กระบี่จงมา 502.5 หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 502.5 หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ ทำให้รูปปั้นของเจ้าพัง คงจะไม่ถือสากระมัง?”

ระหว่างที่พูดก็โบกชายแขนเสื้อกวาดเอาชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งในนั้นให้ไปกระแทกกับผนังเหมือนกวาดเศษขยะ ร่างของคนกระแทกกับกำแพงดังตึง และยังมีเสียงกระดูกแตกเบาๆ ดังแว่วมาให้ได้ยิน

เจ้าแห่งคูน้ำที่เฝ้าพิทักษ์โชคชะตาน้ำของลำธารลำคลองแถบหนึ่งผู้นั้นรู้สึกเพียงว่ากระดูกทั่วร่างชาดิกไปหมด

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรีบพูดเสียงสั่นว่า “ไม่เป็นไรๆ ขอแค่เซียนซืออารมณ์ดีก็พอ อย่าว่าแต่รูปปั้นหักเป็นสองท่อนเลย ต่อให้แตกละเอียดก็ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งของเมืองสุยเจี้ยนั่น เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำค้อมเอวลงเล็กน้อย ใช้สองมือประคองวัตถุตระกูลเซียนที่เป็นลักษณะของถ้วยมีประกายแสงแวววาวใบหนึ่งขึ้นมา “เซียนซือสามารถดื่มเหล้าพลางฟังบ่าวค่อยๆ เล่าไปด้วยได้”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลูกไม้นี้ของเจ้า ขนาดเจ้าคนแซ่ตู้ยังไม่หลงกล แล้วเจ้าคิดว่าจะเอามาใช้กับข้าได้ผลหรือ? อีกอย่างเหตุใดศิษย์น้องคนนั้นของเขาถึงได้อาลัยอาวรณ์มิอาจลืมเลือนเจ้าได้เสียที ในใจฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำอย่างเจ้าจะไม่รู้เลยหรือ? หากเจ้าอยากจะรนหาที่ตายจริงๆ ก็ควรจะใช้วิธีที่มันฉลาดกว่านี้หน่อยกระมัง เห็นว่าวิชาหมัดของข้าต่ำต้อย ไม่มีประสบการณ์ทางโลก เป็นคนหลอกง่ายอย่างนั้นหรือ?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรีบเก็บถ้วยเหล้าใบนั้นมา แต่กลางกระหม่อมกลับมีไอเย็นเยียบผุดขึ้นมาระลอกหนึ่ง จากนั้นความเจ็บปวดก็แล่นปราดเข้าสู่หัวใจ ร่างทั้งร่างของนางถูกตบจนเข่าสองข้างจมหายเข้าไปในดิน

จิตวิญญาณสะท้านไหวประหนึ่งตกอยู่ท่ามกลางหม้อน้ำมันเดือด ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำข่มกลั้นความเจ็บปวด ฟันของนางกระทบกัน เสียงที่พูดก็ยิ่งสั่นเครือ “เซียนซือโปรดเมตตา เซียนซือโปรดเมตตา บ่าวไม่กล้ารนหาที่ตายอีกแล้ว”

เฉินผิงอันโบกมือ “ข้าไม่ใช่เจ้าคนแซ่ตู้ผู้นี้ ไม่เคยมีความบาดหมางอะไรกับทะเลสาบชางอวิ๋นของพวกเจ้า เพียงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น หากไม่เป็นเพราะเจ้าคนแซ่ตู้ดึงดันจะให้ข้าออกกระบวนท่าให้ได้ ข้าก็ไม่เต็มใจจะเข้ามาที่นี่ บอกเรื่องวงในของเมืองสุยเจี้ยที่เจ้ารู้มาตามตรง หากมีเรื่องใดที่ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ แต่เจ้าที่รู้กลับแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องชำระบัญชีทั้งหมดของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำแล้ว ถ้วยเลี่ยนเยี่ยนที่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำจงใจเก็บไว้ในชายแขนเสื้อใบนั้น อันที่จริงคือวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เอาไว้ใช้บรรจุน้ำแกงลวงวิญญาณและโชคชะตาดอกท้อกระมัง?”

รอยยิ้มของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้

ไอ้หมอนี่ ชัดเจนแล้วว่ารับมือได้ยากยิ่งกว่าตู้อวี๋เป็นร้อยเท่า!

แล้วฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก็เริ่มเล่าเรื่องหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองสุยเจี้ยที่อยู่ติดกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ

เฉินผิงอันฟังคำอธิบายของนางพลางใช้หางตาเหลือบมองสีหน้าของสาวใช้สองคนนั้นเงียบๆ

ร่างทองของเทพอภิบาลเมืองเมืองสุยเจี้ยกำลังจะแหลกสลายจริงๆ เดินมาสุดปลายทางของมหามรรคาควันธูปแล้ว คำว่าอับจนหนทางก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง แต่ก็เหมือนกับคนที่กลัวตาย เทพอภิบาลเมืองท่านนั้นก็ไม่ต่างกัน เขาเองก็ใช้ทุกวิธีการที่มี อันดับแรกคือพยายามหาเส้นสาย เผาผลาญทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี ไปขอบรรดาศักดิ์ที่ล้ำสถานะของตัวเองมาจากราชสำนัก แต่ผลที่ได้ก็ยังไม่ดีพอ นี่มีสาเหตุมาจากเรื่องเก่าแก่ที่ตอนนั้นไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ แต่กลับส่งผลกระทบอย่างลึกล้ำยาวไกล เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน เมืองสุยเจี้ยเคยเกิดคดีอยุติธรรมที่คนตระกูลบัณฑิตทั้งตระกูลถูกฆ่าตาย สุดท้ายในสายตาของขุนนางในราชสำนักและของชาวบ้านก็ถือว่ากลายเป็นคดีที่ไม่ได้ถูกคลี่คลายให้ได้รับความเป็นธรรมมาอย่างยาวนาน ทว่าความจริงกลับอยู่ห่างไปคนละโยชน์ ตอนนั้นนักการทุกคนในศาลเทพอภิบาลเมืองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะร้ายแรงขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเหตุการณ์ในวันนี้คงแตกต่างออกไปแล้ว

ทะเลสาบชางอวิ๋นเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกับเมืองสุยเจี้ย ใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบที่ปกครองหนึ่งทะเลสาบสามลำคลองสองคูน้ำหยั่งรากฐานไว้อย่างลึกล้ำ เป็นเหตุให้ได้รู้เรื่องวงในมามากมาย ว่าตระกูลบัณฑิตตระกูลนั้นสั่งสมบุญทำความดีกันมาหลายยุคหลายสมัย

ในกรอบป้ายเหนือศาลบรรพชนของตระกูลก็ใกล้จะสามารถฟูมฟักคนจิ๋วควันธูปคนหนึ่งได้แล้ว ทว่ากลับต้องเจอพิบัติภัยภายในค่ำคืนเดียว ไก่หมาวุ่นวายอลหม่าน ท่านเทพอภิบาลเมืองพิโรธหนัก จึงออกคำสั่งให้เหล่าเสมียนในศาลตรวจสอบเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าเมื่อตรวจสอบไปถึงท้ายที่สุดกลับตรวจสอบมาถึงหัวของศาลเทพอภิบาลเมืองเอง ที่แท้ขุนนางหลักกองหยินหยางซึ่งเป็นผู้นำของหกกองในศาลเทพอภิบาลเมือง ในฐานะขุนนางผู้ช่วยอันดับหนึ่งของเทพอภิบาลเมือง กลับสมคบคิดกับแม่ทัพถือตรวนที่ทำหน้าที่คล้ายขุนนางผู้ช่วยหัวหน้ามือปราบของหนึ่งอำเภอ คนหนึ่งจำแลงกายเป็นคนโดยพลการ แล้วจึงสวมเนื้อหนังมังสาของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งไปหลอกลวงย่ำยีสตรีของครอบครัวนั้น ส่วนแม่ทัพถือตรวนก็หมายตาอยากครอบครองคนจิ๋วควันธูปที่ยังก่อตัวไม่สมบูรณ์ หวังว่าจะไปจับเอามาเป็นสินบนให้แก่ผู้ฝึกตนตระกูลเซียนคนหนึ่ง พยายามจะเลื่อนขั้นให้ตัวเองได้เป็นขุนนางบู๊ผู้พิพากษาที่ดำรงหน้าที่ในศาลเทพอภิบาลเมืองประจำเขตการปกครองซึ่งอยู่ใต้คนคนเดียว แต่อยู่เหนือขุนนางอีกมากมาย แม่ทัพถือตรวนผู้นั้นจึงไปบีบบังคับขุนนางหลักกองหยินหยาง ขุนนางใหญ่สองคนในศาลเทพอภิบาลเมืองที่เดิมทีควรจะช่วยดูแลลมฝนให้ราบรื่น ปกครองหยินหยางให้มีระเบียบกลับสมรู้ร่วมคิดกันไปจ้างโจรในยุทธภพที่ก่อคดีมาอย่างโชกโชนกลุ่มหนึ่งให้เข้ามาในเมือง ใช้เลือดล้างตระกูลนักปราชญ์ตระกูลนั้น และขุนนางหลักกองหยินหยางก็ยังแอบเลี้ยงดูสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงามสองคนไว้ในจวนที่เงียบสงัดอยู่ห่างไกลไปในแถบป่านอกเมือง

หากมีเพียงเท่านี้ ต่อให้ท่านเทพอภิบาลเมืองจะแค่ไต่สวนกันเป็นการส่วนตัวแล้วลงโทษขุนนางผู้ช่วยทั้งสองในสถานเบา ก็คงไม่ต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ แต่เทพอภิบาลเมืองที่ตอนมีชีวิตอยู่ก็เชี่ยวชาญด้านการสร้างชื่อเสียงจอมปลอมผู้นั้น ภายนอกก็สั่งให้ขุนพลผีจำนวนมากช่วยทางการตามหาตัวโจรกลุ่มนั้นแล้วสังหารทิ้งจนสิ้น ไม่เหลือคนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว แต่ความจริงแล้วแอบปล่อยตัวขุนนางหลักกองหยินหยางไป สังหารแม่ทัพถือตรวนที่เห็นดีเห็นงามเข้าข้างผู้อื่นคนนั้นทิ้ง ส่วนสตรีสองคนแน่นอนว่าย่อมหนีพ้นหายนะรอดตายมาได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคืนนั้นจะมีเด็กคนหนึ่งของตระกูลบัณฑิตกำลังเล่นซ่อนแอบกับสาวใช้อยู่พอดี เขาไปแอบอยู่ระหว่างซอกกำแพง และสาวใช้คนนั้นก็ภักดีมีใจอยากปกป้องเจ้านาย ตอนที่ใกล้จะตายจึงตั้งใจพาตัวไปตายอยู่ใกล้กับซอกกำแพงนั้น เพื่อใช้ศพของตัวเองปิดทางเข้า และสุดท้ายเด็กคนนั้นก็โชคดีหนีออกจากเมืองสุยเจี้ยไปได้สำเร็จ หลายสิบปีต่อมา ภายใต้ความช่วยเหลือของผู้อาวุโสที่สนิทสนมกับตระกูลคนหนึ่ง จึงได้เปลี่ยนชื่อแซ่สำมะโนครัว สอบติดขุนนางตำแหน่งสูง ผ่านไปอีกสิบปี อนาคตการงานราบรื่นรุ่งเรือง ได้กลายเป็นขุนนางผู้เป็นดั่งพ่อแม่ของปวงประชา เขาจึงเริ่มลงมือพลิกคดีนี้ สืบสาวเบาะแสไปจนกระทั่งพบว่ามีสาเหตุมาจากศาลเทพอภิบาลเมือง แน่นอนว่าย่อมต้องเกิดโศกนาฎกรรมขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่เมื่อเทียบกับปีนั้นที่ผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่วแล้ว คราวนี้ตั้งแต่ต้นจนจบกลับเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง ข่าวที่ทางราชสำนักได้รับมาก็มีแค่ว่าเจ้าเมืองผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีท่านหนึ่งได้ป่วยตายในขณะดำรงหน้าที่เท่านั้น

บัณฑิตที่เดิมทีควรมีอนาคตสดใสผู้นั้นไม่เคยแต่งงานเลยตลอดชีวิต ข้างกายก็ไร้เด็กรับใช้หรือสาวใช้ เขาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังมาโดยตลอด แล้วก็ปิดฉากชีวิตของตัวเองลงด้วยการกระโจนเข้าสู่ความตายเพียงลำพัง ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในเมืองมานานแล้ว ก่อนหน้าที่จะแอบส่งจดหมายไปให้เพื่อนสนิทในราชสำนัก เขาก็ได้มองความตายเป็นดั่งมาตุภูมิ และวันสุดท้ายนั้นเขาก็ไปเยือนจวนที่กลายเป็นจวนร้างเป็นที่พักพิงของภูตผีมานานหลายปีแห่งนั้น ท่ามกลางม่านราตรี คนผู้นั้นถอดชุดขุนนาง สวมชุดผ้าป่านไว้ทุกข์ จุดธูปโขกศีรษะคำนับ จากนั้นก็…ตายไป

ในความเป็นจริงแล้วนับตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเดินออกมาจากจวนเจ้าเมือง ขุนพลผีมากมายของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ได้มาล้อมจวนเอาไว้แล้ว เทพท่องทิวาราตรีรับหน้าที่เป็น ‘เทพทวารบาล’ ให้ด้วยตัวเอง ในจวนก็ยิ่งมีขุนนางผู้พิพากษาบุ๋นบู๊อำพรางตัวอยู่ข้างกายคนผู้นี้ จับตาจ้องมองเขาไว้เขม็ง

ดังนั้นกลางดึกของคืนนั้นที่คนผู้นี้เดินออกจากจวนเจ้าเมืองไปยังบ้านหลังเดิม อย่าว่าแต่คนเดินเท้าบนถนนเลย แม้แต่คนตีฆ้องบอกเวลาก็ยังไม่เห็นแม้เงา

หลังจากที่เทพอภิบาลเมืองของเมืองสุยเจี้ยได้ถอนรากถอนโคนจนสิ้นแล้ว สามปีต่อมาเขาก็ค้นพบว่าร่างทองของตนเริ่มปรากฎรอยร้าวหนึ่งเส้น

ผลบุญที่สั่งสมมากลับไม่อาจซ่อมแซมรอยร้าวนี้ได้ ได้แต่มองดูมันขยายลุกลามไปทั่วร่างทองอย่างต่อเนื่องคาตาตัวเอง

ดังนั้นจึงมีภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในเมืองสุยเจี้ยตอนนี้

เฉินผิงอันรับฟังอย่างสงบอยู่ตลอดเวลา จากนั้นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่เล่าด้วยน้ำเสียงที่ฟังคล้ายมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นก็ให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่ศาลเทพอภิบาลเมืองเมืองสุยเจี้ยว่า “ก่อกรรมทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่ คือถ้อยคำที่ศาลเทพอภิบาลเมืองอย่างพวกเขาคุ้นเคยกันที่สุดแล้ว ช่างน่าขันจริงๆ ศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองสุยเจี้ยแห่งนั้นยังมีรางลูกคิดขนาดใหญ่ที่แกะสลักจากก้อนหินอันหนึ่งวางอยู่ เพื่อใช้ตักเตือนคนบนโลกว่า คนกระทำ เทพคำนวณ”

ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากถาม “จดหมายลับที่ส่งไปยังเมืองหลวงถูกศาลเทพอภิบาลเมืองดักเอาไว้ได้?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำส่ายหน้า “เรียนเซียนซือ ตามคำบอกของเจ้าทะเลสาบข้า เจ้าเมืองผู้นั้นทำอะไรรอบคอบระมัดระวังอย่างยิ่ง จดหมายนั้นเดิมทีควรจะต้องส่งไปถึงมือสหายของเขาในเมืองหลวงถึงจะถูก เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นดั่งวัวปั้นดินที่จมลงสู่ทะเล ตลอดหลายปีมานี้ทางราชสำนักไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย กลับเป็นคนที่รับจดหมายผู้นั้นที่มีชีวิตราบรื่นอยู่ในวงการขุนนาง ขนาดในอดีตปีนั้นก็ยังได้เป็นถึงเจ้ากรมอาญาแล้ว ภายหลังตระกูลก็ยิ่งเจริญรุ่งเรือง โชคชะตาบุ๋นและการสอบเคอจวี่ของพวกลูกหลานล้วนดีเยี่ยม ลำพังเพียงแค่จิ้นซื่อก็มีมากถึงหกคนแล้ว เจ้าประมุขคนปัจจุบันก็ยิ่งเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาที่ได้ปกครองพื้นที่แถบหนึ่ง”

เฉินผิงอันถามอีก “เหตุใดผู้ฝึกตนมากมาย รวมถึงเจ้าคนแซ่ตู้ผู้นี้ถึงได้พร้อมใจกันไปเยือนเมืองสุยเจี้ย? หรือว่าเทพอภิบาลเมืองของเมืองสุยเจี้ยที่มีจิตใจกว้างขวางผู้นั้นคบหาสหายบนภูเขาไว้มากมาย พวกเขาก็เลยคิดจะมาช่วยเขา?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่ยืนก้มหน้าตัวตรงพูดเสียงเบาอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่ายมาโดยตลอด เวลานี้แหงนหน้าขึ้นกล่าว “ฮวงจุ้ยของเมืองสุยเจี้ยค่อนข้างประหลาด หลังจากที่เกิดแรงกระเทือนขึ้นในศาลเทพอภิบาลเมือง ก็เหมือนว่าจะรั้งสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่งไว้ไม่อยู่ ทุกๆ ครั้งที่เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ฝนตกกระหน่ำหรือหิมะใหญ่ตก ในเมืองก็จะมีแสงเรืองรองเส้นหนึ่งผุดมาจากคุกแห่งหนึ่งแล้วทะยานขึ้นฟ้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจึงมียอดฝีมือบนภูเขาหลายคนที่ไปตรวจสอบสืบหา เพียงแต่ว่ายังไม่อาจจับต้นตอที่มาของสมบัติประหลาดได้ แต่ก็มียอดฝีมือด้านภูมิศาสตร์คนหนึ่งอนุมานไว้ว่า นั่นคือวัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินที่ถูกโชคชะตาน้ำและภูเขาของหนึ่งเขตการปกครองฟูมฟักมานานหลายพันปีแล้ว เมื่อกลิ่นอายความแค้นความชั่วร้ายที่ล้อมวนอยู่แถวศาลเทพอภิบาลเมืองเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ มันจึงไม่อยากอยู่ในเมืองสุยเจี้ยอีกต่อไป ถึงได้มีลางว่าสมบัติหนักจะเผยกายบนโลก”

เฉินผิงอันหรี่ตาถามอีกครั้งว่า “ข้าก็แค่ถามฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไปอย่างนั้นเอง แต่กลับทำให้รู้ความจริงมากมายที่น่าตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้ ในเมื่อมีคนต่างถิ่นมากความสามารถทะยานลมทะยานหมอกบินไปบินมาอยู่ในเมืองสุยเจี้ยมาตั้งนานหลายปีขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะมีผู้ฝึกตนไม่น้อยมาปักหลักอยู่ในเมืองหลายปีแล้วด้วย แต่กลับไม่มีเทพเซียนท่านใดที่อยากจะลองพลิกคดีคนตระกูลนั้นขึ้นมาบ้างเลยหรือ?”

อาการตกตะลึงของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำในครานี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หาใช่การเสแสร้งแกล้งทำ จากนั้นนางก็พึมพำว่า “พลิกคดีทำไม? หากแตกหักกับศาลเทพอภิบาลเมืองแล้ว ก็จะยิ่งไม่มีทางได้แตะต้องสมบัติประหลาดชิ้นนั้นไม่ใช่หรือ?”

เฉินผิงอันปลดงอบลง เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี เกาหัวเอ่ยว่า “แบบนี้เองหรือ ก็ถือว่าเป็นคำพูดที่มีเหตุผลดี”

มีเสียงบางอย่างดังมาจากกำแพงที่อยู่ด้านหลังแท่นบูชาเทวรูปของศาล

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรู้สึกเพียงว่ามีลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า จากนั้นนางก็หันขวับไปมอง

แท่นบูชาเทพถูกคนผู้นั้นชนจนหักออกเป็นสองท่อน ฝุ่นผงปลิวคละคลุ้ง ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีที่ฟื้นคืนสติและกำลังจะแอบลงมือทำอะไรบางอย่างถูกคนผู้นั้นใช้มือข้างเดียวกุมลำคอแล้วเหวี่ยงลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง

เมื่อคนผู้นั้นลุกขึ้นมาอีกครั้ง ลมปราณของตู้อวี๋ก็ขาดสะบั้น ตายจนตายไปมากกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว

นาทีนี้ แม้ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำจะเป็นเหนียงเนียงเทพวารีผู้หนึ่ง แต่กลับยังรู้สึกว่าร่างทั้งร่างเยียบเย็นเหมือนตกอยู่ในหลุมน้ำแข็ง

คนผู้นั้นเบี่ยงตัวหันหน้ามามองนาง

สีหน้าของเขาไร้อารมณ์

สายตามืดลึกดุจบ่อน้ำที่ราวกับว่าจุดลึกของบ่อมีเจียวหลงตัวหนึ่งกำลังแหวกว่าย ทำท่าจะป่ายปีนผนังบ่อ โผล่หัวออกมามองโลกมนุษย์และฟ้าดินที่อยู่ด้านนอก

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำอยากจะก้าวถอยหลัง ยิ่งอยากจะหลบหนีไปให้ไกล เพียงแต่ว่าสองเท้าปักตรึงอยู่ลึกในใต้ดิน จึงได้แต่เอนตัวไปด้านหลัง ราวกับว่าทำแบบนี้แล้วถึงจะไม่ถูกคนผู้นั้นทำให้ตกใจตาย

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด นาทีถัดมาคนผู้นั้นกลับคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืน ปัดมือ หยิบงอบมาสวมอีกครั้ง แล้วยื่นสองนิ้วออกมาประคองงอบ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนบนภูเขา ไม่แตะต้องฝุ่นธุลีในโลกีย์ ไม่สัมผัสผลกรรม คือเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 502.5 หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 502.5 หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ ทำให้รูปปั้นของเจ้าพัง คงจะไม่ถือสากระมัง?”

ระหว่างที่พูดก็โบกชายแขนเสื้อกวาดเอาชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งในนั้นให้ไปกระแทกกับผนังเหมือนกวาดเศษขยะ ร่างของคนกระแทกกับกำแพงดังตึง และยังมีเสียงกระดูกแตกเบาๆ ดังแว่วมาให้ได้ยิน

เจ้าแห่งคูน้ำที่เฝ้าพิทักษ์โชคชะตาน้ำของลำธารลำคลองแถบหนึ่งผู้นั้นรู้สึกเพียงว่ากระดูกทั่วร่างชาดิกไปหมด

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรีบพูดเสียงสั่นว่า “ไม่เป็นไรๆ ขอแค่เซียนซืออารมณ์ดีก็พอ อย่าว่าแต่รูปปั้นหักเป็นสองท่อนเลย ต่อให้แตกละเอียดก็ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งของเมืองสุยเจี้ยนั่น เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำค้อมเอวลงเล็กน้อย ใช้สองมือประคองวัตถุตระกูลเซียนที่เป็นลักษณะของถ้วยมีประกายแสงแวววาวใบหนึ่งขึ้นมา “เซียนซือสามารถดื่มเหล้าพลางฟังบ่าวค่อยๆ เล่าไปด้วยได้”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลูกไม้นี้ของเจ้า ขนาดเจ้าคนแซ่ตู้ยังไม่หลงกล แล้วเจ้าคิดว่าจะเอามาใช้กับข้าได้ผลหรือ? อีกอย่างเหตุใดศิษย์น้องคนนั้นของเขาถึงได้อาลัยอาวรณ์มิอาจลืมเลือนเจ้าได้เสียที ในใจฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำอย่างเจ้าจะไม่รู้เลยหรือ? หากเจ้าอยากจะรนหาที่ตายจริงๆ ก็ควรจะใช้วิธีที่มันฉลาดกว่านี้หน่อยกระมัง เห็นว่าวิชาหมัดของข้าต่ำต้อย ไม่มีประสบการณ์ทางโลก เป็นคนหลอกง่ายอย่างนั้นหรือ?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรีบเก็บถ้วยเหล้าใบนั้นมา แต่กลางกระหม่อมกลับมีไอเย็นเยียบผุดขึ้นมาระลอกหนึ่ง จากนั้นความเจ็บปวดก็แล่นปราดเข้าสู่หัวใจ ร่างทั้งร่างของนางถูกตบจนเข่าสองข้างจมหายเข้าไปในดิน

จิตวิญญาณสะท้านไหวประหนึ่งตกอยู่ท่ามกลางหม้อน้ำมันเดือด ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำข่มกลั้นความเจ็บปวด ฟันของนางกระทบกัน เสียงที่พูดก็ยิ่งสั่นเครือ “เซียนซือโปรดเมตตา เซียนซือโปรดเมตตา บ่าวไม่กล้ารนหาที่ตายอีกแล้ว”

เฉินผิงอันโบกมือ “ข้าไม่ใช่เจ้าคนแซ่ตู้ผู้นี้ ไม่เคยมีความบาดหมางอะไรกับทะเลสาบชางอวิ๋นของพวกเจ้า เพียงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น หากไม่เป็นเพราะเจ้าคนแซ่ตู้ดึงดันจะให้ข้าออกกระบวนท่าให้ได้ ข้าก็ไม่เต็มใจจะเข้ามาที่นี่ บอกเรื่องวงในของเมืองสุยเจี้ยที่เจ้ารู้มาตามตรง หากมีเรื่องใดที่ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ แต่เจ้าที่รู้กลับแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องชำระบัญชีทั้งหมดของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำแล้ว ถ้วยเลี่ยนเยี่ยนที่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำจงใจเก็บไว้ในชายแขนเสื้อใบนั้น อันที่จริงคือวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เอาไว้ใช้บรรจุน้ำแกงลวงวิญญาณและโชคชะตาดอกท้อกระมัง?”

รอยยิ้มของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้

ไอ้หมอนี่ ชัดเจนแล้วว่ารับมือได้ยากยิ่งกว่าตู้อวี๋เป็นร้อยเท่า!

แล้วฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก็เริ่มเล่าเรื่องหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองสุยเจี้ยที่อยู่ติดกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ

เฉินผิงอันฟังคำอธิบายของนางพลางใช้หางตาเหลือบมองสีหน้าของสาวใช้สองคนนั้นเงียบๆ

ร่างทองของเทพอภิบาลเมืองเมืองสุยเจี้ยกำลังจะแหลกสลายจริงๆ เดินมาสุดปลายทางของมหามรรคาควันธูปแล้ว คำว่าอับจนหนทางก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง แต่ก็เหมือนกับคนที่กลัวตาย เทพอภิบาลเมืองท่านนั้นก็ไม่ต่างกัน เขาเองก็ใช้ทุกวิธีการที่มี อันดับแรกคือพยายามหาเส้นสาย เผาผลาญทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี ไปขอบรรดาศักดิ์ที่ล้ำสถานะของตัวเองมาจากราชสำนัก แต่ผลที่ได้ก็ยังไม่ดีพอ นี่มีสาเหตุมาจากเรื่องเก่าแก่ที่ตอนนั้นไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ แต่กลับส่งผลกระทบอย่างลึกล้ำยาวไกล เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน เมืองสุยเจี้ยเคยเกิดคดีอยุติธรรมที่คนตระกูลบัณฑิตทั้งตระกูลถูกฆ่าตาย สุดท้ายในสายตาของขุนนางในราชสำนักและของชาวบ้านก็ถือว่ากลายเป็นคดีที่ไม่ได้ถูกคลี่คลายให้ได้รับความเป็นธรรมมาอย่างยาวนาน ทว่าความจริงกลับอยู่ห่างไปคนละโยชน์ ตอนนั้นนักการทุกคนในศาลเทพอภิบาลเมืองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะร้ายแรงขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเหตุการณ์ในวันนี้คงแตกต่างออกไปแล้ว

ทะเลสาบชางอวิ๋นเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกับเมืองสุยเจี้ย ใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบที่ปกครองหนึ่งทะเลสาบสามลำคลองสองคูน้ำหยั่งรากฐานไว้อย่างลึกล้ำ เป็นเหตุให้ได้รู้เรื่องวงในมามากมาย ว่าตระกูลบัณฑิตตระกูลนั้นสั่งสมบุญทำความดีกันมาหลายยุคหลายสมัย

ในกรอบป้ายเหนือศาลบรรพชนของตระกูลก็ใกล้จะสามารถฟูมฟักคนจิ๋วควันธูปคนหนึ่งได้แล้ว ทว่ากลับต้องเจอพิบัติภัยภายในค่ำคืนเดียว ไก่หมาวุ่นวายอลหม่าน ท่านเทพอภิบาลเมืองพิโรธหนัก จึงออกคำสั่งให้เหล่าเสมียนในศาลตรวจสอบเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าเมื่อตรวจสอบไปถึงท้ายที่สุดกลับตรวจสอบมาถึงหัวของศาลเทพอภิบาลเมืองเอง ที่แท้ขุนนางหลักกองหยินหยางซึ่งเป็นผู้นำของหกกองในศาลเทพอภิบาลเมือง ในฐานะขุนนางผู้ช่วยอันดับหนึ่งของเทพอภิบาลเมือง กลับสมคบคิดกับแม่ทัพถือตรวนที่ทำหน้าที่คล้ายขุนนางผู้ช่วยหัวหน้ามือปราบของหนึ่งอำเภอ คนหนึ่งจำแลงกายเป็นคนโดยพลการ แล้วจึงสวมเนื้อหนังมังสาของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งไปหลอกลวงย่ำยีสตรีของครอบครัวนั้น ส่วนแม่ทัพถือตรวนก็หมายตาอยากครอบครองคนจิ๋วควันธูปที่ยังก่อตัวไม่สมบูรณ์ หวังว่าจะไปจับเอามาเป็นสินบนให้แก่ผู้ฝึกตนตระกูลเซียนคนหนึ่ง พยายามจะเลื่อนขั้นให้ตัวเองได้เป็นขุนนางบู๊ผู้พิพากษาที่ดำรงหน้าที่ในศาลเทพอภิบาลเมืองประจำเขตการปกครองซึ่งอยู่ใต้คนคนเดียว แต่อยู่เหนือขุนนางอีกมากมาย แม่ทัพถือตรวนผู้นั้นจึงไปบีบบังคับขุนนางหลักกองหยินหยาง ขุนนางใหญ่สองคนในศาลเทพอภิบาลเมืองที่เดิมทีควรจะช่วยดูแลลมฝนให้ราบรื่น ปกครองหยินหยางให้มีระเบียบกลับสมรู้ร่วมคิดกันไปจ้างโจรในยุทธภพที่ก่อคดีมาอย่างโชกโชนกลุ่มหนึ่งให้เข้ามาในเมือง ใช้เลือดล้างตระกูลนักปราชญ์ตระกูลนั้น และขุนนางหลักกองหยินหยางก็ยังแอบเลี้ยงดูสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงามสองคนไว้ในจวนที่เงียบสงัดอยู่ห่างไกลไปในแถบป่านอกเมือง

หากมีเพียงเท่านี้ ต่อให้ท่านเทพอภิบาลเมืองจะแค่ไต่สวนกันเป็นการส่วนตัวแล้วลงโทษขุนนางผู้ช่วยทั้งสองในสถานเบา ก็คงไม่ต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ แต่เทพอภิบาลเมืองที่ตอนมีชีวิตอยู่ก็เชี่ยวชาญด้านการสร้างชื่อเสียงจอมปลอมผู้นั้น ภายนอกก็สั่งให้ขุนพลผีจำนวนมากช่วยทางการตามหาตัวโจรกลุ่มนั้นแล้วสังหารทิ้งจนสิ้น ไม่เหลือคนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว แต่ความจริงแล้วแอบปล่อยตัวขุนนางหลักกองหยินหยางไป สังหารแม่ทัพถือตรวนที่เห็นดีเห็นงามเข้าข้างผู้อื่นคนนั้นทิ้ง ส่วนสตรีสองคนแน่นอนว่าย่อมหนีพ้นหายนะรอดตายมาได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคืนนั้นจะมีเด็กคนหนึ่งของตระกูลบัณฑิตกำลังเล่นซ่อนแอบกับสาวใช้อยู่พอดี เขาไปแอบอยู่ระหว่างซอกกำแพง และสาวใช้คนนั้นก็ภักดีมีใจอยากปกป้องเจ้านาย ตอนที่ใกล้จะตายจึงตั้งใจพาตัวไปตายอยู่ใกล้กับซอกกำแพงนั้น เพื่อใช้ศพของตัวเองปิดทางเข้า และสุดท้ายเด็กคนนั้นก็โชคดีหนีออกจากเมืองสุยเจี้ยไปได้สำเร็จ หลายสิบปีต่อมา ภายใต้ความช่วยเหลือของผู้อาวุโสที่สนิทสนมกับตระกูลคนหนึ่ง จึงได้เปลี่ยนชื่อแซ่สำมะโนครัว สอบติดขุนนางตำแหน่งสูง ผ่านไปอีกสิบปี อนาคตการงานราบรื่นรุ่งเรือง ได้กลายเป็นขุนนางผู้เป็นดั่งพ่อแม่ของปวงประชา เขาจึงเริ่มลงมือพลิกคดีนี้ สืบสาวเบาะแสไปจนกระทั่งพบว่ามีสาเหตุมาจากศาลเทพอภิบาลเมือง แน่นอนว่าย่อมต้องเกิดโศกนาฎกรรมขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่เมื่อเทียบกับปีนั้นที่ผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่วแล้ว คราวนี้ตั้งแต่ต้นจนจบกลับเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง ข่าวที่ทางราชสำนักได้รับมาก็มีแค่ว่าเจ้าเมืองผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีท่านหนึ่งได้ป่วยตายในขณะดำรงหน้าที่เท่านั้น

บัณฑิตที่เดิมทีควรมีอนาคตสดใสผู้นั้นไม่เคยแต่งงานเลยตลอดชีวิต ข้างกายก็ไร้เด็กรับใช้หรือสาวใช้ เขาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังมาโดยตลอด แล้วก็ปิดฉากชีวิตของตัวเองลงด้วยการกระโจนเข้าสู่ความตายเพียงลำพัง ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในเมืองมานานแล้ว ก่อนหน้าที่จะแอบส่งจดหมายไปให้เพื่อนสนิทในราชสำนัก เขาก็ได้มองความตายเป็นดั่งมาตุภูมิ และวันสุดท้ายนั้นเขาก็ไปเยือนจวนที่กลายเป็นจวนร้างเป็นที่พักพิงของภูตผีมานานหลายปีแห่งนั้น ท่ามกลางม่านราตรี คนผู้นั้นถอดชุดขุนนาง สวมชุดผ้าป่านไว้ทุกข์ จุดธูปโขกศีรษะคำนับ จากนั้นก็…ตายไป

ในความเป็นจริงแล้วนับตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเดินออกมาจากจวนเจ้าเมือง ขุนพลผีมากมายของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ได้มาล้อมจวนเอาไว้แล้ว เทพท่องทิวาราตรีรับหน้าที่เป็น ‘เทพทวารบาล’ ให้ด้วยตัวเอง ในจวนก็ยิ่งมีขุนนางผู้พิพากษาบุ๋นบู๊อำพรางตัวอยู่ข้างกายคนผู้นี้ จับตาจ้องมองเขาไว้เขม็ง

ดังนั้นกลางดึกของคืนนั้นที่คนผู้นี้เดินออกจากจวนเจ้าเมืองไปยังบ้านหลังเดิม อย่าว่าแต่คนเดินเท้าบนถนนเลย แม้แต่คนตีฆ้องบอกเวลาก็ยังไม่เห็นแม้เงา

หลังจากที่เทพอภิบาลเมืองของเมืองสุยเจี้ยได้ถอนรากถอนโคนจนสิ้นแล้ว สามปีต่อมาเขาก็ค้นพบว่าร่างทองของตนเริ่มปรากฎรอยร้าวหนึ่งเส้น

ผลบุญที่สั่งสมมากลับไม่อาจซ่อมแซมรอยร้าวนี้ได้ ได้แต่มองดูมันขยายลุกลามไปทั่วร่างทองอย่างต่อเนื่องคาตาตัวเอง

ดังนั้นจึงมีภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในเมืองสุยเจี้ยตอนนี้

เฉินผิงอันรับฟังอย่างสงบอยู่ตลอดเวลา จากนั้นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่เล่าด้วยน้ำเสียงที่ฟังคล้ายมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นก็ให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่ศาลเทพอภิบาลเมืองเมืองสุยเจี้ยว่า “ก่อกรรมทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่ คือถ้อยคำที่ศาลเทพอภิบาลเมืองอย่างพวกเขาคุ้นเคยกันที่สุดแล้ว ช่างน่าขันจริงๆ ศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองสุยเจี้ยแห่งนั้นยังมีรางลูกคิดขนาดใหญ่ที่แกะสลักจากก้อนหินอันหนึ่งวางอยู่ เพื่อใช้ตักเตือนคนบนโลกว่า คนกระทำ เทพคำนวณ”

ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากถาม “จดหมายลับที่ส่งไปยังเมืองหลวงถูกศาลเทพอภิบาลเมืองดักเอาไว้ได้?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำส่ายหน้า “เรียนเซียนซือ ตามคำบอกของเจ้าทะเลสาบข้า เจ้าเมืองผู้นั้นทำอะไรรอบคอบระมัดระวังอย่างยิ่ง จดหมายนั้นเดิมทีควรจะต้องส่งไปถึงมือสหายของเขาในเมืองหลวงถึงจะถูก เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นดั่งวัวปั้นดินที่จมลงสู่ทะเล ตลอดหลายปีมานี้ทางราชสำนักไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย กลับเป็นคนที่รับจดหมายผู้นั้นที่มีชีวิตราบรื่นอยู่ในวงการขุนนาง ขนาดในอดีตปีนั้นก็ยังได้เป็นถึงเจ้ากรมอาญาแล้ว ภายหลังตระกูลก็ยิ่งเจริญรุ่งเรือง โชคชะตาบุ๋นและการสอบเคอจวี่ของพวกลูกหลานล้วนดีเยี่ยม ลำพังเพียงแค่จิ้นซื่อก็มีมากถึงหกคนแล้ว เจ้าประมุขคนปัจจุบันก็ยิ่งเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาที่ได้ปกครองพื้นที่แถบหนึ่ง”

เฉินผิงอันถามอีก “เหตุใดผู้ฝึกตนมากมาย รวมถึงเจ้าคนแซ่ตู้ผู้นี้ถึงได้พร้อมใจกันไปเยือนเมืองสุยเจี้ย? หรือว่าเทพอภิบาลเมืองของเมืองสุยเจี้ยที่มีจิตใจกว้างขวางผู้นั้นคบหาสหายบนภูเขาไว้มากมาย พวกเขาก็เลยคิดจะมาช่วยเขา?”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่ยืนก้มหน้าตัวตรงพูดเสียงเบาอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่ายมาโดยตลอด เวลานี้แหงนหน้าขึ้นกล่าว “ฮวงจุ้ยของเมืองสุยเจี้ยค่อนข้างประหลาด หลังจากที่เกิดแรงกระเทือนขึ้นในศาลเทพอภิบาลเมือง ก็เหมือนว่าจะรั้งสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่งไว้ไม่อยู่ ทุกๆ ครั้งที่เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ฝนตกกระหน่ำหรือหิมะใหญ่ตก ในเมืองก็จะมีแสงเรืองรองเส้นหนึ่งผุดมาจากคุกแห่งหนึ่งแล้วทะยานขึ้นฟ้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจึงมียอดฝีมือบนภูเขาหลายคนที่ไปตรวจสอบสืบหา เพียงแต่ว่ายังไม่อาจจับต้นตอที่มาของสมบัติประหลาดได้ แต่ก็มียอดฝีมือด้านภูมิศาสตร์คนหนึ่งอนุมานไว้ว่า นั่นคือวัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินที่ถูกโชคชะตาน้ำและภูเขาของหนึ่งเขตการปกครองฟูมฟักมานานหลายพันปีแล้ว เมื่อกลิ่นอายความแค้นความชั่วร้ายที่ล้อมวนอยู่แถวศาลเทพอภิบาลเมืองเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ มันจึงไม่อยากอยู่ในเมืองสุยเจี้ยอีกต่อไป ถึงได้มีลางว่าสมบัติหนักจะเผยกายบนโลก”

เฉินผิงอันหรี่ตาถามอีกครั้งว่า “ข้าก็แค่ถามฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไปอย่างนั้นเอง แต่กลับทำให้รู้ความจริงมากมายที่น่าตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้ ในเมื่อมีคนต่างถิ่นมากความสามารถทะยานลมทะยานหมอกบินไปบินมาอยู่ในเมืองสุยเจี้ยมาตั้งนานหลายปีขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะมีผู้ฝึกตนไม่น้อยมาปักหลักอยู่ในเมืองหลายปีแล้วด้วย แต่กลับไม่มีเทพเซียนท่านใดที่อยากจะลองพลิกคดีคนตระกูลนั้นขึ้นมาบ้างเลยหรือ?”

อาการตกตะลึงของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำในครานี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หาใช่การเสแสร้งแกล้งทำ จากนั้นนางก็พึมพำว่า “พลิกคดีทำไม? หากแตกหักกับศาลเทพอภิบาลเมืองแล้ว ก็จะยิ่งไม่มีทางได้แตะต้องสมบัติประหลาดชิ้นนั้นไม่ใช่หรือ?”

เฉินผิงอันปลดงอบลง เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี เกาหัวเอ่ยว่า “แบบนี้เองหรือ ก็ถือว่าเป็นคำพูดที่มีเหตุผลดี”

มีเสียงบางอย่างดังมาจากกำแพงที่อยู่ด้านหลังแท่นบูชาเทวรูปของศาล

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรู้สึกเพียงว่ามีลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า จากนั้นนางก็หันขวับไปมอง

แท่นบูชาเทพถูกคนผู้นั้นชนจนหักออกเป็นสองท่อน ฝุ่นผงปลิวคละคลุ้ง ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีที่ฟื้นคืนสติและกำลังจะแอบลงมือทำอะไรบางอย่างถูกคนผู้นั้นใช้มือข้างเดียวกุมลำคอแล้วเหวี่ยงลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง

เมื่อคนผู้นั้นลุกขึ้นมาอีกครั้ง ลมปราณของตู้อวี๋ก็ขาดสะบั้น ตายจนตายไปมากกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว

นาทีนี้ แม้ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำจะเป็นเหนียงเนียงเทพวารีผู้หนึ่ง แต่กลับยังรู้สึกว่าร่างทั้งร่างเยียบเย็นเหมือนตกอยู่ในหลุมน้ำแข็ง

คนผู้นั้นเบี่ยงตัวหันหน้ามามองนาง

สีหน้าของเขาไร้อารมณ์

สายตามืดลึกดุจบ่อน้ำที่ราวกับว่าจุดลึกของบ่อมีเจียวหลงตัวหนึ่งกำลังแหวกว่าย ทำท่าจะป่ายปีนผนังบ่อ โผล่หัวออกมามองโลกมนุษย์และฟ้าดินที่อยู่ด้านนอก

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำอยากจะก้าวถอยหลัง ยิ่งอยากจะหลบหนีไปให้ไกล เพียงแต่ว่าสองเท้าปักตรึงอยู่ลึกในใต้ดิน จึงได้แต่เอนตัวไปด้านหลัง ราวกับว่าทำแบบนี้แล้วถึงจะไม่ถูกคนผู้นั้นทำให้ตกใจตาย

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด นาทีถัดมาคนผู้นั้นกลับคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืน ปัดมือ หยิบงอบมาสวมอีกครั้ง แล้วยื่นสองนิ้วออกมาประคองงอบ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนบนภูเขา ไม่แตะต้องฝุ่นธุลีในโลกีย์ ไม่สัมผัสผลกรรม คือเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+