กระบี่จงมา 518.4 บัณฑิต คนในยุทธภพและสาวงาม

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 518.4 บัณฑิต คนในยุทธภพและสาวงาม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เด็กสาวเงยหน้าขึ้น กอดแขนอาหญิงของนางพลางกล่าวอย่างตกตะลึงระคนยินดี “ท่านอา คือท่านอาเฉาฟู่ที่เหวินฝ่าชอบพูดถึงคนนั้นจริงๆ หรือ?”

ฝ่ายเด็กหนุ่มสุยเหวินฝ่าก็ยิ่งมีน้ำตาร้อนๆ มาเอ่อคลอดวงตา เกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพของท่านอาเฉาผู้นี้ เขาเลื่อมใสมานานมากแล้ว เพียงแต่ว่าไม่เคยแน่ใจว่าจะใช่บุรุษที่ปีนั้นจะได้แต่งงานกับอาหญิงของตนแต่ทางตระกูลกลับตกอับไปก่อนหรือไม่ ทว่าแม้แต่ในความฝันเด็กหนุ่มก็ยังคาดหวังให้เฉาฟู่เจ๋อเซียนจากแคว้นหลันฝางผู้นั้นก็คือจอมยุทธน้อยแห่งยุทธภพที่ในอดีตเกือบจะได้แต่งงานกับอาหญิงของตน

เฉาฟู่ยืดเอวขึ้นตรงแล้วก็ไปประคองจอมยุทธใหญ่หูผู้นั้นให้ลุกขึ้น

หูซินเหวยยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “คุณชายเฉา ต้องโทษข้าหูซินเหวย หากไม่เป็นเพราะพวกเจ้ามาถึงทันเวลา ต่อให้ต้องมอบชีวิตนี้ออกไป ข้าก็ยังไม่อาจปกป้องพี่ใหญ่สุยได้ หากกลายเป็นหายนะใหญ่ ต่อให้ตายร้อยรอบก็ยากจะชดใช้”

เฉาฟู่รีบก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะอีกครั้ง “จอมยุทธใหญ่หูมีคุณธรรมน้ำใจ โปรดรับการคารวะจากผู้น้อยเฉาฟู่”

สุยซินอวี่แค่นเสียงหึในลำคอ โบกชายแขนเสื้อหนึ่งที “เฉาฟู่ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เมื่อครู่นี้ตอนที่จอมยุทธใหญ่หูประมือกับศัตรู อีกนิดเดียวก็เกือบจะไม่ทันระวังฆ่าท่านลุงสุยของเจ้าแล้ว”

เฉาฟู่ตะลึงพรึงเพริด

สุยซินอวี่ถอนหายใจ “เฉาฟู่ เจ้ายังคงใจกว้างและมีคุณธรรมมากเกินไป ไม่รู้ถึงความอันตรายของยุทธภพ แต่ก็ช่างเถิด ยามประสบภัยจึงจะเห็นน้ำใจของมิตรแท้ ถือเสียว่าเมื่อก่อนข้าสุยซินอวี่ตาบอด ถึงได้รับจอมยุทธใหญ่หูเป็นสหาย หูซินเหวย เจ้าไปซะเถอะ วันหน้าตระกูลสุยของข้าไม่อาจปีนป่ายไปตีสนิทกับจอมยุทธใหญ่หูได้ อย่าได้คบค้าไปมาหาสู่กันอีกเลย”

หูซินเหวยหันหน้าไปถ่มเลือดสดคำหนึ่งลงพื้น ก่อนกุมหมัดก้มหน้าลงต่ำ “วันหน้าหูซินเหวยจะต้องไปเยือนจวนของพี่ใหญ่สุยเพื่อขออภัยอย่างแน่นอน”

บุรุษพกดาบใช้มือหนึ่งประคองหน้าอก อีกมือหนึ่งกดดาบ เดินโซซัดโซเซจากไป แผ่นหลังของเขาให้ความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย

หยางหยวนยืนอยู่ตรงหน้าประตูศาลา สีหน้ามืดทะมึน กล่าวเสียงทุ้มหนัก “เฉาฟู่ อย่าคิดว่าอาศัยความสัมพันธ์กับทางสำนักแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ที่นี่คือแคว้นอู่หลิง ไม่ใช่แคว้นหลันฝาง ยิ่งไม่ใช่แคว้นชิงสือ”

สุยซินอวี่ลูบหนวดยิ้ม “คำพูดเช่นนี้ ทำไมข้าผู้อาวุโสฟังแล้วถึงได้รู้สึกคุ้นหูนักนะ”

สีหน้าของหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นยิ่งกระด้างเย็นชา คล้ายกำลังสะกดกลั้นไฟโทสะเอาไว้ แต่กลับไม่กล้าลงมือทำอะไร นี่ยิ่งทำให้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าของแคว้นอู่หลิงรู้สึกสาแก่ใจ สมกับคำว่าชีวิตคนไม่มีอะไรแน่นอน หลิวเขียวบุปผาบานสะพรั่งพลันพบเจอหมู่บ้านกลางขุนเขาเสียจริง (เปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่พลิกผันกลับไปในทางที่ดี)

เด็กสาวสุยเหวินอี๋ที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของอาหญิงปิดปากหัวเราะ ดวงตาคู่นั้นหยีลงจนเป็นพระจันทร์เสี้ยว มองไปยังบุรุษที่ชื่อว่าเฉาฟู่ผู้นั้น หัวใจของนางแกว่งไกว ทว่าต่อมาสีหน้าของเด็กสาวก็หม่นหมองลง

สุยเหวินฝ่าเบิกตากว้างจ้องมองเฉาฟู่ที่ถือว่าเป็นอาเขยของตนครึ่งตัว เด็กหนุ่มรู้สึกว่าจะต้องจ้องมองจอมยุทธใหญ่แห่งยุทธภพที่เหมือนเดินออกมาจากตำราผู้นี้ไว้ให้มากๆ น่าเสียดายที่ท่านอาเฉาซึ่งลักษณะสุภาพคล้ายปัญญาชนไม่ได้พกดาบพกกระบี่มาด้วย ไม่อย่างนั้นจะยิ่งสมบูรณ์แบบมากกว่านี้

เฉาฟู่เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าท้องยืนอยู่บนถนน แสดงถึงบุคลิกของคนมีชื่อเสียงออกมาอย่างเต็มที่ ทำเอารองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยที่มองอยู่แอบพยักหน้ากับตัวเอง ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรเขยซึ่งตนคัดเลือกมาให้บุตรสาวในอดีต สมกับเป็นมังกรและหงส์ในหมู่คนจริงๆ

เฉาฟู่มองไปทางสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าก่อน สายตาของเขาอ่อนโยนดุจสายน้ำ ความคิดถึงอาลัยอาวรณ์ที่อธิบายได้ไม่หมดสิ้นฉายชัดในแววตา จากนั้นจึงหันหน้ามามองหยางหยวน ทว่าบุคลิกท่าทางกลับกลายมาเป็นความสง่างามที่ถูกขัดเกลามาจากในยุทธภพ เขาชักเท้าข้างหนึ่งไปไว้ด้านหลัง เข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย ผายฝ่ามือข้างหนึ่งมาด้านหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หยางหยวน หลายปีมานี้ตามหาเจ้าอย่างไรก็ไม่พบ ในเมื่อได้บังเอิญมาเจอกันแล้ว ก็ไม่สู้ลองประมือกันสักสองสามกระบวนท่าดีหรือไม่?”

หยางหยวนแค่นเสียงเย็น “ลำดับศักดิ์ของเจ้ายังห่างจากข้ามากนัก ให้ฟู่เจินลูกศิษย์ของข้าไปประมือกับเจ้าเถอะ เป็นตายรับผิดชอบเอาเอง ไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์และสำนักของแต่ละฝ่าย ตกลงไหม?”

ฟู่เจินมุมปากกระตุก

ทว่าหยางหยวนกลับกล่าวเสียงหนักขึ้นมาก่อนว่า “ฟู่เจิน ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ออกกระบี่แค่สามครั้งก็พอ”

ฟู่เจินถอนหายใจโล่งอก ยังดี อาจารย์ไม่ได้บีบให้ตนขึ้นไปบนเส้นทางแห่งความตาย

ฟู่เจินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องขอความรู้จากเซียนซือใหญ่เฉาสักสามกระบวนท่าแล้ว”

ฟู่เจินที่ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งส่งกระบี่ออกไปตรงๆ ก้าวเท้าไปด้านหน้าประหนึ่งกบแตะผิวน้ำ พลิ้วไหวแผ่วเบา

กระบี่ที่มองดูเหมือนพลังอำนาจน่าพรั่นพรึงนี้ แท้จริงแล้วกลับยั้งพละกำลังเอาไว้ค่อนข้างมาก

ด้วยคิดว่าอย่างมากก็แค่ยอมเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ ด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย แต่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้

ทว่าเพียงไม่นานฟู่เจินก็ต้องเสียใจจนไส้เขียว

คนผู้นั้นก้าวออกมาหนึ่งก้าว เอียงศีรษะเบี่ยงหลบ และในขณะที่ฟู่เจินกำลังลังเลว่าควรจะปาดกระบี่ออกไปให้พอเป็นพิธีดีหรือไม่นั้นเอง คนผู้นั้นก็พุ่งมาถึงด้านหน้าฟู่เจินในเสี้ยววินาที ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งดันหน้าฟู่เจินเอาไว้ ยิ้มกล่าวว่า “อักขระแห่งห้าอสนี จงออกมาจากตำหนักเจี้ยงกง”

เสียงปังดังหนึ่งครั้ง

ประหนึ่งมีสายฟ้ามาระเบิดอยู่บนหน้าของฟู่เจิน

ร่างของฟู่เจินที่เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ตายคาที่พุ่งกระแทกผนังของศาลาที่หันเข้าหาประตูออกไป พริบตาเดียวร่างก็หายวับไปไม่เห็นเงา

กระบี่ที่หลุดออกจากมือเล่มนั้นถูกเฉาฟู่คว้าเอาไว้ เขาโยนไปง่ายๆ มันก็ไปปักตรึงอยู่ในต้นไม้ใหญ่

สุยเหวินฝ่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาชมการต่อสู้ด้วยจิตใจอันฮึกเหิม เขายกมือเช็ดหน้าตัวเอง น้ำตาไหลร้องไห้ออกมาจริงๆ อย่าเรียกว่าอาเขยครึ่งตัวอะไรอยู่เลย เขาก็คืออาเขยในดวงใจของตน! เขาจะต้องขอเรียนวรยุทธมาจากอาเขยท่านนี้สักครึ่งหรือหนึ่งกระบวนท่า วันหน้าที่ตนแบกหีบตำราออกทัศนาจร…อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีสภาพน่าเวทนาอย่างคนชุดเขียวที่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ? ถูกคนอื่นชนแล้วยังต้องเอ่ยขออภัย ถูกคนผลักจนล้มลงไปบนโคลนแล้วยังไม่กล้าพูดแรงๆ แม้สักคำ ทว่าตอนที่เผ่นหนีฝีเท้านั่นกลับไม่ช้าเลย แถมยังแบกหีบไม้ไผ่สีเขียวใบใหญ่ขนาดนั้น น่าตลกจะตายไป

หยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นรีบพาคนออกจากศาลาอย่างรวดเร็ว เฉาฟู่ยิ้มถามว่า “ท่านลุงสุย อยากให้ข้าขวางพวกเขาหรือไม่?”

ใบหน้าที่อยู่เบื้องหลังผ้าโปร่งบางของสตรีที่สวมหมวกคลุมใบหน้าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก

ผู้เฒ่าแซ่สุยคิดแล้วก็รู้สึกว่าอย่าให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนจะดีกว่า เขาจึงส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ช่างเถิด ถือว่าได้สั่งสอนพวกเขาแล้ว พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ เพราะถึงอย่างไรด้านหลังศาลาก็ยังมีศพอยู่ศพหนึ่ง”

ส่วนพวกคนชั่วร้ายในยุทธภพที่เห็นท่าไม่ดีก็พากันจากไปกลุ่มนั้นจะไปทำร้ายคนที่เดินทางอีกหรือไม่

ทั้งสองฝ่ายที่ในอดีตเกือบจะได้เป็นพ่อตาลูกเขยกันอาจจะรู้กันดีอยู่ในใจ หรืออาจจะไม่ทันได้คิดถึง สรุปก็คือไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องไปสนใจแล้ว

หลังจากได้พูดคุยกันพักหนึ่งก็รู้ว่าคราวนี้เฉาฟู่เพิ่งเดินทางมาจากแคว้นหลันฝาง ชิงสือและจินเฟย อันที่จริงเคยไปเยือนที่จวนตระกูลสุยในแคว้นอู่หลิงมาแล้ว แต่พอได้ยินว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยกำลังเดินทางไปเยือนราชวงศ์ต้าจ้วน ก็เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน สอบถามร่องรอยของพวกเขาไปตลอดทาง ถึงได้มาเจอกันที่ศาลาของถนนชาม้าโบราณแห่งนี้โดยบังเอิญ เฉาฟู่ยังหวาดผวาอยู่ไม่คลาย เอาแต่พูดว่าตนมาช้าเกินไป รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังไม่หยุด บอกไปตามตรงว่ามาเร็วไม่สู้มาถูกเวลา ไม่ช้าๆ ตอนที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ ผู้เฒ่าที่บุคลิกสุภาพสง่างามก็หันไปมองลูกสาวของตน น่าเสียดายที่สตรีสวมหมวกคลุมหน้าไม่เอ่ยอะไรสักคำ รอยยิ้มของผู้เฒ่ายิ่งกดลึก ดูท่าลูกสาวของตนจะเขินอายเสียแล้ว บุตรเขยดีๆ ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองอย่างเฉาฟู่นี้ หากพลาดไปจะเป็นความเสียดายที่ใหญ่เทียมฟ้า ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเฉาฟู่สวมชุดแพรกลับคืนบ้านเกิดแล้ว และยังไม่ลืมสัญญาหมั้นหมายในปีนั้น นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งกว่า เขาจะไม่มีทางยอมพลาดโอกาสนี้ไปอีกเด็ดขาด งานชุมนุมพืชหญ้าของราชวงศ์ต้าจ้วนนั่นไม่ต้องไปแล้วก็ได้ กลับไปบ้านเกิดจัดการเรื่องงานแต่งงานนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง

ก่อนหน้านี้คำเรียกขานว่า ‘เซียนซือใหญ่เฉา’ ที่ลูกศิษย์ของหยางหยวนหัวหน้ามารร้ายกลุ่มนั้นเอ่ยเรียก

สุยซินอวี่จดจำได้ขึ้นใจ

เดิมทีเฉาฟู่คิดจะคุ้มกันผู้เฒ่าไปส่งที่เมืองหลวงต้าจ้วน บอกว่ายินดีจะติดตามไปด้วยตลอดทาง เพียงแต่พอได้ยินผู้เฒ่าบอกว่าจะกลับบ้านเกิด งานชุมนุมพืชหญ้าอยู่ไกลเกินไป กระดูกของเขาอาจจะทนรับการโยกคลอนเช่นนั้นไม่ไหว เฉาฟู่จึงเปลี่ยนใจตามไปด้วย บอกว่าทุกวันนี้เมืองหลวงต้าจ้วนมีเจียวน้ำออกอาละวาด ไม่ไปก็ดีเหมือนกัน

คนทั้งกลุ่มเดินออกมาจากศาลา ต่างคนต่างขี่ม้าของตัวเอง เดินเลียบเส้นทางชาม้าโบราณสายนั้นลงเขาไปช้าๆ กลับไปยังเมืองอันเป็นที่ตั้งของจวนตระกูลสุยในแคว้นอู่หลิง ยังเหลือระยะทางอีกไม่น้อย อีกทั้งยังต้องเดินทางผ่านเมืองหลวง อันที่จริงนี่ทำให้สุยซินอวี่อารมณ์ดีอย่างมาก คิดว่าเดินทางอ้อมไปสักเล็กน้อย ได้ไปเจอกับสหายเก่าที่เมืองหลวงก็ดีเหมือนกัน

ตอนที่สตรีสวมหมวกคลุมหน้าพลิกตัวขึ้นหลังม้า หางตาของนางชำเลืองมองไปยังสุดปลายทางถนนเส้นเล็กแล้วทำท่าครุ่นคิด

คนชั่วแห่งยุทธภพกลุ่มของหยางหยวนย้อนกลับไปทางเดิม หากไม่หนีไปบนทางสายเล็กที่แยกออกไปก็คงวิ่งตะบึงเผ่นหนีไปตามเส้นทาง ไม่อย่างนั้นหากพวกตนเลือกจะเดินทางไปเมืองหลวงต้าจ้วนต่อก็คงจะต้องพบเจอกันอีกเป็นแน่

ระหว่างเส้นทางลงเขา

ก่อนหน้านี้หลังจากที่หูซินเหวยเดินพ้นออกมาจากการมองเห็นของทุกคนแล้วก็เริ่มก้าวยาวๆ วิ่งตะบึงออกไปทันใด ผลกลับเห็นคนชุดเขียวสวมงอบผู้นั้น หูซินเหวยเห็นเจ้าเศษสวะผู้นี้แล้วก็ให้โมโห ด้วยรู้สึกว่าความซวยทั้งหมดในวันนี้ล้วนมีสาเหตุมาจากคนผู้นี้ทั้งสิ้น หากไม่เป็นเพราะเขาดึงดันจะเล่นหมากล้อมอย่างอืดอาดยืดยาดอยู่กับตาเฒ่าแซ่สุยในศาลา ออกเดินทางจากศาลาเร็วกว่านั้นสักหน่อย หรือออกมาช้ากว่านี้อีกสักนิด ไม่แน่ว่าสถานการณ์ในวันนี้ เขาหูซินเหวยจะไม่เพียงแต่ยังมีสัมพันธ์ที่กลมเกลียวกับตระกูลสุยอยู่เหมือนเดิม ไม่แน่ว่าอาจจะถือโอกาสนี้ได้ตีสนิทกับเฉาฟู่ที่สูงส่งเหนือผู้ใดได้อีกด้วย ผลกลับกลายเป็นว่าเขาไม่เพียงทำให้สุยซินอวี่โกรธเคือง แม้แต่โอกาสที่จะพาตัวไปให้เฉาฟู่คุ้นหน้าคุ้นตาก็ยังไม่มี ไม่แน่ว่าเมื่อสตรีที่มีรูปโฉมงดงามจนเขาไม่กล้าคิดชั่วด้วยผู้นั้นได้กลับมาเจอกับเฉาฟู่สามีครึ่งตัวที่จากกันไปนาน ความสัมพันธ์ย่อมหวานชื่นยิ่งกว่าแต่งงานใหม่ แค่นางกระซิบอยู่ข้างหมอนคำสองคำ หูซินเหวยก็กลัวว่าวันใดอยู่ดีๆ ตนจะบ้านแตกสาแหรกขาด กิจการล่มจมเอาได้!

ไปๆ มาๆ นั่นจะเป็นความเสียหายที่ใหญ่ถึงเพียงใด?

พอคิดถึงเรื่องพวกนี้

หูซินเหวยก็วาดเท้าเตะฟาดเข้าที่ศีรษะของบัณฑิตอ่อนแอผู้นั้น ทำเอาร่างของฝ่ายหลังผลุบหายเข้าไปในป่าครึ้มนอกเส้นทาง พริบตาเดียวร่างก็หายวับไปไม่เหลือเงา

อารมณ์ของหูซินเหวยถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย

จิตใจของหูซินเหวยปลอดโปร่งขึ้นบ้างแล้ว เขาจึงถ่มน้ำลายที่ปนด้วยเลือดออกมาแรงๆ ก่อนหน้านี้ถูกหยางหยวนใช้สองหมัดทุบลงมาบนหน้าอก มองดูเหมือนน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วกลับบาดเจ็บไม่หนักนัก

ทว่าเมื่อหูซินเหวยเดินมาได้อีกประมาณครึ่งลี้ เขากลับพลันเบิกตากว้าง เหตุใดเบื้องหน้าถึงได้มีบัณฑิตหนุ่มในมือถือไม้เท้าเดินป่าคนนั้นปรากฎตัวอีกแล้วเล่า?

นี่ข้าผู้อาวุโสเจอผีกลางวันแสกๆ หรือไร?

หูซินเหวยเก็บหินก้อนหนึ่งขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วโยนออกไปเบาๆ

กระแทกเข้าที่ท้ายทอยของคนผู้นั้นพอดี คนผู้นั้นยื่นมือมากดศีรษะ หันหน้ามาด่าด้วยสีหน้าเป็นเดือดเป็นแค้น “ไม่จบไม่สิ้นสักทีรึ?”

หูซินเหวยอยากหัวเราะ แต่จู่ๆ กลับไม่กล้าหัวเราะ

หัวใจของหูซินเหวยบีบรัดตัวแน่น อยากจะพุ่งตัวออกไปจากเส้นทางชาม้าโบราณที่ทำให้เขารู้สึกเยือกเย็นขนหัวลุกสายนี้ เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นกลับเดินกะเผลกตรงมาหาเขา ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้หูซินเหวยได้แต่ยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก

สีหน้าของหูซินเหวยแข็งทื่อ

คนผู้นั้นจับประคองงอบ พูดกลั้วหัวเราะถามว่า “ทำไม มีทางสายใหญ่แต่ดันไม่เดิน? ไม่กลัวว่าจะถูกผีบังตาจริงๆ หรือ?”

หูซินเหวยกลืนน้ำลาย พยักหน้ารับ “เดินบนทางสายใหญ่ ต้องเดินบนทางสายใหญ่”

คนทั้งสองจึงเดินไปด้วยกันช้าๆ

หูซินเหวยชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง สังเกตเห็นว่าดูเหมือนฝีเท้าของคนผู้นี้จะไม่มั่นคง สีหน้าซีดขาวน้อยๆ หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดซึม เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก็รีบกดลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน ปล่อยหมัดต่อยเข้าที่จุดไท่หยางข้างหนึ่งของอีกฝ่าย

เสียงปังดังหนึ่งครั้ง

คนผู้นั้นปลิวกระเด็นออกไปจากเส้นทางชาม้าโบราณอีกรอบ

หูซินเหวยใช้ฝ่ามือนวดคลึงหมัด เจ็บจริงๆ ทว่าคราวนี้อีกฝ่ายน่าจะตายจนตายไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

เพียงแต่ว่าเดินออกมาได้อีกหนึ่งลี้ คนชุดเขียวผู้นั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ในการมองเห็นอีกครั้ง

คราวนี้เหงื่อเย็นๆ ไหลมาตามสันหลังของหูซินเหวย ทำให้เขาเสียววาบไปทั้งแผ่นหลัง

โชคดีที่คนผู้นั้นยังคงทำเพียงแค่เดินเข้ามาหาตน แล้วเดินเคียงบ่าลงจากเขาไปช้าๆ พร้อมกับเขา

หูซินเหวยเหงื่อท่วมตัวราวกับตากฝน

แล้วด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าม้าระลอกหนึ่งดังขึ้นมา

หูซินเหวยพลันถอยหลังกรูด ตะโกนเสียงดังลั่น “พี่ใหญ่สุย คุณชายเฉา คนผู้นี้เป็นพวกเดียวกับหยางหยวน!”

เพียงแต่ว่าม้าเหล่านั้นเพียงควบผ่านไป ไม่มีใครหันมาสนใจเขา

หูซินเหวยรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า

บัณฑิตหนุ่มยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แบบนี้ออกจะน่ากระอักกระอ่วนไปหน่อยนะ”

ทว่าจู่ๆ บัณฑิตหนุ่มก็ขมวดคิ้วแน่น

ในกลุ่มขบวนม้า สตรีที่สวมหมวกม่านใช้ริ้วคลื่นในหัวใจพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรน “คุณชายเฉินช่วยข้าด้วย!”

เฉินผิงอันเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาทอดฝีเท้าให้ช้าลง พอเขาเดินช้า หูซินเหวยก็ต้องเดินช้าตามไปด้วย

ทว่าสตรีผู้นั้นคล้ายจะไม่ยอมถอดใจง่ายๆ พริบตานั้นนางพลันชักหัวม้าหันหลังกลับ ควบม้าตะบึงออกมาจากกลุ่มเพียงลำพัง หันหลังให้กับทุกคน พุ่งตรงเข้าหาคนชุดเขียวสวมงอบราวกับเสียสติ

ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังปากอ้าตาค้าง เห็นคนหน้าไม่อายมาเยอะแล้ว แต่กลับไม่เคยเจอใครหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้มาก่อน สตรีสวมหมวกคลุมหน้าผู้นั้นพลิกตัวลงจากหลังม้า มาหยุดยืนอยู่ข้างกายเขา จากนั้นก็หลบอยู่ด้านหลังเขาและหีบไม้ไผ่ พูดเสียงเบาว่า “คุณชายเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกตน ช่วยข้าด้วย”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมาถาม “ข้าเป็นพ่อเจ้าหรือเป็นปู่ของเจ้าล่ะ?”

สตรีผู้นั้นพลันปลดหมวกที่สวมอยู่ลง เผยให้เห็นดวงหน้าของนาง นางพูดอ้อนวอนอย่างเศร้าสลด “ขอแค่เจ้าช่วยเหลือข้าได้ เจ้าก็คือผู้มีพระคุณของข้าสุยจิ่งเฉิง ข้ายินดีจะตอบแทนด้วยร่าง…”

คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะยกฝ่ามือตบฉาดจนร่างของนางหมุนคว้างอยู่ที่เดิมหลายตลบ ก่อนจะล้มแปะลงไปกองอยู่กับพื้น นางที่นั่งอยู่บนพื้นถูกตบจนมึนงงไปหมด

คนผู้นั้นเอ่ยว่า “ข้าอดทนกับคนตระกูลใหญ่อย่างเจ้ามานานแล้ว”

ทว่านาทีถัดมา คนผู้นั้นก็ถอนหายใจหนึ่งที ในมือของบัณฑิตอ่อนแอที่หันหน้าเข้าหานางกับหูซินเหวยพลันมีพัดไม้ไผ่หยกเล่มหนึ่งโผล่มาจากความว่างเปล่า เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ล่วงเกินคนงามแล้ว ล่วงเกินคนงามแล้ว”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 518.4 บัณฑิต คนในยุทธภพและสาวงาม

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 518.4 บัณฑิต คนในยุทธภพและสาวงาม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เด็กสาวเงยหน้าขึ้น กอดแขนอาหญิงของนางพลางกล่าวอย่างตกตะลึงระคนยินดี “ท่านอา คือท่านอาเฉาฟู่ที่เหวินฝ่าชอบพูดถึงคนนั้นจริงๆ หรือ?”

ฝ่ายเด็กหนุ่มสุยเหวินฝ่าก็ยิ่งมีน้ำตาร้อนๆ มาเอ่อคลอดวงตา เกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพของท่านอาเฉาผู้นี้ เขาเลื่อมใสมานานมากแล้ว เพียงแต่ว่าไม่เคยแน่ใจว่าจะใช่บุรุษที่ปีนั้นจะได้แต่งงานกับอาหญิงของตนแต่ทางตระกูลกลับตกอับไปก่อนหรือไม่ ทว่าแม้แต่ในความฝันเด็กหนุ่มก็ยังคาดหวังให้เฉาฟู่เจ๋อเซียนจากแคว้นหลันฝางผู้นั้นก็คือจอมยุทธน้อยแห่งยุทธภพที่ในอดีตเกือบจะได้แต่งงานกับอาหญิงของตน

เฉาฟู่ยืดเอวขึ้นตรงแล้วก็ไปประคองจอมยุทธใหญ่หูผู้นั้นให้ลุกขึ้น

หูซินเหวยยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “คุณชายเฉา ต้องโทษข้าหูซินเหวย หากไม่เป็นเพราะพวกเจ้ามาถึงทันเวลา ต่อให้ต้องมอบชีวิตนี้ออกไป ข้าก็ยังไม่อาจปกป้องพี่ใหญ่สุยได้ หากกลายเป็นหายนะใหญ่ ต่อให้ตายร้อยรอบก็ยากจะชดใช้”

เฉาฟู่รีบก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะอีกครั้ง “จอมยุทธใหญ่หูมีคุณธรรมน้ำใจ โปรดรับการคารวะจากผู้น้อยเฉาฟู่”

สุยซินอวี่แค่นเสียงหึในลำคอ โบกชายแขนเสื้อหนึ่งที “เฉาฟู่ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เมื่อครู่นี้ตอนที่จอมยุทธใหญ่หูประมือกับศัตรู อีกนิดเดียวก็เกือบจะไม่ทันระวังฆ่าท่านลุงสุยของเจ้าแล้ว”

เฉาฟู่ตะลึงพรึงเพริด

สุยซินอวี่ถอนหายใจ “เฉาฟู่ เจ้ายังคงใจกว้างและมีคุณธรรมมากเกินไป ไม่รู้ถึงความอันตรายของยุทธภพ แต่ก็ช่างเถิด ยามประสบภัยจึงจะเห็นน้ำใจของมิตรแท้ ถือเสียว่าเมื่อก่อนข้าสุยซินอวี่ตาบอด ถึงได้รับจอมยุทธใหญ่หูเป็นสหาย หูซินเหวย เจ้าไปซะเถอะ วันหน้าตระกูลสุยของข้าไม่อาจปีนป่ายไปตีสนิทกับจอมยุทธใหญ่หูได้ อย่าได้คบค้าไปมาหาสู่กันอีกเลย”

หูซินเหวยหันหน้าไปถ่มเลือดสดคำหนึ่งลงพื้น ก่อนกุมหมัดก้มหน้าลงต่ำ “วันหน้าหูซินเหวยจะต้องไปเยือนจวนของพี่ใหญ่สุยเพื่อขออภัยอย่างแน่นอน”

บุรุษพกดาบใช้มือหนึ่งประคองหน้าอก อีกมือหนึ่งกดดาบ เดินโซซัดโซเซจากไป แผ่นหลังของเขาให้ความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย

หยางหยวนยืนอยู่ตรงหน้าประตูศาลา สีหน้ามืดทะมึน กล่าวเสียงทุ้มหนัก “เฉาฟู่ อย่าคิดว่าอาศัยความสัมพันธ์กับทางสำนักแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ที่นี่คือแคว้นอู่หลิง ไม่ใช่แคว้นหลันฝาง ยิ่งไม่ใช่แคว้นชิงสือ”

สุยซินอวี่ลูบหนวดยิ้ม “คำพูดเช่นนี้ ทำไมข้าผู้อาวุโสฟังแล้วถึงได้รู้สึกคุ้นหูนักนะ”

สีหน้าของหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นยิ่งกระด้างเย็นชา คล้ายกำลังสะกดกลั้นไฟโทสะเอาไว้ แต่กลับไม่กล้าลงมือทำอะไร นี่ยิ่งทำให้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าของแคว้นอู่หลิงรู้สึกสาแก่ใจ สมกับคำว่าชีวิตคนไม่มีอะไรแน่นอน หลิวเขียวบุปผาบานสะพรั่งพลันพบเจอหมู่บ้านกลางขุนเขาเสียจริง (เปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่พลิกผันกลับไปในทางที่ดี)

เด็กสาวสุยเหวินอี๋ที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของอาหญิงปิดปากหัวเราะ ดวงตาคู่นั้นหยีลงจนเป็นพระจันทร์เสี้ยว มองไปยังบุรุษที่ชื่อว่าเฉาฟู่ผู้นั้น หัวใจของนางแกว่งไกว ทว่าต่อมาสีหน้าของเด็กสาวก็หม่นหมองลง

สุยเหวินฝ่าเบิกตากว้างจ้องมองเฉาฟู่ที่ถือว่าเป็นอาเขยของตนครึ่งตัว เด็กหนุ่มรู้สึกว่าจะต้องจ้องมองจอมยุทธใหญ่แห่งยุทธภพที่เหมือนเดินออกมาจากตำราผู้นี้ไว้ให้มากๆ น่าเสียดายที่ท่านอาเฉาซึ่งลักษณะสุภาพคล้ายปัญญาชนไม่ได้พกดาบพกกระบี่มาด้วย ไม่อย่างนั้นจะยิ่งสมบูรณ์แบบมากกว่านี้

เฉาฟู่เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าท้องยืนอยู่บนถนน แสดงถึงบุคลิกของคนมีชื่อเสียงออกมาอย่างเต็มที่ ทำเอารองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยที่มองอยู่แอบพยักหน้ากับตัวเอง ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรเขยซึ่งตนคัดเลือกมาให้บุตรสาวในอดีต สมกับเป็นมังกรและหงส์ในหมู่คนจริงๆ

เฉาฟู่มองไปทางสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าก่อน สายตาของเขาอ่อนโยนดุจสายน้ำ ความคิดถึงอาลัยอาวรณ์ที่อธิบายได้ไม่หมดสิ้นฉายชัดในแววตา จากนั้นจึงหันหน้ามามองหยางหยวน ทว่าบุคลิกท่าทางกลับกลายมาเป็นความสง่างามที่ถูกขัดเกลามาจากในยุทธภพ เขาชักเท้าข้างหนึ่งไปไว้ด้านหลัง เข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย ผายฝ่ามือข้างหนึ่งมาด้านหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หยางหยวน หลายปีมานี้ตามหาเจ้าอย่างไรก็ไม่พบ ในเมื่อได้บังเอิญมาเจอกันแล้ว ก็ไม่สู้ลองประมือกันสักสองสามกระบวนท่าดีหรือไม่?”

หยางหยวนแค่นเสียงเย็น “ลำดับศักดิ์ของเจ้ายังห่างจากข้ามากนัก ให้ฟู่เจินลูกศิษย์ของข้าไปประมือกับเจ้าเถอะ เป็นตายรับผิดชอบเอาเอง ไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์และสำนักของแต่ละฝ่าย ตกลงไหม?”

ฟู่เจินมุมปากกระตุก

ทว่าหยางหยวนกลับกล่าวเสียงหนักขึ้นมาก่อนว่า “ฟู่เจิน ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ออกกระบี่แค่สามครั้งก็พอ”

ฟู่เจินถอนหายใจโล่งอก ยังดี อาจารย์ไม่ได้บีบให้ตนขึ้นไปบนเส้นทางแห่งความตาย

ฟู่เจินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องขอความรู้จากเซียนซือใหญ่เฉาสักสามกระบวนท่าแล้ว”

ฟู่เจินที่ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งส่งกระบี่ออกไปตรงๆ ก้าวเท้าไปด้านหน้าประหนึ่งกบแตะผิวน้ำ พลิ้วไหวแผ่วเบา

กระบี่ที่มองดูเหมือนพลังอำนาจน่าพรั่นพรึงนี้ แท้จริงแล้วกลับยั้งพละกำลังเอาไว้ค่อนข้างมาก

ด้วยคิดว่าอย่างมากก็แค่ยอมเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ ด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย แต่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้

ทว่าเพียงไม่นานฟู่เจินก็ต้องเสียใจจนไส้เขียว

คนผู้นั้นก้าวออกมาหนึ่งก้าว เอียงศีรษะเบี่ยงหลบ และในขณะที่ฟู่เจินกำลังลังเลว่าควรจะปาดกระบี่ออกไปให้พอเป็นพิธีดีหรือไม่นั้นเอง คนผู้นั้นก็พุ่งมาถึงด้านหน้าฟู่เจินในเสี้ยววินาที ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งดันหน้าฟู่เจินเอาไว้ ยิ้มกล่าวว่า “อักขระแห่งห้าอสนี จงออกมาจากตำหนักเจี้ยงกง”

เสียงปังดังหนึ่งครั้ง

ประหนึ่งมีสายฟ้ามาระเบิดอยู่บนหน้าของฟู่เจิน

ร่างของฟู่เจินที่เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ตายคาที่พุ่งกระแทกผนังของศาลาที่หันเข้าหาประตูออกไป พริบตาเดียวร่างก็หายวับไปไม่เห็นเงา

กระบี่ที่หลุดออกจากมือเล่มนั้นถูกเฉาฟู่คว้าเอาไว้ เขาโยนไปง่ายๆ มันก็ไปปักตรึงอยู่ในต้นไม้ใหญ่

สุยเหวินฝ่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาชมการต่อสู้ด้วยจิตใจอันฮึกเหิม เขายกมือเช็ดหน้าตัวเอง น้ำตาไหลร้องไห้ออกมาจริงๆ อย่าเรียกว่าอาเขยครึ่งตัวอะไรอยู่เลย เขาก็คืออาเขยในดวงใจของตน! เขาจะต้องขอเรียนวรยุทธมาจากอาเขยท่านนี้สักครึ่งหรือหนึ่งกระบวนท่า วันหน้าที่ตนแบกหีบตำราออกทัศนาจร…อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีสภาพน่าเวทนาอย่างคนชุดเขียวที่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ? ถูกคนอื่นชนแล้วยังต้องเอ่ยขออภัย ถูกคนผลักจนล้มลงไปบนโคลนแล้วยังไม่กล้าพูดแรงๆ แม้สักคำ ทว่าตอนที่เผ่นหนีฝีเท้านั่นกลับไม่ช้าเลย แถมยังแบกหีบไม้ไผ่สีเขียวใบใหญ่ขนาดนั้น น่าตลกจะตายไป

หยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นรีบพาคนออกจากศาลาอย่างรวดเร็ว เฉาฟู่ยิ้มถามว่า “ท่านลุงสุย อยากให้ข้าขวางพวกเขาหรือไม่?”

ใบหน้าที่อยู่เบื้องหลังผ้าโปร่งบางของสตรีที่สวมหมวกคลุมใบหน้าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก

ผู้เฒ่าแซ่สุยคิดแล้วก็รู้สึกว่าอย่าให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนจะดีกว่า เขาจึงส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ช่างเถิด ถือว่าได้สั่งสอนพวกเขาแล้ว พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ เพราะถึงอย่างไรด้านหลังศาลาก็ยังมีศพอยู่ศพหนึ่ง”

ส่วนพวกคนชั่วร้ายในยุทธภพที่เห็นท่าไม่ดีก็พากันจากไปกลุ่มนั้นจะไปทำร้ายคนที่เดินทางอีกหรือไม่

ทั้งสองฝ่ายที่ในอดีตเกือบจะได้เป็นพ่อตาลูกเขยกันอาจจะรู้กันดีอยู่ในใจ หรืออาจจะไม่ทันได้คิดถึง สรุปก็คือไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องไปสนใจแล้ว

หลังจากได้พูดคุยกันพักหนึ่งก็รู้ว่าคราวนี้เฉาฟู่เพิ่งเดินทางมาจากแคว้นหลันฝาง ชิงสือและจินเฟย อันที่จริงเคยไปเยือนที่จวนตระกูลสุยในแคว้นอู่หลิงมาแล้ว แต่พอได้ยินว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยกำลังเดินทางไปเยือนราชวงศ์ต้าจ้วน ก็เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน สอบถามร่องรอยของพวกเขาไปตลอดทาง ถึงได้มาเจอกันที่ศาลาของถนนชาม้าโบราณแห่งนี้โดยบังเอิญ เฉาฟู่ยังหวาดผวาอยู่ไม่คลาย เอาแต่พูดว่าตนมาช้าเกินไป รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังไม่หยุด บอกไปตามตรงว่ามาเร็วไม่สู้มาถูกเวลา ไม่ช้าๆ ตอนที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ ผู้เฒ่าที่บุคลิกสุภาพสง่างามก็หันไปมองลูกสาวของตน น่าเสียดายที่สตรีสวมหมวกคลุมหน้าไม่เอ่ยอะไรสักคำ รอยยิ้มของผู้เฒ่ายิ่งกดลึก ดูท่าลูกสาวของตนจะเขินอายเสียแล้ว บุตรเขยดีๆ ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองอย่างเฉาฟู่นี้ หากพลาดไปจะเป็นความเสียดายที่ใหญ่เทียมฟ้า ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเฉาฟู่สวมชุดแพรกลับคืนบ้านเกิดแล้ว และยังไม่ลืมสัญญาหมั้นหมายในปีนั้น นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งกว่า เขาจะไม่มีทางยอมพลาดโอกาสนี้ไปอีกเด็ดขาด งานชุมนุมพืชหญ้าของราชวงศ์ต้าจ้วนนั่นไม่ต้องไปแล้วก็ได้ กลับไปบ้านเกิดจัดการเรื่องงานแต่งงานนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง

ก่อนหน้านี้คำเรียกขานว่า ‘เซียนซือใหญ่เฉา’ ที่ลูกศิษย์ของหยางหยวนหัวหน้ามารร้ายกลุ่มนั้นเอ่ยเรียก

สุยซินอวี่จดจำได้ขึ้นใจ

เดิมทีเฉาฟู่คิดจะคุ้มกันผู้เฒ่าไปส่งที่เมืองหลวงต้าจ้วน บอกว่ายินดีจะติดตามไปด้วยตลอดทาง เพียงแต่พอได้ยินผู้เฒ่าบอกว่าจะกลับบ้านเกิด งานชุมนุมพืชหญ้าอยู่ไกลเกินไป กระดูกของเขาอาจจะทนรับการโยกคลอนเช่นนั้นไม่ไหว เฉาฟู่จึงเปลี่ยนใจตามไปด้วย บอกว่าทุกวันนี้เมืองหลวงต้าจ้วนมีเจียวน้ำออกอาละวาด ไม่ไปก็ดีเหมือนกัน

คนทั้งกลุ่มเดินออกมาจากศาลา ต่างคนต่างขี่ม้าของตัวเอง เดินเลียบเส้นทางชาม้าโบราณสายนั้นลงเขาไปช้าๆ กลับไปยังเมืองอันเป็นที่ตั้งของจวนตระกูลสุยในแคว้นอู่หลิง ยังเหลือระยะทางอีกไม่น้อย อีกทั้งยังต้องเดินทางผ่านเมืองหลวง อันที่จริงนี่ทำให้สุยซินอวี่อารมณ์ดีอย่างมาก คิดว่าเดินทางอ้อมไปสักเล็กน้อย ได้ไปเจอกับสหายเก่าที่เมืองหลวงก็ดีเหมือนกัน

ตอนที่สตรีสวมหมวกคลุมหน้าพลิกตัวขึ้นหลังม้า หางตาของนางชำเลืองมองไปยังสุดปลายทางถนนเส้นเล็กแล้วทำท่าครุ่นคิด

คนชั่วแห่งยุทธภพกลุ่มของหยางหยวนย้อนกลับไปทางเดิม หากไม่หนีไปบนทางสายเล็กที่แยกออกไปก็คงวิ่งตะบึงเผ่นหนีไปตามเส้นทาง ไม่อย่างนั้นหากพวกตนเลือกจะเดินทางไปเมืองหลวงต้าจ้วนต่อก็คงจะต้องพบเจอกันอีกเป็นแน่

ระหว่างเส้นทางลงเขา

ก่อนหน้านี้หลังจากที่หูซินเหวยเดินพ้นออกมาจากการมองเห็นของทุกคนแล้วก็เริ่มก้าวยาวๆ วิ่งตะบึงออกไปทันใด ผลกลับเห็นคนชุดเขียวสวมงอบผู้นั้น หูซินเหวยเห็นเจ้าเศษสวะผู้นี้แล้วก็ให้โมโห ด้วยรู้สึกว่าความซวยทั้งหมดในวันนี้ล้วนมีสาเหตุมาจากคนผู้นี้ทั้งสิ้น หากไม่เป็นเพราะเขาดึงดันจะเล่นหมากล้อมอย่างอืดอาดยืดยาดอยู่กับตาเฒ่าแซ่สุยในศาลา ออกเดินทางจากศาลาเร็วกว่านั้นสักหน่อย หรือออกมาช้ากว่านี้อีกสักนิด ไม่แน่ว่าสถานการณ์ในวันนี้ เขาหูซินเหวยจะไม่เพียงแต่ยังมีสัมพันธ์ที่กลมเกลียวกับตระกูลสุยอยู่เหมือนเดิม ไม่แน่ว่าอาจจะถือโอกาสนี้ได้ตีสนิทกับเฉาฟู่ที่สูงส่งเหนือผู้ใดได้อีกด้วย ผลกลับกลายเป็นว่าเขาไม่เพียงทำให้สุยซินอวี่โกรธเคือง แม้แต่โอกาสที่จะพาตัวไปให้เฉาฟู่คุ้นหน้าคุ้นตาก็ยังไม่มี ไม่แน่ว่าเมื่อสตรีที่มีรูปโฉมงดงามจนเขาไม่กล้าคิดชั่วด้วยผู้นั้นได้กลับมาเจอกับเฉาฟู่สามีครึ่งตัวที่จากกันไปนาน ความสัมพันธ์ย่อมหวานชื่นยิ่งกว่าแต่งงานใหม่ แค่นางกระซิบอยู่ข้างหมอนคำสองคำ หูซินเหวยก็กลัวว่าวันใดอยู่ดีๆ ตนจะบ้านแตกสาแหรกขาด กิจการล่มจมเอาได้!

ไปๆ มาๆ นั่นจะเป็นความเสียหายที่ใหญ่ถึงเพียงใด?

พอคิดถึงเรื่องพวกนี้

หูซินเหวยก็วาดเท้าเตะฟาดเข้าที่ศีรษะของบัณฑิตอ่อนแอผู้นั้น ทำเอาร่างของฝ่ายหลังผลุบหายเข้าไปในป่าครึ้มนอกเส้นทาง พริบตาเดียวร่างก็หายวับไปไม่เหลือเงา

อารมณ์ของหูซินเหวยถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย

จิตใจของหูซินเหวยปลอดโปร่งขึ้นบ้างแล้ว เขาจึงถ่มน้ำลายที่ปนด้วยเลือดออกมาแรงๆ ก่อนหน้านี้ถูกหยางหยวนใช้สองหมัดทุบลงมาบนหน้าอก มองดูเหมือนน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วกลับบาดเจ็บไม่หนักนัก

ทว่าเมื่อหูซินเหวยเดินมาได้อีกประมาณครึ่งลี้ เขากลับพลันเบิกตากว้าง เหตุใดเบื้องหน้าถึงได้มีบัณฑิตหนุ่มในมือถือไม้เท้าเดินป่าคนนั้นปรากฎตัวอีกแล้วเล่า?

นี่ข้าผู้อาวุโสเจอผีกลางวันแสกๆ หรือไร?

หูซินเหวยเก็บหินก้อนหนึ่งขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วโยนออกไปเบาๆ

กระแทกเข้าที่ท้ายทอยของคนผู้นั้นพอดี คนผู้นั้นยื่นมือมากดศีรษะ หันหน้ามาด่าด้วยสีหน้าเป็นเดือดเป็นแค้น “ไม่จบไม่สิ้นสักทีรึ?”

หูซินเหวยอยากหัวเราะ แต่จู่ๆ กลับไม่กล้าหัวเราะ

หัวใจของหูซินเหวยบีบรัดตัวแน่น อยากจะพุ่งตัวออกไปจากเส้นทางชาม้าโบราณที่ทำให้เขารู้สึกเยือกเย็นขนหัวลุกสายนี้ เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นกลับเดินกะเผลกตรงมาหาเขา ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้หูซินเหวยได้แต่ยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก

สีหน้าของหูซินเหวยแข็งทื่อ

คนผู้นั้นจับประคองงอบ พูดกลั้วหัวเราะถามว่า “ทำไม มีทางสายใหญ่แต่ดันไม่เดิน? ไม่กลัวว่าจะถูกผีบังตาจริงๆ หรือ?”

หูซินเหวยกลืนน้ำลาย พยักหน้ารับ “เดินบนทางสายใหญ่ ต้องเดินบนทางสายใหญ่”

คนทั้งสองจึงเดินไปด้วยกันช้าๆ

หูซินเหวยชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง สังเกตเห็นว่าดูเหมือนฝีเท้าของคนผู้นี้จะไม่มั่นคง สีหน้าซีดขาวน้อยๆ หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดซึม เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก็รีบกดลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน ปล่อยหมัดต่อยเข้าที่จุดไท่หยางข้างหนึ่งของอีกฝ่าย

เสียงปังดังหนึ่งครั้ง

คนผู้นั้นปลิวกระเด็นออกไปจากเส้นทางชาม้าโบราณอีกรอบ

หูซินเหวยใช้ฝ่ามือนวดคลึงหมัด เจ็บจริงๆ ทว่าคราวนี้อีกฝ่ายน่าจะตายจนตายไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

เพียงแต่ว่าเดินออกมาได้อีกหนึ่งลี้ คนชุดเขียวผู้นั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ในการมองเห็นอีกครั้ง

คราวนี้เหงื่อเย็นๆ ไหลมาตามสันหลังของหูซินเหวย ทำให้เขาเสียววาบไปทั้งแผ่นหลัง

โชคดีที่คนผู้นั้นยังคงทำเพียงแค่เดินเข้ามาหาตน แล้วเดินเคียงบ่าลงจากเขาไปช้าๆ พร้อมกับเขา

หูซินเหวยเหงื่อท่วมตัวราวกับตากฝน

แล้วด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าม้าระลอกหนึ่งดังขึ้นมา

หูซินเหวยพลันถอยหลังกรูด ตะโกนเสียงดังลั่น “พี่ใหญ่สุย คุณชายเฉา คนผู้นี้เป็นพวกเดียวกับหยางหยวน!”

เพียงแต่ว่าม้าเหล่านั้นเพียงควบผ่านไป ไม่มีใครหันมาสนใจเขา

หูซินเหวยรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า

บัณฑิตหนุ่มยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แบบนี้ออกจะน่ากระอักกระอ่วนไปหน่อยนะ”

ทว่าจู่ๆ บัณฑิตหนุ่มก็ขมวดคิ้วแน่น

ในกลุ่มขบวนม้า สตรีที่สวมหมวกม่านใช้ริ้วคลื่นในหัวใจพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรน “คุณชายเฉินช่วยข้าด้วย!”

เฉินผิงอันเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาทอดฝีเท้าให้ช้าลง พอเขาเดินช้า หูซินเหวยก็ต้องเดินช้าตามไปด้วย

ทว่าสตรีผู้นั้นคล้ายจะไม่ยอมถอดใจง่ายๆ พริบตานั้นนางพลันชักหัวม้าหันหลังกลับ ควบม้าตะบึงออกมาจากกลุ่มเพียงลำพัง หันหลังให้กับทุกคน พุ่งตรงเข้าหาคนชุดเขียวสวมงอบราวกับเสียสติ

ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังปากอ้าตาค้าง เห็นคนหน้าไม่อายมาเยอะแล้ว แต่กลับไม่เคยเจอใครหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้มาก่อน สตรีสวมหมวกคลุมหน้าผู้นั้นพลิกตัวลงจากหลังม้า มาหยุดยืนอยู่ข้างกายเขา จากนั้นก็หลบอยู่ด้านหลังเขาและหีบไม้ไผ่ พูดเสียงเบาว่า “คุณชายเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกตน ช่วยข้าด้วย”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมาถาม “ข้าเป็นพ่อเจ้าหรือเป็นปู่ของเจ้าล่ะ?”

สตรีผู้นั้นพลันปลดหมวกที่สวมอยู่ลง เผยให้เห็นดวงหน้าของนาง นางพูดอ้อนวอนอย่างเศร้าสลด “ขอแค่เจ้าช่วยเหลือข้าได้ เจ้าก็คือผู้มีพระคุณของข้าสุยจิ่งเฉิง ข้ายินดีจะตอบแทนด้วยร่าง…”

คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะยกฝ่ามือตบฉาดจนร่างของนางหมุนคว้างอยู่ที่เดิมหลายตลบ ก่อนจะล้มแปะลงไปกองอยู่กับพื้น นางที่นั่งอยู่บนพื้นถูกตบจนมึนงงไปหมด

คนผู้นั้นเอ่ยว่า “ข้าอดทนกับคนตระกูลใหญ่อย่างเจ้ามานานแล้ว”

ทว่านาทีถัดมา คนผู้นั้นก็ถอนหายใจหนึ่งที ในมือของบัณฑิตอ่อนแอที่หันหน้าเข้าหานางกับหูซินเหวยพลันมีพัดไม้ไผ่หยกเล่มหนึ่งโผล่มาจากความว่างเปล่า เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ล่วงเกินคนงามแล้ว ล่วงเกินคนงามแล้ว”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+