กระบี่จงมา 508.4 ประหนึ่งองค์เทพประทับบัลลังก์สูง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 508.4 ประหนึ่งองค์เทพประทับบัลลังก์สูง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ข้อศอกของเฉินผิงอันเท้าอยู่บนที่เท้าแขนของเก้าอี้ โน้มร่างมาด้านหน้า ท่านั่งดูเกียจคร้าน “หากยังไม่พูด ข้าจะเลือกฆ่าเองมั่วๆ แล้วนะ”

ดังนั้นจึงเริ่มมีคนเปิดโปงรากฐานของผู้ฝึกลมปราณอีกคนหนึ่ง

คือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งของสำนักศัตรู

รากฐานไม่ลึกล้ำ ขอบเขตก็ไม่สูง แต่กลับทำเรื่องเลวๆ ไว้ไม่น้อย

เป็นคนที่คนเล่าตั้งใจเลือกสรรมาเป็นพิเศษ

เมื่อเจอกับเส้นแบ่งแยกความเป็นความตาย หากไม่ใช้สมองเสียบ้าง แล้วจะให้รอไปร้องทุกข์ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่วังยมบาลในตำนานหรืออย่างไร?

วังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นยังคงมีแสงไฟสว่างเรืองรอง ยากจะแยกว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน

แต่ทัศนียภาพเหนือทะเลสาบกลับมีพระจันทร์เสี้ยวลอยเหนือกิ่งหลิวแล้ว บรรยายสงบเงียบเป็นสุข

ทางฝั่งของเมืองสุยเจี้ยก็พากันดับตะเกียง ไม่ก็ปลดโคมไฟลงแล้วเช่นกัน แต่ละครอบครัวปิดประตูเงียบไม่ออกจากบ้าน ไม่มีใครกล้าเพิ่มแสงสว่างให้ยามค่ำคืนวันนี้เพื่อก่อเรื่องก่อราวโดยไม่จำเป็น

คลื่นมรกตแยกตัวออกจากกัน เซียนกระบี่หนุ่มชุดขาวที่ด้านหลังสะพายกระบี่คนหนึ่งเดินออกมา ข้างกายคือเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่จิตใจสงบลงได้แล้ว

ส่วนในวังมังกรแห่งนั้น เสียงถกเถียงดังอยู่นาน สุดท้ายก็ตายกันไปเกินครึ่ง หาใช่ครึ่งหนึ่งอย่างที่บอกไว้แต่แรกไม่

ทุกคนที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ไม่มีใครรู้สึกว่านายท่านเซียนกระบี่ผู้นี้นิสัยชั่วร้าย ตนมีชีวิตรอดมาได้แล้ว ยังจะไม่รู้จักพออีกหรือ?

ในมือของเฉินผิงอันมีขวดกระเบื้องใสแวววาวขวดหนึ่งเพิ่มมา ด้านในมีน้ำไหลสีเขียวมรกตแผ่กระเพื่อมน้อยๆ แก่นโชคชะตาน้ำขวดนี้ไม่เพียงแต่หายากและมีมูลค่ามาก สำหรับตนแล้วยังไม่ต่างจากฝนที่ตกตรงเวลา

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เจ้าแห่งทะเลสาบ เจ้าว่าสรุปแล้วเจ้าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่?”

เจ้าแห่งทะเลสาบที่ไม่มีชุดคลุมอาคมสีม่วงหรูหราตัวนั้นอยู่แล้วยิ้มอ่อน “ข้าไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย วันหน้าข้าที่เป็นเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะต้องปกป้องน้ำดินแถบนี้ให้ดีอย่างแน่นอน หากพูดถึงระยะยาว ก็ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลส่งเดชเหมือนอ้าปากเปิดแม่น้ำ แต่จะทำตามที่เซียนกระบี่สั่งความไว้ นั่นคือปกป้องอาณาเขตของทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ ให้ลมฝนตกต้องตามฤดูกาลเป็นเวลาร้อยปี จะไม่มีภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ส่วนหายนะจากมนุษย์นั้นก็จะยังคงทำตามคำสั่งของเซียนกระบี่ จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยมันไป”

“อ้าปากเปิดแม่น้ำ นี่ถือเป็นคำกล่าวที่ดีของบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางน้ำอย่างพวกเจ้า”

เฉินผิงอันยิ้มแล้วก็เอ่ยอีกว่า “ยังมีเรื่องนั้น อย่าลืมเสียล่ะ”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบก้มหน้ากุมหมัดคารวะ “ย่อมต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ เซียนกระบี่วางใจได้เลย หากไม่สำเร็จ วันหน้าเมื่อเซียนกระบี่กลับมาจากการเดินทางท่องเที่ยวแล้วผ่านทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ ค่อยใช้กระบี่ฟันฆ่าให้ตายก็แล้วกัน”

เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นจึงทะยานลมจากไปไกล

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่ไม่เพียงแต่ไม่มีชุดคลุมมังกร ยังไม่มีบัลลังก์มังกรตัวนั้นด้วยก้มตัวค้างไว้ไม่ยอมยืดเอวขึ้นตรงเป็นนาน รอจนกระทั่งเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นจากไปไกลได้ร้อยกว่าลี้แล้วถึงได้พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด

คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่มีชีวิตรอดมาได้ จะรู้สึกเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้

มหามรรคาไม่แน่นอนก็หนีไม่พ้นอย่างนี้เอง

ก่อนหน้านี้ตอนที่เซียนกระบี่อยู่ในตำหนักใหญ่ของวังมังกร เหตุใดถึงได้รู้สึกเหมือนเขาทำตัวเป็นเทพอภิบาลเมืองคนหนึ่งมีการให้รางวัลและลงโทษอย่างชัดเจนเลยเล่า?

แปลกซะจริง

นี่คงจะเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริงในตำนานกระมัง

ผู้ฝึกตนหญิงสองคนแหวกน้ำออกมาบนผิวทะเลสาบ เวลานี้อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่ได้เห็นดวงหน้างามล้ำนั้นอีกครั้งก็รู้สึกเพียงว่ามองแค่แวบเดียวยังรู้สึกแสบตา หายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งเหล่านี้ที่นำพามา!

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบแค่นเสียงเย็นในลำคอ แล้วจึงร่ายเวทหลบน้ำจากไป

เด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวพูดบ่น “เซียนกระบี่ผู้นั้นโลภในทรัพย์สินมากเลย ได้มงกุฎทองตระกูลเซียนของบรรพจารย์ฟ่านไปแล้ว แม้แต่บนศีรษะของอาจารย์อาหญิงเยี่ยนก็ยังไม่ยอมละเว้น! หากเท่านี้ก็ยังว่าไปอย่าง แต่เขายังกล้ามาถามว่ามีเงินร้อนน้อยเงินฝนธัญพืชหรือไม่ ที่ข้าไม่เลื่อมใสเซียนกระบี่ก็ถือว่าคิดถูกแล้วจริงๆ เซียนกระบี่ที่แม้แต่ห่านบินผ่านก็ยังจับมาถอนขนแบบนี้ ไม่มีมาดของเซียนกระบี่เลยแม้แต่น้อย!”

ที่แท้บนศีรษะของเยี่ยนชิงก็ไม่มีมงกุฎทองอยู่แล้ว

นางจับมือของเด็กสาว ทอดสายตามองไปยังทิศไกลด้วยสีหน้าเคว้งคว้าง จากนั้นก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใช่แล้ว แม่หนูชุ่ยจะเลื่อมใสคนแบบนี้ไปไย”

เด็กสาวกอดแขนของเยี่ยนชิงไว้แล้วแกว่งเบาๆ ถามอย่างใสซื่อว่า “อาจารย์อาหญิงเยี่ยน ทำไมพวกเราไม่กลับดินแดนเซียนเป่าต้งพร้อมกับคนในสำนักล่ะ โลกภายนอกช่างอันตรายยิ่งนัก”

เยี่ยนชิงพลันหัวเราะ “แม่หนูชุ่ย พวกเราอย่าเพิ่งกลับสำนักกันเลย ไปลองท่องยุทธภพกันดูก่อนดีไหม?”

เด็กสาวคิดตามแล้วก็คลี่ยิ้มสดใส รอยยิ้มนั้นดุจแสงอาทิตย์สว่างจ้าน่ามอง “ตกลง ข้าอยากแอบดื่มเหล้ามาตั้งนานแล้ว!”

ยามที่ผู้ฝึกตนในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นแตกฮือเหมือนนกแตกรัง

เซียนกระบี่ชุดขาวก็ขี่กระบี่กลับเข้าเมือง แต่กลับไม่ได้ตรงไปที่เรือนผี

พอเก็บกระบี่สอดไว้ด้านหลังแล้วก็พลิ้วกายลงในตรอกเล็กที่มืดมิดแห่งหนึ่ง ก้มเอวไปหยิบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งขึ้นมา มือหนึ่งของเขาถือเงิน อีกมือหนึ่งใช้พัดพับเคาะหน้าผากตัวเอง หน้าตาบึ้งตึงคล้ายไม่อาจยอมรับตัวเองได้ ปากพูดพึมพำด้วยว่า “เงินที่สกปรกมือแบบนี้ก็ยังจะเก็บมาอีกหรือ? ตอนอยู่ในวังมังกรใต้ทะเลสาบก็ได้สมบัติมาก้อนใหญ่ขนาดนั้นแล้ว คงไม่ต้องทำถึงขั้นนี้กระมัง ช่างเถิดๆ ก็จริงนะ หากไม่เก็บไปทิ้งไว้ก็เสียเปล่า วางใจเถอะ หลายปีมานี้ยังไม่เคยได้เป็นผู้ฝึกตนดีๆ กับเขาสักที ข้าหาเงิน ข้าฝึกตน ข้าฝึกหมัด ใครที่ทำได้ไม่ดีพอก็ต้องเป็นลูกเป็นหลานของคนอื่น สังหารก่อกำเนิดยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ แต่หากคิดจะงัดข้อกับตัวเองขึ้นมา ข้าเคยแพ้ด้วยหรือ? ก็ได้ เคยแพ้ แถมยังแพ้อนาถมากด้วย แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงเป็นข้าที่ร้ายกาจอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

คำพูดประโยคนี้เกรงว่าคงมีแต่เจียงซ่างเจินหรือไม่ก็หยางหนิงซิ่งแห่งหน่วยฉงเสวียนที่มาอยู่ที่นี่เท่านั้นถึงจะฟังเข้าใจ

ชายแขนเสื้อกว้างโบกสะบัด เซียนกระบี่ชุดขาวเดินกลับเรือนผีอย่างเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้

บางครั้งที่เดินผ่านเรือนที่เทพทวารบาลหน้าประตูสามารถฟูมฟักแสงแห่งปัญญาได้บ้างแล้ว เทพเหล่านั้นก็จะพากันถอยร่นหลบซ่อนตัวทันที

ดีดปลายเท้ากระโดดข้ามกำแพง พลิ้วกายลงในลานเรือน

หลังจากเฉินผิงอันพลิ้วกายลงพื้นแล้ว ก็พลันหรี่ตาลงทันที

ตู้อวี๋ตกใจสะดุ้งโหยงเหมือนคนเห็นผีกลางวันแสกๆ รีบแบมือออก เผยให้เห็นเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารซึ่งไม่รู้ว่าสามารถเอาไปซื้อเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างได้มากแค่ไหน แม้ว่าฟันจะกระทบกันดังกึกๆ แต่ก็ยังคงร้องทุกข์ออกมาอย่างหมดเปลือก “ผู้อาวุโส คนผู้หนึ่งที่ตอนแรกบอกว่าตัวเองชื่อโจวเฝย ภายหลังดันบอกว่าตัวเองชื่อเจียงซ่างเจินบอกว่าเป็นพี่น้องกับผู้อาวุโส แย่งเอาเด็กคนนั้นไปแล้ว ข้าถูกเขาร่ายเวทกักร่างจึงไม่อาจกระดุกกระดิกได้เลย ต่อให้คิดจะสู้สุดชีวิตก็ยังคงทำไม่ได้ เขายังบอกอีกว่าเด็กกำพร้าคนนั้นมีพรสวรรค์ในการฝึกตน เขาจะพากลับไปยังแจกันสมบัติทวีป บอกให้ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วง แค่ท่องเที่ยวอยู่ทางเหนืออย่างสบายใจก็พอ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ปลดเจี้ยนเซียนแล้วโบกมือง่ายๆ หนึ่งที ทั้งกระบี่และฝักกระบี่ก็ปักตรึงลงไปกลางระเบียง จากนั้นเขาก็มานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ผูกเอว กระบี่บินสืออู่บินกลับเข้าไปด้านในอย่างเริงร่า เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง เอ่ยเนิบช้าว่า “รู้แล้ว เม็ดเสื้อเกราะจินอูชิ้นนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ ของที่ควรเป็นของเจ้าก็ไม่ต้องเกรงใจเจ้าคนผู้นั้น ถึงอย่างไรเขาก็มีเงิน เงินมากไปยังร้อนลวกมืออีกด้วย”

ตู้อวี๋อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน อดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็เกร็งหน้ากลั้นยิ้มไม่ไหว ในที่สุดก็นั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กได้อย่างสบายใจ พินิจพิเคราะห์เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นอย่างละเอียด

เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขาแล้วก็หัวเราะ “ข้าจะไม่รั้งรออยู่ที่นี่นาน ถึงเวลานั้นเจ้าก็ออกไปจากเมืองพร้อมกับข้า จากนั้นต่างคนก็ต่างไป แต่บอกกับเจ้าไว้ก่อนว่า วันหน้าเจ้าจะเป็นตาย โชคดีหรือเจอเคราะห์กรรม ข้าก็พูดได้แค่ว่าอาจจะไม่ต้องตายสถานเดียวเสมอไป ข้าได้บอกกับเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นไปแล้วว่า การเดินทางไปเยือนทิศเหนือครั้งนี้ ข้ายังจะต้องกลับมาทางใต้อีก ก็ถือว่าเป็นยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่งสำหรับเจ้า แต่กระนั้นก็ยังไม่ถือว่าเป็นยันต์ช่วยชีวิตอยู่ดี แผนการในเมืองสุยเจี้ยครั้งนี้ หากข้าเดาไม่ผิด ผู้บงการเบื้องหลังไม่ใช่ผู้ฝึกตนใหญ่แค่คนเดียว แต่เป็นสองคน ยังดีที่คนหนึ่งในนั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเกี่ยวข้องกับแคว้นเมิ่งเหลียง เขาได้ในสิ่งที่ต้องการไปแล้ว สังหารข้า…แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องดึงดันทำ แน่นอนว่าสถานการณ์ที่ดียิ่งกว่านั้นก็คือพวกเขาไม่ลงมือเล่นงานข้า หากข้าไม่ได้ตายอยู่ในทิศเหนือ ยันต์คุ้มกันกายชิ้นนี้ก็จะใช้ได้ผลไปตลอด ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่พ่อแม่ ไม่ใช่บรรพบุรุษของเจ้า หลังจากนี้เจ้าตู้อวี๋ก็ภาวนาขอให้ตัวเองโชคดีเถอะ ดังนั้นหากวันใดเจ้าถูกคนฆ่าตาย อย่างน้อยที่สุดคนที่ลงมือก็ต้องเป็นก่อกำเนิด ถึงเวลานั้นข้าก็จะพยายามแก้แค้นแทนเจ้าแล้วกัน”

คำพูดบางอย่าง

เฉินผิงอันเลือกที่จะไม่พูดออกไป

ยกตัวอย่างเช่นเจียงซ่างเจินไม่เคยทำอะไรอืดอาดยืดยาด

ไม่แน่ว่านอกจากพบหน้าตู้อวี๋แล้ว เขาเจียงซ่างเจินยังจะไปพูดบางอย่างกับคนนอกอีกด้วย

เจ้าคนที่มีชาติกำเนิดมาจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลดั้งเดิมผู้นี้ คือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เฉินผิงอันคิดว่าทำอะไรป่าเถื่อนยิ่งกว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระเสียอีก

เฉินผิงอันรู้ดียิ่งกว่าใครว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระอย่างหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยนนั้นรับมือได้ยากแค่ไหน แล้วนับประสาอะไรกับที่เจียงซ่างเจินยัง…มีเงิน

เฉินผิงอันไม่กล้าแน่ใจเลยว่าหากเจ้าหมอนี่เจอกับชุยตงซาน ใครจะมีสมบัติอาคมมากกว่ากันแน่

คาดว่าคนทั้งสองอาจจะต่างคนต่างยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งแทะเมล็ดแตง จากนั้นก็ไม่ลงมือทำอะไร เพียงแค่แต่ละคนปล่อยสมบัติอาคมออกมา เจ้าขว้างมา ข้าโยนกลับ ทั้งสองฝ่ายจะนั่งคุยกันไปได้ตลอดทั้งคืนเลยหรือไม่?

ดังนั้นถึงบอกว่าต้องหาเงินให้ได้มากๆ อย่างไรเล่า

บวกกับเด็กคนนั้นที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็เท่ากับ ‘ตกลงไปในถุงเงิน’ ที่ก็ถือว่าเป็นเขาเฉินผิงอันติดค้างน้ำใจของผู้อื่น อีกทั้งยังไม่ใช่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ด้วย

นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย

ตู้อวี๋ใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็เก็บเม็ดเสื้อเกราะจินอูเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ มารดามันเถอะ หนักจริงๆ ก่อนจะพูดยิ้มหน้าบานว่า “ผู้อาวุโส ข้าตู้อวี๋ไม่ได้ชมตัวเองจริงๆ นะ ผ่านเรื่องราวมามากมายขนาดนี้อยู่ข้างกายผู้อาวุโส เวลานี้ข้าใจกล้าขึ้นเยอะเลย!”

เฉินผิงอันมองตู้อวี๋

ตู้อวี๋หัวเราะหึหึ “ข้าพูดไปอย่างนั้นเองแหละ!”

ถือว่าตนชิงพูดก่อนแล้ว ไม่รบกวนให้ท่านผู้อาวุโสต้องเอ่ยด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันคลี่พัดพับออกโบกเบาๆ ยิ้มกว้างเอ่ย “โอ้โห พอได้เจอกับเจียงซ่างเจิน พี่น้องตู้อวี๋ก็มีความสามารถเพิ่มขึ้นเลย”

ตู้อวี๋หัวเราะหน้าเป็น “มิกล้าๆ ผู้อาวุโสเจียงคือเพื่อนรักของผู้อาวุโส ข้าที่เป็นผู้น้อยในผู้น้อยมิอาจเอื้อมไปประจบ”

เฉินผิงอันหลับตาลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เริ่มทำตัวน่าขนลุกอีกแล้วนะ”

ตู้อวี๋เกาหัว

พอฟ้าสาง ผู้อาวุโสก็มอบหมายให้เขาไปทำเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นคือให้ไปซื้อกลอนคู่ ภาพเทพทวารบาลและตัวอักษรคำว่าชุนกับคำว่าฝู

ตู้อวี๋รู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่ได้กลัวว่าหากออกจากเรือนไปแล้วจะถูกคนปาขี้ใส่ แต่กลัวว่าเทพเซียนบนยอดเขาอย่างบรรพจารย์ฟ่าน เจ้านครเย่จะเลือกรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ฉวยโอกาสนี้ตบตนให้ตายด้วยหนึ่งฝ่ามือแล้วเผ่นหนีไป

การเดินทางไปเยือนทะเลสาบชางอวิ๋นของผู้อาวุโสในคืนนั้น ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ผู้อาวุโสไม่พูด ตู้อวี๋ก็ไม่กล้าถามมาก

ตู้อวี๋ไปซื้อของที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยแตะมาก่อนด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ไม่เพียงแต่จ่ายเงินซื้อของ ยังตกรางวัลให้ร้านเป็นเศษเงินก้อนส่วนหนึ่งด้วย

มารดามันเถอะ ทุกวันนี้ข้าผู้อาวุโสต้องทำหน้ามีเมตตาปราณี ทำตัวดีกับทุกคนแล้ว!

หากทำให้เด็กคนใดบนถนนตกใจขึ้นมา ตู้อวี๋ก็คิดอยากจะเป็นฝ่ายยอมรับผิดก่อนด้วยซ้ำ

กลับมาถึงเรือนผีได้อย่างราบรื่นและครบทั้งสามสิบสองประการ ตู้อวี๋ที่ยืนสะพายห่อสัมภาระอยู่นอกประตูก็ยกมือปาดเหงื่อ ยุทธภพอันตราย ทุกหนทุกแห่งมีแต่ปราณสังหาร ต้องอยู่ใกล้ๆ ผู้อาวุโสถึงจะสบายใจจริงๆ ด้วย

เวลานี้ตู้อวี๋เห็นใครบนถนนก็รู้สึกว่าคนผู้นั้นคือยอดฝีมือที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำไปหมดแล้ว

จากนั้นผู้อาวุโสก็รับเอาห่อผ้าไป ไม่จำเป็นต้องให้ตู้อวี๋ช่วย เขาก็เริ่มติดภาพเทพทวารบาล กลอนคู่ และตัวอักษรชุนกับตัวอักษรฝูด้วยตัวเองเพียงลำพัง

เมื่อผู้อาวุโสติดตัวอักษรชุนแผ่นสุดท้ายเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองเหม่อ

อยู่ดีๆ ตู้อวี๋ก็นึกขึ้นมาว่าผู้อาวุโสเคยเอ่ยประโยคว่า ‘ค่ำคืนลมวสันต์พัดโชย’ และยังบอกว่าคำกล่าวที่ดีขนาดนี้ ไม่ควรจะเอามาเหยียบย่ำ

คนทั้งสองออกมาจากเรือนผี

ผู้อาวุโสไปที่ซากปรักของศาลเทพอัคคีมารอบหนึ่ง ทุกที่ที่เดินผ่าน พวกชาวบ้านล้วนวงแตก หวาดกลัวราวกับเขาเป็นเสือเป็นหมาป่าก็มิปาน

ผู้อาวุโสนั่งลงบนพื้นด้านหน้าซากของตำหนักหลัก หยิบธูปออกมาสามดอก พอเสียบธูปปักลงพื้นแล้วก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คงจะให้สมใจปรารถนาของเจ้าที่แค่หลับตาก็จบเรื่องแล้วไม่ได้ ยังต้องให้เจ้ามาร่วมรำคาญใจไปพร้อมกับข้าอีก คราวหน้าที่พบกัน หลังด่าข้าจบแล้วก็อย่าลืมเลี้ยงเหล้าข้าด้วยล่ะ”

ตู้อวี๋ไม่รู้ว่าเหตุใดผู้อาวุโสถึงพูดเช่นนี้ หรือว่านายท่านสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลเทพอัคคีที่ตายจนตายอีกไม่ได้แล้วจะฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีก? แต่ต่อให้ศาลถูกสร้างขึ้นใหม่ ที่ว่าการในพื้นที่สร้างเทวรูปดินเผาให้ใหม่ และยังไม่ถูกตัดชื่อออกไปจากทำเนียบภูเขาแม่น้ำของราชสำนักแคว้นอิ๋นผิง แต่นี่ต้องใช้ควันธูปกี่มากน้อยกัน จะต้องให้ชาวบ้านเมืองสุยเจี้ยภาวนาอย่างจริงใจมากแค่ไหนถึงจะสามารถสร้างร่างทองกลับคืนมาใหม่ได้อีกครั้ง?

หลังจากที่คนทั้งสองออกมาจากเมืองสุยเจี้ยด้วยกัน

เดินทางผ่านภูเขาแม่น้ำร่วมกันไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็มีวันหนึ่ง ผู้อาวุโสที่เดิมทีไม่สวมงอบและชุดเขียวมานานแล้วก็หยิบเอางอบและไม้เท้าเดินป่าออกมาอีกครั้ง สะพายหีบไม้ไผ่ที่หนักอึ้ง แต่ยังคงสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะตัวเดิม

เฉินผิงอันยื่นกระดาษสองแผ่นให้ตู้อวี๋ “แผ่นหนึ่งมีชื่อว่ายันต์ปราณหยางส่องไฟ อีกแผ่นหนึ่งมีชื่อว่ายันต์ทำลายสิ่งกีดขวาง วันหน้าเมื่อท่องอยู่ในยุทธภพ ทำดีทำชั่วล้วนเป็นเรื่องของเจ้าตู้อวี๋เอง แต่หากเจอกับเรื่องเกินความจำเป็นที่จะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นอยากเป็นจอมยุทธผู้มีใจผดุงคุณธรรม หรืออยากเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ช่วยชาวบ้านกำจัดปีศาจปราบมารสักครั้ง เจ้าถึงจะสามารถใช้ยันต์สองชนิดนี้ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อย่าได้ละโมบเลย เรียนวิธีวาดยันต์ได้สำเร็จแล้วก็มองว่าพวกมันเป็นกระดาษเสียๆ สองแผ่นไปซะ ทำได้หรือไม่? คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับเอาไว้หรือไม่ หากรับเอาไว้ อ่านจบแล้วก็จำไว้ว่าต้องทำลายให้สิ้นซาก หากไม่รับไว้ก็จากไปได้เลย ไม่เป็นไร”

ตู้อวี๋รับกระดาษสองแผ่นนั้นไว้อย่างไม่ลังเล “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ ก็เหมือนอย่างที่ผู้อาวุโสเคยบอก เป็นตาย โชคหรือเคราะห์ล้วนหาใส่ตัวเองทั้งสิ้น วันนี้ข้ารับกระดาษสองแผ่นนี้มาแล้ว ในอนาคตเมื่อฝึกวิชายันต์ตระกูลเซียนที่ผู้อาวุโสถ่ายทอดให้ได้สำเร็จ ขอแค่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ต้องตายสถานเดียว อีกทั้งยังมีความคิดเช่นนั้นอยู่ อะไรที่ข้าตู้อวี๋ทำได้ก็จะต้องลองทำดูอย่างแน่นอน!”

คนผู้นั้นคลี่ยิ้ม ตบไหล่ตู้อวี๋ “ดีมาก”

ตู้อวี๋ถึงขั้นน้ำตาคลอนิดๆ

มองเงาร่างที่ค่อยๆ จากไปไกลของผู้อาวุโส

ตู้อวี๋พลันถามว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเป็นเซียนกระบี่ เหตุใดถึงไม่ขี่กระบี่เดินทางไกล?”

คนผู้นั้นเพียงแค่จับประคองงอบ โบกมือให้เขาแล้วเดินหน้าต่อไป

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 508.4 ประหนึ่งองค์เทพประทับบัลลังก์สูง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 508.4 ประหนึ่งองค์เทพประทับบัลลังก์สูง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ข้อศอกของเฉินผิงอันเท้าอยู่บนที่เท้าแขนของเก้าอี้ โน้มร่างมาด้านหน้า ท่านั่งดูเกียจคร้าน “หากยังไม่พูด ข้าจะเลือกฆ่าเองมั่วๆ แล้วนะ”

ดังนั้นจึงเริ่มมีคนเปิดโปงรากฐานของผู้ฝึกลมปราณอีกคนหนึ่ง

คือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งของสำนักศัตรู

รากฐานไม่ลึกล้ำ ขอบเขตก็ไม่สูง แต่กลับทำเรื่องเลวๆ ไว้ไม่น้อย

เป็นคนที่คนเล่าตั้งใจเลือกสรรมาเป็นพิเศษ

เมื่อเจอกับเส้นแบ่งแยกความเป็นความตาย หากไม่ใช้สมองเสียบ้าง แล้วจะให้รอไปร้องทุกข์ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่วังยมบาลในตำนานหรืออย่างไร?

วังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นยังคงมีแสงไฟสว่างเรืองรอง ยากจะแยกว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน

แต่ทัศนียภาพเหนือทะเลสาบกลับมีพระจันทร์เสี้ยวลอยเหนือกิ่งหลิวแล้ว บรรยายสงบเงียบเป็นสุข

ทางฝั่งของเมืองสุยเจี้ยก็พากันดับตะเกียง ไม่ก็ปลดโคมไฟลงแล้วเช่นกัน แต่ละครอบครัวปิดประตูเงียบไม่ออกจากบ้าน ไม่มีใครกล้าเพิ่มแสงสว่างให้ยามค่ำคืนวันนี้เพื่อก่อเรื่องก่อราวโดยไม่จำเป็น

คลื่นมรกตแยกตัวออกจากกัน เซียนกระบี่หนุ่มชุดขาวที่ด้านหลังสะพายกระบี่คนหนึ่งเดินออกมา ข้างกายคือเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่จิตใจสงบลงได้แล้ว

ส่วนในวังมังกรแห่งนั้น เสียงถกเถียงดังอยู่นาน สุดท้ายก็ตายกันไปเกินครึ่ง หาใช่ครึ่งหนึ่งอย่างที่บอกไว้แต่แรกไม่

ทุกคนที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ไม่มีใครรู้สึกว่านายท่านเซียนกระบี่ผู้นี้นิสัยชั่วร้าย ตนมีชีวิตรอดมาได้แล้ว ยังจะไม่รู้จักพออีกหรือ?

ในมือของเฉินผิงอันมีขวดกระเบื้องใสแวววาวขวดหนึ่งเพิ่มมา ด้านในมีน้ำไหลสีเขียวมรกตแผ่กระเพื่อมน้อยๆ แก่นโชคชะตาน้ำขวดนี้ไม่เพียงแต่หายากและมีมูลค่ามาก สำหรับตนแล้วยังไม่ต่างจากฝนที่ตกตรงเวลา

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เจ้าแห่งทะเลสาบ เจ้าว่าสรุปแล้วเจ้าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่?”

เจ้าแห่งทะเลสาบที่ไม่มีชุดคลุมอาคมสีม่วงหรูหราตัวนั้นอยู่แล้วยิ้มอ่อน “ข้าไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย วันหน้าข้าที่เป็นเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะต้องปกป้องน้ำดินแถบนี้ให้ดีอย่างแน่นอน หากพูดถึงระยะยาว ก็ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลส่งเดชเหมือนอ้าปากเปิดแม่น้ำ แต่จะทำตามที่เซียนกระบี่สั่งความไว้ นั่นคือปกป้องอาณาเขตของทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ ให้ลมฝนตกต้องตามฤดูกาลเป็นเวลาร้อยปี จะไม่มีภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ส่วนหายนะจากมนุษย์นั้นก็จะยังคงทำตามคำสั่งของเซียนกระบี่ จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยมันไป”

“อ้าปากเปิดแม่น้ำ นี่ถือเป็นคำกล่าวที่ดีของบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางน้ำอย่างพวกเจ้า”

เฉินผิงอันยิ้มแล้วก็เอ่ยอีกว่า “ยังมีเรื่องนั้น อย่าลืมเสียล่ะ”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบก้มหน้ากุมหมัดคารวะ “ย่อมต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ เซียนกระบี่วางใจได้เลย หากไม่สำเร็จ วันหน้าเมื่อเซียนกระบี่กลับมาจากการเดินทางท่องเที่ยวแล้วผ่านทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ ค่อยใช้กระบี่ฟันฆ่าให้ตายก็แล้วกัน”

เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นจึงทะยานลมจากไปไกล

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่ไม่เพียงแต่ไม่มีชุดคลุมมังกร ยังไม่มีบัลลังก์มังกรตัวนั้นด้วยก้มตัวค้างไว้ไม่ยอมยืดเอวขึ้นตรงเป็นนาน รอจนกระทั่งเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นจากไปไกลได้ร้อยกว่าลี้แล้วถึงได้พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด

คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่มีชีวิตรอดมาได้ จะรู้สึกเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้

มหามรรคาไม่แน่นอนก็หนีไม่พ้นอย่างนี้เอง

ก่อนหน้านี้ตอนที่เซียนกระบี่อยู่ในตำหนักใหญ่ของวังมังกร เหตุใดถึงได้รู้สึกเหมือนเขาทำตัวเป็นเทพอภิบาลเมืองคนหนึ่งมีการให้รางวัลและลงโทษอย่างชัดเจนเลยเล่า?

แปลกซะจริง

นี่คงจะเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริงในตำนานกระมัง

ผู้ฝึกตนหญิงสองคนแหวกน้ำออกมาบนผิวทะเลสาบ เวลานี้อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่ได้เห็นดวงหน้างามล้ำนั้นอีกครั้งก็รู้สึกเพียงว่ามองแค่แวบเดียวยังรู้สึกแสบตา หายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งเหล่านี้ที่นำพามา!

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบแค่นเสียงเย็นในลำคอ แล้วจึงร่ายเวทหลบน้ำจากไป

เด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวพูดบ่น “เซียนกระบี่ผู้นั้นโลภในทรัพย์สินมากเลย ได้มงกุฎทองตระกูลเซียนของบรรพจารย์ฟ่านไปแล้ว แม้แต่บนศีรษะของอาจารย์อาหญิงเยี่ยนก็ยังไม่ยอมละเว้น! หากเท่านี้ก็ยังว่าไปอย่าง แต่เขายังกล้ามาถามว่ามีเงินร้อนน้อยเงินฝนธัญพืชหรือไม่ ที่ข้าไม่เลื่อมใสเซียนกระบี่ก็ถือว่าคิดถูกแล้วจริงๆ เซียนกระบี่ที่แม้แต่ห่านบินผ่านก็ยังจับมาถอนขนแบบนี้ ไม่มีมาดของเซียนกระบี่เลยแม้แต่น้อย!”

ที่แท้บนศีรษะของเยี่ยนชิงก็ไม่มีมงกุฎทองอยู่แล้ว

นางจับมือของเด็กสาว ทอดสายตามองไปยังทิศไกลด้วยสีหน้าเคว้งคว้าง จากนั้นก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใช่แล้ว แม่หนูชุ่ยจะเลื่อมใสคนแบบนี้ไปไย”

เด็กสาวกอดแขนของเยี่ยนชิงไว้แล้วแกว่งเบาๆ ถามอย่างใสซื่อว่า “อาจารย์อาหญิงเยี่ยน ทำไมพวกเราไม่กลับดินแดนเซียนเป่าต้งพร้อมกับคนในสำนักล่ะ โลกภายนอกช่างอันตรายยิ่งนัก”

เยี่ยนชิงพลันหัวเราะ “แม่หนูชุ่ย พวกเราอย่าเพิ่งกลับสำนักกันเลย ไปลองท่องยุทธภพกันดูก่อนดีไหม?”

เด็กสาวคิดตามแล้วก็คลี่ยิ้มสดใส รอยยิ้มนั้นดุจแสงอาทิตย์สว่างจ้าน่ามอง “ตกลง ข้าอยากแอบดื่มเหล้ามาตั้งนานแล้ว!”

ยามที่ผู้ฝึกตนในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นแตกฮือเหมือนนกแตกรัง

เซียนกระบี่ชุดขาวก็ขี่กระบี่กลับเข้าเมือง แต่กลับไม่ได้ตรงไปที่เรือนผี

พอเก็บกระบี่สอดไว้ด้านหลังแล้วก็พลิ้วกายลงในตรอกเล็กที่มืดมิดแห่งหนึ่ง ก้มเอวไปหยิบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งขึ้นมา มือหนึ่งของเขาถือเงิน อีกมือหนึ่งใช้พัดพับเคาะหน้าผากตัวเอง หน้าตาบึ้งตึงคล้ายไม่อาจยอมรับตัวเองได้ ปากพูดพึมพำด้วยว่า “เงินที่สกปรกมือแบบนี้ก็ยังจะเก็บมาอีกหรือ? ตอนอยู่ในวังมังกรใต้ทะเลสาบก็ได้สมบัติมาก้อนใหญ่ขนาดนั้นแล้ว คงไม่ต้องทำถึงขั้นนี้กระมัง ช่างเถิดๆ ก็จริงนะ หากไม่เก็บไปทิ้งไว้ก็เสียเปล่า วางใจเถอะ หลายปีมานี้ยังไม่เคยได้เป็นผู้ฝึกตนดีๆ กับเขาสักที ข้าหาเงิน ข้าฝึกตน ข้าฝึกหมัด ใครที่ทำได้ไม่ดีพอก็ต้องเป็นลูกเป็นหลานของคนอื่น สังหารก่อกำเนิดยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ แต่หากคิดจะงัดข้อกับตัวเองขึ้นมา ข้าเคยแพ้ด้วยหรือ? ก็ได้ เคยแพ้ แถมยังแพ้อนาถมากด้วย แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงเป็นข้าที่ร้ายกาจอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

คำพูดประโยคนี้เกรงว่าคงมีแต่เจียงซ่างเจินหรือไม่ก็หยางหนิงซิ่งแห่งหน่วยฉงเสวียนที่มาอยู่ที่นี่เท่านั้นถึงจะฟังเข้าใจ

ชายแขนเสื้อกว้างโบกสะบัด เซียนกระบี่ชุดขาวเดินกลับเรือนผีอย่างเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้

บางครั้งที่เดินผ่านเรือนที่เทพทวารบาลหน้าประตูสามารถฟูมฟักแสงแห่งปัญญาได้บ้างแล้ว เทพเหล่านั้นก็จะพากันถอยร่นหลบซ่อนตัวทันที

ดีดปลายเท้ากระโดดข้ามกำแพง พลิ้วกายลงในลานเรือน

หลังจากเฉินผิงอันพลิ้วกายลงพื้นแล้ว ก็พลันหรี่ตาลงทันที

ตู้อวี๋ตกใจสะดุ้งโหยงเหมือนคนเห็นผีกลางวันแสกๆ รีบแบมือออก เผยให้เห็นเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารซึ่งไม่รู้ว่าสามารถเอาไปซื้อเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างได้มากแค่ไหน แม้ว่าฟันจะกระทบกันดังกึกๆ แต่ก็ยังคงร้องทุกข์ออกมาอย่างหมดเปลือก “ผู้อาวุโส คนผู้หนึ่งที่ตอนแรกบอกว่าตัวเองชื่อโจวเฝย ภายหลังดันบอกว่าตัวเองชื่อเจียงซ่างเจินบอกว่าเป็นพี่น้องกับผู้อาวุโส แย่งเอาเด็กคนนั้นไปแล้ว ข้าถูกเขาร่ายเวทกักร่างจึงไม่อาจกระดุกกระดิกได้เลย ต่อให้คิดจะสู้สุดชีวิตก็ยังคงทำไม่ได้ เขายังบอกอีกว่าเด็กกำพร้าคนนั้นมีพรสวรรค์ในการฝึกตน เขาจะพากลับไปยังแจกันสมบัติทวีป บอกให้ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วง แค่ท่องเที่ยวอยู่ทางเหนืออย่างสบายใจก็พอ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ปลดเจี้ยนเซียนแล้วโบกมือง่ายๆ หนึ่งที ทั้งกระบี่และฝักกระบี่ก็ปักตรึงลงไปกลางระเบียง จากนั้นเขาก็มานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ผูกเอว กระบี่บินสืออู่บินกลับเข้าไปด้านในอย่างเริงร่า เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง เอ่ยเนิบช้าว่า “รู้แล้ว เม็ดเสื้อเกราะจินอูชิ้นนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ ของที่ควรเป็นของเจ้าก็ไม่ต้องเกรงใจเจ้าคนผู้นั้น ถึงอย่างไรเขาก็มีเงิน เงินมากไปยังร้อนลวกมืออีกด้วย”

ตู้อวี๋อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน อดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็เกร็งหน้ากลั้นยิ้มไม่ไหว ในที่สุดก็นั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กได้อย่างสบายใจ พินิจพิเคราะห์เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นอย่างละเอียด

เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขาแล้วก็หัวเราะ “ข้าจะไม่รั้งรออยู่ที่นี่นาน ถึงเวลานั้นเจ้าก็ออกไปจากเมืองพร้อมกับข้า จากนั้นต่างคนก็ต่างไป แต่บอกกับเจ้าไว้ก่อนว่า วันหน้าเจ้าจะเป็นตาย โชคดีหรือเจอเคราะห์กรรม ข้าก็พูดได้แค่ว่าอาจจะไม่ต้องตายสถานเดียวเสมอไป ข้าได้บอกกับเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นไปแล้วว่า การเดินทางไปเยือนทิศเหนือครั้งนี้ ข้ายังจะต้องกลับมาทางใต้อีก ก็ถือว่าเป็นยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่งสำหรับเจ้า แต่กระนั้นก็ยังไม่ถือว่าเป็นยันต์ช่วยชีวิตอยู่ดี แผนการในเมืองสุยเจี้ยครั้งนี้ หากข้าเดาไม่ผิด ผู้บงการเบื้องหลังไม่ใช่ผู้ฝึกตนใหญ่แค่คนเดียว แต่เป็นสองคน ยังดีที่คนหนึ่งในนั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเกี่ยวข้องกับแคว้นเมิ่งเหลียง เขาได้ในสิ่งที่ต้องการไปแล้ว สังหารข้า…แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องดึงดันทำ แน่นอนว่าสถานการณ์ที่ดียิ่งกว่านั้นก็คือพวกเขาไม่ลงมือเล่นงานข้า หากข้าไม่ได้ตายอยู่ในทิศเหนือ ยันต์คุ้มกันกายชิ้นนี้ก็จะใช้ได้ผลไปตลอด ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่พ่อแม่ ไม่ใช่บรรพบุรุษของเจ้า หลังจากนี้เจ้าตู้อวี๋ก็ภาวนาขอให้ตัวเองโชคดีเถอะ ดังนั้นหากวันใดเจ้าถูกคนฆ่าตาย อย่างน้อยที่สุดคนที่ลงมือก็ต้องเป็นก่อกำเนิด ถึงเวลานั้นข้าก็จะพยายามแก้แค้นแทนเจ้าแล้วกัน”

คำพูดบางอย่าง

เฉินผิงอันเลือกที่จะไม่พูดออกไป

ยกตัวอย่างเช่นเจียงซ่างเจินไม่เคยทำอะไรอืดอาดยืดยาด

ไม่แน่ว่านอกจากพบหน้าตู้อวี๋แล้ว เขาเจียงซ่างเจินยังจะไปพูดบางอย่างกับคนนอกอีกด้วย

เจ้าคนที่มีชาติกำเนิดมาจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลดั้งเดิมผู้นี้ คือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เฉินผิงอันคิดว่าทำอะไรป่าเถื่อนยิ่งกว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระเสียอีก

เฉินผิงอันรู้ดียิ่งกว่าใครว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระอย่างหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยนนั้นรับมือได้ยากแค่ไหน แล้วนับประสาอะไรกับที่เจียงซ่างเจินยัง…มีเงิน

เฉินผิงอันไม่กล้าแน่ใจเลยว่าหากเจ้าหมอนี่เจอกับชุยตงซาน ใครจะมีสมบัติอาคมมากกว่ากันแน่

คาดว่าคนทั้งสองอาจจะต่างคนต่างยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งแทะเมล็ดแตง จากนั้นก็ไม่ลงมือทำอะไร เพียงแค่แต่ละคนปล่อยสมบัติอาคมออกมา เจ้าขว้างมา ข้าโยนกลับ ทั้งสองฝ่ายจะนั่งคุยกันไปได้ตลอดทั้งคืนเลยหรือไม่?

ดังนั้นถึงบอกว่าต้องหาเงินให้ได้มากๆ อย่างไรเล่า

บวกกับเด็กคนนั้นที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็เท่ากับ ‘ตกลงไปในถุงเงิน’ ที่ก็ถือว่าเป็นเขาเฉินผิงอันติดค้างน้ำใจของผู้อื่น อีกทั้งยังไม่ใช่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ด้วย

นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย

ตู้อวี๋ใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็เก็บเม็ดเสื้อเกราะจินอูเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ มารดามันเถอะ หนักจริงๆ ก่อนจะพูดยิ้มหน้าบานว่า “ผู้อาวุโส ข้าตู้อวี๋ไม่ได้ชมตัวเองจริงๆ นะ ผ่านเรื่องราวมามากมายขนาดนี้อยู่ข้างกายผู้อาวุโส เวลานี้ข้าใจกล้าขึ้นเยอะเลย!”

เฉินผิงอันมองตู้อวี๋

ตู้อวี๋หัวเราะหึหึ “ข้าพูดไปอย่างนั้นเองแหละ!”

ถือว่าตนชิงพูดก่อนแล้ว ไม่รบกวนให้ท่านผู้อาวุโสต้องเอ่ยด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันคลี่พัดพับออกโบกเบาๆ ยิ้มกว้างเอ่ย “โอ้โห พอได้เจอกับเจียงซ่างเจิน พี่น้องตู้อวี๋ก็มีความสามารถเพิ่มขึ้นเลย”

ตู้อวี๋หัวเราะหน้าเป็น “มิกล้าๆ ผู้อาวุโสเจียงคือเพื่อนรักของผู้อาวุโส ข้าที่เป็นผู้น้อยในผู้น้อยมิอาจเอื้อมไปประจบ”

เฉินผิงอันหลับตาลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เริ่มทำตัวน่าขนลุกอีกแล้วนะ”

ตู้อวี๋เกาหัว

พอฟ้าสาง ผู้อาวุโสก็มอบหมายให้เขาไปทำเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นคือให้ไปซื้อกลอนคู่ ภาพเทพทวารบาลและตัวอักษรคำว่าชุนกับคำว่าฝู

ตู้อวี๋รู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่ได้กลัวว่าหากออกจากเรือนไปแล้วจะถูกคนปาขี้ใส่ แต่กลัวว่าเทพเซียนบนยอดเขาอย่างบรรพจารย์ฟ่าน เจ้านครเย่จะเลือกรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ฉวยโอกาสนี้ตบตนให้ตายด้วยหนึ่งฝ่ามือแล้วเผ่นหนีไป

การเดินทางไปเยือนทะเลสาบชางอวิ๋นของผู้อาวุโสในคืนนั้น ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ผู้อาวุโสไม่พูด ตู้อวี๋ก็ไม่กล้าถามมาก

ตู้อวี๋ไปซื้อของที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยแตะมาก่อนด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ไม่เพียงแต่จ่ายเงินซื้อของ ยังตกรางวัลให้ร้านเป็นเศษเงินก้อนส่วนหนึ่งด้วย

มารดามันเถอะ ทุกวันนี้ข้าผู้อาวุโสต้องทำหน้ามีเมตตาปราณี ทำตัวดีกับทุกคนแล้ว!

หากทำให้เด็กคนใดบนถนนตกใจขึ้นมา ตู้อวี๋ก็คิดอยากจะเป็นฝ่ายยอมรับผิดก่อนด้วยซ้ำ

กลับมาถึงเรือนผีได้อย่างราบรื่นและครบทั้งสามสิบสองประการ ตู้อวี๋ที่ยืนสะพายห่อสัมภาระอยู่นอกประตูก็ยกมือปาดเหงื่อ ยุทธภพอันตราย ทุกหนทุกแห่งมีแต่ปราณสังหาร ต้องอยู่ใกล้ๆ ผู้อาวุโสถึงจะสบายใจจริงๆ ด้วย

เวลานี้ตู้อวี๋เห็นใครบนถนนก็รู้สึกว่าคนผู้นั้นคือยอดฝีมือที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำไปหมดแล้ว

จากนั้นผู้อาวุโสก็รับเอาห่อผ้าไป ไม่จำเป็นต้องให้ตู้อวี๋ช่วย เขาก็เริ่มติดภาพเทพทวารบาล กลอนคู่ และตัวอักษรชุนกับตัวอักษรฝูด้วยตัวเองเพียงลำพัง

เมื่อผู้อาวุโสติดตัวอักษรชุนแผ่นสุดท้ายเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองเหม่อ

อยู่ดีๆ ตู้อวี๋ก็นึกขึ้นมาว่าผู้อาวุโสเคยเอ่ยประโยคว่า ‘ค่ำคืนลมวสันต์พัดโชย’ และยังบอกว่าคำกล่าวที่ดีขนาดนี้ ไม่ควรจะเอามาเหยียบย่ำ

คนทั้งสองออกมาจากเรือนผี

ผู้อาวุโสไปที่ซากปรักของศาลเทพอัคคีมารอบหนึ่ง ทุกที่ที่เดินผ่าน พวกชาวบ้านล้วนวงแตก หวาดกลัวราวกับเขาเป็นเสือเป็นหมาป่าก็มิปาน

ผู้อาวุโสนั่งลงบนพื้นด้านหน้าซากของตำหนักหลัก หยิบธูปออกมาสามดอก พอเสียบธูปปักลงพื้นแล้วก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คงจะให้สมใจปรารถนาของเจ้าที่แค่หลับตาก็จบเรื่องแล้วไม่ได้ ยังต้องให้เจ้ามาร่วมรำคาญใจไปพร้อมกับข้าอีก คราวหน้าที่พบกัน หลังด่าข้าจบแล้วก็อย่าลืมเลี้ยงเหล้าข้าด้วยล่ะ”

ตู้อวี๋ไม่รู้ว่าเหตุใดผู้อาวุโสถึงพูดเช่นนี้ หรือว่านายท่านสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลเทพอัคคีที่ตายจนตายอีกไม่ได้แล้วจะฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีก? แต่ต่อให้ศาลถูกสร้างขึ้นใหม่ ที่ว่าการในพื้นที่สร้างเทวรูปดินเผาให้ใหม่ และยังไม่ถูกตัดชื่อออกไปจากทำเนียบภูเขาแม่น้ำของราชสำนักแคว้นอิ๋นผิง แต่นี่ต้องใช้ควันธูปกี่มากน้อยกัน จะต้องให้ชาวบ้านเมืองสุยเจี้ยภาวนาอย่างจริงใจมากแค่ไหนถึงจะสามารถสร้างร่างทองกลับคืนมาใหม่ได้อีกครั้ง?

หลังจากที่คนทั้งสองออกมาจากเมืองสุยเจี้ยด้วยกัน

เดินทางผ่านภูเขาแม่น้ำร่วมกันไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็มีวันหนึ่ง ผู้อาวุโสที่เดิมทีไม่สวมงอบและชุดเขียวมานานแล้วก็หยิบเอางอบและไม้เท้าเดินป่าออกมาอีกครั้ง สะพายหีบไม้ไผ่ที่หนักอึ้ง แต่ยังคงสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะตัวเดิม

เฉินผิงอันยื่นกระดาษสองแผ่นให้ตู้อวี๋ “แผ่นหนึ่งมีชื่อว่ายันต์ปราณหยางส่องไฟ อีกแผ่นหนึ่งมีชื่อว่ายันต์ทำลายสิ่งกีดขวาง วันหน้าเมื่อท่องอยู่ในยุทธภพ ทำดีทำชั่วล้วนเป็นเรื่องของเจ้าตู้อวี๋เอง แต่หากเจอกับเรื่องเกินความจำเป็นที่จะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นอยากเป็นจอมยุทธผู้มีใจผดุงคุณธรรม หรืออยากเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ช่วยชาวบ้านกำจัดปีศาจปราบมารสักครั้ง เจ้าถึงจะสามารถใช้ยันต์สองชนิดนี้ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อย่าได้ละโมบเลย เรียนวิธีวาดยันต์ได้สำเร็จแล้วก็มองว่าพวกมันเป็นกระดาษเสียๆ สองแผ่นไปซะ ทำได้หรือไม่? คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับเอาไว้หรือไม่ หากรับเอาไว้ อ่านจบแล้วก็จำไว้ว่าต้องทำลายให้สิ้นซาก หากไม่รับไว้ก็จากไปได้เลย ไม่เป็นไร”

ตู้อวี๋รับกระดาษสองแผ่นนั้นไว้อย่างไม่ลังเล “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ ก็เหมือนอย่างที่ผู้อาวุโสเคยบอก เป็นตาย โชคหรือเคราะห์ล้วนหาใส่ตัวเองทั้งสิ้น วันนี้ข้ารับกระดาษสองแผ่นนี้มาแล้ว ในอนาคตเมื่อฝึกวิชายันต์ตระกูลเซียนที่ผู้อาวุโสถ่ายทอดให้ได้สำเร็จ ขอแค่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ต้องตายสถานเดียว อีกทั้งยังมีความคิดเช่นนั้นอยู่ อะไรที่ข้าตู้อวี๋ทำได้ก็จะต้องลองทำดูอย่างแน่นอน!”

คนผู้นั้นคลี่ยิ้ม ตบไหล่ตู้อวี๋ “ดีมาก”

ตู้อวี๋ถึงขั้นน้ำตาคลอนิดๆ

มองเงาร่างที่ค่อยๆ จากไปไกลของผู้อาวุโส

ตู้อวี๋พลันถามว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเป็นเซียนกระบี่ เหตุใดถึงไม่ขี่กระบี่เดินทางไกล?”

คนผู้นั้นเพียงแค่จับประคองงอบ โบกมือให้เขาแล้วเดินหน้าต่อไป

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+