กระบี่จงมา 515.1 อาจารย์เป็นผ้าห่อบุญ ลูกศิษย์ปั้นคนกระเบื้อง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 515.1 อาจารย์เป็นผ้าห่อบุญ ลูกศิษย์ปั้นคนกระเบื้อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วชิงจื้อถาม “ไปดื่มชาที่หน้าผาอวี้อิ๋งของข้าไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เซียนกระบี่หลิ่วคล้ายจะเข้าใจข้าผิด ไม่กล้าไปดื่มชาที่หน้าผาอวี้อิ๋ง กลัวว่านั่นจะเป็นสุราลงทัณฑ์เสียมากกว่า”

หลิ่วชิงจื้อกล่าว “ความชื่นชอบที่ข้ามีต่อน้ำพุใสของหน้าผาอวี้อิ๋งนั้นเหนือกว่าบ่อสายฟ้าของตำหนักจินอูมากนัก”

เฉินผิงอันพูดดั่งคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเราสองคนจะเดินไปหรือว่าทะยานลมกันไป?”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตามใจเจ้า”

เฉินผิงอันจึงมองไปยังผู้ฝึกตนหญิงของสวนน้ำค้างวสันต์ที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงของโอสถทองท่านหนึ่ง “รบกวนเทพธิดาเรียกเรือกระดาษยันต์ออกมาส่งพวกเราไปที”

สตรีหน้าตางดงามผู้นั้นย่อมไม่มีความเห็นต่าง การที่ได้โดยสารเรือมุ่งหน้าไปยังหน้าผาอวี้อิ๋งกับเซียนกระบี่หลิ่วถือเป็นเกียรติที่ต่อให้ขอร้องก็ยังไม่ได้มา แล้วนับประสาอะไรกับที่แขกผู้มีเกียรติที่มาพักในจวนจิงเจ๋อตรงหน้านี้คือแขกสูงศักดิ์อันดับหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์ แม้จะบอกว่ามีแค่ซ่งหลานเฉียวที่เป็นอาจารย์อาโอสถทองของสายอื่นเดินทางมาส่งเพียงลำพัง เทียบกับขบวนผู้ติดตามยามที่เซียนกระบี่หลิ่วเข้ามาในภูเขาช่วงแรกไม่ได้ แต่ในเมื่อสามารถมาพักอยู่ที่นี่ได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนธรรมดา

หน้าผาอวี้อิ๋งไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของป่าไผ่ ตอนนั้นเพื่อป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเซียนกระบี่ทั้งสอง ศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ถึงได้ตั้งใจจัดที่พักเช่นนี้

เรือน้อยกระดาษยันต์ลอยขึ้นกลางอากาศจากไปไกล ป่าไผ่ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสามกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนทะเลเมฆสีเขียวมรกต ยามลมภูเขาพัดโชยก็พลิ้วไสวไปตามสายลม งดงามเหนือคำบรรยาย

ครั้งนี้ผู้ฝึกตนหญิงไม่ได้ต้มชารับรองแขก เพราะหากคิดจะแสดงฝีมือการชงชาอันน้อยนิดของตนต่อหน้าเซียนกระบี่หลิ่ว ก็นับเป็นการสร้างเรื่องตลกให้ผู้คนขำขันโดยแท้

มาถึงท่าเรือขนาดเล็กของหน้าผาอวี้อิ๋ง หลิ่วจื้อชิงกับเฉินผิงอันลงจากเรือมาแล้ว เฉินผิงอันก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “เซียนกระบี่หลิ่วไม่รู้กฎของที่นี่งั้นหรือ?”

หลิ่วจื้อชิงถามอย่างกังขา “กฎอะไร?”

เฉินผิงอันกล่าว “เทพธิดาขับเรือ ผู้โดยสารก็ควรตกรางวัลเป็นเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญตอบแทน”

ผู้ฝึกตนหญิงของจวนจิงเจ๋อผู้นั้นมีสีหน้ามึนงง

หลิ่วจื้อชิงกลับร้องอ้อหนึ่งคำแล้วโยนเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งให้นาง เสียงติ๊งดังขึ้น สุดท้ายมันก็ไปหยุดลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้านางเบาๆ หลิ่วจื้อชิงเอ่ยว่า “เมื่อก่อนเป็นข้าที่เสียมารยาทแล้ว”

หลิ่วจื้อชิงเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า “เดินไปอีกพันกว่าก้าว ก็คือน้ำพุกระบอกไม้ไผ่ของหน้าผาอวี้อิ๋งแล้ว”

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน “ได้ยินมาว่าเซียนกระบี่หลิ่วซื้อหน้าผาอวี้อิ๋งมาจากสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว”

หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ารับ “ห้าเหรียญเงินฝนธัญพืช ระยะเวลาจำกัดห้าร้อยปี ตอนนี้ผ่านไปสองร้อยกว่าปีแล้ว”

เฉินผิงอันหันหน้ามา “เทพธิดากลับไปก่อนได้เลย ถึงเวลานั้นข้าจะกลับไปป่าไผ่เอง จำทางได้แล้ว”

ผู้ฝึกตนหญิงพยักหน้ารับ นางลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไร หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำลายอารมณ์สุนทรีของแขกผู้มีเกียรติทั้งสอง นางคิดว่าจะกลับไปปรึกษากับอาจารย์ของตนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับเงินร้อนน้อยที่ได้มาอย่างน่าประหลาดใจเหรียญนั้นดีหรือไม่ เรือยันต์ลำน้อยนั้นทางสวนน้ำค้างวสันต์ทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างตำหนักไท่เจินให้สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ เรือลำนี้มีรูปลักษณ์โบราณเรียบง่ายแต่งดงาม อีกทั้งหากบินผ่านสถานที่ที่ปราณวิญญาณค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ก็จะมีตัวอักษรบทกวีที่สลักอยู่บนผนังด้านข้างของเรือลอยขึ้นมา หากแขกได้เห็นถ้อยคำที่ตัวเองชื่นชอบก็ยังสามารถเอาตัวอักษรนั้นๆ ไปได้ตามต้องการเหมือนการใช้มือวักน้ำ จากนั้นจะเอามันไปใส่ไว้บนหน้าพัดหรือหน้าหนังสือก็ได้ ตัวอักษรจะดำรงอยู่ยาวนานไม่สลายหายไปไหน มีท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

เรื่องที่แขกจะเอาตัวอักษรไปจากเรือยันต์นั้นเป็นสิ่งที่สวนน้ำค้างวสันต์ยินดีจะเห็นมาโดยตลอด

ก่อนหน้านี้ซ่งหลานเฉียวก็แนะนำเรื่องนี้ไปแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันยังเกรงใจที่จะลงมือ เวลานี้เดินทางมากับหลิ่วจื้อชิงจึงไม่มีความเกรงใจอีก เขาเอาตัวอักษรสองประโยคมา ‘วางไว้’ บนหน้าพัด รวมกันได้สิบคำ ตำราวิเศษซ่อนถ้ำสวรรค์ ดำรงนานลอยค้างอยู่ในอวี้จิง

เดินเคียงบ่าหลิ่วจื้อชิงอยู่บนทางเส้นเล็กที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียวมุ่งหน้าไปยังน้ำพุใสบ่อนั้น เฉินผิงอันคลี่หน้าพัดโบกเบาๆ ตัวอักษรสิบตัวแถวนั้นก็เหมือนพืชน้ำที่กระเพื่อมแผ่วพลิ้ว

หลิ่วจื้อชิงเอ่ยเบาๆ “ถึงแล้ว”

ริมหน้าผาอวี้อิ๋งมีศาลาลมเย็นมุงแฝกอยู่หลังหนึ่ง ห่างไปไกลอีกนิดยังมีกระท่อมที่มีรั้วหยาบๆ ล้อมรอบอีกหนึ่งหลัง

ในศาลาลมเย็นมีโต๊ะและอุปกรณ์ชงชาวางไว้ครบครัน ด้านใต้หน้าผาก็คือบ่อน้ำใสกระจ่างที่ใสจนมองเห็นก้นบึ้ง น้ำใสแต่กลับไร้ปลา ใต้น้ำมีเพียงหินไข่ห่านงดงามที่ส่องประกายแสงแวววาว

เฉินผิงอันนั่งลงตรงข้ามกับบรรพจารย์อาน้อยของตำหนักจินอูแล้วก็หุบพัดเข้าด้วยกัน ยิ้มกล่าวว่า “ดื่มชานั้นช่างเถิด เซียนกระบี่หลิ่วบอกมาเถอะว่า มาหาข้ามีธุระอันใด?”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มกล่าว “เจ้าไม่ดื่ม แต่ข้ายังต้องดื่ม”

หลิ่วจื้อชิงใช้มือข้างหนึ่งวาดอักษรสองคำว่า ‘ฮว่อเจิน’ (ไฟที่แท้จริง) ลงบนพื้นผิวโต๊ะชา อักขระยันต์สองตัวมีประกายแสงสีทองไหลเวียนวน ไม่นานตัวอักษรแต่ละตัวก็แปรเปลี่ยนจากขีดอักษรหลายเส้นมารวมกันเป็นเส้นเดียว กลายเป็นเจียวเพลิงสีแดงสองเส้นที่ล้อมวนขดตัวอยู่รอบโต๊ะอย่างเชื่องช้า จากนั้นหลิ่วจื้อชิงก็โบกชายแขนเสื้อเบาๆ คล้ายมังกรดูดน้ำ น้ำพุในบ่อที่มีน้ำหนักหลายจินก็พากันบินมาอยู่เหนือโต๊ะ รวมตัวกันกลายเป็นหยดน้ำ จากนั้นเขาก็หยิบถ้วยชาเคลือบกระเบื้องใบหนึ่งมาวางไว้ด้านข้าง น้ำพุเดือดพล่านด้วยตัวเอง ครู่หนึ่งต่อมาหลิ่วจื้อชิงก็หยิบใบชาในโถออกมาสองสามใบ โยนลงถ้วยชาเบาๆ ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง น้ำพุใสที่เดือดจัดก็เหมือนสายน้ำเส้นเล็กที่แยกตัวมา ไหลริกๆ ลงสู่ถ้วยกระเบื้องเคลือบ เต็มเจ็ดส่วนของถ้วยพอดี

หลิ่วจื้อชิงยกถ้วยขึ้นดื่มชาช้าๆ

เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “ขอให้ข้าถ้วยหนึ่ง”

หลิ่วจื้อชิงหัวเราะ คีบถ้วยชาอีกใบมาวางด้านหน้าตน แล้วก็รินชาให้เฉินผิงอันหนึ่งถ้วย ผลักออกไปเบาๆ ถ้วยชาก็ไถลไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันดื่มไปแล้วหนึ่งอึกก็พยักหน้าเอ่ยว่า “เซียนกระบี่หลิ่วคือยอดฝีมือนอกโลกคนที่สองที่ข้าเคยพบเจอมาซึ่งต้มชาได้ดี”

คนแรก แน่นอนว่าย่อมเป็นลู่ไถ

หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากมีโอกาส คุณชายเฉินสามารถพายอดฝีมือคนนั้นมานั่งเล่นที่หน้าผาอวี้อิ๋งของข้าได้”

เฉินผิงอันวางถ้วยชาลง ถามว่า “ตอนนั้นที่อยู่ในตำหนักจินอู แม้ว่าเซียนกระบี่หลิ่วจะไม่ได้ปรากฏตัว แต่ก็น่าจะสัมผัสได้แล้ว เหตุใดถึงไม่ขัดขวางกระบี่นั้นของข้า?”

หลิ่วจื้อชิงถอนหายใจ วางถ้วยชาที่ยกมาจ่อตรงปากลงบนโต๊ะเบาๆ “ขัดขวางแล้วอย่างไร? จะให้อยู่ดีไม่ว่าดีก็เปิดฉากเข่นฆ่ากันงั้นหรือ?”

หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า “ไม่มีความหมาย หลังจากที่ข้าเลื่อนเป็นโอสถทอง ตลอดหลายปีมานี้ อาศัยชื่อของข้าหลิ่วจื้อชิง ผู้ฝึกกระบี่ตำหนักจินอูที่ลงจากเขามาฝึกประสบการณ์ได้ทำเรื่องผิดๆ ไปแล้วกี่มากน้อย? น่าเสียดายก็แต่ข้าคนนี้ไม่ถนัดเรื่องการจัดการกิจธุระใดๆ ดังนั้นต่อให้รู้สึกว่าบ่อสายฟ้าของตำหนักจินอูเกะกะสายตา รังเกียจคู่รักที่เป็นศิษย์หลาน เห็นพวกเด็กรุ่นหลังที่ยโสโอหังอย่างพวกจิ้นเยว่แล้วไม่ชื่นชอบ ก็ทำได้แค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นให้ใจไม่หงุดหงิดเท่านั้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีความคิดที่แตกต่างจากผู้ฝึกตนของตำหนักจินอูเช่นนี้ ก็คือเหตุผลที่ทำให้เซียนกระบี่หลิ่วสามารถเลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง สูงส่งกว่าทุกคน แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นปมในใจที่ขัดขวางการฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองเลื่อนเป็นก่อกำเนิดของเซียนกระบี่หลิ่ว มาดื่มชาที่นี่สามารถคลายความกลัดกลุ้มได้ แต่กลับไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนอย่างแท้จริง”

หลิ่วจื้อชิงได้ยินประโยคนี้ก็คลี่ยิ้ม ยกถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง ดื่มไปหนึ่งคำ แล้วจึงพูดว่า “ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในหุบเขาลมเหลืองของแคว้นเป่าเซียง เจ้าน่าจะเห็นข้าออกกระบี่แล้ว ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่โอสถทองมากมายแถบทางใต้ของอุตรกุรุทวีป พลังอำนาจนั้นไม่นับว่าเล็กแล้ว”

เฉินผิงอันนึกถึงกระบี่สุดท้ายในหุบเขาลมเหลืองที่แสงกระบี่พุ่งตรงจากขอบฟ้ามา นั่นก็คือกระบี่ของหลิ่วจื้อชิง สามารถทำลายรากฐานของบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองได้ เป็นเหตุให้หลังจากที่มันแน่ใจแล้วว่าผู้ฝึกกระบี่ของตำหนักจินอูจากไปไกลแล้วจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่ามีภิกษุสมณศักดิ์สูงของแคว้นเป่าเซียงอยู่ในบริเวณใกล้เคียง แต่กระนั้นก็ยังอยากจะกินให้อิ่มสักมื้อ หวังใช้เนื้อหนังและจิตวิญญาณมาชดเชยพลังต้นกำเนิดของโอสถปีศาจที่เสียหายไป

หลิ่วจื้อชิงเอ่ยเนิบช้า “แต่กระบี่นั้นมีสองคม จึงมีปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้า การออกกระบี่ของข้าแสวงหาในคำว่า ‘กระบี่ออกไปแล้วไม่หวนกลับคืน’ ดังนั้นการลับคมกระบี่และการฝึกประสบการณ์ฝึกจิตใจ ตอนที่ขอบเขตต่ำจึงราบรื่นอย่างมาก ขอบเขตไม่สูง ผลประโยชน์ที่ได้รับมีมากสุด แต่ยิ่งเป็นช่วงหลังก็ยิ่งเป็นปัญหา เซียนดินก่อกำเนิดที่นอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ล้วนพบเจอได้ไม่ง่าย ผู้ฝึกตนโอสถทองของสำนักอื่นที่ต่ำกว่าก่อกำเนิด ไม่ว่าจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ขอแค่ได้ยินว่าข้าหลิ่วจื้อชิงขี่กระบี่ผ่านอาณาเขตมา แม้ว่าจะเป็นพวกคนวิถีมารที่สามานย์ชั่วช้าก็ยังพากันไปหลบเลี่ยงอยู่ไกลๆ หรือไม่ก็ทำเป็นยืดคอให้ประหาร ท้าตีท้าต่อยอย่างไร้เหตุผล ก่อนหน้านี้ข้าใช้หนึ่งกระบี่สังหารไปสองคน คนหนึ่งในนั้นน่าจะตายไปหลายครั้งแล้ว แต่คนที่สองจะตายหรือไม่ตายก็ได้ ภายหลังข้ายิ่งรู้สึกเบื่อหน่าย นอกจากจะคุ้มกันพวกเด็กรุ่นหลังของตำหนักจินอูลงจากภูเขามาฝึกกระบี่และมาดื่มชาที่นี่แล้ว ข้าก็แทบไม่ออกจากภูเขาเลย ความหวังในการฝ่าทะลุขอบเขตก็ยิ่งเลือนรางลงไปทุกที”

นี่เกี่ยวพันกับมหามรรคาของผู้อื่น เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยคำใด เพียงแค่ดื่มชาอย่างเดียวเท่านั้น โชคชะตาน้ำในน้ำชาถ้วยนี้เปี่ยมล้น สำหรับหลิ่วจื้อชิงที่ช่องโพรงปราณสำคัญมีขนาดใหญ่โตมโหฬารดุจแม่น้ำดุจทะเลสาบแล้ว ปราณวิญญาณน้อยนิดแค่นี้ไม่ได้มีความหมายใดๆ ต่อเขามานานแล้ว แต่สำหรับผู้ฝึกตน ‘ห้าขอบเขตล่าง’ อย่างเฉินผิงอัน น้ำชาทุกถ้วยกลับเป็นดั่งฝนที่ตกสู่ผืนนาแห้งแล้งได้ทันเวลา มีแต่ผลประโยชน์ไม่มีผลเสีย

หลิ่วจื้อชิงถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ดังนั้นข้าเลี้ยงน้ำชาเจ้าก็เพราะอยากจะถามเจ้าว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่นอกภูเขาของตำหนักจินอู เจ้าปล่อยกระบี่นั้นออกมาเพื่ออะไร ปล่อยออกมาอย่างไร แล้วทำอย่างไรจิตแห่งกระบี่ถึงได้…ปลอดโปร่งไร้อุปสรรคติดขัดขนาดนี้ ขอเจ้าโปรดเอ่ยในสิ่งที่เอ่ยได้นอกเหนือจากมหามรรคา บางทีสำหรับข้าหลิ่วจื้อชิงแล้วอาจกลายเป็นการนำหินของภูเขาลูกอื่นมาขัดกลึงหยกของตัวเอง ต่อให้จะเข้าใจได้มากกว่าเดิมอีกแค่เสี้ยวเดียว แต่สำหรับคอขวดของข้าในเวลานี้แล้วก็ล้วนถือเป็นผลเก็บเกี่ยวใหญ่เทียมฟ้าที่มีค่าเทียบทองพันชั่ง”

เฉินผิงอันยกถ้วยชาขึ้น ยิ้มถามว่า “หากข้าพูดไปแล้วทำให้เจ้าพอจะกระจ่างแจ้งได้บ้าง เซียนกระบี่หลิ่วก็บอกเองว่านี่คือผลเก็บเกี่ยวที่ทองหมื่นชั่งก็หาซื้อไม่ได้ แล้วจะใช้น้ำชาถ้วยเดียวมาตอบแทนข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แรกเริ่มเจ้าเอ่ยว่าขอดื่มเพิ่มอีกหนึ่งถ้วย นอกจากปราณวิญญาณในน้ำชาแล้ว ก็เพราะยังอยากจะดูวิธีการวาดยันต์ที่เป็นวิชาเฉพาะของข้าให้ชัดเจนด้วยไม่ใช่หรือ นี่ถือเป็นการตอบแทนหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เวลาแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ข้าไม่อาจเข้าใจปณิธานที่แท้จริงในการวาดยันต์ของเซียนกระบี่ที่ติดอยู่ในคอขวดโอสถทองคนหนึ่งได้หรอก อีกอย่างเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม ในเมื่อดูแล้วไม่เข้าใจก็ช่างมันเถอะ”

หลิ่วจื้อชิงหัวเราะเสียงดัง เขายกมือขึ้นชี้ไปยังบ่อน้ำใสและหน้าผาที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยว่า “หากมีประโยชน์ ข้าจะยกหน้าผาอวี้อิ๋งที่เหลือเวลาอีกสามร้อยปีนี้ให้แก่เจ้า เป็นอย่างไร? ถึงเวลานั้นเจ้าสามารถนำมันมาใช้ต้มชารับรองแขก หรือจะให้สวนน้ำค้างวสันต์หรือคนอื่นเช่าก็ได้ ล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้า”

เฉินผิงอันคลี่พัดพับออกเสียงดังกังวาน แล้วโบกเอาลมเย็นๆ เข้าสู่ตัว “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเซียนกระบี่หลิ่วเติมชาให้อีกสักหน่อย พวกเรามาค่อยๆ ดื่มชาแล้วค่อยๆ พูดคุยกันไป ทำการค้านี่นะ ต้องแน่ใจในนิสัยใจคอของทั้งสองฝ่ายเสียก่อน จากนั้นไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนปรึกษากันได้”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มอย่างเข้าใจ หลังจากนั้นทั้งสองฝ่าย คนหนึ่งก็ใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบหัวใจเอ่ยถ้อยคำ ส่วนอีกคนหนึ่งใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธมาเริ่มทำการ ‘ค้าขาย’ ต่อกัน

หนึ่งก้านธูปต่อมา คนผู้นั้นก็ยื่นมือมาขอชาอีกถ้วย หลิ่วจื้อชิงกลับพูดหน้าเคร่งว่า “รบกวนพี่ชายคนดีท่านนี้ช่วยมีความจริงใจหน่อยได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าพูดจริงทุกประโยค จริงใจทุกคำ!”

หลิ่วจื้อชิงโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “ขออภัยที่ไม่ได้ไปส่ง”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ใช้มือหนึ่งโบกพัด อีกมือหนึ่งปัดผ่านหน้าโต๊ะ ดึงเอาน้ำพุส่วนหนึ่งมาจากน้ำพุเดือดพล่านบนยันต์ที่อยู่บนผิวโต๊ะ แล้วแตะจุดน้ำไว้ตรงหน้าตัวเองสองจุด ใช้สองจุดนี้เป็นต้นและปลายสองตำแหน่ง จากนั้นก็ลากเส้นตรงหนึ่งเส้นจากอีกฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แล้วค่อยใช้ปลายนิ้วแตะตรงปลายด้านหนึ่ง ปาดไปทางขวามือช้าๆ จนกระทั่งถึงปลายอีกฝั่งหนึ่งจึงหยุด “ไม่มองมุมกว้าง มองแค่เวลานี้ สถานที่นี้และคนบางคนเท่านั้น สมมติว่าเส้นเส้นนี้คือฟ้าดินขนาดเล็กที่เซียนกระบี่หลิ่วอยู่ ถ้าอย่างนั้นเซียนกระบี่หลิ่วคือผู้ฝึกตนที่เกิดและเติบโตมาในตำหนักจินอู สภาพจิตใจอยู่ที่ปลายทางด้านนี้ ส่วนสภาพจิตใจและขนบธรรมเนียมของคนในตำหนักจินอูก็มีอยู่ตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้ ขยับเคลื่อนไปเรื่อยๆ อยู่ห่างไกลจากจิตใจของเจ้า ผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นฮูหยินของเจ้าสำนักที่นิสัยอำมหิต จิ้นเยว่ผู้ฝึกกระบี่ที่กำเริบเสิบสานนั้นล้วนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง รวมกันเป็นก้อนตรงนี้ ผู้ฝึกกระบี่หลิ่วที่ฝึกตนอยู่ในตำหนักจินอูจึงรู้สึกว่าไม่ว่าที่ใดก็ขวางหูขวางตา นี่ก็เพราะว่าขอบเขตของเจ้าสูงมากพอ ลำดับอาวุโสก็สูงยิ่งกว่า จึงสามารถรักษาจิตดั้งเดิมของตนเอาไว้ได้ แต่ก็ได้แค่หยุดอยู่ตรงนี้แล้ว เพราะเซียนกระบี่หลิ่วคิดแต่จะฝึกกระบี่อย่างเดียว อยากเดินขึ้นสู่ที่สูงทอดสายตามองไปไกล ใจหวังจะใช้ผู้ฝึกตนเซียนดินมาเป็นหินลับกระบี่ของตัวเอง คร้านจะไปสนใจเรื่องหยุมหยิมขี้หมูราขี้หมาแห้งใต้เปลือกตาเหล่านั้น เพราะรู้สึกว่าเปลืองเวลา อืดอาดชักช้า ถูกหรือไม่?”

หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ารับเบาๆ นั่งตัวตรงอย่างสำรวม “เป็นเช่นนี้จริง”

เฉินผิงอันยกมือขึ้นอีกครั้ง ชี้นิ้วไปยังปลายด้านที่เป็นตัวแทนสภาพจิตใจของหลิ่วจื้อชิงแล้วพลันถามว่า “เรื่องของการออกกระบี่ เหตุใดจึงสละใกล้แสวงหาไกล? ผู้ที่สามารถเอาชนะคนอื่น กับผู้ที่สามารถเอาชนะตัวเอง ล่างภูเขาเลื่อมใสฝ่ายแรก แต่ดูเหมือนว่าคนบนภูเขาจะเลื่อมใสฝ่ายหลังมากกว่ากระมัง? ผู้ฝึกกระบี่มีพลังพิฆาตยิ่งใหญ่ ถูกขนานนามให้เป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นยังจำเป็นต้องถามใจฝึกใจอีกหรือไม่? กระบี่บินเล่มนั้น กระบี่พกประจำตัวเล่มนั้นของผู้ฝึกกระบี่ กับเจ้านายที่บังคับพวกมัน สรุปแล้วทั้งเรื่องของวัตถุและเรื่องของจิตใจนี้ล้วนจำเป็นต้องบริสุทธิ์ไร้มลทินทั้งสองอย่างเลยหรือไม่?”

เฉินผิงอันหุบมือกลับมา ใช้พัดพับเคลื่อนจากปลายฝั่งซ้ายไปช้าๆ ชี้ไปยังปลายฝั่งขวาสุด “เจ้าหลิ่วจื้อชิงสามารถออกกระบี่ตามวิถีโคจรนี้จนกระทั่งจิตแห่งกระบี่โปร่งโล่งกระจ่างแจ้งได้หรือไม่?”

หลิ่วจื้อชิงจมอยู่ในภวังค์ความคิด

เฉินผิงอันพลันถามอีกว่า “เซียนกระบี่หลิ่วเป็นคนบนภูเขามาตั้งแต่เด็ก หรือว่าขึ้นเขาไปฝึกตนตอนอายุยังน้อย?”

หลิ่วจื้อชิงจ้องนิ่งไปที่เส้นนั้น เอ่ยเบาๆ ว่า “นับตั้งแต่จำความได้ก็อยู่บนภูเขาตำหนักจินอูแล้ว ติดตามอาจารย์ผู้มีพระคุณฝึกตน ไม่เคยสนใจเรื่องทางโลก”

เฉินผิงอันทอดถอนใจหนึ่งที ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน แค่แนะนำเซียนกระบี่หลิ่วว่าวันหน้าควรลงจากเขาบ่อยๆ ออกเดินทางไกลให้มากๆ หน่อย”

หลิ่วจื้อชิงยกมือขึ้นแล้วกดลงบนความว่างเปล่าสองที “แม้ข้าจะไม่เชี่ยวชาญการจัดการธุระต่างๆ แต่สำหรับเรื่องของใจคนนั้น ไม่กล้าพูดว่ามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง ดังนั้นเจ้าเลิกใช้ลูกไม้ของพวกคนในยุทธภพมาแกล้งหลอกข้าเสียทีเถอะ หน้าผาอวี้อิ๋งที่ถือว่าสวนน้ำค้างวสันต์กึ่งขายกึ่งยกให้ข้าแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าต้องการครอบครอง หากนำไปขายต่อ เวลาอีกสามร้อยปีกว่าที่เหลืออยู่ อย่าว่าแต่เงินฝนธัญพืชสามเหรียญเลย ราคาเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวก็ยังไม่ยาก หากโชคดี สิบเหรียญก็ยังมีหวัง”

คนผู้นั้นรีบนั่งกลับลงไปที่เดิมดังคาด แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ทำการค้ากับคนฉลาดก็มักจะรวดเร็วฉับไวเช่นนี้”

หลิ่วจื้อชิงเงยหน้าขึ้น ถามอย่างสงสัย “เจ้าสนใจเรื่องทรัพย์สินเงินทองมากขนาดนี้เชียวหรือ? จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือไร?”

เห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นถอนหายใจหนึ่งที “ผู้ฝึกตนอิสระที่น่าสงสาร หาเงินก้อนใหญ่ได้ไม่ง่ายเลยนี่นา”

หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า คร้านจะถือสาคำพูดเหลวไหลของคนผู้นี้

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 515.1 อาจารย์เป็นผ้าห่อบุญ ลูกศิษย์ปั้นคนกระเบื้อง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 515.1 อาจารย์เป็นผ้าห่อบุญ ลูกศิษย์ปั้นคนกระเบื้อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วชิงจื้อถาม “ไปดื่มชาที่หน้าผาอวี้อิ๋งของข้าไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เซียนกระบี่หลิ่วคล้ายจะเข้าใจข้าผิด ไม่กล้าไปดื่มชาที่หน้าผาอวี้อิ๋ง กลัวว่านั่นจะเป็นสุราลงทัณฑ์เสียมากกว่า”

หลิ่วชิงจื้อกล่าว “ความชื่นชอบที่ข้ามีต่อน้ำพุใสของหน้าผาอวี้อิ๋งนั้นเหนือกว่าบ่อสายฟ้าของตำหนักจินอูมากนัก”

เฉินผิงอันพูดดั่งคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเราสองคนจะเดินไปหรือว่าทะยานลมกันไป?”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตามใจเจ้า”

เฉินผิงอันจึงมองไปยังผู้ฝึกตนหญิงของสวนน้ำค้างวสันต์ที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงของโอสถทองท่านหนึ่ง “รบกวนเทพธิดาเรียกเรือกระดาษยันต์ออกมาส่งพวกเราไปที”

สตรีหน้าตางดงามผู้นั้นย่อมไม่มีความเห็นต่าง การที่ได้โดยสารเรือมุ่งหน้าไปยังหน้าผาอวี้อิ๋งกับเซียนกระบี่หลิ่วถือเป็นเกียรติที่ต่อให้ขอร้องก็ยังไม่ได้มา แล้วนับประสาอะไรกับที่แขกผู้มีเกียรติที่มาพักในจวนจิงเจ๋อตรงหน้านี้คือแขกสูงศักดิ์อันดับหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์ แม้จะบอกว่ามีแค่ซ่งหลานเฉียวที่เป็นอาจารย์อาโอสถทองของสายอื่นเดินทางมาส่งเพียงลำพัง เทียบกับขบวนผู้ติดตามยามที่เซียนกระบี่หลิ่วเข้ามาในภูเขาช่วงแรกไม่ได้ แต่ในเมื่อสามารถมาพักอยู่ที่นี่ได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนธรรมดา

หน้าผาอวี้อิ๋งไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของป่าไผ่ ตอนนั้นเพื่อป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเซียนกระบี่ทั้งสอง ศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ถึงได้ตั้งใจจัดที่พักเช่นนี้

เรือน้อยกระดาษยันต์ลอยขึ้นกลางอากาศจากไปไกล ป่าไผ่ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสามกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนทะเลเมฆสีเขียวมรกต ยามลมภูเขาพัดโชยก็พลิ้วไสวไปตามสายลม งดงามเหนือคำบรรยาย

ครั้งนี้ผู้ฝึกตนหญิงไม่ได้ต้มชารับรองแขก เพราะหากคิดจะแสดงฝีมือการชงชาอันน้อยนิดของตนต่อหน้าเซียนกระบี่หลิ่ว ก็นับเป็นการสร้างเรื่องตลกให้ผู้คนขำขันโดยแท้

มาถึงท่าเรือขนาดเล็กของหน้าผาอวี้อิ๋ง หลิ่วจื้อชิงกับเฉินผิงอันลงจากเรือมาแล้ว เฉินผิงอันก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “เซียนกระบี่หลิ่วไม่รู้กฎของที่นี่งั้นหรือ?”

หลิ่วจื้อชิงถามอย่างกังขา “กฎอะไร?”

เฉินผิงอันกล่าว “เทพธิดาขับเรือ ผู้โดยสารก็ควรตกรางวัลเป็นเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญตอบแทน”

ผู้ฝึกตนหญิงของจวนจิงเจ๋อผู้นั้นมีสีหน้ามึนงง

หลิ่วจื้อชิงกลับร้องอ้อหนึ่งคำแล้วโยนเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งให้นาง เสียงติ๊งดังขึ้น สุดท้ายมันก็ไปหยุดลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้านางเบาๆ หลิ่วจื้อชิงเอ่ยว่า “เมื่อก่อนเป็นข้าที่เสียมารยาทแล้ว”

หลิ่วจื้อชิงเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า “เดินไปอีกพันกว่าก้าว ก็คือน้ำพุกระบอกไม้ไผ่ของหน้าผาอวี้อิ๋งแล้ว”

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน “ได้ยินมาว่าเซียนกระบี่หลิ่วซื้อหน้าผาอวี้อิ๋งมาจากสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว”

หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ารับ “ห้าเหรียญเงินฝนธัญพืช ระยะเวลาจำกัดห้าร้อยปี ตอนนี้ผ่านไปสองร้อยกว่าปีแล้ว”

เฉินผิงอันหันหน้ามา “เทพธิดากลับไปก่อนได้เลย ถึงเวลานั้นข้าจะกลับไปป่าไผ่เอง จำทางได้แล้ว”

ผู้ฝึกตนหญิงพยักหน้ารับ นางลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไร หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำลายอารมณ์สุนทรีของแขกผู้มีเกียรติทั้งสอง นางคิดว่าจะกลับไปปรึกษากับอาจารย์ของตนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับเงินร้อนน้อยที่ได้มาอย่างน่าประหลาดใจเหรียญนั้นดีหรือไม่ เรือยันต์ลำน้อยนั้นทางสวนน้ำค้างวสันต์ทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างตำหนักไท่เจินให้สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ เรือลำนี้มีรูปลักษณ์โบราณเรียบง่ายแต่งดงาม อีกทั้งหากบินผ่านสถานที่ที่ปราณวิญญาณค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ก็จะมีตัวอักษรบทกวีที่สลักอยู่บนผนังด้านข้างของเรือลอยขึ้นมา หากแขกได้เห็นถ้อยคำที่ตัวเองชื่นชอบก็ยังสามารถเอาตัวอักษรนั้นๆ ไปได้ตามต้องการเหมือนการใช้มือวักน้ำ จากนั้นจะเอามันไปใส่ไว้บนหน้าพัดหรือหน้าหนังสือก็ได้ ตัวอักษรจะดำรงอยู่ยาวนานไม่สลายหายไปไหน มีท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

เรื่องที่แขกจะเอาตัวอักษรไปจากเรือยันต์นั้นเป็นสิ่งที่สวนน้ำค้างวสันต์ยินดีจะเห็นมาโดยตลอด

ก่อนหน้านี้ซ่งหลานเฉียวก็แนะนำเรื่องนี้ไปแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันยังเกรงใจที่จะลงมือ เวลานี้เดินทางมากับหลิ่วจื้อชิงจึงไม่มีความเกรงใจอีก เขาเอาตัวอักษรสองประโยคมา ‘วางไว้’ บนหน้าพัด รวมกันได้สิบคำ ตำราวิเศษซ่อนถ้ำสวรรค์ ดำรงนานลอยค้างอยู่ในอวี้จิง

เดินเคียงบ่าหลิ่วจื้อชิงอยู่บนทางเส้นเล็กที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียวมุ่งหน้าไปยังน้ำพุใสบ่อนั้น เฉินผิงอันคลี่หน้าพัดโบกเบาๆ ตัวอักษรสิบตัวแถวนั้นก็เหมือนพืชน้ำที่กระเพื่อมแผ่วพลิ้ว

หลิ่วจื้อชิงเอ่ยเบาๆ “ถึงแล้ว”

ริมหน้าผาอวี้อิ๋งมีศาลาลมเย็นมุงแฝกอยู่หลังหนึ่ง ห่างไปไกลอีกนิดยังมีกระท่อมที่มีรั้วหยาบๆ ล้อมรอบอีกหนึ่งหลัง

ในศาลาลมเย็นมีโต๊ะและอุปกรณ์ชงชาวางไว้ครบครัน ด้านใต้หน้าผาก็คือบ่อน้ำใสกระจ่างที่ใสจนมองเห็นก้นบึ้ง น้ำใสแต่กลับไร้ปลา ใต้น้ำมีเพียงหินไข่ห่านงดงามที่ส่องประกายแสงแวววาว

เฉินผิงอันนั่งลงตรงข้ามกับบรรพจารย์อาน้อยของตำหนักจินอูแล้วก็หุบพัดเข้าด้วยกัน ยิ้มกล่าวว่า “ดื่มชานั้นช่างเถิด เซียนกระบี่หลิ่วบอกมาเถอะว่า มาหาข้ามีธุระอันใด?”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มกล่าว “เจ้าไม่ดื่ม แต่ข้ายังต้องดื่ม”

หลิ่วจื้อชิงใช้มือข้างหนึ่งวาดอักษรสองคำว่า ‘ฮว่อเจิน’ (ไฟที่แท้จริง) ลงบนพื้นผิวโต๊ะชา อักขระยันต์สองตัวมีประกายแสงสีทองไหลเวียนวน ไม่นานตัวอักษรแต่ละตัวก็แปรเปลี่ยนจากขีดอักษรหลายเส้นมารวมกันเป็นเส้นเดียว กลายเป็นเจียวเพลิงสีแดงสองเส้นที่ล้อมวนขดตัวอยู่รอบโต๊ะอย่างเชื่องช้า จากนั้นหลิ่วจื้อชิงก็โบกชายแขนเสื้อเบาๆ คล้ายมังกรดูดน้ำ น้ำพุในบ่อที่มีน้ำหนักหลายจินก็พากันบินมาอยู่เหนือโต๊ะ รวมตัวกันกลายเป็นหยดน้ำ จากนั้นเขาก็หยิบถ้วยชาเคลือบกระเบื้องใบหนึ่งมาวางไว้ด้านข้าง น้ำพุเดือดพล่านด้วยตัวเอง ครู่หนึ่งต่อมาหลิ่วจื้อชิงก็หยิบใบชาในโถออกมาสองสามใบ โยนลงถ้วยชาเบาๆ ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง น้ำพุใสที่เดือดจัดก็เหมือนสายน้ำเส้นเล็กที่แยกตัวมา ไหลริกๆ ลงสู่ถ้วยกระเบื้องเคลือบ เต็มเจ็ดส่วนของถ้วยพอดี

หลิ่วจื้อชิงยกถ้วยขึ้นดื่มชาช้าๆ

เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “ขอให้ข้าถ้วยหนึ่ง”

หลิ่วจื้อชิงหัวเราะ คีบถ้วยชาอีกใบมาวางด้านหน้าตน แล้วก็รินชาให้เฉินผิงอันหนึ่งถ้วย ผลักออกไปเบาๆ ถ้วยชาก็ไถลไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันดื่มไปแล้วหนึ่งอึกก็พยักหน้าเอ่ยว่า “เซียนกระบี่หลิ่วคือยอดฝีมือนอกโลกคนที่สองที่ข้าเคยพบเจอมาซึ่งต้มชาได้ดี”

คนแรก แน่นอนว่าย่อมเป็นลู่ไถ

หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากมีโอกาส คุณชายเฉินสามารถพายอดฝีมือคนนั้นมานั่งเล่นที่หน้าผาอวี้อิ๋งของข้าได้”

เฉินผิงอันวางถ้วยชาลง ถามว่า “ตอนนั้นที่อยู่ในตำหนักจินอู แม้ว่าเซียนกระบี่หลิ่วจะไม่ได้ปรากฏตัว แต่ก็น่าจะสัมผัสได้แล้ว เหตุใดถึงไม่ขัดขวางกระบี่นั้นของข้า?”

หลิ่วจื้อชิงถอนหายใจ วางถ้วยชาที่ยกมาจ่อตรงปากลงบนโต๊ะเบาๆ “ขัดขวางแล้วอย่างไร? จะให้อยู่ดีไม่ว่าดีก็เปิดฉากเข่นฆ่ากันงั้นหรือ?”

หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า “ไม่มีความหมาย หลังจากที่ข้าเลื่อนเป็นโอสถทอง ตลอดหลายปีมานี้ อาศัยชื่อของข้าหลิ่วจื้อชิง ผู้ฝึกกระบี่ตำหนักจินอูที่ลงจากเขามาฝึกประสบการณ์ได้ทำเรื่องผิดๆ ไปแล้วกี่มากน้อย? น่าเสียดายก็แต่ข้าคนนี้ไม่ถนัดเรื่องการจัดการกิจธุระใดๆ ดังนั้นต่อให้รู้สึกว่าบ่อสายฟ้าของตำหนักจินอูเกะกะสายตา รังเกียจคู่รักที่เป็นศิษย์หลาน เห็นพวกเด็กรุ่นหลังที่ยโสโอหังอย่างพวกจิ้นเยว่แล้วไม่ชื่นชอบ ก็ทำได้แค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นให้ใจไม่หงุดหงิดเท่านั้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีความคิดที่แตกต่างจากผู้ฝึกตนของตำหนักจินอูเช่นนี้ ก็คือเหตุผลที่ทำให้เซียนกระบี่หลิ่วสามารถเลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง สูงส่งกว่าทุกคน แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นปมในใจที่ขัดขวางการฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองเลื่อนเป็นก่อกำเนิดของเซียนกระบี่หลิ่ว มาดื่มชาที่นี่สามารถคลายความกลัดกลุ้มได้ แต่กลับไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนอย่างแท้จริง”

หลิ่วจื้อชิงได้ยินประโยคนี้ก็คลี่ยิ้ม ยกถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง ดื่มไปหนึ่งคำ แล้วจึงพูดว่า “ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในหุบเขาลมเหลืองของแคว้นเป่าเซียง เจ้าน่าจะเห็นข้าออกกระบี่แล้ว ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่โอสถทองมากมายแถบทางใต้ของอุตรกุรุทวีป พลังอำนาจนั้นไม่นับว่าเล็กแล้ว”

เฉินผิงอันนึกถึงกระบี่สุดท้ายในหุบเขาลมเหลืองที่แสงกระบี่พุ่งตรงจากขอบฟ้ามา นั่นก็คือกระบี่ของหลิ่วจื้อชิง สามารถทำลายรากฐานของบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองได้ เป็นเหตุให้หลังจากที่มันแน่ใจแล้วว่าผู้ฝึกกระบี่ของตำหนักจินอูจากไปไกลแล้วจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่ามีภิกษุสมณศักดิ์สูงของแคว้นเป่าเซียงอยู่ในบริเวณใกล้เคียง แต่กระนั้นก็ยังอยากจะกินให้อิ่มสักมื้อ หวังใช้เนื้อหนังและจิตวิญญาณมาชดเชยพลังต้นกำเนิดของโอสถปีศาจที่เสียหายไป

หลิ่วจื้อชิงเอ่ยเนิบช้า “แต่กระบี่นั้นมีสองคม จึงมีปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้า การออกกระบี่ของข้าแสวงหาในคำว่า ‘กระบี่ออกไปแล้วไม่หวนกลับคืน’ ดังนั้นการลับคมกระบี่และการฝึกประสบการณ์ฝึกจิตใจ ตอนที่ขอบเขตต่ำจึงราบรื่นอย่างมาก ขอบเขตไม่สูง ผลประโยชน์ที่ได้รับมีมากสุด แต่ยิ่งเป็นช่วงหลังก็ยิ่งเป็นปัญหา เซียนดินก่อกำเนิดที่นอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ล้วนพบเจอได้ไม่ง่าย ผู้ฝึกตนโอสถทองของสำนักอื่นที่ต่ำกว่าก่อกำเนิด ไม่ว่าจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ขอแค่ได้ยินว่าข้าหลิ่วจื้อชิงขี่กระบี่ผ่านอาณาเขตมา แม้ว่าจะเป็นพวกคนวิถีมารที่สามานย์ชั่วช้าก็ยังพากันไปหลบเลี่ยงอยู่ไกลๆ หรือไม่ก็ทำเป็นยืดคอให้ประหาร ท้าตีท้าต่อยอย่างไร้เหตุผล ก่อนหน้านี้ข้าใช้หนึ่งกระบี่สังหารไปสองคน คนหนึ่งในนั้นน่าจะตายไปหลายครั้งแล้ว แต่คนที่สองจะตายหรือไม่ตายก็ได้ ภายหลังข้ายิ่งรู้สึกเบื่อหน่าย นอกจากจะคุ้มกันพวกเด็กรุ่นหลังของตำหนักจินอูลงจากภูเขามาฝึกกระบี่และมาดื่มชาที่นี่แล้ว ข้าก็แทบไม่ออกจากภูเขาเลย ความหวังในการฝ่าทะลุขอบเขตก็ยิ่งเลือนรางลงไปทุกที”

นี่เกี่ยวพันกับมหามรรคาของผู้อื่น เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยคำใด เพียงแค่ดื่มชาอย่างเดียวเท่านั้น โชคชะตาน้ำในน้ำชาถ้วยนี้เปี่ยมล้น สำหรับหลิ่วจื้อชิงที่ช่องโพรงปราณสำคัญมีขนาดใหญ่โตมโหฬารดุจแม่น้ำดุจทะเลสาบแล้ว ปราณวิญญาณน้อยนิดแค่นี้ไม่ได้มีความหมายใดๆ ต่อเขามานานแล้ว แต่สำหรับผู้ฝึกตน ‘ห้าขอบเขตล่าง’ อย่างเฉินผิงอัน น้ำชาทุกถ้วยกลับเป็นดั่งฝนที่ตกสู่ผืนนาแห้งแล้งได้ทันเวลา มีแต่ผลประโยชน์ไม่มีผลเสีย

หลิ่วจื้อชิงถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ดังนั้นข้าเลี้ยงน้ำชาเจ้าก็เพราะอยากจะถามเจ้าว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่นอกภูเขาของตำหนักจินอู เจ้าปล่อยกระบี่นั้นออกมาเพื่ออะไร ปล่อยออกมาอย่างไร แล้วทำอย่างไรจิตแห่งกระบี่ถึงได้…ปลอดโปร่งไร้อุปสรรคติดขัดขนาดนี้ ขอเจ้าโปรดเอ่ยในสิ่งที่เอ่ยได้นอกเหนือจากมหามรรคา บางทีสำหรับข้าหลิ่วจื้อชิงแล้วอาจกลายเป็นการนำหินของภูเขาลูกอื่นมาขัดกลึงหยกของตัวเอง ต่อให้จะเข้าใจได้มากกว่าเดิมอีกแค่เสี้ยวเดียว แต่สำหรับคอขวดของข้าในเวลานี้แล้วก็ล้วนถือเป็นผลเก็บเกี่ยวใหญ่เทียมฟ้าที่มีค่าเทียบทองพันชั่ง”

เฉินผิงอันยกถ้วยชาขึ้น ยิ้มถามว่า “หากข้าพูดไปแล้วทำให้เจ้าพอจะกระจ่างแจ้งได้บ้าง เซียนกระบี่หลิ่วก็บอกเองว่านี่คือผลเก็บเกี่ยวที่ทองหมื่นชั่งก็หาซื้อไม่ได้ แล้วจะใช้น้ำชาถ้วยเดียวมาตอบแทนข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แรกเริ่มเจ้าเอ่ยว่าขอดื่มเพิ่มอีกหนึ่งถ้วย นอกจากปราณวิญญาณในน้ำชาแล้ว ก็เพราะยังอยากจะดูวิธีการวาดยันต์ที่เป็นวิชาเฉพาะของข้าให้ชัดเจนด้วยไม่ใช่หรือ นี่ถือเป็นการตอบแทนหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เวลาแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ข้าไม่อาจเข้าใจปณิธานที่แท้จริงในการวาดยันต์ของเซียนกระบี่ที่ติดอยู่ในคอขวดโอสถทองคนหนึ่งได้หรอก อีกอย่างเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม ในเมื่อดูแล้วไม่เข้าใจก็ช่างมันเถอะ”

หลิ่วจื้อชิงหัวเราะเสียงดัง เขายกมือขึ้นชี้ไปยังบ่อน้ำใสและหน้าผาที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยว่า “หากมีประโยชน์ ข้าจะยกหน้าผาอวี้อิ๋งที่เหลือเวลาอีกสามร้อยปีนี้ให้แก่เจ้า เป็นอย่างไร? ถึงเวลานั้นเจ้าสามารถนำมันมาใช้ต้มชารับรองแขก หรือจะให้สวนน้ำค้างวสันต์หรือคนอื่นเช่าก็ได้ ล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้า”

เฉินผิงอันคลี่พัดพับออกเสียงดังกังวาน แล้วโบกเอาลมเย็นๆ เข้าสู่ตัว “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเซียนกระบี่หลิ่วเติมชาให้อีกสักหน่อย พวกเรามาค่อยๆ ดื่มชาแล้วค่อยๆ พูดคุยกันไป ทำการค้านี่นะ ต้องแน่ใจในนิสัยใจคอของทั้งสองฝ่ายเสียก่อน จากนั้นไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนปรึกษากันได้”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มอย่างเข้าใจ หลังจากนั้นทั้งสองฝ่าย คนหนึ่งก็ใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบหัวใจเอ่ยถ้อยคำ ส่วนอีกคนหนึ่งใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธมาเริ่มทำการ ‘ค้าขาย’ ต่อกัน

หนึ่งก้านธูปต่อมา คนผู้นั้นก็ยื่นมือมาขอชาอีกถ้วย หลิ่วจื้อชิงกลับพูดหน้าเคร่งว่า “รบกวนพี่ชายคนดีท่านนี้ช่วยมีความจริงใจหน่อยได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าพูดจริงทุกประโยค จริงใจทุกคำ!”

หลิ่วจื้อชิงโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “ขออภัยที่ไม่ได้ไปส่ง”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ใช้มือหนึ่งโบกพัด อีกมือหนึ่งปัดผ่านหน้าโต๊ะ ดึงเอาน้ำพุส่วนหนึ่งมาจากน้ำพุเดือดพล่านบนยันต์ที่อยู่บนผิวโต๊ะ แล้วแตะจุดน้ำไว้ตรงหน้าตัวเองสองจุด ใช้สองจุดนี้เป็นต้นและปลายสองตำแหน่ง จากนั้นก็ลากเส้นตรงหนึ่งเส้นจากอีกฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แล้วค่อยใช้ปลายนิ้วแตะตรงปลายด้านหนึ่ง ปาดไปทางขวามือช้าๆ จนกระทั่งถึงปลายอีกฝั่งหนึ่งจึงหยุด “ไม่มองมุมกว้าง มองแค่เวลานี้ สถานที่นี้และคนบางคนเท่านั้น สมมติว่าเส้นเส้นนี้คือฟ้าดินขนาดเล็กที่เซียนกระบี่หลิ่วอยู่ ถ้าอย่างนั้นเซียนกระบี่หลิ่วคือผู้ฝึกตนที่เกิดและเติบโตมาในตำหนักจินอู สภาพจิตใจอยู่ที่ปลายทางด้านนี้ ส่วนสภาพจิตใจและขนบธรรมเนียมของคนในตำหนักจินอูก็มีอยู่ตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้ ขยับเคลื่อนไปเรื่อยๆ อยู่ห่างไกลจากจิตใจของเจ้า ผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นฮูหยินของเจ้าสำนักที่นิสัยอำมหิต จิ้นเยว่ผู้ฝึกกระบี่ที่กำเริบเสิบสานนั้นล้วนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง รวมกันเป็นก้อนตรงนี้ ผู้ฝึกกระบี่หลิ่วที่ฝึกตนอยู่ในตำหนักจินอูจึงรู้สึกว่าไม่ว่าที่ใดก็ขวางหูขวางตา นี่ก็เพราะว่าขอบเขตของเจ้าสูงมากพอ ลำดับอาวุโสก็สูงยิ่งกว่า จึงสามารถรักษาจิตดั้งเดิมของตนเอาไว้ได้ แต่ก็ได้แค่หยุดอยู่ตรงนี้แล้ว เพราะเซียนกระบี่หลิ่วคิดแต่จะฝึกกระบี่อย่างเดียว อยากเดินขึ้นสู่ที่สูงทอดสายตามองไปไกล ใจหวังจะใช้ผู้ฝึกตนเซียนดินมาเป็นหินลับกระบี่ของตัวเอง คร้านจะไปสนใจเรื่องหยุมหยิมขี้หมูราขี้หมาแห้งใต้เปลือกตาเหล่านั้น เพราะรู้สึกว่าเปลืองเวลา อืดอาดชักช้า ถูกหรือไม่?”

หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ารับเบาๆ นั่งตัวตรงอย่างสำรวม “เป็นเช่นนี้จริง”

เฉินผิงอันยกมือขึ้นอีกครั้ง ชี้นิ้วไปยังปลายด้านที่เป็นตัวแทนสภาพจิตใจของหลิ่วจื้อชิงแล้วพลันถามว่า “เรื่องของการออกกระบี่ เหตุใดจึงสละใกล้แสวงหาไกล? ผู้ที่สามารถเอาชนะคนอื่น กับผู้ที่สามารถเอาชนะตัวเอง ล่างภูเขาเลื่อมใสฝ่ายแรก แต่ดูเหมือนว่าคนบนภูเขาจะเลื่อมใสฝ่ายหลังมากกว่ากระมัง? ผู้ฝึกกระบี่มีพลังพิฆาตยิ่งใหญ่ ถูกขนานนามให้เป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นยังจำเป็นต้องถามใจฝึกใจอีกหรือไม่? กระบี่บินเล่มนั้น กระบี่พกประจำตัวเล่มนั้นของผู้ฝึกกระบี่ กับเจ้านายที่บังคับพวกมัน สรุปแล้วทั้งเรื่องของวัตถุและเรื่องของจิตใจนี้ล้วนจำเป็นต้องบริสุทธิ์ไร้มลทินทั้งสองอย่างเลยหรือไม่?”

เฉินผิงอันหุบมือกลับมา ใช้พัดพับเคลื่อนจากปลายฝั่งซ้ายไปช้าๆ ชี้ไปยังปลายฝั่งขวาสุด “เจ้าหลิ่วจื้อชิงสามารถออกกระบี่ตามวิถีโคจรนี้จนกระทั่งจิตแห่งกระบี่โปร่งโล่งกระจ่างแจ้งได้หรือไม่?”

หลิ่วจื้อชิงจมอยู่ในภวังค์ความคิด

เฉินผิงอันพลันถามอีกว่า “เซียนกระบี่หลิ่วเป็นคนบนภูเขามาตั้งแต่เด็ก หรือว่าขึ้นเขาไปฝึกตนตอนอายุยังน้อย?”

หลิ่วจื้อชิงจ้องนิ่งไปที่เส้นนั้น เอ่ยเบาๆ ว่า “นับตั้งแต่จำความได้ก็อยู่บนภูเขาตำหนักจินอูแล้ว ติดตามอาจารย์ผู้มีพระคุณฝึกตน ไม่เคยสนใจเรื่องทางโลก”

เฉินผิงอันทอดถอนใจหนึ่งที ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน แค่แนะนำเซียนกระบี่หลิ่วว่าวันหน้าควรลงจากเขาบ่อยๆ ออกเดินทางไกลให้มากๆ หน่อย”

หลิ่วจื้อชิงยกมือขึ้นแล้วกดลงบนความว่างเปล่าสองที “แม้ข้าจะไม่เชี่ยวชาญการจัดการธุระต่างๆ แต่สำหรับเรื่องของใจคนนั้น ไม่กล้าพูดว่ามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง ดังนั้นเจ้าเลิกใช้ลูกไม้ของพวกคนในยุทธภพมาแกล้งหลอกข้าเสียทีเถอะ หน้าผาอวี้อิ๋งที่ถือว่าสวนน้ำค้างวสันต์กึ่งขายกึ่งยกให้ข้าแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าต้องการครอบครอง หากนำไปขายต่อ เวลาอีกสามร้อยปีกว่าที่เหลืออยู่ อย่าว่าแต่เงินฝนธัญพืชสามเหรียญเลย ราคาเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวก็ยังไม่ยาก หากโชคดี สิบเหรียญก็ยังมีหวัง”

คนผู้นั้นรีบนั่งกลับลงไปที่เดิมดังคาด แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ทำการค้ากับคนฉลาดก็มักจะรวดเร็วฉับไวเช่นนี้”

หลิ่วจื้อชิงเงยหน้าขึ้น ถามอย่างสงสัย “เจ้าสนใจเรื่องทรัพย์สินเงินทองมากขนาดนี้เชียวหรือ? จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือไร?”

เห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นถอนหายใจหนึ่งที “ผู้ฝึกตนอิสระที่น่าสงสาร หาเงินก้อนใหญ่ได้ไม่ง่ายเลยนี่นา”

หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า คร้านจะถือสาคำพูดเหลวไหลของคนผู้นี้

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+