกเฒ่าที่อยู่ด้านในตัวสั่นสะท้าน ฟันกระทบกันดังกึกๆ

หลี่หลิ่วยกฝ่ามือตบให้จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกสลบไป

อีกมือหนึ่งก็ยกขึ้นกลางอากาศเบาๆ กระชากเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกให้ลอยขึ้นจนมีระดับความสูงเท่ากับนางพอดี

บุรุษร่างกำยำคนหนึ่งวิ่งตะบึงมาจากทิศไกล หลี่หลิ่วไม่แม้แต่จะชายตามอง เพียงแค่โบกชายแขนเสื้อสะบัดเขาให้ลอยกระเด็นออกไป

หลี่หลิ่วยื่นนิ้วสองข้างพุ่งไปด้านหน้าอย่างว่องไวราวสายฟ้าแลบ ควักเอาดวงตาสีทองข้างนั้นของเหวยไท่เจินออกมาโดยตรง ปีศาจจิ้งจอกเด็กสาวดิ้นรนสุดชีวิต มือเท้าโบกสะเปะสะปะ เจ็บปวดทรมานอย่างถึงที่สุด แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา

หลี่หลิ่วดีดปลายเท้าทะยานขึ้นไปยังยอดเขา ครู่หนึ่งต่อมาตลอดทั้งภูเขากระจกวิเศษก็เริ่มส่ายไหวไม่หยุด

มือข้างหนึ่งของหลี่หลิ่วถือกระจกทองแดงโบราณ นางย้อนกลับมาที่ริมน้ำ แล้วโยนกระจกให้กับบุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ใส่ใจ เมื่ออีกฝ่ายรับไว้ในมือแล้ว หลี่หลิ่วก็เอ่ยว่า “หยางหนิงเจิน สกุลหยางของพวกเจ้าติดค้างน้ำใจข้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนน้ำใจสองครั้งนี้หน่วยฉงเสวียนและตำหนักนภากาศควรจะชดใช้ให้เมื่อไร ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็จะรู้เอง”

หยางฉงเสวียนแสยะยิ้มกว้าง “ข้าแค่อยากรู้ว่าสกุลหยางของพวกเราจะชดใช้คืนได้ไหวหรือไม่ ต้องมีคนตายไปอีกกี่มากน้อย!”

หลี่หลิ่วทำท่าครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า “คืนได้ไหว ไม่จำเป็นต้องมีคนตาย”

นางเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าต้องไม่รนหาที่ตายเองซะก่อน”

หยางฉงเสวียนพยักหน้ารับ “ตกลง!”

หยางฉงเสวียนเก็บกระจกโบราณบานนั้นไป สุดท้ายถามว่า “นอกจากน้ำใจที่ติดค้างแล้ว รอจนข้าเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าและเซียนดินก่อกำเนิดเมื่อไหร่ จะไปหาเจ้าแล้วต่อสู้กันอีกครั้งได้หรือไม่?”

หลี่หลิ่วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ขอแค่ถึงเวลานั้นเจ้ายังมีความกล้า ข้าก็พร้อมเล่นด้วยทุกเมื่อ”

เลือดเนื้อทั่วร่างของหยางฉงเสวียน หรือควรจะเรียกว่าหยางหนิงเจินประหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนจากบาดแผลลึกจนกระดูกขาวโผล่มาเป็นประสานตัวเข้าด้วยกันอย่างว่องไว

เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตร่างทองเท่านั้น

ยังมีโอกาสเสี้ยวหนึ่งที่จะช่วงชิงขอบเขตร่างทองที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย

เขาก้าวยาวๆ ออกไปจากภูเขากระจกวิเศษ ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

หลี่หลิ่วมองปีศาจจิ้งจอกเด็กสาวที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ในกรอบดวงตาข้างหนึ่งของนางมีเลือดสดไหลรินไม่หยุด

ประหนึ่งตาน้ำพุเล็กๆ แห่งหนึ่ง

หลี่หลิ่วพลันถามว่า “อยากจะตายให้เร็วหน่อยใช่ไหม?”

เด็กสาวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีส่ายหน้าเบาๆ ริมฝีปากขยับน้อยๆ คงจะอยากพูดว่านางอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่อยากตาย

หรือไม่ก็อยากพูดว่า ก่อนจะจากโลกนี้ไป อยากจะเห็นบุรุษผู้นั้นเป็นครั้งสุดท้าย

แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดเพียงแค่เห็นเขาครั้งเดียวก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ตัดใจไม่ลงขนาดนี้

บนโลกใบนี้มีรักแรกพบอยู่จริงๆ เสียด้วย

ช่างงดงามเหลือเกิน

ทำให้นางที่ต่อให้เจอกับเคราะห์กรรมเช่นนี้ก็ยังไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิด

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 497.6 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 497.6 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว

บัณฑิตยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่ชายคนดี เอาชนะเจ้าได้หนึ่งครั้ง ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้ารังเกียจว่าเงินมากจะหนักมือเกินไปหรือ?”

บัณฑิตยิ้มพลางส่ายหน้า “ก็แค่ไม่อาจทำใจให้สงบได้เท่านั้น อัดอั้นมานาน ก่อนจะจากไป หากไม่เอาชนะสักครั้ง ข้ากลัวว่าจิตแห่งเต๋าจะได้รับความเสียหาย”

เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเจ้าไม่เห็นเงินเป็นเงินก็แล้วไปเถิด ยังไม่เห็นสมบัติอาคมเป็นสมบัติอาคมอีกด้วยหรือ”

บัณฑิตถอนหายใจ “ข้าต้องไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะเพื่อการเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ นี่ ก่อนหน้านั้นข้าก็คงไปแล้วไม่กลับมาจริงๆ หันหลังได้ก็หนีไปแล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่ส่ง”

บัณฑิตลุกขึ้นยืน พูดเสียงเบาว่า “พี่ชายคนดี หวังว่าจะมีวาสนาได้พบกันอีก”

เฉินผิงอันสีหน้าซับซ้อน เขาเองก็ลุกขึ้นยืน ทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็ไร้คำพูดใดๆ

ดูเหมือนบัณฑิตจะเดาความคิดของเฉินผิงอันได้จึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “สมกับเป็นพี่ชายคนดีจริงๆ!”

พอกล่าวจบ บัณฑิตก็กลายร่างเป็นควันดำระลอกหนึ่งที่มุดหายไปใต้ดิน

บัณฑิตไปจากที่แห่งนี้จริงๆ อย่างปากว่า

เฉินผิงอันอยู่ต่อในศาล ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู

ตั้งแต่ม่านราตรีดำมืดไปจนฟ้าสาง

เฉินผิงอันลืมตาขึ้น

บนพื้นยังมีปิ่นหยกสีมรกตที่หักออกเป็นสองท่อนนั้นวางอยู่

เฉินผิงอันไม่ได้ไปแตะต้องมัน

เขาลุกขึ้นยืน กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง แล้วพุ่งตัวจากไป

ทิ้งปิ่นที่ต่อให้หักเป็นสองท่อน ไม่มีปราณวิญญาณหลงเหลือแล้ว แต่กลับยังเป็นวัสดุของสมบัติอาคมชิ้นนั้นเอาไว้ที่เดิม

มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหลู

ไม่ได้ไปหาสมบัติหรือเก็บตกของดีที่โพรงมังกรเฒ่าซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นฝูงมังกรที่ไร้หัวไปแล้วแต่อย่างใด

แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาไม่เชื่อบัณฑิตผู้นั้น

ส่วนฟู่ไห่หยวนจวินที่ตอนนี้ได้กลายเป็นสาวใช้ของเขาแล้ว ก่อนหน้านั้นตอนที่บัณฑิตกลับมาที่ศาลเพียงลำพัง นางจะไปอยู่ที่ไหน? ทำอะไร? ก็เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง

ต่อให้ความจริงจะไม่เป็นอย่างนั้น

แต่เฉินผิงอันก็ยังคงเลือกจะกระทำเรื่องนี้โดยอิงตามการคาดเดาที่เลวร้ายที่สุดอยู่ดี

เพียงแต่ว่าจู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเส้นทาง เปลี่ยนไปอีกทิศทางหนึ่ง

หลังจากผ่านไปนานมากแล้ว บัณฑิตที่จากไปก็ย้อนกลับมา มายืนอยู่บนขั้นบันได ก้มหน้ามองปิ่นที่หักออกเป็นสองท่อนแล้วส่ายหน้า “น่าเสียดายนัก ทำไมถึงไม่เก็บเอาไปนะ ไม่อย่างนั้นก็คงจะระเบิดวัตถุจื่อชื่อของเจ้าให้เละได้แล้ว”

เขาหยิบปิ่นหยกสองท่อนใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ไม่ใช่ใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แล้วถึงได้จากไปอย่างแท้จริง

คราวนี้บัณฑิตไม่ได้มุดหายไปใต้ดิน แต่เดินอาดๆ ทะยานลมอยู่บนลำคลองเฮยเหอ กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากถูกผ่ากลาง เนิ่นนานก็ยังไม่ประสานตัวกลับเข้าด้วยกัน

ชายแขนเสื้อใหญ่ทั้งสองข้างของบัณฑิตโบกสะบัดโพงป่อง ส่งเสียงดังฟึ่บฟั่บไปตามสายลม เขาพึมพำเบาๆ ว่า “คนเราอย่าได้อยู่ว่างมากเกินไป เพราะความคิดที่วุ่นวายจะบังเกิดเหมือนวัชพืชที่งอกงาม ยุ่งมากเกินไปก็จะทำให้สันดานที่แท้จริงถดถอย กลุ่มคนแตกกระเจิดกระเจิง ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า คนที่พอจะมีความสามารถสักหน่อยจะไม่ยอมให้กายและใจเหน็ดเหนื่อยเกินไป และไม่ยอมลุ่มหลงอยู่ในอบายมุขทั้งวันทั้งคืน”

เขาทะยานลมเลียบลำคลองเฮยเหอลงใต้ไปตลอดทาง ระหว่างทางก็แค่ชำเลืองมองไปยังทิศทางของภูเขากระจกวิเศษแวบหนึ่ง แต่กลับไม่ขยับเข้าไปใกล้แถบนั้น

นี่คือข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียวที่ทางตระกูลมีต่อการออกเดินทางของเขาในครั้งนี้

ห้ามเข้าใกล้ภูเขากระจกวิเศษ

บัณฑิตสะบัดข้อมือ ในมือก็ปรากฏเชือกกักปีศาจเส้นนั้น ที่แท้ปลายอีกด้านหนึ่งของมันก็มัดฟู่ไห่หยวนจวินเอาไว้ และเวลานี้เขาก็กระชากสตรีร่างกำยำออกมาจากใต้น้ำ

บัณฑิตบิดหมุนข้อมืออีกครั้ง เหวี่ยงให้อีกฝ่ายกระแทกลงไปในน้ำของลำคลองเฮยเหออย่างแรง

ก่อให้เกิดคลื่นสูงหลายสิบจั้งน่าตกใจ

บัณฑิตพลิ้วกายลงไปที่ปลายสุดทางทิศใต้ของลำคลองเฮยเหอ เก็บเชือกกักปีศาจเส้นนั้นมา สตรียืนโงนเงนอยู่ด้านข้าง

บัณฑิตเริ่มสาวเท้าเดินไปทางใต้ต่ออีกครั้ง ส่วนนางก็ตามติดไปด้านหลังอย่างอกสั่นขวัญผวา

ฝีเท้าของบัณฑิตไม่หยุดนิ่ง เพียงแค่หันหน้ามายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้ามีบิดาที่ไม่เห็นแก่ความผูกพันพ่อลูก แต่ก็ยังดีที่ได้ติดตามเจ้านายที่มีคุณธรรมแห่งยุทธภพเป็นที่สุดอย่างข้า ดังนั้น เอาของมาหรือยัง?”

สตรีรีบหยิบภาชนะบรรจุน้ำซึ่งเป็นเครื่องกระเบื้องขนาดเล็กสีทองแดงออกมาจากชายแขนเสื้อ พูดเสียงสั่นว่า “ข้าทำตามคำสั่งด้วยการไปที่โพรงมังกรเฒ่ามาหนึ่งรอบ นำปลาหลั่วคู่นี้ที่พ่อข้าตั้งใจเลี้ยงมาแปดร้อยปีออกมา และยังออกคำสั่งแก่คนสนิทของพ่อข้าว่า ขอแค่คนผู้นั้นแอบแฝงตัวเข้าไปในโพรงมังกรเฒ่า ไปกระตุ้นโดนกลไกก็จะปล่อยผนังตรวจมังกรสี่ด้านออกมากักขังคนผู้นี้ไว้ทันที ต่อให้เขาหลุดรอดไปได้ กลุ่มปีศาจที่ได้รับข่าวลับก็จะต้องไปเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ที่นั่น คิดดูแล้วต่อให้ไอ้หมอนั่นไม่ตายก็น่าจะต้องหนังหลุดไปหนึ่งชั้น”

บัณฑิตรับภาชนะบรรจุน้ำขนาดเล็กไป ถือไว้ในมือแล้วส่ายเบาๆ ก้มหน้ามองอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ต่างหากจึงจะเป็นทรัพย์สินโดยไม่คาดคิดที่ข้าอยากได้มากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้”

บัณฑิตหันหน้าไปมองทางโพรงมังกรเฒ่าของลำคลองเฮยเหอ “ส่วนทางด้านนั้น มีความเป็นไปได้มากว่าจะสิ้นเปลืองความคิดเปล่าๆ แล้ว ไม่มีทางไป ใช่ไหม พี่ชายคนดี?”

สตรีกลืนน้ำลายอย่างอดไม่อยู่

ผู้ฝึกตนที่อยู่นอกหุบเขาผีร้ายล้วนมีจิตใจน่ากลัวแบบนี้หมดเลยหรือ?

บัณฑิตชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง หลังจากเก็บภาชนะบรรจุน้ำใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วก็เอ่ยว่า “วางใจเถอะ ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเหมือนพวกเรา แต่เจ้าเองก็โง่ไปสักหน่อย วันหน้าจะทำแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว จะเอาแต่ให้อายุเพิ่มขึ้นโดยที่สมองไม่เพิ่มตามไม่ได้ ได้เป็นแม่ย่าลำคลองแล้วจะสามารถเป็นเจ้าแม่เทพวารีที่ถูกต้องตามระบบได้หรือไม่ ยังต้องพึ่งตัวเจ้าเอง ข้าไม่เลี้ยงเศษสวะ ใช่แล้ว นอกจากปลาหลั่วคู่นี้ เจ้าไม่มีไหวพริบคิดจะหยิบอะไรติดไม้ติดมือมาบ้างหรือ?”

สตรีพยักหน้ารับรัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก ก่อนจะรีบหยิบเอากล่องหยกขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่งออกมา “มีเจ้าค่ะ มี ท่านพ่อข้าบอกว่านี่คือเหรียญบรรพบุรุษเตียวหมู่ที่ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของหนึ่งในราชวงศ์ยุคนั้นจ้างให้เซียนสันโดษท่านหนึ่งของสำนักชิงเต๋อสร้างขึ้น”

นางหน้าม่อย “กลัวว่านายท่านจะรอนาน ข้าเลยรีบร้อนกลับมา คลังลับแห่งนั้นของท่านพ่อข้าก็มีแค่สมบัติสองชิ้นนี้เท่านั้น เอาปลาหลั่วที่อยู่ในภาชนะบรรจุน้ำมาแล้วก็หยิบกล่องใบนี้มาเพิ่ม จากนั้นข้าก็รีบกลับออกมา ไม่กล้าไปเอาของอย่างอื่นที่อื่นอีก”

บัณฑิตรับกล่องหยกมาเปิดออกดูแล้วจุ๊ปากพูด “เป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดาจริงๆ คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตชั้นเยี่ยมที่ไม่ว่าผู้ฝึกตนสำนักการค้าคนใดก็ล้วนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน”

บัณฑิตยิ้มกล่าว “ดีมาก นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือเทพลำคลองที่ได้รับสืบทอดตามระบบที่ถูกต้องของราชวงศ์ต้าหยวนอย่างแน่นอนแล้ว ขาดก็แค่หนังสือแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากทางราชสำนักก็เท่านั้น ไม่เป็นไร ในบ้านของข้ามีพระราชโองการที่ประทับตราหยกลัญจกรเรียบร้อยแล้วเก็บไว้เยอะมาก ผ่านไปปีแล้วปีเล่าจึงสะสมกลายเป็นกองใหญ่”

นางไม่กล้าเชื่อว่าหลังจากผ่านหายนะใหญ่มาได้จะได้เจอกับข่าวดีกะทันหัน รู้สึกเพียงเหมือนอยู่กันคนละโลก

บัณฑิตหันตัวกลับแล้วออกเดินทางต่ออีกครั้ง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ขอแค่ข้ายินดี จะให้เจ้าเป็นเจ้าแม่เทพแม่น้ำ จะมีอะไรยาก?”

ฝีเท้าของนางแผ่วเบาล่องลอย มองแผ่นหลังนั้นด้วยความซาบซึ้งใจแทบจะหลั่งน้ำตา

ใบหน้าของบัณฑิตประดับรอยยิ้มบางๆ ท่าทางเกียจคร้าน ชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย

ให้นางเลื่อนขั้นจากแม่ย่าลำคลองเป็นเทพลำคลอง

ไม่ได้เป็นเพราะเหรียญบรรพบุรุษเตียวหมู่อะไรทั้งนั้น

ไม่ใช่ว่ามันมีมูลค่าไม่สูง

แต่เป็นเพราะทรัพย์สมบัติของสาวใช้ก็ไม่ควรเป็นทรัพย์สมบัติของเจ้านายอย่างสมเหตุสมผลหรอกหรือ? ยกสองมือประคองส่งให้ ได้รับคำชมไม่กี่คำก็ถือเป็นของรางวัลที่ยิ่งใหญ่แล้ว หากยังกล้าไม่เป็นฝ่ายส่งมอบให้ ถ้าอย่างนั้นต่อให้ถูกตีจนร่อแร่ใกล้ตาย ตากฝนฟ้าผ่าก็ล้วนถือเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า

จะว่าไปแล้วยังเป็นเพราะเขาเห็นแก่หน้าของวัดหยวนเยว่ใหญ่ ถือเป็นการผลักเรือไปตามกระแสน้ำ จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะวันหน้ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ตะพาบเฒ่าตัวนั้นจะเดินลงน้ำ…ภายใต้เปลือกตาของสกุลหยางพวกเขา

มีบุญสัมพันธ์นี้ปูเอาไว้เป็นพื้นฐาน แผนการต่างๆ มากมายของเขาก็สามารถผลักดันให้สำเร็จไปได้อย่างเป็นธรรมชาติและสมเหตุสมผล

เพียงแต่ว่าพอคิดมาถึงตรงนี้

ใบหน้าของเขาก็มืดทะมึนลงในชั่วพริบตา

แผนการ?

สรุปว่าเป็นแผนการที่มีไว้เพื่อใครกันแน่? ตนหรือ?

พอนึกถึงสายตาสุดท้ายของไอ้หมอนั่นตอนอยู่ในศาล เขาก็ยิ่งไม่สบอารมณ์

สายตาเช่นนี้ไม่ใช่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ถึงขั้นไม่ใช่สายตาของความสงสารเวทนา

แต่เป็นสายตาที่บอกไม่ได้ อธิบายไม่ถูก

ทำให้เขาทั้งคิดไม่ตกแล้วก็ทั้งเจ็บแค้นหงุดหงิด!

เพราะเขาถึงขั้นเริ่มรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร!

จู่ๆ เขาก็นึกถึงสะพานเหล็กแขวนที่อยู่ระหว่างหน้าผาของภูเขาสองลูก รวมไปถึงปีศาจสองตัวที่ไม่ต่างจากมดตัวน้อยในสายตาของเขาขึ้นมา

ฆ่าพวกมัน!

ถือเป็นของขวัญก่อนจากลาที่มอบให้แก่พี่ชายคนดีผู้นั้น

และเวลานี้เอง เขาพลันหยุดฝีเท้า ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก

จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

“ใช้ได้ รู้ไว้เถอะว่ากฎสามข้อไม่ใช่เรื่องเล่น”

ที่แท้หยางหนิงซิ่งตัวจริงก็กลับมาแล้ว เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ออกเดินทางไกลหมื่นลี้ ได้ผลเก็บเกี่ยวมาค่อนข้างมาก ถอยกลับมาได้สำเร็จ ยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีก?”

ฟู่ไห่หยวนจวินผู้นั้นก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้า นางหยุดยืนนิ่งไม่ขยับ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นหันตัวกลับมา สีหน้าอ่อนโยน บุคลิกของตลอดทั้งร่างเมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของนางก็แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างยิ่ง เห็นเพียงเขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะแนะนำตัวเองสักหน่อย ข้าชื่อหยางหนิงซิ่ง มาจากหน่วยฉงเสวียน ตำหนักนภากาศของราชวงศ์ต้าหยวน”

สตรีทำท่าจะคุกเข่าโขกหัวตามจิตใต้สำนึก

บัณฑิตยกมือขึ้นทำให้นางไม่อาจคุกเข่าลงได้

เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “อยู่บนเส้นทางของการฝึกตนเหมือนกัน เจ้าและข้าต่างก็ถือเป็นสหายนักพรต วันหน้าเจ้าไม่ควรจะโอหังหยิ่งผยอง แล้วก็ไม่ควรจะดูแคลนตัวเอง”

สตรีร้องไห้ พูดเสียงสะอึกสะอื้นแทบไม่เป็นคำ “บ่าวจดจำเอาไว้แล้ว! จะไม่กล้าลืมคำสั่งสอนของนายท่านแน่นอน!”

บัณฑิตหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้าแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีก

พานางออกเดินทางต่อด้วยกันอีกครั้ง

บัณฑิตมองไปยังทิศทางของภูเขากระจกวิเศษแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ของที่แห่งนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

……

ทางฝั่งของภูเขากระจกวิเศษ

หยางฉงเสวียนเลือดไหลโซมกาย ตั้งแต่หัวจรดเท้าเหลือเนื้อหนังที่สภาพดีแค่ไม่กี่จุดแล้ว เขาหอบหายใจเสียงดัง นั่งขัดสมาธิอยู่ริมลำธารลึก สองหมัดวางไว้บนหัวเข่า สายตายังคงนิ่งสงบสุขุมอยู่ดังเดิม

สตรีหน้าเหม็นชื่อหลี่หลิ่วที่อยู่ฝั่งตรงข้ามผู้นั้นก็แค่ทำลายตราประทับรูปสิงโตตรงเอวและดาบอาคมเล่มหนึ่งเท่านั้น

ส่วนสมบัติอาคมชิ้นอื่นๆ ของนางที่ถูกตนต่อยจนเละต่างก็อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับสองชิ้นนี้ติด ไม่มีค่าพอให้พูดถึงเลย

เจี่ยงชวีเจียงถูกเทพหญิงสิงอวี่พาไปที่วัดร้างตีนเขานานแล้ว

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกและปีศาจจิ้งจอกสาวเหวยไท่เจินถูกหลี่หลิ่วยกมือวาดวงกลมสีทองง่ายๆ หนึ่งวง กักตัวพวกเขาไว้ภายใน ทำให้มองไม่เห็นแล้วก็ไม่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกวงล้อมเลยแม้แต่น้อย

อาณาเขตตรงนั้นคือพื้นที่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบริเวณใกล้เคียงกับลำธารลึกแห่งนี้แล้ว

ใช่ว่าหยางฉงเสวียนจะไม่เคยคิดว่าจะปล่อยหมัดต่อยทำลายพันธนาการ เพียงแต่ว่าทุกครั้งล้วนถูกนางขัดขวางไว้ได้สำเร็จ อีกทั้งทุกครั้งที่ทำเช่นนี้ หยางฉงเสวียนจะต้องเสียเปรียบเล็กๆ พอถึงช่วงหลังๆ ก็ราวกับว่ามีหลุมกับดักอยู่หลุมหนึ่งที่รอให้หยางฉงเสวียนกระโดดลงไปเอง

การท้าทายสามครั้งที่หยางฉงเสวียนเป็นฝ่ายเปิดฉากอย่างขาดๆ หายๆ พักๆ หยุดๆ ล้วนต้องกลับมามือเปล่าอย่างไม่มีข้อยกเว้น อีกทั้งทุกครั้งยังมีสภาพอเนจอนาถมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้ว่าอีกฝ่ายก็ถือว่าเสียหายอย่างหนักเหมือนกัน เพราะเสียสมบัติอาคมไปหลายชิ้น แต่กลับมีสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ ยังคงมีพละกำลังเหลือเฟือ

แต่หยางฉงเสวียนกลับเป็นม้าตีนปลายจริงๆ แล้ว

หยางฉงเสวียนถาม “สตรีน่ารังเกียจ! เจ้ารู้จักบรรพบุรุษตระกูลหยางของข้าจริงๆ หรือ? โชควาสนาในภูเขากระจกวิเศษนี้ก็เป็นเจ้าที่จงใจจัดวางไว้? มารดามันเถอะ เจ้าต้องมีความคิดแบบไหนกันแน่? ถึงได้วางแผนเอาไว้ยาวนานขนาดนี้?”

หลี่หลิ่วกล่าวอย่างเฉยเมย “พูดจาให้น่าฟัง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องตายจริงๆ”

หยางฉงเสวียนเหมือนจะสะอึกอึ้งไปกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดจาหยาบคายอีกแม้แต่คำเดียว

มารดามันเถอะ สตรีตัวเล็กที่เห็นชัดๆ อยู่ว่าแค่ลมพัดมาก็ปลิวกลับมีมือเท้าที่เปี่ยมด้วยพละกำลัง มีสมบัติอาคมที่ทรงอำนาจ แล้วก็ยังมีวิชาอภินิหารที่แม่งเรียกใช้ได้ไม่หมดสิ้นอีก!

หลี่หลิ่วถาม “จะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ยอมแพ้หรือไม่?”

หยางฉงเสวียนชูสองมือขึ้น “ยอมแล้ว”

หลี่หลิ่วถึงได้เดินไปทางวงกลมสีทองนั้น ใช้มือต่างมีดฟันลงเบาๆ แสงสีทองก็สลายหายไปในเสี้ยววินาที

ทำให้หยางฉงเสวียนที่มองดูอยู่เกือบอดไม่ไหวด่าพ่อล่อแม่อีกครั้ง

เด็กสาวและจิ้งจอกเฒ่าที่อยู่ด้านในตัวสั่นสะท้าน ฟันกระทบกันดังกึกๆ

หลี่หลิ่วยกฝ่ามือตบให้จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกสลบไป

อีกมือหนึ่งก็ยกขึ้นกลางอากาศเบาๆ กระชากเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกให้ลอยขึ้นจนมีระดับความสูงเท่ากับนางพอดี

บุรุษร่างกำยำคนหนึ่งวิ่งตะบึงมาจากทิศไกล หลี่หลิ่วไม่แม้แต่จะชายตามอง เพียงแค่โบกชายแขนเสื้อสะบัดเขาให้ลอยกระเด็นออกไป

หลี่หลิ่วยื่นนิ้วสองข้างพุ่งไปด้านหน้าอย่างว่องไวราวสายฟ้าแลบ ควักเอาดวงตาสีทองข้างนั้นของเหวยไท่เจินออกมาโดยตรง ปีศาจจิ้งจอกเด็กสาวดิ้นรนสุดชีวิต มือเท้าโบกสะเปะสะปะ เจ็บปวดทรมานอย่างถึงที่สุด แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา

หลี่หลิ่วดีดปลายเท้าทะยานขึ้นไปยังยอดเขา ครู่หนึ่งต่อมาตลอดทั้งภูเขากระจกวิเศษก็เริ่มส่ายไหวไม่หยุด

มือข้างหนึ่งของหลี่หลิ่วถือกระจกทองแดงโบราณ นางย้อนกลับมาที่ริมน้ำ แล้วโยนกระจกให้กับบุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ใส่ใจ เมื่ออีกฝ่ายรับไว้ในมือแล้ว หลี่หลิ่วก็เอ่ยว่า “หยางหนิงเจิน สกุลหยางของพวกเจ้าติดค้างน้ำใจข้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนน้ำใจสองครั้งนี้หน่วยฉงเสวียนและตำหนักนภากาศควรจะชดใช้ให้เมื่อไร ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็จะรู้เอง”

หยางฉงเสวียนแสยะยิ้มกว้าง “ข้าแค่อยากรู้ว่าสกุลหยางของพวกเราจะชดใช้คืนได้ไหวหรือไม่ ต้องมีคนตายไปอีกกี่มากน้อย!”

หลี่หลิ่วทำท่าครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า “คืนได้ไหว ไม่จำเป็นต้องมีคนตาย”

นางเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าต้องไม่รนหาที่ตายเองซะก่อน”

หยางฉงเสวียนพยักหน้ารับ “ตกลง!”

หยางฉงเสวียนเก็บกระจกโบราณบานนั้นไป สุดท้ายถามว่า “นอกจากน้ำใจที่ติดค้างแล้ว รอจนข้าเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าและเซียนดินก่อกำเนิดเมื่อไหร่ จะไปหาเจ้าแล้วต่อสู้กันอีกครั้งได้หรือไม่?”

หลี่หลิ่วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ขอแค่ถึงเวลานั้นเจ้ายังมีความกล้า ข้าก็พร้อมเล่นด้วยทุกเมื่อ”

เลือดเนื้อทั่วร่างของหยางฉงเสวียน หรือควรจะเรียกว่าหยางหนิงเจินประหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนจากบาดแผลลึกจนกระดูกขาวโผล่มาเป็นประสานตัวเข้าด้วยกันอย่างว่องไว

เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตร่างทองเท่านั้น

ยังมีโอกาสเสี้ยวหนึ่งที่จะช่วงชิงขอบเขตร่างทองที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย

เขาก้าวยาวๆ ออกไปจากภูเขากระจกวิเศษ ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

หลี่หลิ่วมองปีศาจจิ้งจอกเด็กสาวที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ในกรอบดวงตาข้างหนึ่งของนางมีเลือดสดไหลรินไม่หยุด

ประหนึ่งตาน้ำพุเล็กๆ แห่งหนึ่ง

หลี่หลิ่วพลันถามว่า “อยากจะตายให้เร็วหน่อยใช่ไหม?”

เด็กสาวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีส่ายหน้าเบาๆ ริมฝีปากขยับน้อยๆ คงจะอยากพูดว่านางอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่อยากตาย

หรือไม่ก็อยากพูดว่า ก่อนจะจากโลกนี้ไป อยากจะเห็นบุรุษผู้นั้นเป็นครั้งสุดท้าย

แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดเพียงแค่เห็นเขาครั้งเดียวก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ตัดใจไม่ลงขนาดนี้

บนโลกใบนี้มีรักแรกพบอยู่จริงๆ เสียด้วย

ช่างงดงามเหลือเกิน

ทำให้นางที่ต่อให้เจอกับเคราะห์กรรมเช่นนี้ก็ยังไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิด

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+