กระบี่จงมา 502.4 หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 502.4 หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้ว

มองไปยังเสาคานอันหนึ่งที่อยู่ในศาล

บนนั้นมีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นนั่ง คือชายฉกรรจ์คิ้วหนาดก ห้อยดาบไว้ตรงเอว ห้อยเท้าสองข้างลงมาจากคาน เขาอ้าปากหาว ฉีกยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งที่ติดอยู่บนร่างออกอย่างเกียจคร้าน ครั้นแล้วยันต์ก็แตกสลายกลายเป็นเศษผง

หญิงชรามีสีหน้าตื่นตะลึง

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นยิ้มกล่าว “ไม่ใช้เหยื่อล่อสักหน่อยก็ตกปลามาไม่ได้”

ชายฉกรรจ์ยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจ ขณะเดียวกันก็สะบัดชายแขนเสื้อ ปราณวิญญาณกลุ่มหนึ่งเหมือนงูวิเศษที่เลื้อยไปบนผนังสี่ด้าน จากนั้นพอเขาดีดนิ้วหนึ่งครั้ง บนกำแพงทั้งในและนอกศาลก็พลันมียันต์แสงสีทองหลายแผ่นปรากฏขึ้นมา ภาพในยันต์ดุจนกที่โบยบิน

ก่อนกลุ่มคนโง่ในหมู่ชาวบ้านกลุ่มนั้นจะออกเดินทาง เขาก็แอบแฝงตัวเข้ามาในศาลสุ่ยเซียนแห่งนี้ก่อนแล้ว หลังจากวาดยันต์เรียบร้อยก็ใช้วิชาเฉพาะของยันต์และเวทคาถาลับหลบซ่อนตัวตนเหมือนวิชาลมหายใจเต่า ถึงได้สามารถเก็บซ่อนลมปราณทั้งร่างของตัวเองเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้คงตกใจเผ่นหนีไปแล้ว ส่วนยันต์กักบริเวณพวกนั้นก็ยิ่งเป็นวิชายอดเยี่ยมที่ขึ้นชื่อของสำนัก มีชื่อว่ายันต์ดินหิมะ หรืออีกชื่อว่ายันต์นกบิน เมื่อวาดยันต์สำเร็จ จะสามารถอำพรางตัวได้อย่างดีเยี่ยม ยากที่จะจับสังเกตได้ เหมือนห่านหงส์บินโฉบหิมะ แม้บางครั้งจะทิ้งรอยกรงเล็บเอาไว้ แต่ไม่นานก็บินทะยานขึ้นสูงอีกครั้ง ไหนเลยจะจำได้ว่าตนเองทิ้งร่องรอยไว้ตรงไหน

แต่นอกจากสุดยอดวิชาการเขียนยันต์นี้แล้ว ถึงอย่างไรสำนักของตนก็เป็นสำนักการทหารที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการลอบสังหาร แล้วยังไม่เหมือนกับกองกำลังสำนักการทหารทั่วไป เป็นเหตุให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักส่วนใหญ่ล้วนไปทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์อยู่ข้างกายพวกแม่ทัพอัครเสนาบดีในราชวงศ์โลกมนุษย์ทั้งหลาย แม้ว่าบนอาณาเขตของหลายสิบแคว้นนี้ สำนักของเขาจะไม่ถือว่าเป็นกองกำลังตระกูลเซียนลำดับสูงสุด แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูแคลน เพียงแต่ว่าเขานิสัยพยศบ้าระห่ำ ไม่ชอบพันธนาการ เวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาจึงมักจะชอบลงจากภูเขามาอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง ยินดีเป็นหัวไก่แต่ไม่ยอมเป็นหางหงส์ เวลาไม่มีอะไรทำก็มักจะไปหยอกเย้าพวกจอมยุทธผู้ห้าวหาญในยุทธภพทั้งหลายที่เหมือนปลาหนีชิวในน้ำ เหมือนไส้เดือนบนภูเขา เป็นตายขึ้นอยู่กับข้า นับว่าสะใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจอมยุทธหญิงที่ยิ่งมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์แตกต่างออกไป

เวลานี้ชายฉกรรจ์มองหญิงชราและเด็กสาวสองคนเป็นดั่งของในกระเป๋าของตัวเองแล้ว

หญิงชราถามเนิบช้าว่า “ไม่ทราบว่าเหตุใดเซียนซือท่านนี้ถึงต้องวางแผนล่อข้าออกมาจากทะเลสาบ? อีกทั้งยังกระทำการเช่นนี้ในบ้านของข้า นี่ไม่ค่อยดีเท่าไรกระมัง?”

ชายฉกรรจ์ยื่นมือออกมาคว้าจับ กาเหล้าใบหนึ่งก็ลอยจากข้างกองไฟไปอยู่ในมือ เขาแหงนหน้ากระดกเหล้าอึกใหญ่ จากนั้นก็ขว้างทิ้งอย่างแรง พูดอย่างรังเกียจว่า “เจ้าพวกลูกกระต่ายกลุ่มนี้ซื้อของเส็งเคร็งอะไรมา กลิ่นเยี่ยวเหม็นฉุนขนาดนี้ก็เพราะดื่มเหล้าแบบนี้นี่เอง ก็ไม่แปลกที่สมองจะไม่ค่อยสมประดีสักเท่าไหร่”

ดูเหมือนชายฉกรรจ์จะไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เขาจ้องเขม็งไปที่หญิงชรา “ศิษย์น้องของข้าไม่ค่อยถูกกับเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นของเจ้าสักเท่าไร พอดีกับที่ครั้งนี้ข้าได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้มาเยือนเมืองสุยเจี้ย เจ้าแห่งทะเลสาบหลบอยู่ในวังมังกรใต้ทะเลสาบของเขา หาตัวได้ยาก แต่ข้ารู้ดีว่าสตรีอย่างเจ้าเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นที่อดทนข่มกลั้นต่อความเปลี่ยวเหงาไม่ไหว ปีนั้นความแค้นระหว่างศิษย์น้องโง่ของข้ากับทะเลสาบชางอวิ๋น สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็มีต้นกำเนิดมาจากเจ้า ดังนั้นจึงจะเอาเจ้ามาเซ่นคมดาบ เมื่อเจ้าแห่งทะเลสาบตามมาถึงก็พอดีเลย ขอแค่เขาขึ้นฝั่งมา ข้าก็ไม่กลัวเขาสักนิด ต่างก็พูดกันว่าฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำคือของรักของหวงของเขาไม่ใช่หรือ เดี๋ยวพอข้าเล่นเจ้าจนตายแล้วค่อยโยนศพเจ้าไปไว้ที่ข้างทะเลสาบชางอวิ๋น ดูสิว่าเขาจะทนได้ไหวหรือไม่”

หญิงชราสีหน้าซีดขาว

สาวใช้สองคนก็ยิ่งมีท่าทางน่าสงสารชวนเวทนา ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำยังสามารถรักษาเวทอำพรางตาเอาไว้ได้ แต่ปราณวิญญาณของพวกนั้นเริ่มสลายไปแล้ว รูปโฉมที่แท้จริงจึงพอจะปรากฎให้เห็นได้อย่างเลือนราง

พวกอันธพาลในหมู่ชาวบ้านเหล่านั้นก็ยิ่งตกใจจนหน้าซีดเผือดไร้สี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กหนุ่มนิสัยเหลาะแหละที่ยืนอยู่บนแท่นบูชาที่ต้องเอาหลังพิงเทวรูปถึงจะยืนอยู่ได้ ไม่ล้มลงไปกองกับพื้น

แม้เฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นอำพรางลมปราณของตนได้อย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่ชัดเจนอย่างมาก นั่นคือคนทั้งสามฝ่ายที่อยู่ในศาลต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร

เด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่ยังนั่งอยู่ข้างกองไฟถือว่ายังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง เพียงแต่เวลานี้เขาตกใจจนฉี่ราดกางเกงแล้ว

หญิงชราถอนเวทอำพรางตาออกทันที เค้นรอยยิ้มส่งไปให้ “เซียนซือใหญ่ท่านนี้น่าจะมาจากตำหนักขวานผีของแค้นจินตั๋วกระมัง?”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นอึ้งตะลึงไปก่อน จากนั้นก็เริ่มผรุสวาทเสียงดัง “มารดามันเถอะ ผ่านค่ำคืนวสันต์มาด้วยกันเพียงครั้งเดียว สารรูปอย่างเจ้าก็สามารถทำให้ศิษย์น้องของข้าอาลัยอาวรณ์มาได้ตั้งหลายปีด้วยหรือ? ในอดีตข้าเคยพาเขามาท่องยุทธภพด้วยกันครั้งหนึ่ง หวังจะช่วยเขาผ่อนคลายอารมณ์ ก็ถือว่าให้เขาได้ลิ้มรสทั้งสตรีโตเต็มวัยชนชั้นสูงและจอมยุทธหญิงที่งดงามมาหมดแล้ว แต่ศิษย์น้องคนนั้นของข้าก็ยังรู้สึกว่าน่าเบื่อ ทำไม ฝีมือบนเตียงของเจ้าร้ายกาจนักหรือ?”

เฉินผิงอันที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อนั่งอยู่บนกิ่งไม้ห่างไปไกลหรี่ตาลง

สีหน้าของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไม่น่ามอง แต่กระนั้นก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงประจบเอาใจ “ปีนั้นข้ากับศิษย์น้องของเซียนซือต่างก็มีใจให้กัน ไม่ได้ต้องการจะมีความสัมพันธ์เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ตัดสินใจว่าจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรที่ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์กันแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าถูกนังแพศยาจ่าวซีเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้นวางแผนเล่นงาน แอบนำเรื่องนี้ไปรายงานให้ใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบทราบ ภายหลังต่อให้ข้าจะพยายามโน้มน้าวเจ้าแห่งทะเลสาบสักเท่าไร เขาก็ยังคงยืนกรานจะลงมือทำร้ายคน ถึงได้มีความเข้าใจผิดครั้งนั้นเกิดขึ้น ขอใต้เท้าเซียนซือโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วย”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่บนคานเริ่มเอามือกดด้ามดาบแล้ว นางจึงยื่นมือไปคว้าสาวใช้ไว้มือละคนแล้วผลักไปด้านหน้า พูดพร้อมคลี่ยิ้มหวาน “ใต้เท้าเซียนซือ สาวใช้สองคนนี้ของข้าหน้าตานับว่างดงาม ข้าขอมอบพวกนางให้เป็นสาวใช้อุ่นเตียงแก่ใต้เท้าเซียนซือก็แล้วกัน เพียงแต่หวังว่าท่านจะเมตตาทะนุถนอมพวกนางเสียหน่อย หากวันใดเบื่อหน่ายพวกนางแล้วก็ค่อยส่งพวกนางกลับมาที่ทะเลสาบชางอวิ๋น”

ชายฉกรรจ์ถาม “แล้วเจ้าล่ะ?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำยิ้มเอ่ย “หากใต้เท้าเซียนซือมองแล้วถูกตา ไม่รังเกียจรูปโฉมที่โรยราของข้า จะให้ข้าปรนนิบัติรับใช้ท่านด้วยจะเป็นไรไป?”

ชายฉกรรจ์ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ กระดกคางชี้ไปสองที “เจ้าพวกต่ำช้าพวกนี้ เจ้าจะจัดการอย่างไร?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำยิ้มหวานหยดย้อย “ล่วงเกินองค์เทพ เดิมทีก็สมควรตายอยู่แล้ว ขวางหูขวางตาใต้เท้าเซียนซือก็ยิ่งสมควรตายเป็นหมื่นครั้ง ข้าจะเก็บกวาดเจ้าคนพวกนี้ให้สะอาด ในชายแขนเสื้อของข้ามีถ้วยเลี่ยนเยี่ยนอยู่ใบหนึ่ง บรรจุสุราที่ทำมาจากแก่นโชคชะตาน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋น พอดีกับที่สามารถใช้โอกาสนี้เชื้อเชิญให้ท่านได้ร่ำสุราอย่างสบายอารมณ์ ข้าจะรินเหล้าให้ใต้เท้าเซียนซือเอง ส่วนสาวใช้สองคนนี้ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นนางระบำในวัง เดี๋ยวก็จะให้พวกนางแต่งกายงดงาม ร่ายรำเพิ่มความสำราญให้แก่ท่าน”

ชายฉกรรจ์ยังคงคลี่ยิ้มมีเลศนัย ไม่เอ่ยอะไรอยู่ดังเดิม

นี่ยิ่งทำให้ใจของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเต้นระรัว

พริบตานั้น

อยู่ดีๆ ชายฉกรรจ์ก็ชักดาบออกมาฟันอย่างไม่มีลางบอกเหตุ

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำตกใจหดหัว แต่โชคดีที่แสงดาบนั้นไม่ได้ผ่าลงบนหัวของนาง แต่พุ่งไปนอกศาล

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำหน้าเผือดสี หันหน้ามองตามไป

เห็นเพียงว่าตรงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่พอถูกสาดสะท้อนด้วยแสงดาบ จอมยุทธพเนจรหนุ่มสวมงอบคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยังคงสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ ใช้แค่มือข้างเดียวมาคว้าจับแสงดาบเส้นนั้นเอาไว้ แสงดาบปะทะกับพายุลมกรดที่รวมตัวอยู่ใกล้กับฝ่ามือเขา ยิ่งขับให้คนแปลกหน้าผู้นั้นดุจดั่งเทพเซียนที่ถือดวงจันทร์สว่างไสวไว้ในมือ

ชายฉกรรจ์ตกตะลึงอยู่ในใจ แต่กระนั้นหน้าก็ไม่เปลี่ยนสี เปลี่ยนจากท่าห้อยขามาเป็นนั่งยองอยู่บนคาน มือถือดาบ คมดาบแวววาวคมกริบ เขาจุ๊ปากเอ่ยว่า “โอ้โห ช่างมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมนัก พายุลมกรดบริสุทธิ์ หลอมกระชับแน่นจนกลมดิก แคว้นอิ๋นผิงมีปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่ยังหนุ่มแน่นแบบเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่? ข้าเคยประมือกับอันดับหนึ่งในยุทธภพของแคว้นอิ๋นผิงมาก่อน มีพละกำลังเยอะนักล่ะ เขาเองก็สามารถต้านทานหนึ่งดาบของข้าได้เหมือนกัน แต่กลับไม่ได้ผ่อนคลายเช่นเจ้า”

เฉินผิงอันเก็บฝ่ามือมาเบาๆ พอแสงดาบสุดท้ายสลายจนสิ้นก็ถามว่า “ยันต์ที่เจ้าแปะติดตัวและที่วาดไว้บนกำแพงก่อนหน้านี้ เป็นวิชาลับที่สืบทอดมาจากสำนักหรือ? มีเพียงผู้ฝึกตนของตำหนักขวานผีอย่างพวกเจ้าเท่านั้นถึงจะใช้ได้?”

ชายฉกรรจ์ยิ้มกล่าว “อาศัยว่ารับมือกับดาบเบาๆ ที่ข้าใช้ทักทายเจ้าได้ ตอนนี้เลยแสร้งทำตัวเป็นนายท่านใหญ่กับข้าผู้อาวุโสแล้วอย่างนั้นหรือ?”

ชายฉกรรจ์พลิ้วกายจากคานลงสู่พื้น เมื่อเขาก้าวยาวๆ มาถึงหน้าประตูศาล ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำและสาวใช้ทั้งสอง รวมไปถึงบุรุษชาวบ้านที่วงแตกไปนานแล้วก็พากันขยับหลบไปไกลยิ่งกว่าเดิม

ชายฉกรรจ์ใช้ดาบยันพื้น หัวเราะหยันเอ่ยว่า “จงรีบบอกชื่อของเจ้ามา! หากเป็นภูเขาที่สนิทสนมกับตำหนักขวานผีของพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นสหาย เมื่อเป็นสหายก็สามารถมีสุขร่วมเสพ สาวงามที่ได้พบในคืนนี้ ผู้ที่มาเจอล้วนมีส่วนแบ่ง แต่หากเจ้าคิดจะทำตัวเป็นวีรบุรุษในยุทธภพผู้มีจิตใจกล้าหาญ หวังจะผดุงคุณธรรมอยู่ที่นี่คืนนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าตู้อวี๋คงต้องสอนเจ้าสักหน่อยแล้วว่าเป็นคนควรวางตัวเช่นไร”

เด็กหนุ่มและหนุ่มฉกรรจ์ที่เป็นชาวบ้านธรรมดาเหล่านั้นรู้สึกแค่ว่าเซียนซือผู้นี้พูดจาน่าตกใจนัก

แต่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำกลับรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก คำพูดประโยคนี้ของคนแซ่ตู้ อันที่จริงแล้วพูดอย่างแฝงความนัยที่ลี้ลับ ไม่ถึงขั้นแสดงความอ่อนแอ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าโอหังจองหองอย่างแน่นอน

ภาพเหตุการณ์ต่อมาก็ยิ่งทำให้ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้ตื่นตะลึงเป็นเท่าทวี

จอมยุทธพเนจรหนุ่มคนนั้นพุ่งตัววูบเดียวก็มายืนอยู่นอกประตูใหญ่ของศาลที่เปิดอ้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอให้เจ้าสั่งสอนดูสักหน่อย”

ตู้อวี๋ใช้มือข้างหนึ่งดันด้ามดาบ มืออีกข้างกำเป็นหมัดบิดหมุนเบาๆ พูดด้วยสีหน้าดุร้าย “แบ่งแพ้ชนะสูงต่ำ หรือจะให้รู้เป็นรู้ตายกันไปเลย?!”

ผลคือคนผู้นั้นตอบกลับด้วยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าไม่ตีข้าให้ตายก็เกือบจะทำให้ข้าตกใจตายอยู่แล้ว”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไม่กล้าพอที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมา ไม่อย่างนั้นนางคงกุมท้องหัวเราะก๊ากไปแล้ว

ทันใดนั้นความคิดของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก็แล่นอย่างฉับไว ถอยไปหนึ่งก้าว “ตู้อวี๋ ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผี! เจ้าคือทายาทของคู่บำเพ็ญเพียรใหญ่บนภูเขาแคว้นจินตั๋ว?!”

ตู้อวี๋กระตุกมุมปาก ดีนักนะ นับว่ารู้กาลเทศะ สตรีผู้นี้สามารถมีชีวิตรอดได้

เพียงแต่บุรุษที่อยู่นอกประตูกลับเอ่ยอีกว่า “คู่บำเพ็ญเพียรที่ใหญ่แค่ไหน? ใช่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสองท่านไหม?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำลอบยินดีในใจ เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า! ตนอุตส่าห์ยกตัวตนของตู้อวี๋มาข่ม อีกฝ่ายกลับยังไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ดูท่าคืนนี้ต่อให้แย่แค่ไหนก็คงเป็นสถานการณ์ที่ไล่หมาป่าไปเขมือบเสือแล้ว (หลอกใช้อีกฝ่ายหนึ่งไปจัดการอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัย) หากบาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่ายก็ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าเจ้าบื้อที่จู่ๆ ก็โผล่มาผู้นี้เป็นฝ่ายชนะก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก รับมือกับจอมยุทธพเนจรคนหนึ่งที่ไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน ถึงอย่างไรก็คุยกันได้ง่ายกว่า ดีกว่ารับมือกับมารร้ายอย่างตู้อวี๋ที่ตั้งใจมาเพราะหวังเล่นงานตนโดยเฉพาะผู้นี้ แต่ต่อให้ตู้อวี๋สับจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่ท่าดีทีเหลวผู้นั้นกลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่งก็ควรจะเห็นแก่น้ำใจของตนเมื่อสักครู่นี้ เพราะถึงอย่างไรก็ดูไม่เหมือนว่าตู้อวี๋จะต่อสู้เอาชีวิตกับคนอื่นจริงๆ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยร้ายกาจของผู้ฝึกตนตำหนักขวานผี ป่านนี้คงชักดาบฟันคนไปนานแล้ว

ตู้อวี๋งอนิ้วกระตุกดาบขึ้นมาแกว่งส่าย ยิ้มเอ่ยว่า “ขอแค่เจ้าสามารถฝ่าค่ายกลของยันต์เข้ามาในวัดแห่งนี้ได้ นายท่านใหญ่อย่างข้าก็จะยอมให้เจ้าหนึ่งกระบวนท่า”

พริบตานั้นกำแพงที่โอบล้อมรอบศาลก็มีแสงสีทองระเบิดจ้าพร่าตา

ต่อมาก็เห็นว่าจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่สวมงอบมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายตู้อวี๋โดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น แล้วยกแขนขึ้นปาดฟาดเข้าที่คอของฝ่ายหลัง ทำให้ช่องโพรงลมปราณในร่างของตู้อวี๋กระเพื่อมแรง สลบเหมือดคาที่ จากนั้นร่างก็ลอยไปกระแทกกับแท่นบูชาเทวรูปของศาล ไม่เพียงแต่กระแทกให้เทวรูปของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำหักออกเป็นสองท่อน ร่างของตู้อวี๋ยังจมเข้าไปในผนัง ส่วนดาบเล่มนั้นก็หล่นอยู่บนพื้นส่งเสียงดังเคร้ง

แสงดาบบนพื้นเหมือนผิวน้ำ น่าจะเป็นดาบที่ไม่เลวเล่มหนึ่ง

เฉินผิงอันถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ ยืนอยู่ที่เดิม มือข้างหนึ่งเปลี่ยนเป็นท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบผสานรวมกับยันต์ฟางชุ่นแผ่นหนึ่งที่ใช้ฝ่าค่ายกลเข้ามาในวัด แน่นอนว่าออมกำลังเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเจ้าคนที่ป่าวประกาศว่าจะยอมให้ตัวเองหนึ่งกระบวนท่าผู้นี้ก็น่าจะต้องกลายเป็นลูกอกตัญญู ทำให้คู่บำเพ็ญตนใหญ่ตำหนักขวานผีคู่นั้นต้องเป็นคนผมขาวที่ส่งคนผมดำ แน่นอนว่าผู้ฝึกตนบนภูเขา ต่อให้อายุร้อยปีหรือพันปีแต่ยังคงโฉมหน้าเป็นเด็กเอาไว้ได้ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร

การที่เขาออมแรง แน่นอนว่ายังเป็นเพราะต้องการ ‘ขอความรู้อย่างนอบน้อม’ เรื่องยันต์เฉพาะสองชนิดจากคนผู้นั้น

ส่วนกลุ่มบุรุษชาวบ้านธรรมดาที่อกสั่นขวัญกระเจิงก็ถูกริ้วคลื่นลมปราณที่กระเพื่อมออกมาจากพายุหมัดสะเทือนให้หมดสติไปได้อย่างพอดิบพอดี

เด็กหนุ่มขวัญกล้าที่อยู่บนแท่นบูชาก็ถูกเท้าข้างหนึ่งของตู้อวี๋เกี่ยวลากออกไป จึงสลบตามไปด้วย เมื่อเทียบกับบุรุษที่อยู่ในลานกว้างแล้ว สภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นนับว่าน่าอนาถยิ่งกว่า

ทุกอย่างนี้ล้วนผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม

ก็แค่เรื่องของหมัดเดียวเท่านั้น

เหลือเพียงเด็กหนุ่มที่นั่งเหม่ออยู่ข้างกองไฟ

เฉินผิงอันจึงชำเลืองตามองเขา “แกล้งตายไม่เป็นหรือ?”

เด็กหนุ่มรีบทิ้งตัวผลึ่งไปด้านหลัง เอียงศีรษะ แถมยังไม่ลืมเหลือกตาขึ้น แลบลิ้นห้อยออกมา

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 502.4 หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 502.4 หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้ว

มองไปยังเสาคานอันหนึ่งที่อยู่ในศาล

บนนั้นมีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นนั่ง คือชายฉกรรจ์คิ้วหนาดก ห้อยดาบไว้ตรงเอว ห้อยเท้าสองข้างลงมาจากคาน เขาอ้าปากหาว ฉีกยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งที่ติดอยู่บนร่างออกอย่างเกียจคร้าน ครั้นแล้วยันต์ก็แตกสลายกลายเป็นเศษผง

หญิงชรามีสีหน้าตื่นตะลึง

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นยิ้มกล่าว “ไม่ใช้เหยื่อล่อสักหน่อยก็ตกปลามาไม่ได้”

ชายฉกรรจ์ยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจ ขณะเดียวกันก็สะบัดชายแขนเสื้อ ปราณวิญญาณกลุ่มหนึ่งเหมือนงูวิเศษที่เลื้อยไปบนผนังสี่ด้าน จากนั้นพอเขาดีดนิ้วหนึ่งครั้ง บนกำแพงทั้งในและนอกศาลก็พลันมียันต์แสงสีทองหลายแผ่นปรากฏขึ้นมา ภาพในยันต์ดุจนกที่โบยบิน

ก่อนกลุ่มคนโง่ในหมู่ชาวบ้านกลุ่มนั้นจะออกเดินทาง เขาก็แอบแฝงตัวเข้ามาในศาลสุ่ยเซียนแห่งนี้ก่อนแล้ว หลังจากวาดยันต์เรียบร้อยก็ใช้วิชาเฉพาะของยันต์และเวทคาถาลับหลบซ่อนตัวตนเหมือนวิชาลมหายใจเต่า ถึงได้สามารถเก็บซ่อนลมปราณทั้งร่างของตัวเองเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้คงตกใจเผ่นหนีไปแล้ว ส่วนยันต์กักบริเวณพวกนั้นก็ยิ่งเป็นวิชายอดเยี่ยมที่ขึ้นชื่อของสำนัก มีชื่อว่ายันต์ดินหิมะ หรืออีกชื่อว่ายันต์นกบิน เมื่อวาดยันต์สำเร็จ จะสามารถอำพรางตัวได้อย่างดีเยี่ยม ยากที่จะจับสังเกตได้ เหมือนห่านหงส์บินโฉบหิมะ แม้บางครั้งจะทิ้งรอยกรงเล็บเอาไว้ แต่ไม่นานก็บินทะยานขึ้นสูงอีกครั้ง ไหนเลยจะจำได้ว่าตนเองทิ้งร่องรอยไว้ตรงไหน

แต่นอกจากสุดยอดวิชาการเขียนยันต์นี้แล้ว ถึงอย่างไรสำนักของตนก็เป็นสำนักการทหารที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการลอบสังหาร แล้วยังไม่เหมือนกับกองกำลังสำนักการทหารทั่วไป เป็นเหตุให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักส่วนใหญ่ล้วนไปทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์อยู่ข้างกายพวกแม่ทัพอัครเสนาบดีในราชวงศ์โลกมนุษย์ทั้งหลาย แม้ว่าบนอาณาเขตของหลายสิบแคว้นนี้ สำนักของเขาจะไม่ถือว่าเป็นกองกำลังตระกูลเซียนลำดับสูงสุด แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูแคลน เพียงแต่ว่าเขานิสัยพยศบ้าระห่ำ ไม่ชอบพันธนาการ เวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาจึงมักจะชอบลงจากภูเขามาอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง ยินดีเป็นหัวไก่แต่ไม่ยอมเป็นหางหงส์ เวลาไม่มีอะไรทำก็มักจะไปหยอกเย้าพวกจอมยุทธผู้ห้าวหาญในยุทธภพทั้งหลายที่เหมือนปลาหนีชิวในน้ำ เหมือนไส้เดือนบนภูเขา เป็นตายขึ้นอยู่กับข้า นับว่าสะใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจอมยุทธหญิงที่ยิ่งมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์แตกต่างออกไป

เวลานี้ชายฉกรรจ์มองหญิงชราและเด็กสาวสองคนเป็นดั่งของในกระเป๋าของตัวเองแล้ว

หญิงชราถามเนิบช้าว่า “ไม่ทราบว่าเหตุใดเซียนซือท่านนี้ถึงต้องวางแผนล่อข้าออกมาจากทะเลสาบ? อีกทั้งยังกระทำการเช่นนี้ในบ้านของข้า นี่ไม่ค่อยดีเท่าไรกระมัง?”

ชายฉกรรจ์ยื่นมือออกมาคว้าจับ กาเหล้าใบหนึ่งก็ลอยจากข้างกองไฟไปอยู่ในมือ เขาแหงนหน้ากระดกเหล้าอึกใหญ่ จากนั้นก็ขว้างทิ้งอย่างแรง พูดอย่างรังเกียจว่า “เจ้าพวกลูกกระต่ายกลุ่มนี้ซื้อของเส็งเคร็งอะไรมา กลิ่นเยี่ยวเหม็นฉุนขนาดนี้ก็เพราะดื่มเหล้าแบบนี้นี่เอง ก็ไม่แปลกที่สมองจะไม่ค่อยสมประดีสักเท่าไหร่”

ดูเหมือนชายฉกรรจ์จะไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เขาจ้องเขม็งไปที่หญิงชรา “ศิษย์น้องของข้าไม่ค่อยถูกกับเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นของเจ้าสักเท่าไร พอดีกับที่ครั้งนี้ข้าได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้มาเยือนเมืองสุยเจี้ย เจ้าแห่งทะเลสาบหลบอยู่ในวังมังกรใต้ทะเลสาบของเขา หาตัวได้ยาก แต่ข้ารู้ดีว่าสตรีอย่างเจ้าเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นที่อดทนข่มกลั้นต่อความเปลี่ยวเหงาไม่ไหว ปีนั้นความแค้นระหว่างศิษย์น้องโง่ของข้ากับทะเลสาบชางอวิ๋น สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็มีต้นกำเนิดมาจากเจ้า ดังนั้นจึงจะเอาเจ้ามาเซ่นคมดาบ เมื่อเจ้าแห่งทะเลสาบตามมาถึงก็พอดีเลย ขอแค่เขาขึ้นฝั่งมา ข้าก็ไม่กลัวเขาสักนิด ต่างก็พูดกันว่าฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำคือของรักของหวงของเขาไม่ใช่หรือ เดี๋ยวพอข้าเล่นเจ้าจนตายแล้วค่อยโยนศพเจ้าไปไว้ที่ข้างทะเลสาบชางอวิ๋น ดูสิว่าเขาจะทนได้ไหวหรือไม่”

หญิงชราสีหน้าซีดขาว

สาวใช้สองคนก็ยิ่งมีท่าทางน่าสงสารชวนเวทนา ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำยังสามารถรักษาเวทอำพรางตาเอาไว้ได้ แต่ปราณวิญญาณของพวกนั้นเริ่มสลายไปแล้ว รูปโฉมที่แท้จริงจึงพอจะปรากฎให้เห็นได้อย่างเลือนราง

พวกอันธพาลในหมู่ชาวบ้านเหล่านั้นก็ยิ่งตกใจจนหน้าซีดเผือดไร้สี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กหนุ่มนิสัยเหลาะแหละที่ยืนอยู่บนแท่นบูชาที่ต้องเอาหลังพิงเทวรูปถึงจะยืนอยู่ได้ ไม่ล้มลงไปกองกับพื้น

แม้เฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นอำพรางลมปราณของตนได้อย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่ชัดเจนอย่างมาก นั่นคือคนทั้งสามฝ่ายที่อยู่ในศาลต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร

เด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่ยังนั่งอยู่ข้างกองไฟถือว่ายังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง เพียงแต่เวลานี้เขาตกใจจนฉี่ราดกางเกงแล้ว

หญิงชราถอนเวทอำพรางตาออกทันที เค้นรอยยิ้มส่งไปให้ “เซียนซือใหญ่ท่านนี้น่าจะมาจากตำหนักขวานผีของแค้นจินตั๋วกระมัง?”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นอึ้งตะลึงไปก่อน จากนั้นก็เริ่มผรุสวาทเสียงดัง “มารดามันเถอะ ผ่านค่ำคืนวสันต์มาด้วยกันเพียงครั้งเดียว สารรูปอย่างเจ้าก็สามารถทำให้ศิษย์น้องของข้าอาลัยอาวรณ์มาได้ตั้งหลายปีด้วยหรือ? ในอดีตข้าเคยพาเขามาท่องยุทธภพด้วยกันครั้งหนึ่ง หวังจะช่วยเขาผ่อนคลายอารมณ์ ก็ถือว่าให้เขาได้ลิ้มรสทั้งสตรีโตเต็มวัยชนชั้นสูงและจอมยุทธหญิงที่งดงามมาหมดแล้ว แต่ศิษย์น้องคนนั้นของข้าก็ยังรู้สึกว่าน่าเบื่อ ทำไม ฝีมือบนเตียงของเจ้าร้ายกาจนักหรือ?”

เฉินผิงอันที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อนั่งอยู่บนกิ่งไม้ห่างไปไกลหรี่ตาลง

สีหน้าของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไม่น่ามอง แต่กระนั้นก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงประจบเอาใจ “ปีนั้นข้ากับศิษย์น้องของเซียนซือต่างก็มีใจให้กัน ไม่ได้ต้องการจะมีความสัมพันธ์เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ตัดสินใจว่าจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรที่ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์กันแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าถูกนังแพศยาจ่าวซีเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้นวางแผนเล่นงาน แอบนำเรื่องนี้ไปรายงานให้ใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบทราบ ภายหลังต่อให้ข้าจะพยายามโน้มน้าวเจ้าแห่งทะเลสาบสักเท่าไร เขาก็ยังคงยืนกรานจะลงมือทำร้ายคน ถึงได้มีความเข้าใจผิดครั้งนั้นเกิดขึ้น ขอใต้เท้าเซียนซือโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วย”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่บนคานเริ่มเอามือกดด้ามดาบแล้ว นางจึงยื่นมือไปคว้าสาวใช้ไว้มือละคนแล้วผลักไปด้านหน้า พูดพร้อมคลี่ยิ้มหวาน “ใต้เท้าเซียนซือ สาวใช้สองคนนี้ของข้าหน้าตานับว่างดงาม ข้าขอมอบพวกนางให้เป็นสาวใช้อุ่นเตียงแก่ใต้เท้าเซียนซือก็แล้วกัน เพียงแต่หวังว่าท่านจะเมตตาทะนุถนอมพวกนางเสียหน่อย หากวันใดเบื่อหน่ายพวกนางแล้วก็ค่อยส่งพวกนางกลับมาที่ทะเลสาบชางอวิ๋น”

ชายฉกรรจ์ถาม “แล้วเจ้าล่ะ?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำยิ้มเอ่ย “หากใต้เท้าเซียนซือมองแล้วถูกตา ไม่รังเกียจรูปโฉมที่โรยราของข้า จะให้ข้าปรนนิบัติรับใช้ท่านด้วยจะเป็นไรไป?”

ชายฉกรรจ์ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ กระดกคางชี้ไปสองที “เจ้าพวกต่ำช้าพวกนี้ เจ้าจะจัดการอย่างไร?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำยิ้มหวานหยดย้อย “ล่วงเกินองค์เทพ เดิมทีก็สมควรตายอยู่แล้ว ขวางหูขวางตาใต้เท้าเซียนซือก็ยิ่งสมควรตายเป็นหมื่นครั้ง ข้าจะเก็บกวาดเจ้าคนพวกนี้ให้สะอาด ในชายแขนเสื้อของข้ามีถ้วยเลี่ยนเยี่ยนอยู่ใบหนึ่ง บรรจุสุราที่ทำมาจากแก่นโชคชะตาน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋น พอดีกับที่สามารถใช้โอกาสนี้เชื้อเชิญให้ท่านได้ร่ำสุราอย่างสบายอารมณ์ ข้าจะรินเหล้าให้ใต้เท้าเซียนซือเอง ส่วนสาวใช้สองคนนี้ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นนางระบำในวัง เดี๋ยวก็จะให้พวกนางแต่งกายงดงาม ร่ายรำเพิ่มความสำราญให้แก่ท่าน”

ชายฉกรรจ์ยังคงคลี่ยิ้มมีเลศนัย ไม่เอ่ยอะไรอยู่ดังเดิม

นี่ยิ่งทำให้ใจของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเต้นระรัว

พริบตานั้น

อยู่ดีๆ ชายฉกรรจ์ก็ชักดาบออกมาฟันอย่างไม่มีลางบอกเหตุ

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำตกใจหดหัว แต่โชคดีที่แสงดาบนั้นไม่ได้ผ่าลงบนหัวของนาง แต่พุ่งไปนอกศาล

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำหน้าเผือดสี หันหน้ามองตามไป

เห็นเพียงว่าตรงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่พอถูกสาดสะท้อนด้วยแสงดาบ จอมยุทธพเนจรหนุ่มสวมงอบคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยังคงสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ ใช้แค่มือข้างเดียวมาคว้าจับแสงดาบเส้นนั้นเอาไว้ แสงดาบปะทะกับพายุลมกรดที่รวมตัวอยู่ใกล้กับฝ่ามือเขา ยิ่งขับให้คนแปลกหน้าผู้นั้นดุจดั่งเทพเซียนที่ถือดวงจันทร์สว่างไสวไว้ในมือ

ชายฉกรรจ์ตกตะลึงอยู่ในใจ แต่กระนั้นหน้าก็ไม่เปลี่ยนสี เปลี่ยนจากท่าห้อยขามาเป็นนั่งยองอยู่บนคาน มือถือดาบ คมดาบแวววาวคมกริบ เขาจุ๊ปากเอ่ยว่า “โอ้โห ช่างมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมนัก พายุลมกรดบริสุทธิ์ หลอมกระชับแน่นจนกลมดิก แคว้นอิ๋นผิงมีปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่ยังหนุ่มแน่นแบบเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่? ข้าเคยประมือกับอันดับหนึ่งในยุทธภพของแคว้นอิ๋นผิงมาก่อน มีพละกำลังเยอะนักล่ะ เขาเองก็สามารถต้านทานหนึ่งดาบของข้าได้เหมือนกัน แต่กลับไม่ได้ผ่อนคลายเช่นเจ้า”

เฉินผิงอันเก็บฝ่ามือมาเบาๆ พอแสงดาบสุดท้ายสลายจนสิ้นก็ถามว่า “ยันต์ที่เจ้าแปะติดตัวและที่วาดไว้บนกำแพงก่อนหน้านี้ เป็นวิชาลับที่สืบทอดมาจากสำนักหรือ? มีเพียงผู้ฝึกตนของตำหนักขวานผีอย่างพวกเจ้าเท่านั้นถึงจะใช้ได้?”

ชายฉกรรจ์ยิ้มกล่าว “อาศัยว่ารับมือกับดาบเบาๆ ที่ข้าใช้ทักทายเจ้าได้ ตอนนี้เลยแสร้งทำตัวเป็นนายท่านใหญ่กับข้าผู้อาวุโสแล้วอย่างนั้นหรือ?”

ชายฉกรรจ์พลิ้วกายจากคานลงสู่พื้น เมื่อเขาก้าวยาวๆ มาถึงหน้าประตูศาล ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำและสาวใช้ทั้งสอง รวมไปถึงบุรุษชาวบ้านที่วงแตกไปนานแล้วก็พากันขยับหลบไปไกลยิ่งกว่าเดิม

ชายฉกรรจ์ใช้ดาบยันพื้น หัวเราะหยันเอ่ยว่า “จงรีบบอกชื่อของเจ้ามา! หากเป็นภูเขาที่สนิทสนมกับตำหนักขวานผีของพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นสหาย เมื่อเป็นสหายก็สามารถมีสุขร่วมเสพ สาวงามที่ได้พบในคืนนี้ ผู้ที่มาเจอล้วนมีส่วนแบ่ง แต่หากเจ้าคิดจะทำตัวเป็นวีรบุรุษในยุทธภพผู้มีจิตใจกล้าหาญ หวังจะผดุงคุณธรรมอยู่ที่นี่คืนนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าตู้อวี๋คงต้องสอนเจ้าสักหน่อยแล้วว่าเป็นคนควรวางตัวเช่นไร”

เด็กหนุ่มและหนุ่มฉกรรจ์ที่เป็นชาวบ้านธรรมดาเหล่านั้นรู้สึกแค่ว่าเซียนซือผู้นี้พูดจาน่าตกใจนัก

แต่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำกลับรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก คำพูดประโยคนี้ของคนแซ่ตู้ อันที่จริงแล้วพูดอย่างแฝงความนัยที่ลี้ลับ ไม่ถึงขั้นแสดงความอ่อนแอ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าโอหังจองหองอย่างแน่นอน

ภาพเหตุการณ์ต่อมาก็ยิ่งทำให้ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้ตื่นตะลึงเป็นเท่าทวี

จอมยุทธพเนจรหนุ่มคนนั้นพุ่งตัววูบเดียวก็มายืนอยู่นอกประตูใหญ่ของศาลที่เปิดอ้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอให้เจ้าสั่งสอนดูสักหน่อย”

ตู้อวี๋ใช้มือข้างหนึ่งดันด้ามดาบ มืออีกข้างกำเป็นหมัดบิดหมุนเบาๆ พูดด้วยสีหน้าดุร้าย “แบ่งแพ้ชนะสูงต่ำ หรือจะให้รู้เป็นรู้ตายกันไปเลย?!”

ผลคือคนผู้นั้นตอบกลับด้วยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าไม่ตีข้าให้ตายก็เกือบจะทำให้ข้าตกใจตายอยู่แล้ว”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไม่กล้าพอที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมา ไม่อย่างนั้นนางคงกุมท้องหัวเราะก๊ากไปแล้ว

ทันใดนั้นความคิดของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก็แล่นอย่างฉับไว ถอยไปหนึ่งก้าว “ตู้อวี๋ ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผี! เจ้าคือทายาทของคู่บำเพ็ญเพียรใหญ่บนภูเขาแคว้นจินตั๋ว?!”

ตู้อวี๋กระตุกมุมปาก ดีนักนะ นับว่ารู้กาลเทศะ สตรีผู้นี้สามารถมีชีวิตรอดได้

เพียงแต่บุรุษที่อยู่นอกประตูกลับเอ่ยอีกว่า “คู่บำเพ็ญเพียรที่ใหญ่แค่ไหน? ใช่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสองท่านไหม?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำลอบยินดีในใจ เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า! ตนอุตส่าห์ยกตัวตนของตู้อวี๋มาข่ม อีกฝ่ายกลับยังไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ดูท่าคืนนี้ต่อให้แย่แค่ไหนก็คงเป็นสถานการณ์ที่ไล่หมาป่าไปเขมือบเสือแล้ว (หลอกใช้อีกฝ่ายหนึ่งไปจัดการอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัย) หากบาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่ายก็ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าเจ้าบื้อที่จู่ๆ ก็โผล่มาผู้นี้เป็นฝ่ายชนะก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก รับมือกับจอมยุทธพเนจรคนหนึ่งที่ไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน ถึงอย่างไรก็คุยกันได้ง่ายกว่า ดีกว่ารับมือกับมารร้ายอย่างตู้อวี๋ที่ตั้งใจมาเพราะหวังเล่นงานตนโดยเฉพาะผู้นี้ แต่ต่อให้ตู้อวี๋สับจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่ท่าดีทีเหลวผู้นั้นกลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่งก็ควรจะเห็นแก่น้ำใจของตนเมื่อสักครู่นี้ เพราะถึงอย่างไรก็ดูไม่เหมือนว่าตู้อวี๋จะต่อสู้เอาชีวิตกับคนอื่นจริงๆ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยร้ายกาจของผู้ฝึกตนตำหนักขวานผี ป่านนี้คงชักดาบฟันคนไปนานแล้ว

ตู้อวี๋งอนิ้วกระตุกดาบขึ้นมาแกว่งส่าย ยิ้มเอ่ยว่า “ขอแค่เจ้าสามารถฝ่าค่ายกลของยันต์เข้ามาในวัดแห่งนี้ได้ นายท่านใหญ่อย่างข้าก็จะยอมให้เจ้าหนึ่งกระบวนท่า”

พริบตานั้นกำแพงที่โอบล้อมรอบศาลก็มีแสงสีทองระเบิดจ้าพร่าตา

ต่อมาก็เห็นว่าจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่สวมงอบมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายตู้อวี๋โดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น แล้วยกแขนขึ้นปาดฟาดเข้าที่คอของฝ่ายหลัง ทำให้ช่องโพรงลมปราณในร่างของตู้อวี๋กระเพื่อมแรง สลบเหมือดคาที่ จากนั้นร่างก็ลอยไปกระแทกกับแท่นบูชาเทวรูปของศาล ไม่เพียงแต่กระแทกให้เทวรูปของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำหักออกเป็นสองท่อน ร่างของตู้อวี๋ยังจมเข้าไปในผนัง ส่วนดาบเล่มนั้นก็หล่นอยู่บนพื้นส่งเสียงดังเคร้ง

แสงดาบบนพื้นเหมือนผิวน้ำ น่าจะเป็นดาบที่ไม่เลวเล่มหนึ่ง

เฉินผิงอันถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ ยืนอยู่ที่เดิม มือข้างหนึ่งเปลี่ยนเป็นท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบผสานรวมกับยันต์ฟางชุ่นแผ่นหนึ่งที่ใช้ฝ่าค่ายกลเข้ามาในวัด แน่นอนว่าออมกำลังเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเจ้าคนที่ป่าวประกาศว่าจะยอมให้ตัวเองหนึ่งกระบวนท่าผู้นี้ก็น่าจะต้องกลายเป็นลูกอกตัญญู ทำให้คู่บำเพ็ญตนใหญ่ตำหนักขวานผีคู่นั้นต้องเป็นคนผมขาวที่ส่งคนผมดำ แน่นอนว่าผู้ฝึกตนบนภูเขา ต่อให้อายุร้อยปีหรือพันปีแต่ยังคงโฉมหน้าเป็นเด็กเอาไว้ได้ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร

การที่เขาออมแรง แน่นอนว่ายังเป็นเพราะต้องการ ‘ขอความรู้อย่างนอบน้อม’ เรื่องยันต์เฉพาะสองชนิดจากคนผู้นั้น

ส่วนกลุ่มบุรุษชาวบ้านธรรมดาที่อกสั่นขวัญกระเจิงก็ถูกริ้วคลื่นลมปราณที่กระเพื่อมออกมาจากพายุหมัดสะเทือนให้หมดสติไปได้อย่างพอดิบพอดี

เด็กหนุ่มขวัญกล้าที่อยู่บนแท่นบูชาก็ถูกเท้าข้างหนึ่งของตู้อวี๋เกี่ยวลากออกไป จึงสลบตามไปด้วย เมื่อเทียบกับบุรุษที่อยู่ในลานกว้างแล้ว สภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นนับว่าน่าอนาถยิ่งกว่า

ทุกอย่างนี้ล้วนผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม

ก็แค่เรื่องของหมัดเดียวเท่านั้น

เหลือเพียงเด็กหนุ่มที่นั่งเหม่ออยู่ข้างกองไฟ

เฉินผิงอันจึงชำเลืองตามองเขา “แกล้งตายไม่เป็นหรือ?”

เด็กหนุ่มรีบทิ้งตัวผลึ่งไปด้านหลัง เอียงศีรษะ แถมยังไม่ลืมเหลือกตาขึ้น แลบลิ้นห้อยออกมา

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+