กระบี่จงมา 520.3 คำตอบอยู่บนไผ่เขียว

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 520.3 คำตอบอยู่บนไผ่เขียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา “ครั้งแรกหากหูซินเหวยยอมทุ่มสุดชีวิต เพื่อคำว่าคุณธรรมในยุทธภพแล้วไม่เสียดายหากตัวเองต้องตาย ทำเรื่องที่มองดูเหมือนโง่เง่าอย่างถึงที่สุด ข้าก็ไม่จำเป็นต้องมองดูหมากกระดานนี้แล้ว ข้าจะลงมือตอนนั้นเลย ครั้งที่สอง ต่อให้พ่อของเจ้าจะยังนิ่งดูดาย แต่ขอแค่เขามีความเห็นอกเห็นใจสักหน่อย ไม่ใช่เส้นสายในหัวใจคิดว่าขอแค่ข้าเปิดปากเขาก็จะด่าทอหยาบคายทันที ข้าก็จะไม่ทำแค่มองดูสถานการณ์อีกต่อไป แต่เลือกที่จะลงมือ”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “กลับกลายเป็นหูซินเหวยคนนั้นที่ทำให้ข้าประหลาดใจ สุดท้ายหลังจากที่ข้าแยกกับพวกเจ้าก็ได้ไปหาหูซินเหวย แล้วข้าก็ได้เห็นจากบนร่างของเขา ครั้งหนึ่งคือก่อนที่เขาจะตาย ได้ขอร้องข้าไม่ให้ลากครอบครัวของเขามาเกี่ยวข้องด้วย อีกครั้งหนึ่งคือข้าถามเขาว่าพวกเจ้าสี่คนสมควรตายหรือไม่ เขาบอกว่าอันที่จริงสุยซินอวี่ถือเป็นขุนนางและสหายที่ไม่เลว สุดท้ายเขาพูดถึงการทำเรื่องผดุงคุณธรรมของเขาในอดีตขึ้นมาด้วยตัวเอง คำว่าเรื่องที่กล่าวถึงนี้ เป็นคำที่น่าสนใจอย่างมาก”

 สุยจิ่งเฉิงพูดเบาๆ “แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้อาวุโสก็มองดูอยู่ตลอดเวลา เหตุใดทั้งๆ ที่ผู้อาวุโสผิดหวังขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังปกป้องพวกเราอย่างลับๆ?”

“ลัทธิเต๋าบอกว่าโชคและเคราะห์ไร้ประตู ล้วนเป็นคนที่ไปกวักมือเรียกหามันมาเอง ลัทธิพุทธกล่าวว่ากรรมคือผลของการกระทำ ล้วนเป็นหลักการที่คล้ายคลึงกัน แต่บนโลกใบนี้มีเทพเซียนครึ่งตัวบนภูเขาอยู่หลายคนที่ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง มีพวกเขาอยู่ หลักการเหตุผลที่เดิมทียากอยู่แล้วก็จะยิ่งนำมาพูดได้ยากเข้าไปอีก”

เฉินผิงอันกล่าว “แต่พวกเจ้าที่อยู่ในสถานการณ์ของศาลา ถือเป็นผู้อ่อนแอ ข้าได้บังเอิญมาพบเจอเข้าพอดี หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียด อีกทั้งตัวข้าเองยังมีพละกำลังเหลือพอจะปกป้องตัวเอง ดังนั้นข้าจึงไม่ได้จากไป แต่ระหว่างนี้ หากไม่นับความเป็นความตายของพวกเจ้า ไม่ว่าจะเจอกับความลำบากยากเข็ญแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่นต้องหนีเอาตัวรอดท่ามกลางพายุฝน อกสั่นขวัญผวาไปตลอดทาง แล้วยังถูกคนใช้หลังดาบฟาดให้ตกลงมาจากหลังม้าเต็มแรง ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเจ้ารนหาที่เอง นี่คือสิ่งที่วิถีทางโลกมอบกลับคืนให้พวกเจ้า หากดูในระยะยาว นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพราะถึงอย่างไรพวกเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ ผู้อ่อนแอมากกว่านี้มีเหตุผลที่ควรมีชีวิตอยู่รอดมากกว่าพวกเจ้า แต่อยู่ดีๆ นึกจะตายกลับตายไปเสียอย่างนั้น”

ผู้อ่อนแอเรียกร้องให้ผู้แข็งแกร่งลงแรงลงมือทำมากกว่า เฉินผิงอันไม่รู้สึกอะไร เพราะเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ต่อให้ผู้อ่อนแอหลายคนที่ถูกผู้แข็งแกร่งปกป้องจะไม่มีใจสำนึกในบุญคุณแม้แต่น้อย แต่เฉินผิงอันในเวลานี้กลับไม่คิดมากอีก

การเดินทางไปเยือนเมืองสุยเจี้ย ต้องแบกรับทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆครั้งนั้น เฉินผิงอันไม่เคยนึกเสียใจภายหลัง

เพราะด้านในตรอกใดตรอกหนึ่งของเมืองสุยเจี้ยอาจจะมีเฉินผิงอัน มีหลิวเสี้ยนหยางที่กำลังเติบโต

หากจะบอกว่าหายนะยาวนานพันปี (เปรียบเปรยว่าเรื่องเลวร้ายมักจะดำรงอยู่ยาวนานเสมอ ประโยคหน้าของประโยคนี้คือคนดีมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่หายนะกลับยาวนานเป็นพันปี) วิถีทางโลกเป็นเช่นนี้ จิตใจคนเป็นเช่นนี้ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าอย่างนั้นคนดีก็ควรจะฉลาดให้มากหน่อย มีชีวิตอยู่ให้ยาวนานอีกเสียหน่อย ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนจากคนดีที่ทนรับความยากลำบากได้กลายมาเป็นหายนะนั้นเสียเอง เมื่อความชั่วร้ายพากันถือกำเนิด เกิดเป็นวงโคจรไม่หยุดพัก ภูเขาถล่มพื้นดินทลาย สักวันไม่ช้าก็เร็วทุกคนก็จะต้องเอาคืนมหามรรคาแห่งฟ้าดินที่ไร้ความรู้สึก

สุยจิ่งเฉิงใคร่ครวญเงียบๆ นางโยนกิ่งไม้หลายกิ่งเข้าไปในกองไฟ กำลังคิดจะถามว่าเหตุใดผู้อาวุโสถึงไม่ได้ฆ่าคนชั่วอยากพวกหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นกลุ่มนั้นให้หมดสิ้น เพียงแต่ไม่นานนางก็เข้าใจจุดเชื่อมโยงของเรื่องราว จึงไม่ถามให้มากความอีก

เพราะหากแหวกหญ้าให้งูตื่น เฉาฟู่และเซียวซูเย่ก็มีแต่จะยิ่งอดทนและระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น

สุยจิ่งเฉิงอยากจะถามอีกว่าเหตุใดตอนนั้นที่อยู่บนเส้นทางชาม้าโบราณถึงได้ไม่ฆ่าคนทั้งสองคนไปเลย เพียงแต่ว่าไม่นานสุยจิ่งเฉิงก็ได้คำตอบอีกเหมือนเดิม

อาศัยอะไร?

เส้นบรรทัดฐานความดีเลวของคนทั้งสองอยู่ตรงไหน?

สุยจิ่งเฉิงยื่นมือมานวดคลึงจุดไท่หยาง

นางฟังเข้าใจในหลายๆ เรื่อง แต่นางกลับรู้สึกปวดหัว ความคิดในหัวสมองเริ่มพันกันยุ่งเหยิงคล้ายเชือกก้อนหนึ่ง หรือว่าการฝึกตนบนภูเขาล้วนต้องถูกพันธนาการมือเท้าเช่นนี้? ถ้าอย่างนั้นหากฝึกตนจนมีวิชาความสามารถเฉกเช่นเซียนกระบี่อย่างผู้อาวุโส ก็จะต้องคิดทุกเรื่องยิบย่อยแบบนี้เลยหรือ? หากเจอกับสถานการณ์ที่จำเป็นต้องลงมือให้ทันเวลา แต่ยากจะแยกแยะดีเลว ถ้าอย่างนั้นควรจะใช้วิชาคาถาช่วยคนหรือฆ่าคน?

ดูเหมือนคนผู้นั้นจะมองความคิดในใจของสุยจิ่งเฉิงออก จึงยิ้มกล่าวว่า “รอให้เจ้าเคยชินจนเป็นธรมชาติ เห็นคนและเรื่องราวมากขึ้น ก่อนลงมือก็จะรู้อะไรควรไม่ควรเอง ไม่เพียงแต่ไม่อืดอาดยืดยาด กลับจะกลายเป็นว่าออกกระบี่ก็ดี ร่ายมรรคกถาก็ช่าง ล้วนรวดเร็วและมีแต่จะเร็วอย่างถึงที่สุด”

เขาชี้ไปยังเม็ดหมากที่อยู่บนกระดาน “หากจะบอกว่าพอหยางหยวนเข้ามาในศาลาก็ตบพวกเจ้าสี่คนจากตระกูลสุยให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวทันที หรือตอนนั้นข้ามองไม่ออกว่าฟู่เจินจะออกกระบี่ขัดขวางหมัดนั้นของหูซินเหวย ข้าย่อมไม่มีทางทำเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ เชื่อข้าเถอะ ไม่ว่าจะฟู่เจินหรือหูซินเหวยต้องไม่รู้ว่าตัวเองตายอย่างไรแน่”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าให้สุยจิ่งเฉิง

ก่อนหน้านี้ตอนที่นางคุกเข่าอยู่บนถนนได้เปิดปากขอร้องเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “สุยจิ่งเฉิงอยากติดตามผู้อาวุโสฝึกวิชาตระกูลเซียน!”

เขาถามไปสองคำถาม “อาศัยอะไร? เพื่ออะไร?”

“นับแต่เด็กข้าก็มีโชควาสนาติดกาย มีพรสวรรค์ในการฝึกตน มีสมบัติหนักตระกูลเซียนที่ยอดฝีมือมอบไว้ให้ คือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้ฝึกตน เพียงแต่ว่าไม่มีวิสุทธิจารย์บนภูเขาคอยช่วยชี้แนะ หากฝึกวิชาเซียนประสบความสำเร็จ ข้าจะต้องออกเดินทางท่องไปในยุทธภพเหมือนอย่างผู้อาวุโสแน่นอน”

คำตอบทั้งสองอย่าง หนึ่งไม่ผิด อีกหนึ่งก็ยังคงเป็นคำตอบที่ฉลาดมาก

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอยากให้นางไปหาชุยตงซาน ไปฝึกวิชากับเขา เขารู้ว่าควรจะสอนสุยจิ่งเฉิงอย่างไร ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดวิชาตระกูลเซียนให้นางเท่านั้น แม้แต่การเป็นคนควรเป็นเช่นไรก็คงจะสอนนางด้วย

พรสวรรค์ของสุยจิ่งเฉิงเป็นอย่างไร เฉินผิงอันไม่กล้าให้ข้อสรุปยืนยันหนักแน่น แต่สติปัญญาของนางนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะโชคในการเสี่ยงดวงของนางที่ดีทุกครั้ง นั่นไม่ใช่โชคดีค้ำฟ้าอะไร แต่ต้องเรียกว่าเป็น…ศาสตร์แห่งการเดิมพัน

แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่เฉินผิงอันอยากจะให้สุยจิ่งเฉิงไปหาชุยตงซานที่แจกันสมบัติทวีป

หลังจากชมหมากล้อมสองตา เฉินผิงอันมีบางอย่างที่อยากจะให้ลูกศิษย์อย่างชุยตงซานได้ดู ถือเป็นคำตอบครึ่งหนึ่งที่ปีนั้นลูกศิษย์ถามคำถามอาจารย์

เฉินผิงอันเรียกกระบี่บินสืออู่ออกมา คีบมันไว้ที่ปลายนิ้วเบาๆ แล้วเริ่มก้มหน้าค้อมเอวแกะสลักลงไปบนไม้เท้าเดินป่าที่ผ่านการหลอมเล็กจนมีสีเขียวปลั่งเหมือนไม้ไผ่

ตรงจุดที่สายตาของสุยจิ่งเฉิงมองไปเห็น ดูเหมือนว่าแต่ละมีดล้วนสลักลงบนตำแหน่งเดิม

สุยจิ่งเฉิงไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่เบิกตากว้างมองคนผู้นั้นแกะสลักตัวอักษรลงบนไม้เท้าเงียบๆ

หนึ่งก้านธูปผ่านไป ดวงตาทั้งคู่ของสุยจิ่งเฉิงก็เริ่มปวดปร่า ต้องขยี้ดวงตา

ประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา คนผู้นั้นก็เก็บกระบี่บินที่ใช้ต่างมีดแกะสลัก แสงกระบี่เปล่งวาบแล้วหายเข้าไปในหว่างคิ้วของเขา

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พอเจอคนผู้นั้นแล้ว เจ้าบอกกับเขาว่า คำตอบของคำถามนั้น ข้าพอจะคิดออกบ้างแล้ว แต่ก่อนจะตอบคำถาม จำเป็นต้องมีเงื่อนไขสองข้อ ข้อแรกคือสิ่งที่แสวงหาจำเป็นต้องถูกต้อง สองคือทำผิดแล้วรู้ว่าผิด อีกทั้งทำผิดแล้วยังรู้จักแก้ไข ส่วนจะแก้ไขอย่างไร จะใช้วิธีการเช่นใดทำให้รู้ผิดและแก้ไขความผิด คำตอบก็อยู่บนไม้เท้าชิ้นนี้แล้ว เจ้าให้ชุยตงซานดูเอาเอง อีกทั้งข้าหวังว่าเขาจะเห็นได้ละเอียดกว่าและยาวไกลกว่าข้า ทำได้ดียิ่งกว่าข้า หนึ่งของหนึ่ง หรือต่อให้เป็นหนึ่งนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นมหามรรคาของฟ้าดิน สรรพชีวิตบนโลก ก็ให้เขาเริ่มทำในจุดที่สายตามองเห็นและแรงใจไปถึง ไม่ใช่ว่าผลลัพธ์ของสิ่งที่ถูกต้องนั้นมาถึงแล้ว ทว่ากลับมองข้ามความผิดน้อยใหญ่ระหว่างนั้นไป ใต้หล้าไม่มีเรื่องดีเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องให้เขาตรวจสอบดูใหม่ ยังจะต้องให้เขาไปมองให้ละเอียดยิ่งกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ที่บอกว่าถูกต้องก็ยังคงเป็นแค่การคำนวณถึงผลประโยชน์ในหนึ่งช่วงเวลาหนึ่งสถานที่เท่านั้น หาใช่มหามรรคาที่ยาวไกลซึ่งสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินไม่”

สุยจิ่งเฉิงมึนงงไม่เข้าใจ แต่กระนั้นก็ยังพยักหน้ารับแรงๆ

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนส่งมอบไม้เท้าให้สุยจิ่งเฉิง เขาใช้ฝ่ามือสองข้างค้ำยันไม้เท้าไว้เบาๆ แหงนหน้ามองม่านฟ้า “เรื่องของการฝึกตน นอกจากจะคว้าโชควาสนา ได้รับสมบัติวิเศษและเล่าเรียนคาถาอาคมได้แล้ว การพินิจจุดที่เล็กละเอียดของใจคนก็ยิ่งเป็นการฝึกตน ก็คือการฝึกขัดเกลาจิตใจ เจ้าฝึกวิชาที่ไร้ความรู้สึก ก็สามารถใช้สิ่งนี้มาขัดเกลาสภาพจิตใจได้เช่นกัน เจ้าทำความเข้าใจกับหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ ก็ยิ่งควรต้องรู้ถึงความซับซ้อนของใจคน ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายของมนุษย์นี้ ความคิดและจิตใจเป็นสิ่งที่ไม่อยู่นิ่งมากที่สุด แม้ว่าการเริ่มต้นทำเรื่องนี้จะยาก แต่ขอแค่บุกรุดหน้าเผชิญกับความยากลำบาก หากโชคดีทำสำเร็จก็เหมือนได้สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะแห่งที่สอง จะได้รับผลประโยชน์ไปชั่วชีวิต”

สุยจิ่งเฉิงเห็นว่าคนผู้นั้นเอาแต่แหงนหน้ามองม่านราตรี

แล้วจู่ๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ระหว่างที่เดินทางไปยังท่าเรือตระกูลเซียนของแคว้นลวี่อิง เกี่ยวกับความปลอดภัยของตระกูลสุย เจ้ารู้สึกว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีกหรือไม่? หากเจ้าคิดออกก็ลองบอกมาดูได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะรบกวนข้า ต่อให้จะต้องย้อนกลับไปที่แคว้นอู่หลิงก็ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันประกบสองนิ้วแล้วเคาะลงไปบนสองตำแหน่งของไม้เท้าเบาๆ “หลังจากวาดขอบเขตและตัดแบ่ง ก็จะกลายเป็นเรื่องเรื่องหนึ่งแล้ว จะทำอย่างไรให้ดีที่สุด คำนึงถึงทั้งต้นและปลาย นี่ก็เป็นการฝึกตนอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน ยืดขยายจากปลายสองฝั่งออกไปไกลเกิน ก็อาจจะทำได้ไม่ดีเสมอไป เพราะพละกำลังของคนย่อมต้องมีเวลาที่หมดลง หลักการเหตุผลก็เช่นกัน”

สุยจิ่งเฉิงนึกถึงการจัดการที่ตรงไปตรงมาของเขาตอนขึ้นเขา นางก็ยิ้มพลางส่ายหน้า “ผู้อาวุโสมีความคิดรอบคอบลึกซึ้ง แม้แต่หวังตุ้นก็ถูกผู้อาวุโสลากมารวมด้วย ข้าไม่มีอะไรให้พูดอีกแล้ว”

เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่ต้องรีบร้อนให้ข้อสรุป ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่จะวางแผนการได้อย่างรัดกุมไร้ข้อผิดพลาด เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาดเพียงแค่เพราะตบะของข้าสูง หากข้าเป็นเจ้าสุยจิ่งเฉิง เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์อย่างในศาลา ไม่ต้องพูดถึงจิตใจว่าดีหรือเลว พูดถึงแค่เรื่องพาตัวเองให้รอดพ้นจากหายนะ ข้าเองก็ไม่มีทางทำได้ถูกไปมากกว่าเจ้า”

สุดท้ายคนผู้นั้นถอนสายตากลับมามองนางด้วยสายตาที่ใสกระจ่าง

สุยจิ่งเฉิงไม่เคยเห็นประกายแสงที่สะอาดและสว่างไสวเช่นนี้จากในดวงตาของบุรุษคนใดมาก่อน เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจจะต้องเดินทางร่วมกันไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง เหตุผลที่เจ้าพูดกับข้า ข้าจะรับฟัง ไม่ว่าเจ้ามีหรือไม่มีเหตุผล ข้าล้วนยินดีจะรับฟังไว้ก่อน หากมีเหตุผล เจ้าก็คือฝ่ายถูก และข้าก็จะยอมรับผิด ในอนาคตหากมีโอกาส เจ้าก็จะรู้ได้เองว่าคำพูดเหล่านี้ที่ข้าพูดกับเจ้าเป็นเพียงถ้อยคำเกรงใจที่เอ่ยตามมารยาทหรือไม่”

“ถ้าเช่นนั้นเมื่อมีข้าอยู่ ต่อให้มีข้าอยู่เพียงคนเดียว เจ้าก็ไม่อาจพูดได้ว่า หลักการเหตุผลทั้งหมดในใต้หล้าล้วนอยู่ในมือของคนที่หมัดแข็งและมรรคกถาสูงส่ง หากมีคนบอกกับเจ้าว่า ใต้หล้านี้ใครที่หมัดแข็งคนนั้นก็คือคนที่มีเหตุผล เจ้าก็อย่าไปเชื่อพวกเขา นั่นเป็นเพราะพวกเขากินความลำบากมามาก แต่กลับยังกินไม่อิ่ม เพราะคนประเภทนี้ อันที่จริงเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกก็ได้ถูกกฎเกณฑ์ที่มองไม่เห็นจำนวนนับไม่ถ้วนคอยปกป้องอยู่โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว”

“แล้วนับประสาอะไรกับที่คนอย่างข้ายังมีอีกเยอะมาก เพียงแต่ว่าเจ้ายังไม่เคยได้เจอก็เท่านั้น หรือบางทีในอดีตอาจเคยเจอแล้ว แต่เป็นเพราะหลักการเหตุผลที่พวกเขาใช้เหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิที่กลายเป็นสายฝนบำรุงหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งให้ชุ่มชื้นอย่างไร้เสียง เจ้าถึงได้ไม่รู้สึกอะไร”

คนผู้นั้นลุกขึ้นยืน สองมือค้ำไว้บนไม้เท้า ทอดสายตามองภูเขาแม่น้ำ “ข้าหวังว่าไม่ว่าจะอีกสิบปีหรืออีกร้อยปีให้หลัง สุยจิ่งเฉิงจะยังคงเป็นสุยจิ่งเฉิงที่อยู่ในศาลาแล้วสามารถพูดว่าข้าจะอยู่ต่อ เป็นสุยจิ่งเฉิงที่ยินดียกสมบัติอาคมรักษาชีวิตให้ผู้อื่นสวมใส่ โลกมนุษย์มีตะเกียงนับพันนับหมื่นดวง ต่อในอนาคตเจ้ากลายเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้วหลุบตามองลงมา เจ้าก็ยังจะสังเกตเห็นเช่นเดิมว่า ต่อให้พวกเขาที่อยู่ในบ้าน ในครอบครัว ในห้อง ในเรือนแห่งหนึ่งจะมีแสงสว่างน้อยนิดเพียงใด ทว่าหากแต่ละบ้านแต่ละครอบครัวล้วนพากันจุดไฟ นั่นก็จะกลายเป็นภาพยิ่งใหญ่งดงามดั่งมีทางช้างเผือกอยู่ในโลกมนุษย์ ใต้หล้าของเราในทุกวันนี้มีผู้ฝึกตนและมีคนธรรมดาอยู่มากมาย ก็ล้วนอาศัยตะเกียงแต่ละดวงที่ไม่สะดุดตาเหล่านี้ทั้งสิ้น ในตรอกเล็กถนนใหญ่ ในชนบทในเมือง ในตระกูลปัญญาชน ตระกูลชนชั้นสูง ครอบครัวอ๋องและโหว จวนเซียนบนภูเขา จากสถานที่แต่ละแห่งที่สูงต่ำไม่เท่ากันเหล่านี้ ถึงได้สามารถมีผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงคนแล้วคนเล่าผุดกรูกันออกมา ใช้การออกหมัดออกกระบี่และหลักการเหตุผลแท้จริงที่แฝงไปด้วยปราณของความเที่ยงธรรมมาช่วยบุกเบิกเส้นทางให้แก่คนรุ่นหลัง ปกป้องผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่เงียบๆ ดังนั้นพวกเราถึงได้สามารถเดินโซซัดโซเซมาจนถึงวันนี้”

คนผู้นั้นหันหน้ากลับมายิ้มกล่าว “พูดถึงแค่เจ้ากับข้า เป็นคนฉลาดกับเป็นคนเลว ยากนักหรือ? ข้าว่าไม่ยากเลย แล้วยากตรงไหน? ยากตรงที่ว่าพวกเรารู้ดีว่าจิตใจคนชั่วร้าย แต่กระนั้นก็ยังยินดีจะเป็นคนดีที่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับหลักการเหตุผลในใจตัวเอง”

ใบหน้าของสุยจิ่งเฉิงแดงก่ำ “ผู้อาวุโส ข้าไม่นับว่าเป็นคนดี ยังห่างชั้นอีกไกลนัก!”

คนผู้นั้นยิ้มตาหยี “อืม คำประจบนี้ ข้ารับเอาไว้แล้ว”

สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึง

คนผู้นั้นทอดสายตามองม่านราตรีเบื้องหน้าต่อไป เอาคางวางไว้บนหลังมือทั้งสอง พูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเองก็ช่วยคลายปมในใจให้แก่ข้า ข้าต้องขอบคุณเจ้า ปมนั้นก็คือควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับสตรีหน้าตางดงามอย่างไร ดังนั้นคราวหน้าเมื่อข้าไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้งก็จะยิ่งสามารถวางตัวตรงไปตรงมามีเหตุผลได้มากกว่าเดิม เพราะใต้หล้านี้ข้าพบเจอสตรีหน้าตางดงามมาไม่น้อยแล้ว ไม่มีทางรู้สึกว่ามองพวกนางนานหน่อยแล้วเหมือนวัวสันหลังหวะ อืม นี่ก็ถือว่าฝึกฝนจิตใจประสบความสำเร็จแล้วเช่นกัน”

สุยจิ่งเฉิงลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่าควรจะพูดถ้อยคำจริงใจที่ฟังระคายหูนี้ออกไป จึงเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ผู้อาวุโส คำพูดแบบนี้แค่เก็บไว้ในใจก็พอ อย่าได้พูดตรงๆ กับสตรีในดวงใจ จะทำให้นางไม่ชอบใจเอาได้”

คนผู้นั้นหันหน้ามาเอ่ยอย่างสงสัย “พูดไม่ได้หรือ?”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับอย่างแรง พูดอย่างหนักแน่น “พูดไม่ได้!”

คนผู้นั้นนวดคลึงปลายคางคล้ายว่าจะคิดไม่ตก

สุยจิ่งเฉิงพูดด้วยสีหน้าแช่มชื้น “ผู้อาวุโส ข้าเองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่งดงาม ใช่ไหม?”

คนผู้นั้นไม่ได้หันหน้ากลับมา น่าจะอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย ถึงได้พูดสัพยอกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “อย่าได้คิดจะทำลายมหามรรคาของข้า”

สุยจิ่งเฉิงไม่กล้าได้คืบเอาศอก

แต่สำหรับการที่ตนได้เป็น ‘สาวงามตระกูลสุย’ ในอาณาเขตของหลายสิบแคว้น อยู่ในอันดับที่ทัดเทียมกับโฉมสะคราญล่มบ้านล่มเมืองแห่งยุคอีกสามคน ในฐานะที่นางเป็นสตรี ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่คู่ควรแก่การยินดี

เส้นเอ็นหัวใจของนางผ่อนคลายลงจึงเริ่มง่วงนิดๆ นางสะบัดศีรษะ ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น ครู่หนึ่งต่อมาก็หันหน้าไปมอง ไม้เท้าเดินป่ายังคงอยู่ที่เดิม เพียงแค่คนชุดเขียวเริ่มฝึกเดินท่ากระบวนหมัดแล้ว?

สุยจิ่งเฉิงขยี้ตา ถามว่า “พอไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนในตำนานแห่งนั้น ผู้อาวุโสจะย้อนกลับไปยังชายหาดโครงกระดูกทางใต้ด้วยกันไหม?”

คนผู้นั้นออกหมัดไม่หยุด ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ล่ะ ดังนั้นอยู่บนเรือข้ามฟาก ตัวเจ้าเองต้องระวังให้มาก แน่นอนว่าข้าจะพยายามทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดกับเจ้าน้อยที่สุด แต่บนเส้นทางของการฝึกตน ถึงอย่างไรก็ยังต้องพึ่งพาตัวเอง”

สุยจิ่งเฉิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด

คนผู้นั้นกล่าวว่า “ไม้เท้าเดินป่ากับชีวิตของเจ้า หากต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ต้องลังเล ชีวิตสำคัญกว่า”

สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างจนใจ “ผู้อาวุโสรู้ไปหมดทุกอย่างเลยหรือ?”

คนผู้นั้นคิดแล้วก็ถามชวนคุยว่า “ปีนี้เจ้าอายุสามสิบเท่าไรแล้ว?”

สุยจิ่งเฉิงบื้อใบ้ไร้คำตอบ นางหันหน้ากลับอย่างอัดอั้น แล้วจับกิ่งไม้แห้งโยนเข้าไปในกองไฟรวดเดียวหลายกิ่ง

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 520.3 คำตอบอยู่บนไผ่เขียว

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 520.3 คำตอบอยู่บนไผ่เขียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา “ครั้งแรกหากหูซินเหวยยอมทุ่มสุดชีวิต เพื่อคำว่าคุณธรรมในยุทธภพแล้วไม่เสียดายหากตัวเองต้องตาย ทำเรื่องที่มองดูเหมือนโง่เง่าอย่างถึงที่สุด ข้าก็ไม่จำเป็นต้องมองดูหมากกระดานนี้แล้ว ข้าจะลงมือตอนนั้นเลย ครั้งที่สอง ต่อให้พ่อของเจ้าจะยังนิ่งดูดาย แต่ขอแค่เขามีความเห็นอกเห็นใจสักหน่อย ไม่ใช่เส้นสายในหัวใจคิดว่าขอแค่ข้าเปิดปากเขาก็จะด่าทอหยาบคายทันที ข้าก็จะไม่ทำแค่มองดูสถานการณ์อีกต่อไป แต่เลือกที่จะลงมือ”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “กลับกลายเป็นหูซินเหวยคนนั้นที่ทำให้ข้าประหลาดใจ สุดท้ายหลังจากที่ข้าแยกกับพวกเจ้าก็ได้ไปหาหูซินเหวย แล้วข้าก็ได้เห็นจากบนร่างของเขา ครั้งหนึ่งคือก่อนที่เขาจะตาย ได้ขอร้องข้าไม่ให้ลากครอบครัวของเขามาเกี่ยวข้องด้วย อีกครั้งหนึ่งคือข้าถามเขาว่าพวกเจ้าสี่คนสมควรตายหรือไม่ เขาบอกว่าอันที่จริงสุยซินอวี่ถือเป็นขุนนางและสหายที่ไม่เลว สุดท้ายเขาพูดถึงการทำเรื่องผดุงคุณธรรมของเขาในอดีตขึ้นมาด้วยตัวเอง คำว่าเรื่องที่กล่าวถึงนี้ เป็นคำที่น่าสนใจอย่างมาก”

 สุยจิ่งเฉิงพูดเบาๆ “แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้อาวุโสก็มองดูอยู่ตลอดเวลา เหตุใดทั้งๆ ที่ผู้อาวุโสผิดหวังขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังปกป้องพวกเราอย่างลับๆ?”

“ลัทธิเต๋าบอกว่าโชคและเคราะห์ไร้ประตู ล้วนเป็นคนที่ไปกวักมือเรียกหามันมาเอง ลัทธิพุทธกล่าวว่ากรรมคือผลของการกระทำ ล้วนเป็นหลักการที่คล้ายคลึงกัน แต่บนโลกใบนี้มีเทพเซียนครึ่งตัวบนภูเขาอยู่หลายคนที่ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง มีพวกเขาอยู่ หลักการเหตุผลที่เดิมทียากอยู่แล้วก็จะยิ่งนำมาพูดได้ยากเข้าไปอีก”

เฉินผิงอันกล่าว “แต่พวกเจ้าที่อยู่ในสถานการณ์ของศาลา ถือเป็นผู้อ่อนแอ ข้าได้บังเอิญมาพบเจอเข้าพอดี หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียด อีกทั้งตัวข้าเองยังมีพละกำลังเหลือพอจะปกป้องตัวเอง ดังนั้นข้าจึงไม่ได้จากไป แต่ระหว่างนี้ หากไม่นับความเป็นความตายของพวกเจ้า ไม่ว่าจะเจอกับความลำบากยากเข็ญแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่นต้องหนีเอาตัวรอดท่ามกลางพายุฝน อกสั่นขวัญผวาไปตลอดทาง แล้วยังถูกคนใช้หลังดาบฟาดให้ตกลงมาจากหลังม้าเต็มแรง ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเจ้ารนหาที่เอง นี่คือสิ่งที่วิถีทางโลกมอบกลับคืนให้พวกเจ้า หากดูในระยะยาว นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพราะถึงอย่างไรพวกเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ ผู้อ่อนแอมากกว่านี้มีเหตุผลที่ควรมีชีวิตอยู่รอดมากกว่าพวกเจ้า แต่อยู่ดีๆ นึกจะตายกลับตายไปเสียอย่างนั้น”

ผู้อ่อนแอเรียกร้องให้ผู้แข็งแกร่งลงแรงลงมือทำมากกว่า เฉินผิงอันไม่รู้สึกอะไร เพราะเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ต่อให้ผู้อ่อนแอหลายคนที่ถูกผู้แข็งแกร่งปกป้องจะไม่มีใจสำนึกในบุญคุณแม้แต่น้อย แต่เฉินผิงอันในเวลานี้กลับไม่คิดมากอีก

การเดินทางไปเยือนเมืองสุยเจี้ย ต้องแบกรับทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆครั้งนั้น เฉินผิงอันไม่เคยนึกเสียใจภายหลัง

เพราะด้านในตรอกใดตรอกหนึ่งของเมืองสุยเจี้ยอาจจะมีเฉินผิงอัน มีหลิวเสี้ยนหยางที่กำลังเติบโต

หากจะบอกว่าหายนะยาวนานพันปี (เปรียบเปรยว่าเรื่องเลวร้ายมักจะดำรงอยู่ยาวนานเสมอ ประโยคหน้าของประโยคนี้คือคนดีมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่หายนะกลับยาวนานเป็นพันปี) วิถีทางโลกเป็นเช่นนี้ จิตใจคนเป็นเช่นนี้ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าอย่างนั้นคนดีก็ควรจะฉลาดให้มากหน่อย มีชีวิตอยู่ให้ยาวนานอีกเสียหน่อย ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนจากคนดีที่ทนรับความยากลำบากได้กลายมาเป็นหายนะนั้นเสียเอง เมื่อความชั่วร้ายพากันถือกำเนิด เกิดเป็นวงโคจรไม่หยุดพัก ภูเขาถล่มพื้นดินทลาย สักวันไม่ช้าก็เร็วทุกคนก็จะต้องเอาคืนมหามรรคาแห่งฟ้าดินที่ไร้ความรู้สึก

สุยจิ่งเฉิงใคร่ครวญเงียบๆ นางโยนกิ่งไม้หลายกิ่งเข้าไปในกองไฟ กำลังคิดจะถามว่าเหตุใดผู้อาวุโสถึงไม่ได้ฆ่าคนชั่วอยากพวกหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นกลุ่มนั้นให้หมดสิ้น เพียงแต่ไม่นานนางก็เข้าใจจุดเชื่อมโยงของเรื่องราว จึงไม่ถามให้มากความอีก

เพราะหากแหวกหญ้าให้งูตื่น เฉาฟู่และเซียวซูเย่ก็มีแต่จะยิ่งอดทนและระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น

สุยจิ่งเฉิงอยากจะถามอีกว่าเหตุใดตอนนั้นที่อยู่บนเส้นทางชาม้าโบราณถึงได้ไม่ฆ่าคนทั้งสองคนไปเลย เพียงแต่ว่าไม่นานสุยจิ่งเฉิงก็ได้คำตอบอีกเหมือนเดิม

อาศัยอะไร?

เส้นบรรทัดฐานความดีเลวของคนทั้งสองอยู่ตรงไหน?

สุยจิ่งเฉิงยื่นมือมานวดคลึงจุดไท่หยาง

นางฟังเข้าใจในหลายๆ เรื่อง แต่นางกลับรู้สึกปวดหัว ความคิดในหัวสมองเริ่มพันกันยุ่งเหยิงคล้ายเชือกก้อนหนึ่ง หรือว่าการฝึกตนบนภูเขาล้วนต้องถูกพันธนาการมือเท้าเช่นนี้? ถ้าอย่างนั้นหากฝึกตนจนมีวิชาความสามารถเฉกเช่นเซียนกระบี่อย่างผู้อาวุโส ก็จะต้องคิดทุกเรื่องยิบย่อยแบบนี้เลยหรือ? หากเจอกับสถานการณ์ที่จำเป็นต้องลงมือให้ทันเวลา แต่ยากจะแยกแยะดีเลว ถ้าอย่างนั้นควรจะใช้วิชาคาถาช่วยคนหรือฆ่าคน?

ดูเหมือนคนผู้นั้นจะมองความคิดในใจของสุยจิ่งเฉิงออก จึงยิ้มกล่าวว่า “รอให้เจ้าเคยชินจนเป็นธรมชาติ เห็นคนและเรื่องราวมากขึ้น ก่อนลงมือก็จะรู้อะไรควรไม่ควรเอง ไม่เพียงแต่ไม่อืดอาดยืดยาด กลับจะกลายเป็นว่าออกกระบี่ก็ดี ร่ายมรรคกถาก็ช่าง ล้วนรวดเร็วและมีแต่จะเร็วอย่างถึงที่สุด”

เขาชี้ไปยังเม็ดหมากที่อยู่บนกระดาน “หากจะบอกว่าพอหยางหยวนเข้ามาในศาลาก็ตบพวกเจ้าสี่คนจากตระกูลสุยให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวทันที หรือตอนนั้นข้ามองไม่ออกว่าฟู่เจินจะออกกระบี่ขัดขวางหมัดนั้นของหูซินเหวย ข้าย่อมไม่มีทางทำเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ เชื่อข้าเถอะ ไม่ว่าจะฟู่เจินหรือหูซินเหวยต้องไม่รู้ว่าตัวเองตายอย่างไรแน่”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าให้สุยจิ่งเฉิง

ก่อนหน้านี้ตอนที่นางคุกเข่าอยู่บนถนนได้เปิดปากขอร้องเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “สุยจิ่งเฉิงอยากติดตามผู้อาวุโสฝึกวิชาตระกูลเซียน!”

เขาถามไปสองคำถาม “อาศัยอะไร? เพื่ออะไร?”

“นับแต่เด็กข้าก็มีโชควาสนาติดกาย มีพรสวรรค์ในการฝึกตน มีสมบัติหนักตระกูลเซียนที่ยอดฝีมือมอบไว้ให้ คือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้ฝึกตน เพียงแต่ว่าไม่มีวิสุทธิจารย์บนภูเขาคอยช่วยชี้แนะ หากฝึกวิชาเซียนประสบความสำเร็จ ข้าจะต้องออกเดินทางท่องไปในยุทธภพเหมือนอย่างผู้อาวุโสแน่นอน”

คำตอบทั้งสองอย่าง หนึ่งไม่ผิด อีกหนึ่งก็ยังคงเป็นคำตอบที่ฉลาดมาก

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอยากให้นางไปหาชุยตงซาน ไปฝึกวิชากับเขา เขารู้ว่าควรจะสอนสุยจิ่งเฉิงอย่างไร ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดวิชาตระกูลเซียนให้นางเท่านั้น แม้แต่การเป็นคนควรเป็นเช่นไรก็คงจะสอนนางด้วย

พรสวรรค์ของสุยจิ่งเฉิงเป็นอย่างไร เฉินผิงอันไม่กล้าให้ข้อสรุปยืนยันหนักแน่น แต่สติปัญญาของนางนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะโชคในการเสี่ยงดวงของนางที่ดีทุกครั้ง นั่นไม่ใช่โชคดีค้ำฟ้าอะไร แต่ต้องเรียกว่าเป็น…ศาสตร์แห่งการเดิมพัน

แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่เฉินผิงอันอยากจะให้สุยจิ่งเฉิงไปหาชุยตงซานที่แจกันสมบัติทวีป

หลังจากชมหมากล้อมสองตา เฉินผิงอันมีบางอย่างที่อยากจะให้ลูกศิษย์อย่างชุยตงซานได้ดู ถือเป็นคำตอบครึ่งหนึ่งที่ปีนั้นลูกศิษย์ถามคำถามอาจารย์

เฉินผิงอันเรียกกระบี่บินสืออู่ออกมา คีบมันไว้ที่ปลายนิ้วเบาๆ แล้วเริ่มก้มหน้าค้อมเอวแกะสลักลงไปบนไม้เท้าเดินป่าที่ผ่านการหลอมเล็กจนมีสีเขียวปลั่งเหมือนไม้ไผ่

ตรงจุดที่สายตาของสุยจิ่งเฉิงมองไปเห็น ดูเหมือนว่าแต่ละมีดล้วนสลักลงบนตำแหน่งเดิม

สุยจิ่งเฉิงไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่เบิกตากว้างมองคนผู้นั้นแกะสลักตัวอักษรลงบนไม้เท้าเงียบๆ

หนึ่งก้านธูปผ่านไป ดวงตาทั้งคู่ของสุยจิ่งเฉิงก็เริ่มปวดปร่า ต้องขยี้ดวงตา

ประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา คนผู้นั้นก็เก็บกระบี่บินที่ใช้ต่างมีดแกะสลัก แสงกระบี่เปล่งวาบแล้วหายเข้าไปในหว่างคิ้วของเขา

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พอเจอคนผู้นั้นแล้ว เจ้าบอกกับเขาว่า คำตอบของคำถามนั้น ข้าพอจะคิดออกบ้างแล้ว แต่ก่อนจะตอบคำถาม จำเป็นต้องมีเงื่อนไขสองข้อ ข้อแรกคือสิ่งที่แสวงหาจำเป็นต้องถูกต้อง สองคือทำผิดแล้วรู้ว่าผิด อีกทั้งทำผิดแล้วยังรู้จักแก้ไข ส่วนจะแก้ไขอย่างไร จะใช้วิธีการเช่นใดทำให้รู้ผิดและแก้ไขความผิด คำตอบก็อยู่บนไม้เท้าชิ้นนี้แล้ว เจ้าให้ชุยตงซานดูเอาเอง อีกทั้งข้าหวังว่าเขาจะเห็นได้ละเอียดกว่าและยาวไกลกว่าข้า ทำได้ดียิ่งกว่าข้า หนึ่งของหนึ่ง หรือต่อให้เป็นหนึ่งนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นมหามรรคาของฟ้าดิน สรรพชีวิตบนโลก ก็ให้เขาเริ่มทำในจุดที่สายตามองเห็นและแรงใจไปถึง ไม่ใช่ว่าผลลัพธ์ของสิ่งที่ถูกต้องนั้นมาถึงแล้ว ทว่ากลับมองข้ามความผิดน้อยใหญ่ระหว่างนั้นไป ใต้หล้าไม่มีเรื่องดีเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องให้เขาตรวจสอบดูใหม่ ยังจะต้องให้เขาไปมองให้ละเอียดยิ่งกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ที่บอกว่าถูกต้องก็ยังคงเป็นแค่การคำนวณถึงผลประโยชน์ในหนึ่งช่วงเวลาหนึ่งสถานที่เท่านั้น หาใช่มหามรรคาที่ยาวไกลซึ่งสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินไม่”

สุยจิ่งเฉิงมึนงงไม่เข้าใจ แต่กระนั้นก็ยังพยักหน้ารับแรงๆ

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนส่งมอบไม้เท้าให้สุยจิ่งเฉิง เขาใช้ฝ่ามือสองข้างค้ำยันไม้เท้าไว้เบาๆ แหงนหน้ามองม่านฟ้า “เรื่องของการฝึกตน นอกจากจะคว้าโชควาสนา ได้รับสมบัติวิเศษและเล่าเรียนคาถาอาคมได้แล้ว การพินิจจุดที่เล็กละเอียดของใจคนก็ยิ่งเป็นการฝึกตน ก็คือการฝึกขัดเกลาจิตใจ เจ้าฝึกวิชาที่ไร้ความรู้สึก ก็สามารถใช้สิ่งนี้มาขัดเกลาสภาพจิตใจได้เช่นกัน เจ้าทำความเข้าใจกับหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ ก็ยิ่งควรต้องรู้ถึงความซับซ้อนของใจคน ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายของมนุษย์นี้ ความคิดและจิตใจเป็นสิ่งที่ไม่อยู่นิ่งมากที่สุด แม้ว่าการเริ่มต้นทำเรื่องนี้จะยาก แต่ขอแค่บุกรุดหน้าเผชิญกับความยากลำบาก หากโชคดีทำสำเร็จก็เหมือนได้สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะแห่งที่สอง จะได้รับผลประโยชน์ไปชั่วชีวิต”

สุยจิ่งเฉิงเห็นว่าคนผู้นั้นเอาแต่แหงนหน้ามองม่านราตรี

แล้วจู่ๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ระหว่างที่เดินทางไปยังท่าเรือตระกูลเซียนของแคว้นลวี่อิง เกี่ยวกับความปลอดภัยของตระกูลสุย เจ้ารู้สึกว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีกหรือไม่? หากเจ้าคิดออกก็ลองบอกมาดูได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะรบกวนข้า ต่อให้จะต้องย้อนกลับไปที่แคว้นอู่หลิงก็ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันประกบสองนิ้วแล้วเคาะลงไปบนสองตำแหน่งของไม้เท้าเบาๆ “หลังจากวาดขอบเขตและตัดแบ่ง ก็จะกลายเป็นเรื่องเรื่องหนึ่งแล้ว จะทำอย่างไรให้ดีที่สุด คำนึงถึงทั้งต้นและปลาย นี่ก็เป็นการฝึกตนอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน ยืดขยายจากปลายสองฝั่งออกไปไกลเกิน ก็อาจจะทำได้ไม่ดีเสมอไป เพราะพละกำลังของคนย่อมต้องมีเวลาที่หมดลง หลักการเหตุผลก็เช่นกัน”

สุยจิ่งเฉิงนึกถึงการจัดการที่ตรงไปตรงมาของเขาตอนขึ้นเขา นางก็ยิ้มพลางส่ายหน้า “ผู้อาวุโสมีความคิดรอบคอบลึกซึ้ง แม้แต่หวังตุ้นก็ถูกผู้อาวุโสลากมารวมด้วย ข้าไม่มีอะไรให้พูดอีกแล้ว”

เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่ต้องรีบร้อนให้ข้อสรุป ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่จะวางแผนการได้อย่างรัดกุมไร้ข้อผิดพลาด เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาดเพียงแค่เพราะตบะของข้าสูง หากข้าเป็นเจ้าสุยจิ่งเฉิง เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์อย่างในศาลา ไม่ต้องพูดถึงจิตใจว่าดีหรือเลว พูดถึงแค่เรื่องพาตัวเองให้รอดพ้นจากหายนะ ข้าเองก็ไม่มีทางทำได้ถูกไปมากกว่าเจ้า”

สุดท้ายคนผู้นั้นถอนสายตากลับมามองนางด้วยสายตาที่ใสกระจ่าง

สุยจิ่งเฉิงไม่เคยเห็นประกายแสงที่สะอาดและสว่างไสวเช่นนี้จากในดวงตาของบุรุษคนใดมาก่อน เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจจะต้องเดินทางร่วมกันไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง เหตุผลที่เจ้าพูดกับข้า ข้าจะรับฟัง ไม่ว่าเจ้ามีหรือไม่มีเหตุผล ข้าล้วนยินดีจะรับฟังไว้ก่อน หากมีเหตุผล เจ้าก็คือฝ่ายถูก และข้าก็จะยอมรับผิด ในอนาคตหากมีโอกาส เจ้าก็จะรู้ได้เองว่าคำพูดเหล่านี้ที่ข้าพูดกับเจ้าเป็นเพียงถ้อยคำเกรงใจที่เอ่ยตามมารยาทหรือไม่”

“ถ้าเช่นนั้นเมื่อมีข้าอยู่ ต่อให้มีข้าอยู่เพียงคนเดียว เจ้าก็ไม่อาจพูดได้ว่า หลักการเหตุผลทั้งหมดในใต้หล้าล้วนอยู่ในมือของคนที่หมัดแข็งและมรรคกถาสูงส่ง หากมีคนบอกกับเจ้าว่า ใต้หล้านี้ใครที่หมัดแข็งคนนั้นก็คือคนที่มีเหตุผล เจ้าก็อย่าไปเชื่อพวกเขา นั่นเป็นเพราะพวกเขากินความลำบากมามาก แต่กลับยังกินไม่อิ่ม เพราะคนประเภทนี้ อันที่จริงเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกก็ได้ถูกกฎเกณฑ์ที่มองไม่เห็นจำนวนนับไม่ถ้วนคอยปกป้องอยู่โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว”

“แล้วนับประสาอะไรกับที่คนอย่างข้ายังมีอีกเยอะมาก เพียงแต่ว่าเจ้ายังไม่เคยได้เจอก็เท่านั้น หรือบางทีในอดีตอาจเคยเจอแล้ว แต่เป็นเพราะหลักการเหตุผลที่พวกเขาใช้เหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิที่กลายเป็นสายฝนบำรุงหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งให้ชุ่มชื้นอย่างไร้เสียง เจ้าถึงได้ไม่รู้สึกอะไร”

คนผู้นั้นลุกขึ้นยืน สองมือค้ำไว้บนไม้เท้า ทอดสายตามองภูเขาแม่น้ำ “ข้าหวังว่าไม่ว่าจะอีกสิบปีหรืออีกร้อยปีให้หลัง สุยจิ่งเฉิงจะยังคงเป็นสุยจิ่งเฉิงที่อยู่ในศาลาแล้วสามารถพูดว่าข้าจะอยู่ต่อ เป็นสุยจิ่งเฉิงที่ยินดียกสมบัติอาคมรักษาชีวิตให้ผู้อื่นสวมใส่ โลกมนุษย์มีตะเกียงนับพันนับหมื่นดวง ต่อในอนาคตเจ้ากลายเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้วหลุบตามองลงมา เจ้าก็ยังจะสังเกตเห็นเช่นเดิมว่า ต่อให้พวกเขาที่อยู่ในบ้าน ในครอบครัว ในห้อง ในเรือนแห่งหนึ่งจะมีแสงสว่างน้อยนิดเพียงใด ทว่าหากแต่ละบ้านแต่ละครอบครัวล้วนพากันจุดไฟ นั่นก็จะกลายเป็นภาพยิ่งใหญ่งดงามดั่งมีทางช้างเผือกอยู่ในโลกมนุษย์ ใต้หล้าของเราในทุกวันนี้มีผู้ฝึกตนและมีคนธรรมดาอยู่มากมาย ก็ล้วนอาศัยตะเกียงแต่ละดวงที่ไม่สะดุดตาเหล่านี้ทั้งสิ้น ในตรอกเล็กถนนใหญ่ ในชนบทในเมือง ในตระกูลปัญญาชน ตระกูลชนชั้นสูง ครอบครัวอ๋องและโหว จวนเซียนบนภูเขา จากสถานที่แต่ละแห่งที่สูงต่ำไม่เท่ากันเหล่านี้ ถึงได้สามารถมีผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงคนแล้วคนเล่าผุดกรูกันออกมา ใช้การออกหมัดออกกระบี่และหลักการเหตุผลแท้จริงที่แฝงไปด้วยปราณของความเที่ยงธรรมมาช่วยบุกเบิกเส้นทางให้แก่คนรุ่นหลัง ปกป้องผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่เงียบๆ ดังนั้นพวกเราถึงได้สามารถเดินโซซัดโซเซมาจนถึงวันนี้”

คนผู้นั้นหันหน้ากลับมายิ้มกล่าว “พูดถึงแค่เจ้ากับข้า เป็นคนฉลาดกับเป็นคนเลว ยากนักหรือ? ข้าว่าไม่ยากเลย แล้วยากตรงไหน? ยากตรงที่ว่าพวกเรารู้ดีว่าจิตใจคนชั่วร้าย แต่กระนั้นก็ยังยินดีจะเป็นคนดีที่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับหลักการเหตุผลในใจตัวเอง”

ใบหน้าของสุยจิ่งเฉิงแดงก่ำ “ผู้อาวุโส ข้าไม่นับว่าเป็นคนดี ยังห่างชั้นอีกไกลนัก!”

คนผู้นั้นยิ้มตาหยี “อืม คำประจบนี้ ข้ารับเอาไว้แล้ว”

สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึง

คนผู้นั้นทอดสายตามองม่านราตรีเบื้องหน้าต่อไป เอาคางวางไว้บนหลังมือทั้งสอง พูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเองก็ช่วยคลายปมในใจให้แก่ข้า ข้าต้องขอบคุณเจ้า ปมนั้นก็คือควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับสตรีหน้าตางดงามอย่างไร ดังนั้นคราวหน้าเมื่อข้าไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้งก็จะยิ่งสามารถวางตัวตรงไปตรงมามีเหตุผลได้มากกว่าเดิม เพราะใต้หล้านี้ข้าพบเจอสตรีหน้าตางดงามมาไม่น้อยแล้ว ไม่มีทางรู้สึกว่ามองพวกนางนานหน่อยแล้วเหมือนวัวสันหลังหวะ อืม นี่ก็ถือว่าฝึกฝนจิตใจประสบความสำเร็จแล้วเช่นกัน”

สุยจิ่งเฉิงลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่าควรจะพูดถ้อยคำจริงใจที่ฟังระคายหูนี้ออกไป จึงเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ผู้อาวุโส คำพูดแบบนี้แค่เก็บไว้ในใจก็พอ อย่าได้พูดตรงๆ กับสตรีในดวงใจ จะทำให้นางไม่ชอบใจเอาได้”

คนผู้นั้นหันหน้ามาเอ่ยอย่างสงสัย “พูดไม่ได้หรือ?”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับอย่างแรง พูดอย่างหนักแน่น “พูดไม่ได้!”

คนผู้นั้นนวดคลึงปลายคางคล้ายว่าจะคิดไม่ตก

สุยจิ่งเฉิงพูดด้วยสีหน้าแช่มชื้น “ผู้อาวุโส ข้าเองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่งดงาม ใช่ไหม?”

คนผู้นั้นไม่ได้หันหน้ากลับมา น่าจะอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย ถึงได้พูดสัพยอกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “อย่าได้คิดจะทำลายมหามรรคาของข้า”

สุยจิ่งเฉิงไม่กล้าได้คืบเอาศอก

แต่สำหรับการที่ตนได้เป็น ‘สาวงามตระกูลสุย’ ในอาณาเขตของหลายสิบแคว้น อยู่ในอันดับที่ทัดเทียมกับโฉมสะคราญล่มบ้านล่มเมืองแห่งยุคอีกสามคน ในฐานะที่นางเป็นสตรี ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่คู่ควรแก่การยินดี

เส้นเอ็นหัวใจของนางผ่อนคลายลงจึงเริ่มง่วงนิดๆ นางสะบัดศีรษะ ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น ครู่หนึ่งต่อมาก็หันหน้าไปมอง ไม้เท้าเดินป่ายังคงอยู่ที่เดิม เพียงแค่คนชุดเขียวเริ่มฝึกเดินท่ากระบวนหมัดแล้ว?

สุยจิ่งเฉิงขยี้ตา ถามว่า “พอไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนในตำนานแห่งนั้น ผู้อาวุโสจะย้อนกลับไปยังชายหาดโครงกระดูกทางใต้ด้วยกันไหม?”

คนผู้นั้นออกหมัดไม่หยุด ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ล่ะ ดังนั้นอยู่บนเรือข้ามฟาก ตัวเจ้าเองต้องระวังให้มาก แน่นอนว่าข้าจะพยายามทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดกับเจ้าน้อยที่สุด แต่บนเส้นทางของการฝึกตน ถึงอย่างไรก็ยังต้องพึ่งพาตัวเอง”

สุยจิ่งเฉิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด

คนผู้นั้นกล่าวว่า “ไม้เท้าเดินป่ากับชีวิตของเจ้า หากต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ต้องลังเล ชีวิตสำคัญกว่า”

สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างจนใจ “ผู้อาวุโสรู้ไปหมดทุกอย่างเลยหรือ?”

คนผู้นั้นคิดแล้วก็ถามชวนคุยว่า “ปีนี้เจ้าอายุสามสิบเท่าไรแล้ว?”

สุยจิ่งเฉิงบื้อใบ้ไร้คำตอบ นางหันหน้ากลับอย่างอัดอั้น แล้วจับกิ่งไม้แห้งโยนเข้าไปในกองไฟรวดเดียวหลายกิ่ง

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+