กระบี่จงมา 523.1 สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 523.1 สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แคว้นจิ่งหนันมีลำคลองไหลกระจายตัวอยู่หนาแน่น ม้าทั้งสองตัวยังคงเดินทางทั้งวันทั้งคืน

เพียงแต่ว่าจะเดินทางจากแคว้นจิ่งหนันไปยังแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไรนั้นค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานชายแดนของสองแคว้นได้เกิดศึกสงครามที่ต่อเนื่อง เป็นเป่ยเยี่ยนที่เป็นฝ่ายโจมตีก่อน ทหารม้าติดอาวุธเบาจำนวนหลายร้อยถึงหนึ่งพันนายพากันบุกเข้ามาจู่โจมหน้าด่านอย่างอาจหาญ ส่วนทางทิศเหนือของแคว้นจิ่งหนันก็แทบจะไม่มีกองกำลังทหารม้ามากพอที่จะออกไปเข่นฆ่ากับศัตรูภายนอกได้ ดังนั้นจึงได้แต่ถอยกลับเข้ามาพิทักษ์เมือง ด้วยเหตุนี้หน้าด่านชายแดนของสองแคว้นต่างก็ถูกปิด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธคนใดที่เดินทางออกมาท่องเที่ยวล้วนจะต้องกลายมาเป็นเป้าให้ผู้คนโจมตี

แต่ว่าม้าทั้งสองก็ยังตัดสินใจเลือกที่จะข้ามด่านชายแดนโดยผ่านทางเส้นทางภูเขา

เชื่อมโยงกับเรื่องที่หน่วยลาดตระเวนของแคว้นอู่หลิงแทรกซึมเข้ามาในแคว้นจิ่งหนันก่อนหน้านี้ สุยจิ่งเฉิงก็คล้ายจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง

ยามสนธยาของวันนี้พวกเขาควบม้าขึ้นมาบนเนินเขาก็เห็นว่าหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่สร้างติดกับลำน้ำมีเปลวเพลิงโหมกระพือ

ในขณะที่สุยจิ่งเฉิงนึกว่าผู้อาวุโสจะทำเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ แล้วอ้อมผ่านไปอีกครั้งนั้นเอง ม้าตัวหนึ่งก็ควบตะบึงมุ่งลงจากเนินเขาห้อตรงดิ่งเข้าหาหมู่บ้านทันที สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึง ก่อนจะรีบโบยแส้ควบม้าไล่กวดตามไป

พอเข้ามาในหมู่บ้านแล้วก็เห็นภาพบรรยากาศที่ราวกับนรกบนดิน ทุกหนแห่งล้วนมีแต่ศพที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ สตรีส่วนใหญ่ไม่มีอาภรณ์ปกปิดเรือนร่าง ส่วนชายฉกรรจ์ก็ถูกทวนแทงแขนขาทั้งสี่จนเป็นบาดแผลเหอวะหวะ ส่วนมากล้วนตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป คนที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนคลานหนีก็ลากรอยเลือดไปด้วยตลอดทาง และยังมีเศษซากแขนขาอีกจำนวนมากที่ถูกคมดาบกรีดเฉือนออกมา จุดจบของเด็กๆ หลายคนน่าเวทนามากเป็นพิเศษ

สุยจิ่งเฉิงพลิกตัวลงจากหลังม้า แล้วก็เริ่มคุกเข่าอาเจียนแห้งๆ

เฉินผิงอันหลับตาลง เงี่ยหูหลับตาฟังอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “ไม่มีใครรอด”

สุยจิ่งเฉิงฟังไม่เข้าหูแม้แต่น้อย รู้สึกเพียงว่าตนแทบจะอาเจียนเอาน้ำดีขมๆ ออกมาด้วยแล้ว

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบดินที่อาบไปด้วยเลือดขึ้นมาหนึ่งหยิบมือ หลังจากขยี้เบาๆ แล้วก็โยนทิ้งลงพื้น เขาลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังคา มองฝีเท้าและรอยเท้าม้าที่อยู่โดยรอบ เส้นสายตามองไล่ไปยังจุดห่างไกลอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายพอพลิ้วกายลงบนพื้น เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วยื่นส่งให้สุยจิ่งเฉิง จากนั้นก็ยื่นเชือกจูงม้าของตัวเองส่งให้นางไปพร้อมกันด้วย “พวกเราไล่ตามไปยังทัน เจ้าจำไว้ว่าจงดูแลตัวเองให้ดี หากเจ้าอยู่ที่นี่เพียงลำพังอาจไม่ปลอดภัย พยายามตามข้าให้ทัน หากฝีเท้าม้าเริ่มถดถอยก็เปลี่ยนมาขี่ตัวใหม่”

แล้วเฉินผิงอันก็พุ่งทะยานออกไป

สุยจิ่งเฉิงพลิกตัวขึ้นหลังม้า ข่มกลั้นอาการเวียนหัวตาลายฝืนควบม้าห้อตะบึงออกไป

โชคดีที่บุรุษชุดเขียวไม่ได้จงใจใช้กำลังทั้งหมดในการไล่ตามอย่างเดียว ยังคงพะวงถึงฝีเท้าม้าของสุยจิ่งเฉิงด้วย

ประมาณเกือบครึ่งชั่วยามต่อมาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ามาจากทางหาดน้ำตื้นในหุบเขาแห่งหนึ่ง

ผู้อาวุโสไม่หยุดฝีเท้า แต่เอ่ยขึ้นว่า “ตามมาทันแล้ว จากนี้ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ม้าบาดเจ็บ แค่ตามข้ามาให้ทันก็พอ ทางที่ดีที่สุดคืออย่าทิ้งระยะห่างเกินสองร้อยก้าว แต่ว่าต้องระวัง ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น”

สุยจิ่งเฉิงกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าอีกตัวหนึ่ง ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ผู้อาวุโสมอบให้นางไว้ชั่วคราว แล้วเริ่มควบม้าตะบึงไปเบื้องหน้า

กองทัพม้าของชายแดนมักจะมีกฎเหล็กเกี่ยวกับเรื่องการแปรงขนล้างหน้าม้าหรือป้อนหญ้าให้กับม้าอยู่เสมอ

ท่ามกลางหุบเขาที่เป็นกึ่งเส้นทางดินกึ่งเส้นทางน้ำแห่งนี้ กองทหารม้าติดอาวุธเบากองนั้นน่าจะมาหยุดพักแล้วก็เพิ่งออกเดินทางไปได้ไม่นาน

ทหารม้าคนหนึ่งที่อยู่รั้งท้ายกองหันหน้ามามองด้านหลังพอดี พอเห็นเงาร่างล่องลอยที่เป็นกลุ่มควันสีเขียว แต่มองไม่เห็นโฉมหน้าพุ่งทะยานมา เขาก็อึ้งตะลึงไปก่อนพักหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มแหกปากคำรามอย่างเดือดดาล “มีชาวยุทธฝั่งศัตรูมาลอบโจมตี!”

ชุดเขียวเหมือนควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่พุ่งมาถึงในชั่วพริบตา ทหารม้าฝีมือดีหลายสิบนายที่ผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างมีระเบียบเพิ่งจะชักม้าหันหัวกลับ เตรียมจะขึ้นสายคันธนู ดาบรบที่พกอยู่ตรงเอวของทหารม้าสองนายก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ออกจากฝักส่งเสียงดังเคร้ง พริบตาเดียวสองหัวก็ลอยกระเด็นขึ้นสูง ศพไร้หัวทั้งสองร่วงตกลงสู่พื้น

ชุดเขียวนั้นไม่ได้พลิ้วกายลงสู่พื้น เพียงแค่เดินค้อมเอวพลิกตัวกระโดดหมุนกลับไปมาอยู่บนม้าศึกครั้งแล้วครั้งเล่า สองมือถือดาบ

เพียงแค่ชั่วพริบตาก็มีทหารม้ายี่สิบกว่านายที่ต้องจบชีวิตภายใต้คมดาบ ทุกคนล้วนตายในดาบเดียว บางก็ร่างขาดครึ่งท่อน บ้างก็ถูกดาบฟันผ่าแสกหน้า

ทหารม้าฝีมือดีของแคว้นเป่ยเยี่ยนเริ่มแตกฮือกระจายตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาพากันทิ้งคันธนูเปลี่ยนมาใช้ดาบแทน แล้วก็มีบางคนที่เริ่มหยิบเสื้อเกราะจากห่อสัมภาระออกมาสวมใส่ไว้บนร่าง

มีทหารม้าคนหนึ่งลักษณะคล้ายผู้นำวิ่งตะบึงเข้ามาพร้อมกับทวนยาวในมือ ทวนนั้นจ้วงแทงเข้าใส่ชุดเขียวอย่างว่องไว ฝ่ายหลังกำลังใช้ปลายดาบจิ่มไปบนลำคอของทหารม้าคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเบาๆ และกำลังเก็บดาบมาพอดี จึงถือโอกาสนี้ถอยกรูดไปสังหารทหารม้าอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง ทวนยาวก็พุ่งตามอีกฝ่ายไปอย่างแม่นยำราวกับคาดคะเนไว้แล้ว

สุยจิ่งเฉิงกำลังจะตะโกนว่าระวัง เพียงแต่นางก็รีบยกมือปิดปากอย่างรวดเร็ว

นาทีถัดมา สุยจิ่งเฉิงเห็นเพียงว่าไม่รู้ว่าคนชุดเขียวทำอย่างไร เขาเบี่ยงร่างกลางอากาศ เดินก้าวเหยียบไปด้านหน้า พุ่งปะทะกับทวนยาวโดยตรง ปล่อยให้คมแหลมของทวนแทงทะลุหัวใจของตัวเอง จากนั้นก็พุ่งทะยานไปด้านหน้า แม่ทัพทหารม้าผู้นั้นร้องคำรามอย่างเดือดดาล ต่อให้ฝ่ามือเปรอะไปด้วยเลือดสดก็ยังคงไม่ยอมปล่อยมือ ทว่าทวนยาวก็ยังคงทะลุเลื่อนจากฝ่ามือไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การเสียดสีที่รุนแรง บาดแผลบนฝ่ามือของเขาลึกจนเห็นถึงกระดูกขาว ในใจรู้ว่าท่าไม่ดี ในที่สุดก็เตรียมจะสละทวนยาวที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษทิ้ง ทว่าเพียงชั่วพริบตานั้นชุดเขียวก็มายืนค้อมเอวอยู่บนหัวม้า นาทีถัดมาดาบก็แทงทะลุลำคอของเขาจนเป็นช่องโพรงในชั่วพริบตา

คนผู้นั้นยืดตัวขึ้นพรวด ดาบยาวในมือขวาแทงทะลุลำคอของทหารม้า ไม่เพียงเท่านี้ มือที่ถือดาบยังชูขึ้นสูง ร่างของแม่ทัพทหารม้านายนั้นจึงถูกดึงลอยขึ้นจากหลังม้า

บนหลังม้าศึก ดาบศึกที่จัดทำขึ้นสำหรับกองทัพทหารม้าของแคว้นเป่ยเยี่ยนที่คนชุดเขียวผู้นั้นถือไว้ในมือแทบจะแทงทะลุลำคอของแม่ทัพทหารม้าออกมาทั้งหมด เผยให้เห็นคมดาบแวววับช่วงใหญ่ เพราะออกดาบเร็วเกินไป เร็วจนถึงขั้นที่ว่าไม่มีเลือดสดติดดาบเลย

เฉินผิงอันพลันชักดาบเก็บ ศพของแม่ทัพทหารม้าก็กลิ้งหลุนๆ ตกลงไปกระแทกพื้น

อาศัยโอกาสนี้ ทหารม้าของแคว้นเป่ยเยี่ยนก็เริ่มง้างคันธนูขึ้นระดมยิง

มือทั้งสองของเฉินผิงอันถือดาบ ชุดเขียวสะเทือนหนึ่งครั้ง ลูกธนูทั้งหมดก็ระเบิดแตกอยู่กลางอากาศ

ม้าศึกใต้ฝ่าเท้าขาหักจนร่างทรุดลงพื้นในเสี้ยววินาที ทุกคนแทบจะมองไม่เห็นเงาร่างสีเขียวนั้น มีเพียงประกายคมดาบสองเสี้ยวที่พุ่งวาบขึ้นจุดแล้วจุดเล่า ประหนึ่งแสงไฟที่ลุกโชนอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้น ยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ ทว่าผ่านที่ใดที่นั่นต้องมีคนตาย

ทหารม้าฝีมือดีสองร้อยนายของเป่ยเยี่ยน ล้วนกลายเป็นศพที่ไม่สมประกอบสองร้อยศพ

เฉินผิงอันยืนอยู่บนหลังม้าศึกตัวหนึ่ง โยนดาบยาวที่อยู่ในมือทิ้งลงบนพื้น กวาดตามองไปรอบด้าน “ตามพวกเรามาตลอดทางแล้ว กว่าจะเจอโอกาสเช่นนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังไม่ปรากฏตัวอีกรึ?”

กลางลำธารที่ผิวน้ำสูงแค่หัวเข่าพลันมีศีรษะหนึ่งที่สวมหน้ากากสีขาวหิมะผุดลอยออกมา ริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก สุดท้ายก็มีคนชุดดำยืนอยู่ตรงนั้น เสียงเจือหัวเราะเบาๆ ดังลอดออกมาจากริมหน้ากาก “ช่างมีวิชาดาบที่งดงามนัก”

เวลาเดียวกันนั้นบนหน้าผาแต่ละจุดก็มีนักฆ่าชุดดำหน้ากากขาวอีกหลายคนพลิ้วตัวลงมา

หนึ่งเป็นสตรีรูปร่างอรชร ในมือถือตลับผงประเครื่องประทินโฉม จีบนิ้วเป็นท่าดรรชนีกล้วยไม้ กำลังใช้นิ้วแต้มถูผงชาดลงบนลำคอขาวนวลของตน

คนหนึ่งเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อกว้างใหญ่

อีกคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ข้างกายศพของแม่ทัพทหารม้า สองนิ้วจิ้มไปที่หว่างคิ้วบนศีรษะของอีกฝ่าย

อีกคนหนึ่งมีเรือนกายกำยำล่ำสันเหมือนภูเขาลูกย่อม สะพายธนูยักษ์

คนชุดดำที่เป็นคนเดียวที่ยืนอยู่บนผิวน้ำยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เริ่มทำงานหาเงิน รีบรบรีบจบ อย่าได้เสียเวลาการเดินทางไปเยือนเส้นทางน้ำพุเหลืองของเซียนกระบี่”

นักฆ่าที่กำลังถูผงประทินโฉมลงบนลำคอพูดด้วยน้ำเสียงหวาดหยดย้อย “รู้แล้วน่าๆ”

นางเก็บตลับผงเครื่องประทินโฉมใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ สะบัดชายแขนเสื้อทั้งสองหนึ่งครั้ง มีดสั้นที่ส่องประกายแวววับสองเล่มก็โผล่ออกมา บนมีดแกะสลักลวดลายอักขระโบราณไว้แน่นขนัด

ตอนที่นางกระโจนมาด้านหน้าอย่างเชื่องช้า สองฝั่งซ้ายขวาข้างกายก็มีสตรีสองคนที่ลักษณะเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนปรากฏตัว จากนั้นก็มีเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน ราวกับว่าจะไร้ที่สิ้นสุด

สตรีที่ในมือถือดาบสั้นร้อยกว่าคนมีมากมายมืดฟ้ามัวดิน ต่างก็กรูกันเข้าหาคนหนุ่มชุดเขียวจากสี่ด้านแปดทิศ

แต่ว่ามีเพียงคนเดียวที่ออกจากสนามรบ ทะยานตัวไปดั่งกบแตะผิวน้ำ วิถีการโคจรเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง มุ่งหน้าเข้าหาสุยจิ่งเฉิงที่นั่งอยู่บนหลังม้า แต่กลับถูกแสงกระบี่ที่เปล่งวาบออกมาจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แทงทะลุศีรษะ เสียงปังดังหนึ่งครั้ง เรือนกายของสตรีก็กลายเป็นควันสีเขียวกลุ่มหนึ่ง

สนามรบที่แท้จริงทางฝั่งนั้น

สตรีแต่ละคนถูกหมัดต่อยให้แหลกสลายกลายเป็นควันเขียว

แต่สตรีทุกคนกับดาบสั้นทุกเล่มที่พวกนางถือล้วนคมกริบอย่างไร้ที่สิ้นสุด ย่อมไม่ใช่แค่เวทอำพรางตาที่เป็นภาพมายาอย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านี้ ดูเหมือนว่าทั่วร่างของสตรีจะเต็มไปด้วยอาวุธลับ ทำให้คนยากจะป้องกันได้ไหว

หากไม่เป็นเพราะคนผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่มีหนังหนา แต่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกทั่วไป ลำพังเพียงวิธีการนี้ของนาง เกรงว่าคงตายไปหลายสิบครั้งแล้ว

วิชาตระกูลเซียนก็เป็นเช่นนี้เอง ต่อให้นางจะเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง แต่ก็สามารถเอาชนะได้ด้วยจำนวน สามารถสยบกำราบผู้ฝึกยุทธได้โดยกำเนิด

บนโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีสิ่งใดที่ไม่มหัศจรรย์ และไม่เคยมีเรื่องใดที่ตายตัว

ชุดเขียวพลันหายวับไป มาหยุดอยู่ตรงหน้าสตรีผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ริมขอบสนามรบ ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยทะลุหัวใจของนาง

ร่างของสตรีทุกคนพลันหยุดชะงัก นางยิ้มอย่างซีดเซียว “เหตุใดจึงรู้ว่าข้าคือร่างจริง ทั้งๆ ที่ตลับเครื่องประทินโฉมนั่นไม่ได้อยู่ในชายแขนเสื้อข้า…”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว

นาทีถัดมาสตรีก็ปิดปากหัวเราะเสียงพลิ้วหวานไม่หยุด นางกลายร่างเป็นควันเขียวกลุ่มหนึ่ง สตรีทุกคนก็ล้วนเป็นเช่นนี้ สุดท้ายควันเขียวมารวมตัวกันอยู่จุดหนึ่ง กลายเป็นกลุ่มควันหนาข้นซัดตลบ ก่อนที่สตรีผู้หนึ่งจะเดินนวยนาดออกมา นางเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างนวดคลึงหัวใจ ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหาถูกตัวแล้ว แต่น่าเสียดาย ขอแค่ไม่สามารถสังหารทุกคนให้ตายได้ในรวดเดียว ข้าก็ไม่มีทางตาย เซียนกระบี่เจ้าโมโหหรือไม่เล่า?”

มือข้างที่ไพล่หลังของสตรีทำท่าส่งสัญญาณมือ

คนผู้นั้นพยักหน้ารับ ร่างของสตรีก็ระเบิดกลายเป็นควันเขียวกลุ่มใหญ่ แล้วสตรีแต่ละคนก็พากันกระโจนเข้าใส่ชุดเขียวอีกครั้ง

หนึ่งหมัดผ่านไป

เฉินผิงอันมายืนอยู่ตรงตำแหน่งที่สตรียืนอยู่เมื่อครู่นี้ สตรีแทบทุกคนล้วนถูกพายุหมัดหนาข้นของกระบวนท่ากองทัพม้าเหล็กทะลวงขบวนรบสะเทือนให้ร่างแตกกระจาย

หลงเหลือเพียงสตรีคนหนึ่งที่มีเลือดซึมออกมาจากหน้ากากสีขาวหิมะไม่หยุด นางยื่นนิ้วมากดลงบนหน้ากากแรงๆ

นักฆ่าร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นพยักหน้า แล้วลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ เจ้ามันไม่ได้เรื่องจริงๆ เกือบจะทำให้เสียเรื่องซะแล้ว”

เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส “หากไม่ได้ข้าที่พยายามถ่วงเวลาไว้ เจ้าจะวาดยันต์ค่ายกลได้สำเร็จรึ?!”

กระบี่บินสืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของสุยจิ่งเฉิงพุ่งออกมา

แสงกระบี่พุ่งตรงไปยังจุดไท่หยางด้านหนึ่งของอาจารย์ค่ายกลร่างเล็กเตี้ยคนนั้น

ตอนที่พูดคุยกับนักฆ่าหญิง นักฆ่าร่างเล็กเตี้ยที่ซ่อนมือทั้งสองไว้ในชายแขนเสื้ออยู่ตลอดเวลาได้คีบยันต์สีทองแผ่นหนึ่งเอาไว้นานแล้ว เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อรู้ว่าเจ้าเป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง จะไม่มีการเตรียมตัวได้หรือ?”

เมื่อคนผู้นั้นชูสองนิ้วขึ้น แผ่นยันต์ก็มาลอยอยู่ข้างกาย รอคอยให้กระบี่บินเล่มนั้นพาตัวมาติดกับด้วยตัวเอง

ทว่ากระบี่บินสืออู่กลับวาดตัวเป็นวงโค้งย้อนกลับไปยังน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กะทันหัน

แสงกระบี่สีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของเฉินผิงอัน

แสงกระบี่เปล่งวาบหนึ่งครั้ง

คิดไม่ถึงว่ามืออีกข้างหนึ่งของคนผู้นั้นก็ถือยันต์เอาไว้ เขาชูมันขึ้นสูง กระบี่บินชูอีก็เหมือนจมลงไปในปลักโคลน หายวับเข้าไปในแผ่นยันต์

กระดาษยันต์สีทองที่ลอยอยู่ตรงหน้านักฆ่าร่างเล็กเตี้ยสั่นสะท้านเบาๆ คนผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โชคดีที่ข้าเตรียมยันต์กักกระบี่มูลค่าควรเมืองแผ่นหนึ่งมาด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงต้องตายแน่แล้ว เซียนกระบี่อย่างเจ้า เหตุใดถึงได้อันตรายขนาดนี้ เดิมทีเซียนกระบี่ก็เป็นลูกรักของสวรรค์ที่มีพลังการสังหารรุนแรงที่สุดบนภูเขาอยู่แล้ว แต่เจ้ายังจะมีอุบายลึกล้ำเช่นนี้อีก แล้วจะให้ผู้ฝึกลมปราณอย่างเราๆ มีชีวิตกันอย่างไร? นี่ข้าโกรธมากเลยนะเนี่ย”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 523.1 สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 523.1 สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แคว้นจิ่งหนันมีลำคลองไหลกระจายตัวอยู่หนาแน่น ม้าทั้งสองตัวยังคงเดินทางทั้งวันทั้งคืน

เพียงแต่ว่าจะเดินทางจากแคว้นจิ่งหนันไปยังแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไรนั้นค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานชายแดนของสองแคว้นได้เกิดศึกสงครามที่ต่อเนื่อง เป็นเป่ยเยี่ยนที่เป็นฝ่ายโจมตีก่อน ทหารม้าติดอาวุธเบาจำนวนหลายร้อยถึงหนึ่งพันนายพากันบุกเข้ามาจู่โจมหน้าด่านอย่างอาจหาญ ส่วนทางทิศเหนือของแคว้นจิ่งหนันก็แทบจะไม่มีกองกำลังทหารม้ามากพอที่จะออกไปเข่นฆ่ากับศัตรูภายนอกได้ ดังนั้นจึงได้แต่ถอยกลับเข้ามาพิทักษ์เมือง ด้วยเหตุนี้หน้าด่านชายแดนของสองแคว้นต่างก็ถูกปิด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธคนใดที่เดินทางออกมาท่องเที่ยวล้วนจะต้องกลายมาเป็นเป้าให้ผู้คนโจมตี

แต่ว่าม้าทั้งสองก็ยังตัดสินใจเลือกที่จะข้ามด่านชายแดนโดยผ่านทางเส้นทางภูเขา

เชื่อมโยงกับเรื่องที่หน่วยลาดตระเวนของแคว้นอู่หลิงแทรกซึมเข้ามาในแคว้นจิ่งหนันก่อนหน้านี้ สุยจิ่งเฉิงก็คล้ายจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง

ยามสนธยาของวันนี้พวกเขาควบม้าขึ้นมาบนเนินเขาก็เห็นว่าหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่สร้างติดกับลำน้ำมีเปลวเพลิงโหมกระพือ

ในขณะที่สุยจิ่งเฉิงนึกว่าผู้อาวุโสจะทำเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ แล้วอ้อมผ่านไปอีกครั้งนั้นเอง ม้าตัวหนึ่งก็ควบตะบึงมุ่งลงจากเนินเขาห้อตรงดิ่งเข้าหาหมู่บ้านทันที สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึง ก่อนจะรีบโบยแส้ควบม้าไล่กวดตามไป

พอเข้ามาในหมู่บ้านแล้วก็เห็นภาพบรรยากาศที่ราวกับนรกบนดิน ทุกหนแห่งล้วนมีแต่ศพที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ สตรีส่วนใหญ่ไม่มีอาภรณ์ปกปิดเรือนร่าง ส่วนชายฉกรรจ์ก็ถูกทวนแทงแขนขาทั้งสี่จนเป็นบาดแผลเหอวะหวะ ส่วนมากล้วนตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป คนที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนคลานหนีก็ลากรอยเลือดไปด้วยตลอดทาง และยังมีเศษซากแขนขาอีกจำนวนมากที่ถูกคมดาบกรีดเฉือนออกมา จุดจบของเด็กๆ หลายคนน่าเวทนามากเป็นพิเศษ

สุยจิ่งเฉิงพลิกตัวลงจากหลังม้า แล้วก็เริ่มคุกเข่าอาเจียนแห้งๆ

เฉินผิงอันหลับตาลง เงี่ยหูหลับตาฟังอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “ไม่มีใครรอด”

สุยจิ่งเฉิงฟังไม่เข้าหูแม้แต่น้อย รู้สึกเพียงว่าตนแทบจะอาเจียนเอาน้ำดีขมๆ ออกมาด้วยแล้ว

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบดินที่อาบไปด้วยเลือดขึ้นมาหนึ่งหยิบมือ หลังจากขยี้เบาๆ แล้วก็โยนทิ้งลงพื้น เขาลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังคา มองฝีเท้าและรอยเท้าม้าที่อยู่โดยรอบ เส้นสายตามองไล่ไปยังจุดห่างไกลอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายพอพลิ้วกายลงบนพื้น เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วยื่นส่งให้สุยจิ่งเฉิง จากนั้นก็ยื่นเชือกจูงม้าของตัวเองส่งให้นางไปพร้อมกันด้วย “พวกเราไล่ตามไปยังทัน เจ้าจำไว้ว่าจงดูแลตัวเองให้ดี หากเจ้าอยู่ที่นี่เพียงลำพังอาจไม่ปลอดภัย พยายามตามข้าให้ทัน หากฝีเท้าม้าเริ่มถดถอยก็เปลี่ยนมาขี่ตัวใหม่”

แล้วเฉินผิงอันก็พุ่งทะยานออกไป

สุยจิ่งเฉิงพลิกตัวขึ้นหลังม้า ข่มกลั้นอาการเวียนหัวตาลายฝืนควบม้าห้อตะบึงออกไป

โชคดีที่บุรุษชุดเขียวไม่ได้จงใจใช้กำลังทั้งหมดในการไล่ตามอย่างเดียว ยังคงพะวงถึงฝีเท้าม้าของสุยจิ่งเฉิงด้วย

ประมาณเกือบครึ่งชั่วยามต่อมาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ามาจากทางหาดน้ำตื้นในหุบเขาแห่งหนึ่ง

ผู้อาวุโสไม่หยุดฝีเท้า แต่เอ่ยขึ้นว่า “ตามมาทันแล้ว จากนี้ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ม้าบาดเจ็บ แค่ตามข้ามาให้ทันก็พอ ทางที่ดีที่สุดคืออย่าทิ้งระยะห่างเกินสองร้อยก้าว แต่ว่าต้องระวัง ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น”

สุยจิ่งเฉิงกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าอีกตัวหนึ่ง ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ผู้อาวุโสมอบให้นางไว้ชั่วคราว แล้วเริ่มควบม้าตะบึงไปเบื้องหน้า

กองทัพม้าของชายแดนมักจะมีกฎเหล็กเกี่ยวกับเรื่องการแปรงขนล้างหน้าม้าหรือป้อนหญ้าให้กับม้าอยู่เสมอ

ท่ามกลางหุบเขาที่เป็นกึ่งเส้นทางดินกึ่งเส้นทางน้ำแห่งนี้ กองทหารม้าติดอาวุธเบากองนั้นน่าจะมาหยุดพักแล้วก็เพิ่งออกเดินทางไปได้ไม่นาน

ทหารม้าคนหนึ่งที่อยู่รั้งท้ายกองหันหน้ามามองด้านหลังพอดี พอเห็นเงาร่างล่องลอยที่เป็นกลุ่มควันสีเขียว แต่มองไม่เห็นโฉมหน้าพุ่งทะยานมา เขาก็อึ้งตะลึงไปก่อนพักหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มแหกปากคำรามอย่างเดือดดาล “มีชาวยุทธฝั่งศัตรูมาลอบโจมตี!”

ชุดเขียวเหมือนควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่พุ่งมาถึงในชั่วพริบตา ทหารม้าฝีมือดีหลายสิบนายที่ผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างมีระเบียบเพิ่งจะชักม้าหันหัวกลับ เตรียมจะขึ้นสายคันธนู ดาบรบที่พกอยู่ตรงเอวของทหารม้าสองนายก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ออกจากฝักส่งเสียงดังเคร้ง พริบตาเดียวสองหัวก็ลอยกระเด็นขึ้นสูง ศพไร้หัวทั้งสองร่วงตกลงสู่พื้น

ชุดเขียวนั้นไม่ได้พลิ้วกายลงสู่พื้น เพียงแค่เดินค้อมเอวพลิกตัวกระโดดหมุนกลับไปมาอยู่บนม้าศึกครั้งแล้วครั้งเล่า สองมือถือดาบ

เพียงแค่ชั่วพริบตาก็มีทหารม้ายี่สิบกว่านายที่ต้องจบชีวิตภายใต้คมดาบ ทุกคนล้วนตายในดาบเดียว บางก็ร่างขาดครึ่งท่อน บ้างก็ถูกดาบฟันผ่าแสกหน้า

ทหารม้าฝีมือดีของแคว้นเป่ยเยี่ยนเริ่มแตกฮือกระจายตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาพากันทิ้งคันธนูเปลี่ยนมาใช้ดาบแทน แล้วก็มีบางคนที่เริ่มหยิบเสื้อเกราะจากห่อสัมภาระออกมาสวมใส่ไว้บนร่าง

มีทหารม้าคนหนึ่งลักษณะคล้ายผู้นำวิ่งตะบึงเข้ามาพร้อมกับทวนยาวในมือ ทวนนั้นจ้วงแทงเข้าใส่ชุดเขียวอย่างว่องไว ฝ่ายหลังกำลังใช้ปลายดาบจิ่มไปบนลำคอของทหารม้าคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเบาๆ และกำลังเก็บดาบมาพอดี จึงถือโอกาสนี้ถอยกรูดไปสังหารทหารม้าอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง ทวนยาวก็พุ่งตามอีกฝ่ายไปอย่างแม่นยำราวกับคาดคะเนไว้แล้ว

สุยจิ่งเฉิงกำลังจะตะโกนว่าระวัง เพียงแต่นางก็รีบยกมือปิดปากอย่างรวดเร็ว

นาทีถัดมา สุยจิ่งเฉิงเห็นเพียงว่าไม่รู้ว่าคนชุดเขียวทำอย่างไร เขาเบี่ยงร่างกลางอากาศ เดินก้าวเหยียบไปด้านหน้า พุ่งปะทะกับทวนยาวโดยตรง ปล่อยให้คมแหลมของทวนแทงทะลุหัวใจของตัวเอง จากนั้นก็พุ่งทะยานไปด้านหน้า แม่ทัพทหารม้าผู้นั้นร้องคำรามอย่างเดือดดาล ต่อให้ฝ่ามือเปรอะไปด้วยเลือดสดก็ยังคงไม่ยอมปล่อยมือ ทว่าทวนยาวก็ยังคงทะลุเลื่อนจากฝ่ามือไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การเสียดสีที่รุนแรง บาดแผลบนฝ่ามือของเขาลึกจนเห็นถึงกระดูกขาว ในใจรู้ว่าท่าไม่ดี ในที่สุดก็เตรียมจะสละทวนยาวที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษทิ้ง ทว่าเพียงชั่วพริบตานั้นชุดเขียวก็มายืนค้อมเอวอยู่บนหัวม้า นาทีถัดมาดาบก็แทงทะลุลำคอของเขาจนเป็นช่องโพรงในชั่วพริบตา

คนผู้นั้นยืดตัวขึ้นพรวด ดาบยาวในมือขวาแทงทะลุลำคอของทหารม้า ไม่เพียงเท่านี้ มือที่ถือดาบยังชูขึ้นสูง ร่างของแม่ทัพทหารม้านายนั้นจึงถูกดึงลอยขึ้นจากหลังม้า

บนหลังม้าศึก ดาบศึกที่จัดทำขึ้นสำหรับกองทัพทหารม้าของแคว้นเป่ยเยี่ยนที่คนชุดเขียวผู้นั้นถือไว้ในมือแทบจะแทงทะลุลำคอของแม่ทัพทหารม้าออกมาทั้งหมด เผยให้เห็นคมดาบแวววับช่วงใหญ่ เพราะออกดาบเร็วเกินไป เร็วจนถึงขั้นที่ว่าไม่มีเลือดสดติดดาบเลย

เฉินผิงอันพลันชักดาบเก็บ ศพของแม่ทัพทหารม้าก็กลิ้งหลุนๆ ตกลงไปกระแทกพื้น

อาศัยโอกาสนี้ ทหารม้าของแคว้นเป่ยเยี่ยนก็เริ่มง้างคันธนูขึ้นระดมยิง

มือทั้งสองของเฉินผิงอันถือดาบ ชุดเขียวสะเทือนหนึ่งครั้ง ลูกธนูทั้งหมดก็ระเบิดแตกอยู่กลางอากาศ

ม้าศึกใต้ฝ่าเท้าขาหักจนร่างทรุดลงพื้นในเสี้ยววินาที ทุกคนแทบจะมองไม่เห็นเงาร่างสีเขียวนั้น มีเพียงประกายคมดาบสองเสี้ยวที่พุ่งวาบขึ้นจุดแล้วจุดเล่า ประหนึ่งแสงไฟที่ลุกโชนอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้น ยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ ทว่าผ่านที่ใดที่นั่นต้องมีคนตาย

ทหารม้าฝีมือดีสองร้อยนายของเป่ยเยี่ยน ล้วนกลายเป็นศพที่ไม่สมประกอบสองร้อยศพ

เฉินผิงอันยืนอยู่บนหลังม้าศึกตัวหนึ่ง โยนดาบยาวที่อยู่ในมือทิ้งลงบนพื้น กวาดตามองไปรอบด้าน “ตามพวกเรามาตลอดทางแล้ว กว่าจะเจอโอกาสเช่นนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังไม่ปรากฏตัวอีกรึ?”

กลางลำธารที่ผิวน้ำสูงแค่หัวเข่าพลันมีศีรษะหนึ่งที่สวมหน้ากากสีขาวหิมะผุดลอยออกมา ริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก สุดท้ายก็มีคนชุดดำยืนอยู่ตรงนั้น เสียงเจือหัวเราะเบาๆ ดังลอดออกมาจากริมหน้ากาก “ช่างมีวิชาดาบที่งดงามนัก”

เวลาเดียวกันนั้นบนหน้าผาแต่ละจุดก็มีนักฆ่าชุดดำหน้ากากขาวอีกหลายคนพลิ้วตัวลงมา

หนึ่งเป็นสตรีรูปร่างอรชร ในมือถือตลับผงประเครื่องประทินโฉม จีบนิ้วเป็นท่าดรรชนีกล้วยไม้ กำลังใช้นิ้วแต้มถูผงชาดลงบนลำคอขาวนวลของตน

คนหนึ่งเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อกว้างใหญ่

อีกคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ข้างกายศพของแม่ทัพทหารม้า สองนิ้วจิ้มไปที่หว่างคิ้วบนศีรษะของอีกฝ่าย

อีกคนหนึ่งมีเรือนกายกำยำล่ำสันเหมือนภูเขาลูกย่อม สะพายธนูยักษ์

คนชุดดำที่เป็นคนเดียวที่ยืนอยู่บนผิวน้ำยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เริ่มทำงานหาเงิน รีบรบรีบจบ อย่าได้เสียเวลาการเดินทางไปเยือนเส้นทางน้ำพุเหลืองของเซียนกระบี่”

นักฆ่าที่กำลังถูผงประทินโฉมลงบนลำคอพูดด้วยน้ำเสียงหวาดหยดย้อย “รู้แล้วน่าๆ”

นางเก็บตลับผงเครื่องประทินโฉมใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ สะบัดชายแขนเสื้อทั้งสองหนึ่งครั้ง มีดสั้นที่ส่องประกายแวววับสองเล่มก็โผล่ออกมา บนมีดแกะสลักลวดลายอักขระโบราณไว้แน่นขนัด

ตอนที่นางกระโจนมาด้านหน้าอย่างเชื่องช้า สองฝั่งซ้ายขวาข้างกายก็มีสตรีสองคนที่ลักษณะเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนปรากฏตัว จากนั้นก็มีเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน ราวกับว่าจะไร้ที่สิ้นสุด

สตรีที่ในมือถือดาบสั้นร้อยกว่าคนมีมากมายมืดฟ้ามัวดิน ต่างก็กรูกันเข้าหาคนหนุ่มชุดเขียวจากสี่ด้านแปดทิศ

แต่ว่ามีเพียงคนเดียวที่ออกจากสนามรบ ทะยานตัวไปดั่งกบแตะผิวน้ำ วิถีการโคจรเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง มุ่งหน้าเข้าหาสุยจิ่งเฉิงที่นั่งอยู่บนหลังม้า แต่กลับถูกแสงกระบี่ที่เปล่งวาบออกมาจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แทงทะลุศีรษะ เสียงปังดังหนึ่งครั้ง เรือนกายของสตรีก็กลายเป็นควันสีเขียวกลุ่มหนึ่ง

สนามรบที่แท้จริงทางฝั่งนั้น

สตรีแต่ละคนถูกหมัดต่อยให้แหลกสลายกลายเป็นควันเขียว

แต่สตรีทุกคนกับดาบสั้นทุกเล่มที่พวกนางถือล้วนคมกริบอย่างไร้ที่สิ้นสุด ย่อมไม่ใช่แค่เวทอำพรางตาที่เป็นภาพมายาอย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านี้ ดูเหมือนว่าทั่วร่างของสตรีจะเต็มไปด้วยอาวุธลับ ทำให้คนยากจะป้องกันได้ไหว

หากไม่เป็นเพราะคนผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่มีหนังหนา แต่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกทั่วไป ลำพังเพียงวิธีการนี้ของนาง เกรงว่าคงตายไปหลายสิบครั้งแล้ว

วิชาตระกูลเซียนก็เป็นเช่นนี้เอง ต่อให้นางจะเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง แต่ก็สามารถเอาชนะได้ด้วยจำนวน สามารถสยบกำราบผู้ฝึกยุทธได้โดยกำเนิด

บนโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีสิ่งใดที่ไม่มหัศจรรย์ และไม่เคยมีเรื่องใดที่ตายตัว

ชุดเขียวพลันหายวับไป มาหยุดอยู่ตรงหน้าสตรีผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ริมขอบสนามรบ ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยทะลุหัวใจของนาง

ร่างของสตรีทุกคนพลันหยุดชะงัก นางยิ้มอย่างซีดเซียว “เหตุใดจึงรู้ว่าข้าคือร่างจริง ทั้งๆ ที่ตลับเครื่องประทินโฉมนั่นไม่ได้อยู่ในชายแขนเสื้อข้า…”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว

นาทีถัดมาสตรีก็ปิดปากหัวเราะเสียงพลิ้วหวานไม่หยุด นางกลายร่างเป็นควันเขียวกลุ่มหนึ่ง สตรีทุกคนก็ล้วนเป็นเช่นนี้ สุดท้ายควันเขียวมารวมตัวกันอยู่จุดหนึ่ง กลายเป็นกลุ่มควันหนาข้นซัดตลบ ก่อนที่สตรีผู้หนึ่งจะเดินนวยนาดออกมา นางเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างนวดคลึงหัวใจ ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหาถูกตัวแล้ว แต่น่าเสียดาย ขอแค่ไม่สามารถสังหารทุกคนให้ตายได้ในรวดเดียว ข้าก็ไม่มีทางตาย เซียนกระบี่เจ้าโมโหหรือไม่เล่า?”

มือข้างที่ไพล่หลังของสตรีทำท่าส่งสัญญาณมือ

คนผู้นั้นพยักหน้ารับ ร่างของสตรีก็ระเบิดกลายเป็นควันเขียวกลุ่มใหญ่ แล้วสตรีแต่ละคนก็พากันกระโจนเข้าใส่ชุดเขียวอีกครั้ง

หนึ่งหมัดผ่านไป

เฉินผิงอันมายืนอยู่ตรงตำแหน่งที่สตรียืนอยู่เมื่อครู่นี้ สตรีแทบทุกคนล้วนถูกพายุหมัดหนาข้นของกระบวนท่ากองทัพม้าเหล็กทะลวงขบวนรบสะเทือนให้ร่างแตกกระจาย

หลงเหลือเพียงสตรีคนหนึ่งที่มีเลือดซึมออกมาจากหน้ากากสีขาวหิมะไม่หยุด นางยื่นนิ้วมากดลงบนหน้ากากแรงๆ

นักฆ่าร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นพยักหน้า แล้วลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ เจ้ามันไม่ได้เรื่องจริงๆ เกือบจะทำให้เสียเรื่องซะแล้ว”

เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส “หากไม่ได้ข้าที่พยายามถ่วงเวลาไว้ เจ้าจะวาดยันต์ค่ายกลได้สำเร็จรึ?!”

กระบี่บินสืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของสุยจิ่งเฉิงพุ่งออกมา

แสงกระบี่พุ่งตรงไปยังจุดไท่หยางด้านหนึ่งของอาจารย์ค่ายกลร่างเล็กเตี้ยคนนั้น

ตอนที่พูดคุยกับนักฆ่าหญิง นักฆ่าร่างเล็กเตี้ยที่ซ่อนมือทั้งสองไว้ในชายแขนเสื้ออยู่ตลอดเวลาได้คีบยันต์สีทองแผ่นหนึ่งเอาไว้นานแล้ว เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อรู้ว่าเจ้าเป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง จะไม่มีการเตรียมตัวได้หรือ?”

เมื่อคนผู้นั้นชูสองนิ้วขึ้น แผ่นยันต์ก็มาลอยอยู่ข้างกาย รอคอยให้กระบี่บินเล่มนั้นพาตัวมาติดกับด้วยตัวเอง

ทว่ากระบี่บินสืออู่กลับวาดตัวเป็นวงโค้งย้อนกลับไปยังน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กะทันหัน

แสงกระบี่สีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของเฉินผิงอัน

แสงกระบี่เปล่งวาบหนึ่งครั้ง

คิดไม่ถึงว่ามืออีกข้างหนึ่งของคนผู้นั้นก็ถือยันต์เอาไว้ เขาชูมันขึ้นสูง กระบี่บินชูอีก็เหมือนจมลงไปในปลักโคลน หายวับเข้าไปในแผ่นยันต์

กระดาษยันต์สีทองที่ลอยอยู่ตรงหน้านักฆ่าร่างเล็กเตี้ยสั่นสะท้านเบาๆ คนผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โชคดีที่ข้าเตรียมยันต์กักกระบี่มูลค่าควรเมืองแผ่นหนึ่งมาด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงต้องตายแน่แล้ว เซียนกระบี่อย่างเจ้า เหตุใดถึงได้อันตรายขนาดนี้ เดิมทีเซียนกระบี่ก็เป็นลูกรักของสวรรค์ที่มีพลังการสังหารรุนแรงที่สุดบนภูเขาอยู่แล้ว แต่เจ้ายังจะมีอุบายลึกล้ำเช่นนี้อีก แล้วจะให้ผู้ฝึกลมปราณอย่างเราๆ มีชีวิตกันอย่างไร? นี่ข้าโกรธมากเลยนะเนี่ย”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+