กระบี่จงมา 498.6 ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 498.6 ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จู่ๆ จู๋เฉวียนก็เอ่ยขึ้นว่า “ภูเขากระจกวิเศษพินาศอย่างสิ้นเชิงแล้ว การต่อสู้ครานั้นสร้างความครึกโครมไม่ใช่น้อย เพียงแต่ว่าข้าไม่มีหน้าจะไปแอบดู ก็เลยไม่รู้รายละเอียดของเหตุการณ์ คนหนุ่มผู้นั้นน่าจะเป็นอย่างที่เจ้าบอก ก็คือนักฆ่าหยางที่ชื่ออยู่ในอันดับล่างสุด ดูจากท่าทางแล้วเหมือนว่าจะได้โชควาสนาของภูเขากระจกวิเศษไปครองแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้ก่อเรื่องอยู่ในหุบเขาผีร้ายก็ปล่อยให้เขากลับไปพร้อมสมบัติเถอะ แต่แถบของภูเขาโปลั่วกับภูเขาจีเซียวนั้น เพราะคนหนุ่มที่เข้าเมืองเล็กมา บวกกับบัณฑิตที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาคนหนึ่ง สองคนร่วมมือกัน ถูกพวกเขารื้อค้นเสียจนพลิกคว่ำคะมำหงาย จุ๊ๆ ความสามารถไม่น้อย แผนการก็ยิ่งสูงล้ำ ปั่นหัวเหล่าปีศาจเล่นอยู่ในกำมือ สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร เจ้าลองเดาดูสิ?”

ตู้เหวินซือยิ้มจืดเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก เรื่องแบบนี้ข้าจะไปเดาถูกได้อย่างไร”

จู๋เฉวียนกล่าวอย่างระอาใจ “นิสัยนี้ของเจ้าช่างน่าเบื่อเสียจริง ก็ไม่แปลกที่จนถึงทุกวันนี้ยังเป็นชายโสด ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ หากเจอกับหวงถิงผู้นั้นอีกครั้ง ชอบนางก็บอกนางไปตามตรง หากนางจะจากไป เจ้าก็รีบคุกเข่าโขกหัวอ้อนวอน ไอ้หน้าตาศักดิ์ศรีพวกนั้นน่ะจะนับเป็นอะไรได้ พอถูกเจ้าหลอกมาอยู่ในมือได้แล้ว ถึงเวลานั้นจะอยู่บนเตียงหรือล่างเตียง ควรจะจัดการกับเมียตัวเองอย่างไรยังต้องให้คนอื่นมาคอยสอนเจ้าอีกหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าต่อให้อยู่ล่างเตียงเจ้าจะสู้นางไม่ได้ แต่อยู่บนเตียงเจ้าจะยัง…ช่างเถิดๆ นับแต่โบราณมายามอยู่บนเตียงบุรุษก็สู้สตรีไม่ได้อยู่แล้ว เฮ้อ เมื่อเป็นอย่างนี้ หากข้าจะดูแคลนเจ้าก็ถือว่าถูกต้องแล้ว เดิมทีข้ายังอยากจะทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยร้อยด้ายแดงให้สักครั้ง ตอนนี้ดูแล้วก็อย่าดีกว่า ต้องโทษเจ้านั่นแหละที่ไม่ได้เรื่อง ไหนบอกมาสิว่าทำไมเจ้ายังไม่เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดเสียที คลานอยู่ขอบเขตโอสถทองเป็นเต่าไปได้ สนุกนักหรือ? คิดว่าตัวเองเป็นญาติของตะพาบเฒ่าตัวนั้นจริงๆ หรือไร ถ้าคิดอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปขอลูกสาวตะพาบเฒ่ามาเป็นเมียเสียเลยเล่า?”

ตู้เหวินซือหน้าแดงก่ำ นึกอยากจะขุดดินแล้วมุดลงไป กล่าวอย่างอับอายจนพานเป็นโกรธ “เจ้าสำนัก!”

“ก็ได้ๆๆ ไม่พูดแทงใจดำเจ้าแล้ว ก็ข้าร้อนใจกับตบะของเจ้านี่นา เวลาปกติพวกเจ้าชอบบอกว่าข้าเป็นเจ้าสำนักที่เกียจคร้าน นี่ข้าก็เพิ่งจะให้ความใส่ใจเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วดูสิเป็นยังไง เจ้าก็ดันไม่พอใจเสียอีก สรุปแล้วข้าต้องทำอย่างไรกันแน่เล่า”

ตู้เหวินซือเริ่มยื่นมือออกมาขยี้ใบหน้า

จู๋เฉวียนตบไหล่ของตู้เหวินซือ “หักอกหักใจเสียบ้างเถอะ ข้าแนะนำเจ้าว่าควรตัดใจซะ หากหวงถิงผู้นั้นกลับมาที่เมืองชิงหลูของพวกเรา เจ้าก็อย่ามาขอให้ข้าช่วยตีนางให้สลบ แล้วทำเรื่องชั่วๆ ประเภทที่ว่าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกก็แล้วกัน แม้ว่าข้าจะเป็นเจ้าสำนักของเด็กน้อยอย่างพวกเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเจ้า แต่ว่านะเหวินซือ ถึงอย่างไรข้าก็ถูกชะตากับเจ้ามากกว่าหยางหลินผู้นั้น ไหนเจ้าลองเรียกข้าว่าท่านแม่ดูสิ ไม่แน่ว่าข้าที่เป็นทั้งเจ้าสำนักทั้งมารดาอาจจะเปลี่ยนใจกะทันหันก็ได้”

ขนาดเป็นคนนิสัยดีอย่างตู้เหวินซือก็ยังอดมุมปากกระตุกไปไม่ได้

จู๋เฉวียนหัวเราะร่าเสียงดัง กลั้นอยู่นานก็ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ กว่าจะหยุดได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือนางพึมพำตามมาอีกประโยคว่า ให้ตายเถอะ มารดาข้าเกือบจะหัวเราะจนปากฉีกเสียแล้ว เดิมทีก็หน้าตาธรรมดา หากปากฉีกอีก แล้วอย่างนี้วันหน้าจะหาหนุ่มน้อยหน้าละอ่อนมาอยู่เคียงข้างได้อย่างไร

ตู้เหวินซือจำต้องเอ่ยเตือนว่า “เจ้าสำนัก พวกเรากลับมาคุยเป็นการเป็นงานกันดีไหม?”

“เรื่องใหญ่ในชีวิตของเจ้าจะไม่เรียกว่าเรื่องเป็นการเป็นงานได้อย่างไร?”

จู๋เฉวียนกระแอมหนึ่งที ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยว่า “หลวงจีนเฒ่าแห่งวัดหยวนเยว่ใหญ่และนักพรตของอารามเสวียนตูเล็กต่างก็ออกไปจากป่าท้อแล้ว ส่วนจะไปที่ไหน ข้ายังคงทำตามกฎเดิม นั่นคือไม่ไปสืบเสาะแอบดู แต่เจ้าลองคำนวณดูเถอะ หากบวกกับเจ้าสำนักสาวที่มีเรือหลิวเสียผู้นั้น เทพหญิงฉีลู่ รวมไปถึงเจ้าตะพาบชั่วที่หว่านแหเก็บกระบี่บินไปสองรอบ และยังมีการที่จู่ๆ ผูหรางก็ปรากฏตัว บวกกับท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือของนครใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ส่วนกลางของหุบเขาผีร้าย เอาทุกอย่างนี้มาเชื่อมโยงกัน เหวินซือ เจ้าคิดว่านี่กำลังบ่งบอกถึงอะไร?”

ตู้เหวินซือส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้าสำนัก ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องการวางแผน”

จู๋เฉวียนพยักหน้ารับหนักๆ ยกมือขึ้นตบไหล่ตู้เหวินซือจนเขาเซถลาท่าทางคล้ายปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก “ดีมาก เหมือนกับเจ้าสำนักอย่างข้าเลย เพราะมองออกแค่ว่าต้องมีเรื่องสนุกเท่านั้น!”

เดินกันไปจนถึงสุดปลายถนน จู๋เฉวียนก็หมุนตัวเดินกลับโรงเตี๊ยมแห่งนั้นไปก่อน

ตู้เหวินซือหมุนตัวตามไป

จู๋เฉวียนไม่เอ่ยอะไรอีก จนกระทั่งไปถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมถึงได้เอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่กำลังจะฝ่าไม่ฝ่าคอขวดของโอสถทอง ดังนั้นต่อจากนี้หากมีการต่อสู้เกิดขึ้น เจ้าก็กลับไปที่ศาลบรรพจารย์ทันที ไม่ต้องมีความลังเลใดๆ อีก คำพูดอย่างอื่นของตาแก่ที่นั่งดื่มเหล้ารับลมอยู่บนเรือข้ามฟากตลอดทั้งปีผู้นั้นล้วนเหลวไหลหาแก่นสารไม่ได้ แต่บางทีอาจมีเพียงประโยคที่ว่าสำนักพีหมาของพวกเราควรจะเปลี่ยนเจ้าสำนักคนใหม่ที่ใช้สมองเป็นที่เขากล่าวได้ถูกต้อง ดังนั้นหากคนอื่นรบตายไป แม้แต่ตัวข้าด้วย ก็ล้วนไม่เป็นไร ความรับผิดชอบเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ผู้ฝึกตนสำนักพีหมายังพอจะมีอยู่บ้าง มีเพียงเจ้าตู้เหวินซือคนเดียวเท่านั้นที่ต่อจะให้ตายก็ต้องไม่มาตายอยู่ในหุบเขาผีร้ายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสกปรกนี้ ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรตายอยู่ที่ชายหาดโครงกระดูกด้วย ไปตายอยู่ทางเหนือ และเหนือยิ่งกว่าจึงจะดี”

ตู้เหวินซือส่ายหน้า “เจ้าสำนัก เรื่องนี้ข้าทำไม่ได้ หลบหนียามเจอสงคราม ถอยร่นทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้ ต่อให้ข้าตู้เหวินซือต้องสละมหามรรคาและชีวิตก็ไม่มีทาง…”

จู๋เฉวียนพลันยกฝ่ามือขึ้นผลักศีรษะของตู้เหวินซือเบาๆ สีหน้าของนางเป็นปกติ น้ำเสียงก็เรียบเฉย “อย่าโง่ ตู้เหวินซือ ข้าจะขอวางมาดเจ้าสำนักพูดความในใจประโยคหนึ่งกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย บนโลกใบนี้ อย่างน้อยในสายตาของข้าจู๋เฉวียน ชายชาตรีที่สามารถค้ำฟ้ายันดินได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องอดทนกับความยากลำบากอันยิ่งใหญ่ และยิ่งต้องทนรับความอัปยศอันยิ่งใหญ่ได้ ต่อให้เจ้าจะเป็นขุนเขาที่กดทับลงมาบนตัวข้า กระดูกสันหลังของข้าก็ยังคงเหยียดตรงอยู่เสมอ!”

ตู้เหวินซือยืนอยู่ที่เดิม

ส่วนจู๋เฉวียนนั้นเดินหน้าต่อไปอย่างเชื่องช้า

……

บนหัวกำแพงเมืองของนครจิงกวานอันเป็นนครที่สูงตระหง่านเสียดแทงทะลุชั้นเมฆ

บุรุษวัยกลางคนที่รูปโฉมประดุจต้นไม้หยกรับลมคนหนึ่งกำลังเดินทอดน่องอย่างผ่อนคลาย

ห่างออกไปไกลมีสตรีสองคนกับหนึ่งโครงกระดูกขาวยืนอยู่บนทางเดินม้า ทอดสายตามองไปทางทิศใต้ด้วยกัน

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักลัทธิเต๋า เทพหญิงฉีลู่ และยังมีเจ้านครของนครแห่งนี้ เกาเฉิงเจ้านครจิงกวาน วิญญาณหยินที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของชายหาดโครงกระดูกและหุบเขาผีร้าย เมื่อนั่งบัญชาการณ์อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ เขาก็แทบจะสามารถทัดเทียมได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าคนหนึ่ง

แต่ภูมิหลังตอนที่เกาเฉิงยังมีชีวิตอยู่นั้นกลับไม่มีบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ของคนรุ่นหลังเลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่ว่าสำนักประวัติศาสตร์และผู้ฝึกตนบนภูเขาไม่อยากสืบสาวไปถึงต้นกำเนิดของเขา แต่เป็นเพราะไม่สามารถหาบันทึกใดๆ จากในเอกสารคดีของสองราชวงศ์ใหญ่และแคว้นใต้อาณัติสิบกว่าแห่งเจอจริงๆ ไม่มีเลยสักประโยคเดียว มีเพียงในทะเบียนราษฎร์ระดับล่างสุดของกรมกลาโหมแคว้นหนึ่งเท่านั้นที่มีชื่อเกาเฉิงบันทึกไว้ เพียงแค่นี้เท่านั้น

พลทหารราบเกาเฉิง

ราวกับว่าผีที่ปีนั้นหยัดยืนขึ้นมาท่ามกลางกองกระดูกขาวโพลนเกือบล้านโครงบนชายหาดโครงกระดูก เคยเป็นแค่ทหารน้อยไร้ชื่อแซ่ที่นอนอยู่ท่ามกลางกองคนตายบนสนามรบจริงๆ

ราวกับว่าหลังจากที่ปีนั้นเขาหยัดยืนขึ้นด้วยรูปลักษณ์ของผีโครงกระดูก ก็ถึงเพิ่งจะเริ่มลุกผงาดขึ้นมาทีละก้าว

เกาเฉิงตัวไม่สูง ยังคงปรากฏกายบนโลกในลักษณะของโครงกระดูกผอมแห้งสีขาวหิมะ เขาสวมเสื้อเกราะเหล็กผุพังที่ธรรมดาที่สุด ดาบที่พกไว้ตรงเอวก็ยิ่งเป็นของธรรมดาทั่วไป

เกาเฉิงถาม “เฮ้อเสี่ยวเหลียง หลังจากที่เจ้ามาถึงนครจิงกวานของข้าแล้วก็พูดแค่ว่าขอดูหน่อย แล้วตอนนี้ดูเสร็จหรือยัง?”

นักพรตหญิงที่สวมชุดคลุมลัทธิเต๋า บนศีรษะสวมกวานดอกบัวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ท่านเจ้านครจะไล่คนแล้วหรือ?”

เกาเฉิงกล่าว “จะให้เวลาเจ้าอีกสามวัน หากยังไม่ไป จะไม่ใช่ไล่คน แต่เป็นฆ่าคนแล้ว”

เทพหญิงฉีลู่ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย

ปราณดุร้ายในนครจิงกวานเข้มข้นเกินไป กวางเทพห้าสีที่เป็นสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาซึ่งถือกำเนิดมาจากโชคชะตาฟ้าดินตัวนั้นไม่อาจทนรับการกัดกินจากปราณพวกนี้ได้มากที่สุด จึงถูกนางเก็บไปนานแล้ว

เทพหญิงท่านนี้ไม่สงสัยในคำพูดของเจ้านครผู้นั้นแม้แต่น้อย นี่ต้องไม่ใช่แค่คำขู่อย่างแน่นอน

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มบางเอ่ยว่า “สามวันก็สามวัน เมื่อถึงเวลา ข้าต้องไปจากนครจิงกวานอย่างแน่นอน”

เกาเฉิงชำเลืองตามอง ‘โจวเฝย’ ที่เดินอยู่บนหัวกำแพงผู้นั้น “เจียงซ่างเจินผู้นี้ ทางที่ดีที่สุดอย่าให้เขาโดยสารเรือหลิวเสียของเจ้าจากไป ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่าข้าจะอดชักดาบไม่ไหว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

เกาเฉิงเดินลงไปจากหัวกำแพงเมือง

เจียงซ่างเจินเดินกลับมาหยุดอยู่ใกล้เฮ้อเสี่ยวเหลียงและเทพหญิงฉีลู่ เขากระโดดลงมาจากหัวกำแพง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอแค่เจ้าสำนักเฮ้อยังคงไม่พูดอะไร ไม่ทำอะไร เพียงแค่มองดูเฉยๆ อยู่เหมือนเดิมจริงๆ ถึงเวลานั้นไม่พาข้ากลับไปด้วยก็ไม่มีปัญหา อย่างมากข้าก็แค่ถูกเกาเฉิงผู้นี้รั้งตัวไว้ในนครจิงกวาน พวกสาวงามโครงกระดูกขาวเหล่านั้นก็มีรสชาติต่างไปอีกแบบ”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ขาดอะไรมากที่สุด”

เจียงซ่างเจินฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนหัวกำแพง เอามือนวดก้นตัวเอง ใช้เสียงในใจตอบกลับไปอย่างเกียจคร้าน “แน่นอนว่าต้องเป็นคนมีชีวิต อันที่จริงปราณวิญญาณในฟ้าดินขนาดเล็กไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ ต่อให้เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยนไปยังไง ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันมาหลายปีขนาดนี้ก็หนีไม่พ้นถูกเกาเฉิงเอาไปฝากไว้บนร่างของพวกคนอย่างผูหราง แต่คนมีชีวิตที่มีปราณหยางนั้นมีน้อยเกินไปจริงๆ พื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษอย่างนครถงโช่วแห่งนั้นก็ถูกเมืองชิงหลูและจู๋เฉวียนจับตามองเขม็ง วางท่าอย่างชัดเจนแล้วว่าหากเจ้าเกาเฉิงกล้าไปแย่งชิงคนมา นางก็กล้าจะเปิดสงครามครั้งใหญ่ให้แตกหักกันไป”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นหากเกาเฉิงสามารถสร้างวัฎจักรสังสารขึ้นมาได้ด้วยตัวเองเล่า? ทำให้เทพและเซียนมากมายในหุบเขาผีร้ายไม่อาจรวบรวมปราณหยินของดวงวิญญาณทั้งหลายที่กระจัดกระจายมาได้อีก และพวกดวงวิญญาณก็สามารถกลับไปจุติใหม่เกิดเป็นมนุษย์อยู่ในหุบเขาผีร้าย? ร้อยปีให้หลัง หยินหยางเท่าเทียม หุบเขาผีร้ายสามารถกระโดดขึ้นบันไดไปได้อีกสองขั้นใหญ่ หรืออาจถึงขั้นเรียกได้ว่ากลายเป็นฟ้าดินแห่งใหม่ กลายมาเป็นสถานที่วิเศษที่มีทั้งถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นจะเป็นอย่างไร?”

แรกเริ่มเจียงซ่างเจินมีสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าไม่นานก็ส่ายหน้าอย่างโล่งอก “ตบะของเกาเฉิงสูง อยู่ในหุบเขาผีร้าย ขนาดข้าก็ยังสู้ไม่ได้ ข้อนี้ข้าพอจะฝืนยอมรับได้ ขนาดมังกรผู้แข็งแกร่งก็ยังมิอาจกดหัวงูเจ้าถิ่นนี่นะ แต่หากจะบอกว่าเกาเฉิงได้รับวิชาลับต้องห้ามของยุคบรรพกาลอันห่างไกลมาวิชาหนึ่ง รู้วิชาการจุติกลับมาเกิด แต่เพียงแค่ไม่อาจควบคุมได้ ข้าเจียงซ่างเจิน…ก็สามารถฝืนใจยอมรับได้ แต่หากจะบอกว่าเจ้านครจิงกวานท่านนี้มีวัตถุอาคมสูงส่งไร้ทัดเทียมที่สามารถแบกรับผลกรรมของฟ้าดินประเภทนี้อยู่ในมือพอดี สามารถสร้างอาณาเขตที่เหมือนกับนครเฟิงตู (เมืองผี/เมืองคนตาย) ขึ้นมาในหุบเขาผีร้ายที่ยังเป็นโลกคนเป็นแห่งนี้ได้ ตีให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ!”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยังคงยิ้มอ่อนๆ อยู่ดังเดิม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาลองตั้งตารอดูกันดีไหม?”

สีหน้าของเจียงซ่างเจินมืดทะมึน

นี่เป็นครั้งแรกที่อารมณ์ของเขาหนักอึ้ง

เฮ้อเสี่ยวเหลียงพลันยิ้มกล่าว “เจียงซ่างเจิน อันที่จริงเจ้าเดาผิดไปเรื่องหนึ่ง”

เจียงซ่างเจินกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง “ขอเจ้าสำนักเฮ้อโปรดบอก”

แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับไม่พูดอะไรอีก

สีหน้าของนางซับซ้อน

เจียงซ่างเจินเริ่มอนุมานอยู่ในใจเงียบๆ

น่าเสียดายก็แต่ยังมีปริศนาอีกสองจุดที่ยังไม่สามารถไขได้กระจ่าง นี่จะเป็นปัญหาอย่างมาก

ในความเป็นจริงแล้ว พลาดไปนิดเดียวก็อาจผิดไปเป็นโยชน์

เพราะนักพรตเต๋าอารามเสวียนตูเล็กและภิกษุเฒ่าวัดหยวนเยว่ใหญ่เคยทยอยกันออกไปจากป่าท้อจริง ต่างคนต่างก็ร่ายใช้วิชาอภินิหารที่สามารถบดบังเจตนารมณ์สวรรค์

คนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ที่ริมหน้าผาทางทิศใต้ที่ตอนนี้มีสะพานเหล็กเส้นหนึ่งห้อยอยู่ ยืนอยู่ตรงนั้นตลอดทั้งคืน

คนหนึ่งมาปรากฎตัวอยู่ริมลำคลองหมายเหอที่ใกล้กับศาลเทพวารี เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ภิกษุเฒ่าค่อนข้างจะไปมาอย่างรีบร้อน

ทว่าหลังจากที่เฉินผิงอันมาถึงเมืองชิงหลูแล้วก็ไม่อาจตรวจสอบมองดูได้อีก เจียงซ่างเจินเป็นเช่นนี้ คาดว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น ส่วนเกาเฉิงผู้นั้นกลับบอกได้ยาก

……

ทางฝั่งของโรงเตี๊ยมที่เมืองชิงหลู แม้เฉินผิงอันจะอยู่ในสภาวะที่จิตใจไม่สงบสุขซึ่งดำรงอยู่ค่อนข้างยาวนาน แต่ก็พอจะฝืนข่มกลั้นอารมณ์ให้สงบลงได้บ้าง เพราะคิดจะวาดยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองสองแผ่นในยามค่ำคืน

เพียงแต่ว่าพอยกพู่กันขึ้นมาถึงได้ค้นพบว่าตนเองไม่อาจขยับพู่กันได้เสียที เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากฝืนจรดพู่กันลงไปบนกระดาษสีทองนี้ เขาก็คงวาดยันต์ออกมาไม่ได้ หากเป็นกระดาษยันต์ธรรมดาทั่วไป บางทีอาจจะยังทำได้

เฉินผิงอันวางพู่กันลง ลุกขึ้นยืนฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูหนึ่งชั่วยาม แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจสงบใจได้อย่างแท้จริง

จึงผลักประตูเปิดออก ไปเดินเที่ยวรอบเมืองชิงหลูตอนกลางคืน พอกลับมาถึงห้องในโรงเตี๊ยมก็หยิบแผ่นไม้ไผ่บางส่วนออกมา พลิกกลับไปกลับมาท่ามกลางแสงตะเกียง อ่านอยู่นานมาก

แล้วเฉินผิงอันก็ต้องนั่งเสียเวลาเฝ้าตะเกียงไปอย่างนี้ตลอดทั้งคืน

ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันสวมหน้ากาก สะพายห่อสัมภาระ ไปที่เมืองถงโช่วอีกครั้ง ไม่ได้เจอกับผีผู้บัญชาการณ์คนเฝ้าประตูที่คุ้นหน้าคุ้นตาก็อดเสียดายนิดๆ ไม่ได้

ไปถึงตรอกผงทอง ที่นั่นก็เพิ่งจะเปิดร้านพอดี เถ้าแก่ผีสาวอึ้งตะลึงอยู่นาน ก่อนจะบอกให้ผีเด็กชายที่ในมือมีกระดิ่งเงินไปตาม ‘เจ้าของตรอก’ มา ผีน้อยฉลาดเฉลียวมากจริงๆ เพียงแค่พยักหน้ารับ ไม่พูดไม่จาก็ไปหาแม่ทัพเทพทวารบาลที่ประตูวังทางทิศเหนือทันที และไม่นานถังจิ่นซิ่วก็หิ้วมันกลับมาที่ตรอกผงทองด้วยกัน เข้ามาในร้าน ถังจิ่นซิ่วก็เห็นว่าบนโต๊ะคิดเงินวางของไว้เต็มแน่นแล้ว

ถังจิ่นซิ่วยิ้มกล่าว “เซียนซือผู้เฒ่า มาอีกแล้วหรือ? เหตุใดหุบเขาผีร้ายของพวกเราถึงได้มีสมบัติกลาดเกลื่อนขนาดนี้นะ แค่ตามเก็บคืนเดียวก็ได้กลับมาเต็มถุงแบบนี้แล้วหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็นั่นน่ะสิ เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ”

ถังจิ่นซิ่วบื้อใบ้พูดต่อไม่ถูก จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทำการค้าขายตามกติกาเดิม

เพียงแต่ว่าสิ่งของที่อยู่ในห่อผ้าครั้งนี้ ถังจิ่นซิ่วตรวจดูรอบหนึ่งแล้วกลับซื้อมาแค่สองชิ้น ให้เงินสองเหรียญเงินร้อนน้อย

ไม่ใช่ว่านางขี้เหนียวเงินเทพเซียน แต่เพราะเป็นเช่นนี้จริงๆ หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่สถานะ ‘เซียนกระบี่หนุ่ม’ ของอีกฝ่าย จ่ายด้วยเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญก็ถือว่านางไม่รังแกเด็กและคนชราแล้ว

เฉินผิงอันเก็บเงินแล้วก็ออกมาจากนครถงโช่ว

แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามาเสียเที่ยวด้วย

เงินร้อนน้อยสองเหรียญ ถือว่าไม่น้อยแล้ว

กลับมาถึงเมืองชิงหลู เฉินผิงอันก็ฝึกท่าฟ้าดินอยู่ในห้องของโรงเตี๊ยมต่อ

เขาคิดว่านอกจากฝึกเดินแล้วก็จะต้องฝึกกระบวนท่าหมัดที่ท่วงท่าแปลกประหลาดนี้ให้ครบหนึ่งล้านครั้งด้วย

วันนี้กินข้าวไปแค่มื้อเดียว ยามสนธยาก็ไปซื้อเหล้าหนึ่งกาที่เหลาสุรา ลูกค้าในร้านบางตา เฉินผิงอันนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่นั่นจนหมด พร้อมกับกินกับแกล้มไปหนึ่งจาน

แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจวาดยันต์ได้ตลอดทั้งคืน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับวันก่อนก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว ครึ่งคืนหลังเฉินผิงอันไม่ฝึกท่าฟ้าดินอีก แต่ไปนอนบนเตียง หลับตาพักผ่อน คิดถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย คิดไปคิดมา กาลเวลาก็ยิ่งถอยกลับไปในอดีต จนกระทั่งไปถึงตอนเป็นเด็กที่ขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เฉินผิงอันถึงได้หลับสนิทไป

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 498.6 ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 498.6 ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จู่ๆ จู๋เฉวียนก็เอ่ยขึ้นว่า “ภูเขากระจกวิเศษพินาศอย่างสิ้นเชิงแล้ว การต่อสู้ครานั้นสร้างความครึกโครมไม่ใช่น้อย เพียงแต่ว่าข้าไม่มีหน้าจะไปแอบดู ก็เลยไม่รู้รายละเอียดของเหตุการณ์ คนหนุ่มผู้นั้นน่าจะเป็นอย่างที่เจ้าบอก ก็คือนักฆ่าหยางที่ชื่ออยู่ในอันดับล่างสุด ดูจากท่าทางแล้วเหมือนว่าจะได้โชควาสนาของภูเขากระจกวิเศษไปครองแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้ก่อเรื่องอยู่ในหุบเขาผีร้ายก็ปล่อยให้เขากลับไปพร้อมสมบัติเถอะ แต่แถบของภูเขาโปลั่วกับภูเขาจีเซียวนั้น เพราะคนหนุ่มที่เข้าเมืองเล็กมา บวกกับบัณฑิตที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาคนหนึ่ง สองคนร่วมมือกัน ถูกพวกเขารื้อค้นเสียจนพลิกคว่ำคะมำหงาย จุ๊ๆ ความสามารถไม่น้อย แผนการก็ยิ่งสูงล้ำ ปั่นหัวเหล่าปีศาจเล่นอยู่ในกำมือ สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร เจ้าลองเดาดูสิ?”

ตู้เหวินซือยิ้มจืดเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก เรื่องแบบนี้ข้าจะไปเดาถูกได้อย่างไร”

จู๋เฉวียนกล่าวอย่างระอาใจ “นิสัยนี้ของเจ้าช่างน่าเบื่อเสียจริง ก็ไม่แปลกที่จนถึงทุกวันนี้ยังเป็นชายโสด ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ หากเจอกับหวงถิงผู้นั้นอีกครั้ง ชอบนางก็บอกนางไปตามตรง หากนางจะจากไป เจ้าก็รีบคุกเข่าโขกหัวอ้อนวอน ไอ้หน้าตาศักดิ์ศรีพวกนั้นน่ะจะนับเป็นอะไรได้ พอถูกเจ้าหลอกมาอยู่ในมือได้แล้ว ถึงเวลานั้นจะอยู่บนเตียงหรือล่างเตียง ควรจะจัดการกับเมียตัวเองอย่างไรยังต้องให้คนอื่นมาคอยสอนเจ้าอีกหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าต่อให้อยู่ล่างเตียงเจ้าจะสู้นางไม่ได้ แต่อยู่บนเตียงเจ้าจะยัง…ช่างเถิดๆ นับแต่โบราณมายามอยู่บนเตียงบุรุษก็สู้สตรีไม่ได้อยู่แล้ว เฮ้อ เมื่อเป็นอย่างนี้ หากข้าจะดูแคลนเจ้าก็ถือว่าถูกต้องแล้ว เดิมทีข้ายังอยากจะทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยร้อยด้ายแดงให้สักครั้ง ตอนนี้ดูแล้วก็อย่าดีกว่า ต้องโทษเจ้านั่นแหละที่ไม่ได้เรื่อง ไหนบอกมาสิว่าทำไมเจ้ายังไม่เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดเสียที คลานอยู่ขอบเขตโอสถทองเป็นเต่าไปได้ สนุกนักหรือ? คิดว่าตัวเองเป็นญาติของตะพาบเฒ่าตัวนั้นจริงๆ หรือไร ถ้าคิดอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปขอลูกสาวตะพาบเฒ่ามาเป็นเมียเสียเลยเล่า?”

ตู้เหวินซือหน้าแดงก่ำ นึกอยากจะขุดดินแล้วมุดลงไป กล่าวอย่างอับอายจนพานเป็นโกรธ “เจ้าสำนัก!”

“ก็ได้ๆๆ ไม่พูดแทงใจดำเจ้าแล้ว ก็ข้าร้อนใจกับตบะของเจ้านี่นา เวลาปกติพวกเจ้าชอบบอกว่าข้าเป็นเจ้าสำนักที่เกียจคร้าน นี่ข้าก็เพิ่งจะให้ความใส่ใจเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วดูสิเป็นยังไง เจ้าก็ดันไม่พอใจเสียอีก สรุปแล้วข้าต้องทำอย่างไรกันแน่เล่า”

ตู้เหวินซือเริ่มยื่นมือออกมาขยี้ใบหน้า

จู๋เฉวียนตบไหล่ของตู้เหวินซือ “หักอกหักใจเสียบ้างเถอะ ข้าแนะนำเจ้าว่าควรตัดใจซะ หากหวงถิงผู้นั้นกลับมาที่เมืองชิงหลูของพวกเรา เจ้าก็อย่ามาขอให้ข้าช่วยตีนางให้สลบ แล้วทำเรื่องชั่วๆ ประเภทที่ว่าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกก็แล้วกัน แม้ว่าข้าจะเป็นเจ้าสำนักของเด็กน้อยอย่างพวกเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเจ้า แต่ว่านะเหวินซือ ถึงอย่างไรข้าก็ถูกชะตากับเจ้ามากกว่าหยางหลินผู้นั้น ไหนเจ้าลองเรียกข้าว่าท่านแม่ดูสิ ไม่แน่ว่าข้าที่เป็นทั้งเจ้าสำนักทั้งมารดาอาจจะเปลี่ยนใจกะทันหันก็ได้”

ขนาดเป็นคนนิสัยดีอย่างตู้เหวินซือก็ยังอดมุมปากกระตุกไปไม่ได้

จู๋เฉวียนหัวเราะร่าเสียงดัง กลั้นอยู่นานก็ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ กว่าจะหยุดได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือนางพึมพำตามมาอีกประโยคว่า ให้ตายเถอะ มารดาข้าเกือบจะหัวเราะจนปากฉีกเสียแล้ว เดิมทีก็หน้าตาธรรมดา หากปากฉีกอีก แล้วอย่างนี้วันหน้าจะหาหนุ่มน้อยหน้าละอ่อนมาอยู่เคียงข้างได้อย่างไร

ตู้เหวินซือจำต้องเอ่ยเตือนว่า “เจ้าสำนัก พวกเรากลับมาคุยเป็นการเป็นงานกันดีไหม?”

“เรื่องใหญ่ในชีวิตของเจ้าจะไม่เรียกว่าเรื่องเป็นการเป็นงานได้อย่างไร?”

จู๋เฉวียนกระแอมหนึ่งที ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยว่า “หลวงจีนเฒ่าแห่งวัดหยวนเยว่ใหญ่และนักพรตของอารามเสวียนตูเล็กต่างก็ออกไปจากป่าท้อแล้ว ส่วนจะไปที่ไหน ข้ายังคงทำตามกฎเดิม นั่นคือไม่ไปสืบเสาะแอบดู แต่เจ้าลองคำนวณดูเถอะ หากบวกกับเจ้าสำนักสาวที่มีเรือหลิวเสียผู้นั้น เทพหญิงฉีลู่ รวมไปถึงเจ้าตะพาบชั่วที่หว่านแหเก็บกระบี่บินไปสองรอบ และยังมีการที่จู่ๆ ผูหรางก็ปรากฏตัว บวกกับท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือของนครใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ส่วนกลางของหุบเขาผีร้าย เอาทุกอย่างนี้มาเชื่อมโยงกัน เหวินซือ เจ้าคิดว่านี่กำลังบ่งบอกถึงอะไร?”

ตู้เหวินซือส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้าสำนัก ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องการวางแผน”

จู๋เฉวียนพยักหน้ารับหนักๆ ยกมือขึ้นตบไหล่ตู้เหวินซือจนเขาเซถลาท่าทางคล้ายปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก “ดีมาก เหมือนกับเจ้าสำนักอย่างข้าเลย เพราะมองออกแค่ว่าต้องมีเรื่องสนุกเท่านั้น!”

เดินกันไปจนถึงสุดปลายถนน จู๋เฉวียนก็หมุนตัวเดินกลับโรงเตี๊ยมแห่งนั้นไปก่อน

ตู้เหวินซือหมุนตัวตามไป

จู๋เฉวียนไม่เอ่ยอะไรอีก จนกระทั่งไปถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมถึงได้เอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่กำลังจะฝ่าไม่ฝ่าคอขวดของโอสถทอง ดังนั้นต่อจากนี้หากมีการต่อสู้เกิดขึ้น เจ้าก็กลับไปที่ศาลบรรพจารย์ทันที ไม่ต้องมีความลังเลใดๆ อีก คำพูดอย่างอื่นของตาแก่ที่นั่งดื่มเหล้ารับลมอยู่บนเรือข้ามฟากตลอดทั้งปีผู้นั้นล้วนเหลวไหลหาแก่นสารไม่ได้ แต่บางทีอาจมีเพียงประโยคที่ว่าสำนักพีหมาของพวกเราควรจะเปลี่ยนเจ้าสำนักคนใหม่ที่ใช้สมองเป็นที่เขากล่าวได้ถูกต้อง ดังนั้นหากคนอื่นรบตายไป แม้แต่ตัวข้าด้วย ก็ล้วนไม่เป็นไร ความรับผิดชอบเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ผู้ฝึกตนสำนักพีหมายังพอจะมีอยู่บ้าง มีเพียงเจ้าตู้เหวินซือคนเดียวเท่านั้นที่ต่อจะให้ตายก็ต้องไม่มาตายอยู่ในหุบเขาผีร้ายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสกปรกนี้ ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรตายอยู่ที่ชายหาดโครงกระดูกด้วย ไปตายอยู่ทางเหนือ และเหนือยิ่งกว่าจึงจะดี”

ตู้เหวินซือส่ายหน้า “เจ้าสำนัก เรื่องนี้ข้าทำไม่ได้ หลบหนียามเจอสงคราม ถอยร่นทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้ ต่อให้ข้าตู้เหวินซือต้องสละมหามรรคาและชีวิตก็ไม่มีทาง…”

จู๋เฉวียนพลันยกฝ่ามือขึ้นผลักศีรษะของตู้เหวินซือเบาๆ สีหน้าของนางเป็นปกติ น้ำเสียงก็เรียบเฉย “อย่าโง่ ตู้เหวินซือ ข้าจะขอวางมาดเจ้าสำนักพูดความในใจประโยคหนึ่งกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย บนโลกใบนี้ อย่างน้อยในสายตาของข้าจู๋เฉวียน ชายชาตรีที่สามารถค้ำฟ้ายันดินได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องอดทนกับความยากลำบากอันยิ่งใหญ่ และยิ่งต้องทนรับความอัปยศอันยิ่งใหญ่ได้ ต่อให้เจ้าจะเป็นขุนเขาที่กดทับลงมาบนตัวข้า กระดูกสันหลังของข้าก็ยังคงเหยียดตรงอยู่เสมอ!”

ตู้เหวินซือยืนอยู่ที่เดิม

ส่วนจู๋เฉวียนนั้นเดินหน้าต่อไปอย่างเชื่องช้า

……

บนหัวกำแพงเมืองของนครจิงกวานอันเป็นนครที่สูงตระหง่านเสียดแทงทะลุชั้นเมฆ

บุรุษวัยกลางคนที่รูปโฉมประดุจต้นไม้หยกรับลมคนหนึ่งกำลังเดินทอดน่องอย่างผ่อนคลาย

ห่างออกไปไกลมีสตรีสองคนกับหนึ่งโครงกระดูกขาวยืนอยู่บนทางเดินม้า ทอดสายตามองไปทางทิศใต้ด้วยกัน

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักลัทธิเต๋า เทพหญิงฉีลู่ และยังมีเจ้านครของนครแห่งนี้ เกาเฉิงเจ้านครจิงกวาน วิญญาณหยินที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของชายหาดโครงกระดูกและหุบเขาผีร้าย เมื่อนั่งบัญชาการณ์อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ เขาก็แทบจะสามารถทัดเทียมได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าคนหนึ่ง

แต่ภูมิหลังตอนที่เกาเฉิงยังมีชีวิตอยู่นั้นกลับไม่มีบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ของคนรุ่นหลังเลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่ว่าสำนักประวัติศาสตร์และผู้ฝึกตนบนภูเขาไม่อยากสืบสาวไปถึงต้นกำเนิดของเขา แต่เป็นเพราะไม่สามารถหาบันทึกใดๆ จากในเอกสารคดีของสองราชวงศ์ใหญ่และแคว้นใต้อาณัติสิบกว่าแห่งเจอจริงๆ ไม่มีเลยสักประโยคเดียว มีเพียงในทะเบียนราษฎร์ระดับล่างสุดของกรมกลาโหมแคว้นหนึ่งเท่านั้นที่มีชื่อเกาเฉิงบันทึกไว้ เพียงแค่นี้เท่านั้น

พลทหารราบเกาเฉิง

ราวกับว่าผีที่ปีนั้นหยัดยืนขึ้นมาท่ามกลางกองกระดูกขาวโพลนเกือบล้านโครงบนชายหาดโครงกระดูก เคยเป็นแค่ทหารน้อยไร้ชื่อแซ่ที่นอนอยู่ท่ามกลางกองคนตายบนสนามรบจริงๆ

ราวกับว่าหลังจากที่ปีนั้นเขาหยัดยืนขึ้นด้วยรูปลักษณ์ของผีโครงกระดูก ก็ถึงเพิ่งจะเริ่มลุกผงาดขึ้นมาทีละก้าว

เกาเฉิงตัวไม่สูง ยังคงปรากฏกายบนโลกในลักษณะของโครงกระดูกผอมแห้งสีขาวหิมะ เขาสวมเสื้อเกราะเหล็กผุพังที่ธรรมดาที่สุด ดาบที่พกไว้ตรงเอวก็ยิ่งเป็นของธรรมดาทั่วไป

เกาเฉิงถาม “เฮ้อเสี่ยวเหลียง หลังจากที่เจ้ามาถึงนครจิงกวานของข้าแล้วก็พูดแค่ว่าขอดูหน่อย แล้วตอนนี้ดูเสร็จหรือยัง?”

นักพรตหญิงที่สวมชุดคลุมลัทธิเต๋า บนศีรษะสวมกวานดอกบัวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ท่านเจ้านครจะไล่คนแล้วหรือ?”

เกาเฉิงกล่าว “จะให้เวลาเจ้าอีกสามวัน หากยังไม่ไป จะไม่ใช่ไล่คน แต่เป็นฆ่าคนแล้ว”

เทพหญิงฉีลู่ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย

ปราณดุร้ายในนครจิงกวานเข้มข้นเกินไป กวางเทพห้าสีที่เป็นสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาซึ่งถือกำเนิดมาจากโชคชะตาฟ้าดินตัวนั้นไม่อาจทนรับการกัดกินจากปราณพวกนี้ได้มากที่สุด จึงถูกนางเก็บไปนานแล้ว

เทพหญิงท่านนี้ไม่สงสัยในคำพูดของเจ้านครผู้นั้นแม้แต่น้อย นี่ต้องไม่ใช่แค่คำขู่อย่างแน่นอน

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มบางเอ่ยว่า “สามวันก็สามวัน เมื่อถึงเวลา ข้าต้องไปจากนครจิงกวานอย่างแน่นอน”

เกาเฉิงชำเลืองตามอง ‘โจวเฝย’ ที่เดินอยู่บนหัวกำแพงผู้นั้น “เจียงซ่างเจินผู้นี้ ทางที่ดีที่สุดอย่าให้เขาโดยสารเรือหลิวเสียของเจ้าจากไป ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่าข้าจะอดชักดาบไม่ไหว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

เกาเฉิงเดินลงไปจากหัวกำแพงเมือง

เจียงซ่างเจินเดินกลับมาหยุดอยู่ใกล้เฮ้อเสี่ยวเหลียงและเทพหญิงฉีลู่ เขากระโดดลงมาจากหัวกำแพง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอแค่เจ้าสำนักเฮ้อยังคงไม่พูดอะไร ไม่ทำอะไร เพียงแค่มองดูเฉยๆ อยู่เหมือนเดิมจริงๆ ถึงเวลานั้นไม่พาข้ากลับไปด้วยก็ไม่มีปัญหา อย่างมากข้าก็แค่ถูกเกาเฉิงผู้นี้รั้งตัวไว้ในนครจิงกวาน พวกสาวงามโครงกระดูกขาวเหล่านั้นก็มีรสชาติต่างไปอีกแบบ”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ขาดอะไรมากที่สุด”

เจียงซ่างเจินฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนหัวกำแพง เอามือนวดก้นตัวเอง ใช้เสียงในใจตอบกลับไปอย่างเกียจคร้าน “แน่นอนว่าต้องเป็นคนมีชีวิต อันที่จริงปราณวิญญาณในฟ้าดินขนาดเล็กไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ ต่อให้เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยนไปยังไง ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันมาหลายปีขนาดนี้ก็หนีไม่พ้นถูกเกาเฉิงเอาไปฝากไว้บนร่างของพวกคนอย่างผูหราง แต่คนมีชีวิตที่มีปราณหยางนั้นมีน้อยเกินไปจริงๆ พื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษอย่างนครถงโช่วแห่งนั้นก็ถูกเมืองชิงหลูและจู๋เฉวียนจับตามองเขม็ง วางท่าอย่างชัดเจนแล้วว่าหากเจ้าเกาเฉิงกล้าไปแย่งชิงคนมา นางก็กล้าจะเปิดสงครามครั้งใหญ่ให้แตกหักกันไป”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นหากเกาเฉิงสามารถสร้างวัฎจักรสังสารขึ้นมาได้ด้วยตัวเองเล่า? ทำให้เทพและเซียนมากมายในหุบเขาผีร้ายไม่อาจรวบรวมปราณหยินของดวงวิญญาณทั้งหลายที่กระจัดกระจายมาได้อีก และพวกดวงวิญญาณก็สามารถกลับไปจุติใหม่เกิดเป็นมนุษย์อยู่ในหุบเขาผีร้าย? ร้อยปีให้หลัง หยินหยางเท่าเทียม หุบเขาผีร้ายสามารถกระโดดขึ้นบันไดไปได้อีกสองขั้นใหญ่ หรืออาจถึงขั้นเรียกได้ว่ากลายเป็นฟ้าดินแห่งใหม่ กลายมาเป็นสถานที่วิเศษที่มีทั้งถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นจะเป็นอย่างไร?”

แรกเริ่มเจียงซ่างเจินมีสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าไม่นานก็ส่ายหน้าอย่างโล่งอก “ตบะของเกาเฉิงสูง อยู่ในหุบเขาผีร้าย ขนาดข้าก็ยังสู้ไม่ได้ ข้อนี้ข้าพอจะฝืนยอมรับได้ ขนาดมังกรผู้แข็งแกร่งก็ยังมิอาจกดหัวงูเจ้าถิ่นนี่นะ แต่หากจะบอกว่าเกาเฉิงได้รับวิชาลับต้องห้ามของยุคบรรพกาลอันห่างไกลมาวิชาหนึ่ง รู้วิชาการจุติกลับมาเกิด แต่เพียงแค่ไม่อาจควบคุมได้ ข้าเจียงซ่างเจิน…ก็สามารถฝืนใจยอมรับได้ แต่หากจะบอกว่าเจ้านครจิงกวานท่านนี้มีวัตถุอาคมสูงส่งไร้ทัดเทียมที่สามารถแบกรับผลกรรมของฟ้าดินประเภทนี้อยู่ในมือพอดี สามารถสร้างอาณาเขตที่เหมือนกับนครเฟิงตู (เมืองผี/เมืองคนตาย) ขึ้นมาในหุบเขาผีร้ายที่ยังเป็นโลกคนเป็นแห่งนี้ได้ ตีให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ!”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยังคงยิ้มอ่อนๆ อยู่ดังเดิม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาลองตั้งตารอดูกันดีไหม?”

สีหน้าของเจียงซ่างเจินมืดทะมึน

นี่เป็นครั้งแรกที่อารมณ์ของเขาหนักอึ้ง

เฮ้อเสี่ยวเหลียงพลันยิ้มกล่าว “เจียงซ่างเจิน อันที่จริงเจ้าเดาผิดไปเรื่องหนึ่ง”

เจียงซ่างเจินกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง “ขอเจ้าสำนักเฮ้อโปรดบอก”

แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับไม่พูดอะไรอีก

สีหน้าของนางซับซ้อน

เจียงซ่างเจินเริ่มอนุมานอยู่ในใจเงียบๆ

น่าเสียดายก็แต่ยังมีปริศนาอีกสองจุดที่ยังไม่สามารถไขได้กระจ่าง นี่จะเป็นปัญหาอย่างมาก

ในความเป็นจริงแล้ว พลาดไปนิดเดียวก็อาจผิดไปเป็นโยชน์

เพราะนักพรตเต๋าอารามเสวียนตูเล็กและภิกษุเฒ่าวัดหยวนเยว่ใหญ่เคยทยอยกันออกไปจากป่าท้อจริง ต่างคนต่างก็ร่ายใช้วิชาอภินิหารที่สามารถบดบังเจตนารมณ์สวรรค์

คนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ที่ริมหน้าผาทางทิศใต้ที่ตอนนี้มีสะพานเหล็กเส้นหนึ่งห้อยอยู่ ยืนอยู่ตรงนั้นตลอดทั้งคืน

คนหนึ่งมาปรากฎตัวอยู่ริมลำคลองหมายเหอที่ใกล้กับศาลเทพวารี เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ภิกษุเฒ่าค่อนข้างจะไปมาอย่างรีบร้อน

ทว่าหลังจากที่เฉินผิงอันมาถึงเมืองชิงหลูแล้วก็ไม่อาจตรวจสอบมองดูได้อีก เจียงซ่างเจินเป็นเช่นนี้ คาดว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น ส่วนเกาเฉิงผู้นั้นกลับบอกได้ยาก

……

ทางฝั่งของโรงเตี๊ยมที่เมืองชิงหลู แม้เฉินผิงอันจะอยู่ในสภาวะที่จิตใจไม่สงบสุขซึ่งดำรงอยู่ค่อนข้างยาวนาน แต่ก็พอจะฝืนข่มกลั้นอารมณ์ให้สงบลงได้บ้าง เพราะคิดจะวาดยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองสองแผ่นในยามค่ำคืน

เพียงแต่ว่าพอยกพู่กันขึ้นมาถึงได้ค้นพบว่าตนเองไม่อาจขยับพู่กันได้เสียที เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากฝืนจรดพู่กันลงไปบนกระดาษสีทองนี้ เขาก็คงวาดยันต์ออกมาไม่ได้ หากเป็นกระดาษยันต์ธรรมดาทั่วไป บางทีอาจจะยังทำได้

เฉินผิงอันวางพู่กันลง ลุกขึ้นยืนฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูหนึ่งชั่วยาม แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจสงบใจได้อย่างแท้จริง

จึงผลักประตูเปิดออก ไปเดินเที่ยวรอบเมืองชิงหลูตอนกลางคืน พอกลับมาถึงห้องในโรงเตี๊ยมก็หยิบแผ่นไม้ไผ่บางส่วนออกมา พลิกกลับไปกลับมาท่ามกลางแสงตะเกียง อ่านอยู่นานมาก

แล้วเฉินผิงอันก็ต้องนั่งเสียเวลาเฝ้าตะเกียงไปอย่างนี้ตลอดทั้งคืน

ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันสวมหน้ากาก สะพายห่อสัมภาระ ไปที่เมืองถงโช่วอีกครั้ง ไม่ได้เจอกับผีผู้บัญชาการณ์คนเฝ้าประตูที่คุ้นหน้าคุ้นตาก็อดเสียดายนิดๆ ไม่ได้

ไปถึงตรอกผงทอง ที่นั่นก็เพิ่งจะเปิดร้านพอดี เถ้าแก่ผีสาวอึ้งตะลึงอยู่นาน ก่อนจะบอกให้ผีเด็กชายที่ในมือมีกระดิ่งเงินไปตาม ‘เจ้าของตรอก’ มา ผีน้อยฉลาดเฉลียวมากจริงๆ เพียงแค่พยักหน้ารับ ไม่พูดไม่จาก็ไปหาแม่ทัพเทพทวารบาลที่ประตูวังทางทิศเหนือทันที และไม่นานถังจิ่นซิ่วก็หิ้วมันกลับมาที่ตรอกผงทองด้วยกัน เข้ามาในร้าน ถังจิ่นซิ่วก็เห็นว่าบนโต๊ะคิดเงินวางของไว้เต็มแน่นแล้ว

ถังจิ่นซิ่วยิ้มกล่าว “เซียนซือผู้เฒ่า มาอีกแล้วหรือ? เหตุใดหุบเขาผีร้ายของพวกเราถึงได้มีสมบัติกลาดเกลื่อนขนาดนี้นะ แค่ตามเก็บคืนเดียวก็ได้กลับมาเต็มถุงแบบนี้แล้วหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็นั่นน่ะสิ เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ”

ถังจิ่นซิ่วบื้อใบ้พูดต่อไม่ถูก จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทำการค้าขายตามกติกาเดิม

เพียงแต่ว่าสิ่งของที่อยู่ในห่อผ้าครั้งนี้ ถังจิ่นซิ่วตรวจดูรอบหนึ่งแล้วกลับซื้อมาแค่สองชิ้น ให้เงินสองเหรียญเงินร้อนน้อย

ไม่ใช่ว่านางขี้เหนียวเงินเทพเซียน แต่เพราะเป็นเช่นนี้จริงๆ หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่สถานะ ‘เซียนกระบี่หนุ่ม’ ของอีกฝ่าย จ่ายด้วยเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญก็ถือว่านางไม่รังแกเด็กและคนชราแล้ว

เฉินผิงอันเก็บเงินแล้วก็ออกมาจากนครถงโช่ว

แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามาเสียเที่ยวด้วย

เงินร้อนน้อยสองเหรียญ ถือว่าไม่น้อยแล้ว

กลับมาถึงเมืองชิงหลู เฉินผิงอันก็ฝึกท่าฟ้าดินอยู่ในห้องของโรงเตี๊ยมต่อ

เขาคิดว่านอกจากฝึกเดินแล้วก็จะต้องฝึกกระบวนท่าหมัดที่ท่วงท่าแปลกประหลาดนี้ให้ครบหนึ่งล้านครั้งด้วย

วันนี้กินข้าวไปแค่มื้อเดียว ยามสนธยาก็ไปซื้อเหล้าหนึ่งกาที่เหลาสุรา ลูกค้าในร้านบางตา เฉินผิงอันนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่นั่นจนหมด พร้อมกับกินกับแกล้มไปหนึ่งจาน

แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจวาดยันต์ได้ตลอดทั้งคืน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับวันก่อนก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว ครึ่งคืนหลังเฉินผิงอันไม่ฝึกท่าฟ้าดินอีก แต่ไปนอนบนเตียง หลับตาพักผ่อน คิดถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย คิดไปคิดมา กาลเวลาก็ยิ่งถอยกลับไปในอดีต จนกระทั่งไปถึงตอนเป็นเด็กที่ขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เฉินผิงอันถึงได้หลับสนิทไป

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 498.6 ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 498.6 ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จู่ๆ จู๋เฉวียนก็เอ่ยขึ้นว่า “ภูเขากระจกวิเศษพินาศอย่างสิ้นเชิงแล้ว การต่อสู้ครานั้นสร้างความครึกโครมไม่ใช่น้อย เพียงแต่ว่าข้าไม่มีหน้าจะไปแอบดู ก็เลยไม่รู้รายละเอียดของเหตุการณ์ คนหนุ่มผู้นั้นน่าจะเป็นอย่างที่เจ้าบอก ก็คือนักฆ่าหยางที่ชื่ออยู่ในอันดับล่างสุด ดูจากท่าทางแล้วเหมือนว่าจะได้โชควาสนาของภูเขากระจกวิเศษไปครองแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้ก่อเรื่องอยู่ในหุบเขาผีร้ายก็ปล่อยให้เขากลับไปพร้อมสมบัติเถอะ แต่แถบของภูเขาโปลั่วกับภูเขาจีเซียวนั้น เพราะคนหนุ่มที่เข้าเมืองเล็กมา บวกกับบัณฑิตที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาคนหนึ่ง สองคนร่วมมือกัน ถูกพวกเขารื้อค้นเสียจนพลิกคว่ำคะมำหงาย จุ๊ๆ ความสามารถไม่น้อย แผนการก็ยิ่งสูงล้ำ ปั่นหัวเหล่าปีศาจเล่นอยู่ในกำมือ สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร เจ้าลองเดาดูสิ?”

ตู้เหวินซือยิ้มจืดเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก เรื่องแบบนี้ข้าจะไปเดาถูกได้อย่างไร”

จู๋เฉวียนกล่าวอย่างระอาใจ “นิสัยนี้ของเจ้าช่างน่าเบื่อเสียจริง ก็ไม่แปลกที่จนถึงทุกวันนี้ยังเป็นชายโสด ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ หากเจอกับหวงถิงผู้นั้นอีกครั้ง ชอบนางก็บอกนางไปตามตรง หากนางจะจากไป เจ้าก็รีบคุกเข่าโขกหัวอ้อนวอน ไอ้หน้าตาศักดิ์ศรีพวกนั้นน่ะจะนับเป็นอะไรได้ พอถูกเจ้าหลอกมาอยู่ในมือได้แล้ว ถึงเวลานั้นจะอยู่บนเตียงหรือล่างเตียง ควรจะจัดการกับเมียตัวเองอย่างไรยังต้องให้คนอื่นมาคอยสอนเจ้าอีกหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าต่อให้อยู่ล่างเตียงเจ้าจะสู้นางไม่ได้ แต่อยู่บนเตียงเจ้าจะยัง…ช่างเถิดๆ นับแต่โบราณมายามอยู่บนเตียงบุรุษก็สู้สตรีไม่ได้อยู่แล้ว เฮ้อ เมื่อเป็นอย่างนี้ หากข้าจะดูแคลนเจ้าก็ถือว่าถูกต้องแล้ว เดิมทีข้ายังอยากจะทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยร้อยด้ายแดงให้สักครั้ง ตอนนี้ดูแล้วก็อย่าดีกว่า ต้องโทษเจ้านั่นแหละที่ไม่ได้เรื่อง ไหนบอกมาสิว่าทำไมเจ้ายังไม่เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดเสียที คลานอยู่ขอบเขตโอสถทองเป็นเต่าไปได้ สนุกนักหรือ? คิดว่าตัวเองเป็นญาติของตะพาบเฒ่าตัวนั้นจริงๆ หรือไร ถ้าคิดอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปขอลูกสาวตะพาบเฒ่ามาเป็นเมียเสียเลยเล่า?”

ตู้เหวินซือหน้าแดงก่ำ นึกอยากจะขุดดินแล้วมุดลงไป กล่าวอย่างอับอายจนพานเป็นโกรธ “เจ้าสำนัก!”

“ก็ได้ๆๆ ไม่พูดแทงใจดำเจ้าแล้ว ก็ข้าร้อนใจกับตบะของเจ้านี่นา เวลาปกติพวกเจ้าชอบบอกว่าข้าเป็นเจ้าสำนักที่เกียจคร้าน นี่ข้าก็เพิ่งจะให้ความใส่ใจเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วดูสิเป็นยังไง เจ้าก็ดันไม่พอใจเสียอีก สรุปแล้วข้าต้องทำอย่างไรกันแน่เล่า”

ตู้เหวินซือเริ่มยื่นมือออกมาขยี้ใบหน้า

จู๋เฉวียนตบไหล่ของตู้เหวินซือ “หักอกหักใจเสียบ้างเถอะ ข้าแนะนำเจ้าว่าควรตัดใจซะ หากหวงถิงผู้นั้นกลับมาที่เมืองชิงหลูของพวกเรา เจ้าก็อย่ามาขอให้ข้าช่วยตีนางให้สลบ แล้วทำเรื่องชั่วๆ ประเภทที่ว่าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกก็แล้วกัน แม้ว่าข้าจะเป็นเจ้าสำนักของเด็กน้อยอย่างพวกเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเจ้า แต่ว่านะเหวินซือ ถึงอย่างไรข้าก็ถูกชะตากับเจ้ามากกว่าหยางหลินผู้นั้น ไหนเจ้าลองเรียกข้าว่าท่านแม่ดูสิ ไม่แน่ว่าข้าที่เป็นทั้งเจ้าสำนักทั้งมารดาอาจจะเปลี่ยนใจกะทันหันก็ได้”

ขนาดเป็นคนนิสัยดีอย่างตู้เหวินซือก็ยังอดมุมปากกระตุกไปไม่ได้

จู๋เฉวียนหัวเราะร่าเสียงดัง กลั้นอยู่นานก็ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ กว่าจะหยุดได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือนางพึมพำตามมาอีกประโยคว่า ให้ตายเถอะ มารดาข้าเกือบจะหัวเราะจนปากฉีกเสียแล้ว เดิมทีก็หน้าตาธรรมดา หากปากฉีกอีก แล้วอย่างนี้วันหน้าจะหาหนุ่มน้อยหน้าละอ่อนมาอยู่เคียงข้างได้อย่างไร

ตู้เหวินซือจำต้องเอ่ยเตือนว่า “เจ้าสำนัก พวกเรากลับมาคุยเป็นการเป็นงานกันดีไหม?”

“เรื่องใหญ่ในชีวิตของเจ้าจะไม่เรียกว่าเรื่องเป็นการเป็นงานได้อย่างไร?”

จู๋เฉวียนกระแอมหนึ่งที ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยว่า “หลวงจีนเฒ่าแห่งวัดหยวนเยว่ใหญ่และนักพรตของอารามเสวียนตูเล็กต่างก็ออกไปจากป่าท้อแล้ว ส่วนจะไปที่ไหน ข้ายังคงทำตามกฎเดิม นั่นคือไม่ไปสืบเสาะแอบดู แต่เจ้าลองคำนวณดูเถอะ หากบวกกับเจ้าสำนักสาวที่มีเรือหลิวเสียผู้นั้น เทพหญิงฉีลู่ รวมไปถึงเจ้าตะพาบชั่วที่หว่านแหเก็บกระบี่บินไปสองรอบ และยังมีการที่จู่ๆ ผูหรางก็ปรากฏตัว บวกกับท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือของนครใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ส่วนกลางของหุบเขาผีร้าย เอาทุกอย่างนี้มาเชื่อมโยงกัน เหวินซือ เจ้าคิดว่านี่กำลังบ่งบอกถึงอะไร?”

ตู้เหวินซือส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้าสำนัก ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องการวางแผน”

จู๋เฉวียนพยักหน้ารับหนักๆ ยกมือขึ้นตบไหล่ตู้เหวินซือจนเขาเซถลาท่าทางคล้ายปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก “ดีมาก เหมือนกับเจ้าสำนักอย่างข้าเลย เพราะมองออกแค่ว่าต้องมีเรื่องสนุกเท่านั้น!”

เดินกันไปจนถึงสุดปลายถนน จู๋เฉวียนก็หมุนตัวเดินกลับโรงเตี๊ยมแห่งนั้นไปก่อน

ตู้เหวินซือหมุนตัวตามไป

จู๋เฉวียนไม่เอ่ยอะไรอีก จนกระทั่งไปถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมถึงได้เอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่กำลังจะฝ่าไม่ฝ่าคอขวดของโอสถทอง ดังนั้นต่อจากนี้หากมีการต่อสู้เกิดขึ้น เจ้าก็กลับไปที่ศาลบรรพจารย์ทันที ไม่ต้องมีความลังเลใดๆ อีก คำพูดอย่างอื่นของตาแก่ที่นั่งดื่มเหล้ารับลมอยู่บนเรือข้ามฟากตลอดทั้งปีผู้นั้นล้วนเหลวไหลหาแก่นสารไม่ได้ แต่บางทีอาจมีเพียงประโยคที่ว่าสำนักพีหมาของพวกเราควรจะเปลี่ยนเจ้าสำนักคนใหม่ที่ใช้สมองเป็นที่เขากล่าวได้ถูกต้อง ดังนั้นหากคนอื่นรบตายไป แม้แต่ตัวข้าด้วย ก็ล้วนไม่เป็นไร ความรับผิดชอบเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ผู้ฝึกตนสำนักพีหมายังพอจะมีอยู่บ้าง มีเพียงเจ้าตู้เหวินซือคนเดียวเท่านั้นที่ต่อจะให้ตายก็ต้องไม่มาตายอยู่ในหุบเขาผีร้ายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสกปรกนี้ ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรตายอยู่ที่ชายหาดโครงกระดูกด้วย ไปตายอยู่ทางเหนือ และเหนือยิ่งกว่าจึงจะดี”

ตู้เหวินซือส่ายหน้า “เจ้าสำนัก เรื่องนี้ข้าทำไม่ได้ หลบหนียามเจอสงคราม ถอยร่นทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้ ต่อให้ข้าตู้เหวินซือต้องสละมหามรรคาและชีวิตก็ไม่มีทาง…”

จู๋เฉวียนพลันยกฝ่ามือขึ้นผลักศีรษะของตู้เหวินซือเบาๆ สีหน้าของนางเป็นปกติ น้ำเสียงก็เรียบเฉย “อย่าโง่ ตู้เหวินซือ ข้าจะขอวางมาดเจ้าสำนักพูดความในใจประโยคหนึ่งกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย บนโลกใบนี้ อย่างน้อยในสายตาของข้าจู๋เฉวียน ชายชาตรีที่สามารถค้ำฟ้ายันดินได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องอดทนกับความยากลำบากอันยิ่งใหญ่ และยิ่งต้องทนรับความอัปยศอันยิ่งใหญ่ได้ ต่อให้เจ้าจะเป็นขุนเขาที่กดทับลงมาบนตัวข้า กระดูกสันหลังของข้าก็ยังคงเหยียดตรงอยู่เสมอ!”

ตู้เหวินซือยืนอยู่ที่เดิม

ส่วนจู๋เฉวียนนั้นเดินหน้าต่อไปอย่างเชื่องช้า

……

บนหัวกำแพงเมืองของนครจิงกวานอันเป็นนครที่สูงตระหง่านเสียดแทงทะลุชั้นเมฆ

บุรุษวัยกลางคนที่รูปโฉมประดุจต้นไม้หยกรับลมคนหนึ่งกำลังเดินทอดน่องอย่างผ่อนคลาย

ห่างออกไปไกลมีสตรีสองคนกับหนึ่งโครงกระดูกขาวยืนอยู่บนทางเดินม้า ทอดสายตามองไปทางทิศใต้ด้วยกัน

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักลัทธิเต๋า เทพหญิงฉีลู่ และยังมีเจ้านครของนครแห่งนี้ เกาเฉิงเจ้านครจิงกวาน วิญญาณหยินที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของชายหาดโครงกระดูกและหุบเขาผีร้าย เมื่อนั่งบัญชาการณ์อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ เขาก็แทบจะสามารถทัดเทียมได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าคนหนึ่ง

แต่ภูมิหลังตอนที่เกาเฉิงยังมีชีวิตอยู่นั้นกลับไม่มีบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ของคนรุ่นหลังเลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่ว่าสำนักประวัติศาสตร์และผู้ฝึกตนบนภูเขาไม่อยากสืบสาวไปถึงต้นกำเนิดของเขา แต่เป็นเพราะไม่สามารถหาบันทึกใดๆ จากในเอกสารคดีของสองราชวงศ์ใหญ่และแคว้นใต้อาณัติสิบกว่าแห่งเจอจริงๆ ไม่มีเลยสักประโยคเดียว มีเพียงในทะเบียนราษฎร์ระดับล่างสุดของกรมกลาโหมแคว้นหนึ่งเท่านั้นที่มีชื่อเกาเฉิงบันทึกไว้ เพียงแค่นี้เท่านั้น

พลทหารราบเกาเฉิง

ราวกับว่าผีที่ปีนั้นหยัดยืนขึ้นมาท่ามกลางกองกระดูกขาวโพลนเกือบล้านโครงบนชายหาดโครงกระดูก เคยเป็นแค่ทหารน้อยไร้ชื่อแซ่ที่นอนอยู่ท่ามกลางกองคนตายบนสนามรบจริงๆ

ราวกับว่าหลังจากที่ปีนั้นเขาหยัดยืนขึ้นด้วยรูปลักษณ์ของผีโครงกระดูก ก็ถึงเพิ่งจะเริ่มลุกผงาดขึ้นมาทีละก้าว

เกาเฉิงตัวไม่สูง ยังคงปรากฏกายบนโลกในลักษณะของโครงกระดูกผอมแห้งสีขาวหิมะ เขาสวมเสื้อเกราะเหล็กผุพังที่ธรรมดาที่สุด ดาบที่พกไว้ตรงเอวก็ยิ่งเป็นของธรรมดาทั่วไป

เกาเฉิงถาม “เฮ้อเสี่ยวเหลียง หลังจากที่เจ้ามาถึงนครจิงกวานของข้าแล้วก็พูดแค่ว่าขอดูหน่อย แล้วตอนนี้ดูเสร็จหรือยัง?”

นักพรตหญิงที่สวมชุดคลุมลัทธิเต๋า บนศีรษะสวมกวานดอกบัวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ท่านเจ้านครจะไล่คนแล้วหรือ?”

เกาเฉิงกล่าว “จะให้เวลาเจ้าอีกสามวัน หากยังไม่ไป จะไม่ใช่ไล่คน แต่เป็นฆ่าคนแล้ว”

เทพหญิงฉีลู่ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย

ปราณดุร้ายในนครจิงกวานเข้มข้นเกินไป กวางเทพห้าสีที่เป็นสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาซึ่งถือกำเนิดมาจากโชคชะตาฟ้าดินตัวนั้นไม่อาจทนรับการกัดกินจากปราณพวกนี้ได้มากที่สุด จึงถูกนางเก็บไปนานแล้ว

เทพหญิงท่านนี้ไม่สงสัยในคำพูดของเจ้านครผู้นั้นแม้แต่น้อย นี่ต้องไม่ใช่แค่คำขู่อย่างแน่นอน

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มบางเอ่ยว่า “สามวันก็สามวัน เมื่อถึงเวลา ข้าต้องไปจากนครจิงกวานอย่างแน่นอน”

เกาเฉิงชำเลืองตามอง ‘โจวเฝย’ ที่เดินอยู่บนหัวกำแพงผู้นั้น “เจียงซ่างเจินผู้นี้ ทางที่ดีที่สุดอย่าให้เขาโดยสารเรือหลิวเสียของเจ้าจากไป ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่าข้าจะอดชักดาบไม่ไหว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

เกาเฉิงเดินลงไปจากหัวกำแพงเมือง

เจียงซ่างเจินเดินกลับมาหยุดอยู่ใกล้เฮ้อเสี่ยวเหลียงและเทพหญิงฉีลู่ เขากระโดดลงมาจากหัวกำแพง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอแค่เจ้าสำนักเฮ้อยังคงไม่พูดอะไร ไม่ทำอะไร เพียงแค่มองดูเฉยๆ อยู่เหมือนเดิมจริงๆ ถึงเวลานั้นไม่พาข้ากลับไปด้วยก็ไม่มีปัญหา อย่างมากข้าก็แค่ถูกเกาเฉิงผู้นี้รั้งตัวไว้ในนครจิงกวาน พวกสาวงามโครงกระดูกขาวเหล่านั้นก็มีรสชาติต่างไปอีกแบบ”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ขาดอะไรมากที่สุด”

เจียงซ่างเจินฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนหัวกำแพง เอามือนวดก้นตัวเอง ใช้เสียงในใจตอบกลับไปอย่างเกียจคร้าน “แน่นอนว่าต้องเป็นคนมีชีวิต อันที่จริงปราณวิญญาณในฟ้าดินขนาดเล็กไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ ต่อให้เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยนไปยังไง ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันมาหลายปีขนาดนี้ก็หนีไม่พ้นถูกเกาเฉิงเอาไปฝากไว้บนร่างของพวกคนอย่างผูหราง แต่คนมีชีวิตที่มีปราณหยางนั้นมีน้อยเกินไปจริงๆ พื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษอย่างนครถงโช่วแห่งนั้นก็ถูกเมืองชิงหลูและจู๋เฉวียนจับตามองเขม็ง วางท่าอย่างชัดเจนแล้วว่าหากเจ้าเกาเฉิงกล้าไปแย่งชิงคนมา นางก็กล้าจะเปิดสงครามครั้งใหญ่ให้แตกหักกันไป”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นหากเกาเฉิงสามารถสร้างวัฎจักรสังสารขึ้นมาได้ด้วยตัวเองเล่า? ทำให้เทพและเซียนมากมายในหุบเขาผีร้ายไม่อาจรวบรวมปราณหยินของดวงวิญญาณทั้งหลายที่กระจัดกระจายมาได้อีก และพวกดวงวิญญาณก็สามารถกลับไปจุติใหม่เกิดเป็นมนุษย์อยู่ในหุบเขาผีร้าย? ร้อยปีให้หลัง หยินหยางเท่าเทียม หุบเขาผีร้ายสามารถกระโดดขึ้นบันไดไปได้อีกสองขั้นใหญ่ หรืออาจถึงขั้นเรียกได้ว่ากลายเป็นฟ้าดินแห่งใหม่ กลายมาเป็นสถานที่วิเศษที่มีทั้งถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นจะเป็นอย่างไร?”

แรกเริ่มเจียงซ่างเจินมีสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าไม่นานก็ส่ายหน้าอย่างโล่งอก “ตบะของเกาเฉิงสูง อยู่ในหุบเขาผีร้าย ขนาดข้าก็ยังสู้ไม่ได้ ข้อนี้ข้าพอจะฝืนยอมรับได้ ขนาดมังกรผู้แข็งแกร่งก็ยังมิอาจกดหัวงูเจ้าถิ่นนี่นะ แต่หากจะบอกว่าเกาเฉิงได้รับวิชาลับต้องห้ามของยุคบรรพกาลอันห่างไกลมาวิชาหนึ่ง รู้วิชาการจุติกลับมาเกิด แต่เพียงแค่ไม่อาจควบคุมได้ ข้าเจียงซ่างเจิน…ก็สามารถฝืนใจยอมรับได้ แต่หากจะบอกว่าเจ้านครจิงกวานท่านนี้มีวัตถุอาคมสูงส่งไร้ทัดเทียมที่สามารถแบกรับผลกรรมของฟ้าดินประเภทนี้อยู่ในมือพอดี สามารถสร้างอาณาเขตที่เหมือนกับนครเฟิงตู (เมืองผี/เมืองคนตาย) ขึ้นมาในหุบเขาผีร้ายที่ยังเป็นโลกคนเป็นแห่งนี้ได้ ตีให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ!”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยังคงยิ้มอ่อนๆ อยู่ดังเดิม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาลองตั้งตารอดูกันดีไหม?”

สีหน้าของเจียงซ่างเจินมืดทะมึน

นี่เป็นครั้งแรกที่อารมณ์ของเขาหนักอึ้ง

เฮ้อเสี่ยวเหลียงพลันยิ้มกล่าว “เจียงซ่างเจิน อันที่จริงเจ้าเดาผิดไปเรื่องหนึ่ง”

เจียงซ่างเจินกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง “ขอเจ้าสำนักเฮ้อโปรดบอก”

แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับไม่พูดอะไรอีก

สีหน้าของนางซับซ้อน

เจียงซ่างเจินเริ่มอนุมานอยู่ในใจเงียบๆ

น่าเสียดายก็แต่ยังมีปริศนาอีกสองจุดที่ยังไม่สามารถไขได้กระจ่าง นี่จะเป็นปัญหาอย่างมาก

ในความเป็นจริงแล้ว พลาดไปนิดเดียวก็อาจผิดไปเป็นโยชน์

เพราะนักพรตเต๋าอารามเสวียนตูเล็กและภิกษุเฒ่าวัดหยวนเยว่ใหญ่เคยทยอยกันออกไปจากป่าท้อจริง ต่างคนต่างก็ร่ายใช้วิชาอภินิหารที่สามารถบดบังเจตนารมณ์สวรรค์

คนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ที่ริมหน้าผาทางทิศใต้ที่ตอนนี้มีสะพานเหล็กเส้นหนึ่งห้อยอยู่ ยืนอยู่ตรงนั้นตลอดทั้งคืน

คนหนึ่งมาปรากฎตัวอยู่ริมลำคลองหมายเหอที่ใกล้กับศาลเทพวารี เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ภิกษุเฒ่าค่อนข้างจะไปมาอย่างรีบร้อน

ทว่าหลังจากที่เฉินผิงอันมาถึงเมืองชิงหลูแล้วก็ไม่อาจตรวจสอบมองดูได้อีก เจียงซ่างเจินเป็นเช่นนี้ คาดว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น ส่วนเกาเฉิงผู้นั้นกลับบอกได้ยาก

……

ทางฝั่งของโรงเตี๊ยมที่เมืองชิงหลู แม้เฉินผิงอันจะอยู่ในสภาวะที่จิตใจไม่สงบสุขซึ่งดำรงอยู่ค่อนข้างยาวนาน แต่ก็พอจะฝืนข่มกลั้นอารมณ์ให้สงบลงได้บ้าง เพราะคิดจะวาดยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองสองแผ่นในยามค่ำคืน

เพียงแต่ว่าพอยกพู่กันขึ้นมาถึงได้ค้นพบว่าตนเองไม่อาจขยับพู่กันได้เสียที เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากฝืนจรดพู่กันลงไปบนกระดาษสีทองนี้ เขาก็คงวาดยันต์ออกมาไม่ได้ หากเป็นกระดาษยันต์ธรรมดาทั่วไป บางทีอาจจะยังทำได้

เฉินผิงอันวางพู่กันลง ลุกขึ้นยืนฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูหนึ่งชั่วยาม แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจสงบใจได้อย่างแท้จริง

จึงผลักประตูเปิดออก ไปเดินเที่ยวรอบเมืองชิงหลูตอนกลางคืน พอกลับมาถึงห้องในโรงเตี๊ยมก็หยิบแผ่นไม้ไผ่บางส่วนออกมา พลิกกลับไปกลับมาท่ามกลางแสงตะเกียง อ่านอยู่นานมาก

แล้วเฉินผิงอันก็ต้องนั่งเสียเวลาเฝ้าตะเกียงไปอย่างนี้ตลอดทั้งคืน

ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันสวมหน้ากาก สะพายห่อสัมภาระ ไปที่เมืองถงโช่วอีกครั้ง ไม่ได้เจอกับผีผู้บัญชาการณ์คนเฝ้าประตูที่คุ้นหน้าคุ้นตาก็อดเสียดายนิดๆ ไม่ได้

ไปถึงตรอกผงทอง ที่นั่นก็เพิ่งจะเปิดร้านพอดี เถ้าแก่ผีสาวอึ้งตะลึงอยู่นาน ก่อนจะบอกให้ผีเด็กชายที่ในมือมีกระดิ่งเงินไปตาม ‘เจ้าของตรอก’ มา ผีน้อยฉลาดเฉลียวมากจริงๆ เพียงแค่พยักหน้ารับ ไม่พูดไม่จาก็ไปหาแม่ทัพเทพทวารบาลที่ประตูวังทางทิศเหนือทันที และไม่นานถังจิ่นซิ่วก็หิ้วมันกลับมาที่ตรอกผงทองด้วยกัน เข้ามาในร้าน ถังจิ่นซิ่วก็เห็นว่าบนโต๊ะคิดเงินวางของไว้เต็มแน่นแล้ว

ถังจิ่นซิ่วยิ้มกล่าว “เซียนซือผู้เฒ่า มาอีกแล้วหรือ? เหตุใดหุบเขาผีร้ายของพวกเราถึงได้มีสมบัติกลาดเกลื่อนขนาดนี้นะ แค่ตามเก็บคืนเดียวก็ได้กลับมาเต็มถุงแบบนี้แล้วหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็นั่นน่ะสิ เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ”

ถังจิ่นซิ่วบื้อใบ้พูดต่อไม่ถูก จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทำการค้าขายตามกติกาเดิม

เพียงแต่ว่าสิ่งของที่อยู่ในห่อผ้าครั้งนี้ ถังจิ่นซิ่วตรวจดูรอบหนึ่งแล้วกลับซื้อมาแค่สองชิ้น ให้เงินสองเหรียญเงินร้อนน้อย

ไม่ใช่ว่านางขี้เหนียวเงินเทพเซียน แต่เพราะเป็นเช่นนี้จริงๆ หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่สถานะ ‘เซียนกระบี่หนุ่ม’ ของอีกฝ่าย จ่ายด้วยเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญก็ถือว่านางไม่รังแกเด็กและคนชราแล้ว

เฉินผิงอันเก็บเงินแล้วก็ออกมาจากนครถงโช่ว

แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามาเสียเที่ยวด้วย

เงินร้อนน้อยสองเหรียญ ถือว่าไม่น้อยแล้ว

กลับมาถึงเมืองชิงหลู เฉินผิงอันก็ฝึกท่าฟ้าดินอยู่ในห้องของโรงเตี๊ยมต่อ

เขาคิดว่านอกจากฝึกเดินแล้วก็จะต้องฝึกกระบวนท่าหมัดที่ท่วงท่าแปลกประหลาดนี้ให้ครบหนึ่งล้านครั้งด้วย

วันนี้กินข้าวไปแค่มื้อเดียว ยามสนธยาก็ไปซื้อเหล้าหนึ่งกาที่เหลาสุรา ลูกค้าในร้านบางตา เฉินผิงอันนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่นั่นจนหมด พร้อมกับกินกับแกล้มไปหนึ่งจาน

แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจวาดยันต์ได้ตลอดทั้งคืน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับวันก่อนก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว ครึ่งคืนหลังเฉินผิงอันไม่ฝึกท่าฟ้าดินอีก แต่ไปนอนบนเตียง หลับตาพักผ่อน คิดถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย คิดไปคิดมา กาลเวลาก็ยิ่งถอยกลับไปในอดีต จนกระทั่งไปถึงตอนเป็นเด็กที่ขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เฉินผิงอันถึงได้หลับสนิทไป

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+