กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 196 ล้มไม่เป็นท่ากับเรื่องเล็ก

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 196 ล้มไม่เป็นท่ากับเรื่องเล็ก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจ้าอี่โหลวใบหน้าแดงก่ำภายใต้ความมืดสลัว จับข้อมือของซ่งชูอีแน่น ไม่ให้นางมีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

เจ้าอี่โหลวรู้สึกลำบากใจ ทันใดนั้นเป้าก็ถูกอะไรบางอย่างถูไถ

“เจ้า…” เขามีสีหน้าประหลาดใจ เพิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ตรงนั้นก็คือขาของซ่งชูอี

“จะใช้มือคลำหรือขาคลำมันต่างกันตรงไหน?” ซ่งชูอีหัวเราะฮี่ๆ พูดอย่างไร้ศีลธรรม “ในเมื่อก็ลูบคลำแล้ว เจ้าก็อย่าทำตัวเป็นผู้ชายใสซื่อบริสุทธิ์เลย ยอมๆ ข้าเถิด”

เงียบไปครู่หนึ่ง เจ้าอี่โหลวก็พลิกตัวทับซ่งชูอีอยู่ด้านล่างด้วยความรวดเร็ว จับจ้องนางด้วยสายตาล้ำลึก

จากนั้นการเคลื่อนไหวก็หยุดนิ่ง เจ้าอี่โหลวรู้สึกว่าซ่งชูอีดูเหมือนจะไม่ได้เล่นอันธพาลกับเขาเพียงคนเดียว หากมันเป็นเพียงธรรมชาติของนางและมิได้มีความหมายเช่นนั้น ในเวลานี้เขาทำอะไรนอกกรอบแล้วภายภาคหน้าจะมองหน้ากันได้เยี่ยงไร?  อีกทั้งซ่งชูอีมิใช่สตรีที่จะออกเรือนแล้วว่านอนสอนง่ายอยู่แต่ในบ้าน และที่จริงแล้วนางก็ไม่เหมาะสมในการออกเรือนแล้วว่านอนสอนง่าย…

ภายใต้แสงไฟสลัว ซ่งชูอีก็สามารถมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ใกล้เพียงคืบได้อย่างชัดเจน เมื่อครู่ที่เขาพลิกตัวด้วยความดุเดือดเช่นนั้น ที่จริงแล้วก็ทำให้นางตกใจไปครู่หนึ่ง แต่ทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกอย่างต่อเนื่อง ท่าทางการบีบบังคับเช่นนั้นก็ลดลงไปเหมือนกระแสน้ำ

“เจ้ากำลังคิดอะไรน่ะ?” ซ่งชูอีขัดจังหวะความคิดฟุ้งซ่านของเขา พิจารณาเกี่ยวกับความคิดของเขา กล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ชอบอยู่ข้างล่าง ทว่าเห็นแก่ที่เจ้าหน้าตาดี ข้าก็ใช่ว่าจะฝืนใจตัวเองไม่ได้”

หัวใจเจ้าอี่โหลวเต้นแรงอีกครั้ง ทันใดนั้นความรู้สึกสลับซับซ้อนผุดขึ้นในหัวใจ

หลังจากทับซ่งชูอีเป็นเวลานาน เขาก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ จากนั้นเพียงแค่ค่อยๆ เอนตัวเข้าหานาง ฝังใบหน้าไว้ระหว่างคอของนาง

สำหรับซ่งชูอีแล้ว เจ้าอี่โหลวสามารถสละบัลลังก์ สามารถเผชิญหน้ากับชีวิตและความตาย อีกทั้งไม่ยอมมีปฏิสัมพันธ์ทางกายกับนางตรงๆ มันเป็นเพราะสาเหตุใด? ในเวลานั้นเขาไม่เข้าใจจริงๆ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วทั้งตั้งตาคอยและชอบมันด้วยซ้ำ

เขาเป็นคนที่อยู่ในสถานการณ์จึงมองไม่ทะลุ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปกติแล้วเขามีความตื่นตัวมากเกินไปดังนั้นจึงยิ่งระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้นหรือเปล่า

ซ่งชูอีถูกรูปร่างสูงใหญ่ของเจ้าอี่โหลวทับจนแน่นิ่ง ขยับได้เพียงนิ้วมือเท่านั้น ในตอนแรกนางก็รู้สึกว่าอารมณ์ของเจ้าอี่โหลวผิดปกติเช่นกันทว่ามิได้พูดกระไรและปล่อยให้เขาสงบสติอารมณ์ลงก่อน ใครจะรู้ว่าผ่านไปสักพักก็มีเสียงหายใจสม่ำเสมอดังขึ้นข้างหู ที่แย่กว่านั้นก็คือ ลมหายใจนี้เป็นเหมือนหญ้าหางสุนัขที่เกาหูของนางแผ่วเบา ทำให้ทั้งตัวของนางไร้เรี่ยวแรง

“เอ๊ะเอ๊ะ!” ซ่งชูอีหดๆ คอ

ศีรษะของเจ้าอี่โหลวเลื่อนลงเล็กน้อย ลมหายใจที่พ่นลงบนคอของนางมันร้ายแรงยิ่งกว่า!

“เจ้าอี่โหลว แม่งเอ๊ยเจ้าลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” ซ่งชูอีกระซิบเสียงเบา

ซ่งชูอีไม่กล้าส่งเสียงดัง นางหน้าด้านก็เรื่องหนึ่ง ทว่านางรู้จักแยกแยะได้ดีกว่าใครทั้งหมด หากว่าพรุ่งนี้มีข่าวหลุดออกไปจากค่ายว่า “เชื่อว่าท่านตูเว่ย/ข่ม/ขืนท่านที่ปรึกษา” “ตูเว่ยกับท่านที่ปรึกษามีความสัมพันธ์กัน ใช้ความงามไต่เต้า” อะไรเทือกนี้ เกรงว่าหากไม่หน้าด้านก็เป็นเรื่องที่ยากจะทัดทานได้!

“เจ้าอี่โหลว! เจ้าเค่อ! เจ้าเสี่ยวฉง!” ซ่งชูอีตะโกนสองสามคำ คนที่อยู่บนตัวยังคงไม่ขยับเขยื้อน เอ่ยด้วยความเกลียดชัง “เจ้ารอข้าให้ดี!”

นี่มันเรียกว่าขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ! ซ่งชูอีมีเหตุผลที่จะสงสัยว่าเจ้าหนุ่มนี่กำลังแกล้งหลับ ทว่าเสียงลมหายใจที่ยืดยาวสม่ำเสมอข้างหูดูไม่เหมือนว่าแสร้งทำเลย

ซ่งชูอีเห็นว่าดวงตาสดใสของไป๋เริ่นมองมาที่พวกเขา จึงเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม “ไป๋เริ่น ลากเขาออกไป พรุ่งนี้ข้าจะตุ๋นเนื้อกวางให้เจ้ากิน”

“เฮ้อ!” ท่าทางโง่ๆ ของไป๋เริ่นเช่นนี้ ซ่งชูอีรู้สึกว่าตนบ้าไปแล้วที่ฝากความหวังไว้กับมัน นางเกร็งคอพร้อมถอนหายใจยาว “แม่งเอ๊ย ข้าทำชั่วมามากแล้ว ไม่อาจอ้อนวอนต่อเทพเจ้าได้ ขอเพียงท่านคุ้มครองข้าอย่าให้ถูกทับตายคืนนี้เลย!”

ว่ากันตามความสัตย์จริง ซ่งชูอีก็มักจะชอบพูดจาฉกฉวยโอกาสเล็กๆ น้อยๆ อีกทั้งมือก็อยู่ไม่ใคร่สุขนัก จากการรวมสองชีวิตเข้าด้วยกัน นี่เป็นครั้งที่นางคิดไม่ซื่อกับผู้ชายคนหนึ่ง อยากฉวยโอกาสนี้ทำมันกับเจ้าอี่โหลวเสียจริง

แม้นว่าซ่งชูอีเยี่ยงนางจะไม่ถึงขั้นที่หงายฝ่ามือเป็นก้อนเมฆคว่ำฝ่ามือเป็นสายฝน ทว่าดีเลวอย่างไรก็เป็นกุนซือคนหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าจะล้มไม่เป็นท่าให้กับเรื่องเล็กเช่นนี้! เคลื่อนทัพออกศึกไม่ทันคว้าชัยแต่ตัวมาตายเสียก่อน!

ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโหจริงๆ

หลายวันนี้ซ่งชูอีก็เหนื่อยมามาก นางกัดฟันต่อสู้อยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ผล็อยหลับไป

วันรุ่งขึ้น

ซ่งชูอีตื่นด้วยเสียงของทหารที่กำลังฝึกซ้อมข้างนอก บัดนี้ฟ้าสางแล้ว ไป๋เริ่นกำลังนอนแทะเนื้อกวางชิ้นหนึ่งอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ข้างเตียง ครั้นได้ยินเสียงก็เหลือบตาขึ้นอย่างรวดเร็ว คาบชิ้นเนื้อหันหัววิ่งออกไป กลัวว่าจะถูกฆ่าเยี่ยงผู้บริสุทธิ์

“ฮึ เจ้าสัตว์ป่า!” ซ่งชูอีมองดูแผ่นหลังของมันที่พุ่งตัวออกไปราวกับควันก็หัวเราะด่า

นางขยับตัวและพบว่าไม่ปวดเมื่อยเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนหลังจากที่นางหลับไปเจ้าอี่โหลวก็มิได้ทับนางต่อ

เจ้าวัวหัวรั้นตัวนั้นจะต้องแกล้งหลับเป็นแน่!

ซ่งชูอีคิดพลางก็หยิบเสื้อผ้าที่อยู่บนฉากกั้นด้านข้างมาสวมใส่ หวีผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง มัดมันเป็นมวยแล้วรีบเดินไปยังค่ายบัญชาการทหาร

“ท่าน!”

เพิ่งจะเดินออกมาเพียงสองสามก้าว ก็มีนายทหารวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ทัพซย่าโมโหใหญ่แล้วขอรับ”

“เรื่องอะไร?” ซ่งชูอีเดินเร็วขึ้น

นายทหารคนนั้นรีบเดินตามให้ทัน “ได้ยินว่าเพราะไม่พอใจที่ตูเว่ยอายุน้อยเกินไป”

เรื่องนี้มิได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของซ่งชูอีเลย ซย่าเฉวียนเป็นท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่ง ถูกย้ายมาประจำการที่นี่ในขณะที่ฉินเว่ยกำลังทำสงครามกัน เขาไม่รู้ถึงแผนการ เพียงแต่รู้สึกว่ามีสงครามก็ไปรบไม่ได้ แต่กลับต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเด็กหนุ่มคนหนึ่งโดยไม่มีเงื่อนไข และในขณะที่ไฟโกรธยังไม่ทุเลานั้น เสียนหยางก็ส่งเด็กอมมือคนหนึ่งมาเป็นผู้ช่วยของเขา! เรื่องนี้มันยอมรับได้ด้วยหรือ!

“บัดซบ!”

ซ่งชูอียังไม่ทันเข้ากระโจมก็ได้ยินเสียงคำราม

“ข้าจะไปทูลถามฝ่าบาท ว่าข้าแซ่ซย่าทำผิดตรงไหนถึงได้ปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงนี้!” ซย่าเฉวียนกล่าวด้วยความไม่พอใจ

ซ่งชูอีกระแอมไอ เดินเข้าไปในกระโจมผู้บัญชาการ

ทนายสิบกว่านายข้างในยืนตัวตรง ไม่กล้าหายใจแรง ซย่าเฉวียนเดินไปเดินมาอยู่ข้างใน เจ้าอี่โหลวยืนก้มหน้าค้ำดาบอยู่ด้านซ้ายแถวหน้าสุด ไม่ขยับเขยื้อน ราวกับเป็นรูปปั้นแกะสลักอันสมบูรณ์แบบ

ซย่าเฉวียนอายุราวๆ สามสิบเจ็ดสามสิบแปดปี เกิดและโตในรัฐฉิน เป็นคนตรงไปตรงมาและอารมณ์ร้อนยิ่ง การยั่วโมโหเขาก็เหมือนกับการแหย่รังแตนอย่างไรอย่างนั้น หากไม่สู้สุดชีวิตก็จะไม่ยอมแพ้

เมื่อซย่าเฉวียนเห็นซ่งชูอี ความโกรธก็ทุเลาลงเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นความสามารถที่ซ่งชูอีมี ทว่ากลยุทธ์ห้ารัฐโจมตีรัฐเว่ยนั้นทำให้ชาวฉินมีความสุขจริงๆ อีกทั้งเรื่องที่ช่วยชีวิตจี๋อวี่จากรัฐเว่ย์ เขาก็รู้เรื่องทั้งหมด ในใจรู้สึกซาบซึ้งซ่งชูอีผู้ที่จงรักภักดีต่อแผ่นดินเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรคนประเภทนี้สมควรได้รับความเคารพจากเขา

ทุกคนเห็นดังนี้ก็ประสานมือคารวะโดยพร้อมเพรียง “ท่าน!”

ซ่งชูอีไม่มีตำแหน่งที่ชัดเจนในกองทัพ ดังนั้นจึงเพียงประสานมือแสดงความเคารพกลับ จากนั้นก็ยิ้มกว้างพร้อมมอง

ซย่าเฉวียน “เหตุใดท่านแม่ทัพจึงบันดาลโทสะแต่เช้าเล่า?”

ซย่าเฉวียนเพิ่งมาถึงเมื่อวาน เพิ่งจะได้ส่งมอบงานกับซือหม่าชั่ว เขามีเรื่องต้องให้ทำมากมาย เมื่อคืนก็อ่านหนังสือเทียบโอนแล้วทว่าเนื้อหาภายในโหรงเหรง วันนี้จึงเรียกประชุมทหารแต่เช้าและต้องตกละตึงเมื่อพบเจ้าอี่โหลวที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน อีกทั้งเขายังอ่อนเยาว์เพียงนี้

เริ่มแรกซย่าเฉวียนก็ไม่ได้ใส่ใจกระไร ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กหนุ่มที่อายุย่างยี่สิบแล้ว อีกทั้งวีรบุรษในวัยเยาว์ก็ยังสามารถพบเห็นได้บ่อยครั้ง ใครจะรู้ว่าหลังจากถามเพียงหนึ่งคำก็ยิ่งโมโห รองแม่ทัพผู้นี้มิเคยออกรบเลย!

“ฝ่าบาทได้เลื่อนขั้นให้กับรองแม่ทัพที่ไม่เคยมีประสบการณ์สงครามเลย หรือว่าชีวิตทหารก็ไม่สำคัญเช่นนั้นหรือ?” ครั้นเอ่ยขึ้นมา อารมณ์ของซย่าเฉวียนก็เริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

“ท่านแม่ทัพซย่าคิดมากเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีเหลือบมองเจ้าอี่โหลว แล้วหันไปกล่าวกับซย่าเฉวียน “ที่นี่จะยังไม่มีสงครามสักระยะหนึ่ง ทว่าท่านกลับถูกเลือกให้มาประจำการที่นี่ ท่านแม่ทัพทราบถึงเจตนาลึกๆ ของฝ่าบาทหรือไม่?”

ซย่าเฉวียนที่กำลังโวยวายไม่รู้ถึงเรื่องนี้ ครั้นถูกซ่งชูอีขัดจังหวะ เพลิงโทสะก็มอดลงไปเกือบครึ่ง “ได้โปรดท่านชี้แจงด้วย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 196 ล้มไม่เป็นท่ากับเรื่องเล็ก

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 196 ล้มไม่เป็นท่ากับเรื่องเล็ก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจ้าอี่โหลวใบหน้าแดงก่ำภายใต้ความมืดสลัว จับข้อมือของซ่งชูอีแน่น ไม่ให้นางมีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

เจ้าอี่โหลวรู้สึกลำบากใจ ทันใดนั้นเป้าก็ถูกอะไรบางอย่างถูไถ

“เจ้า…” เขามีสีหน้าประหลาดใจ เพิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ตรงนั้นก็คือขาของซ่งชูอี

“จะใช้มือคลำหรือขาคลำมันต่างกันตรงไหน?” ซ่งชูอีหัวเราะฮี่ๆ พูดอย่างไร้ศีลธรรม “ในเมื่อก็ลูบคลำแล้ว เจ้าก็อย่าทำตัวเป็นผู้ชายใสซื่อบริสุทธิ์เลย ยอมๆ ข้าเถิด”

เงียบไปครู่หนึ่ง เจ้าอี่โหลวก็พลิกตัวทับซ่งชูอีอยู่ด้านล่างด้วยความรวดเร็ว จับจ้องนางด้วยสายตาล้ำลึก

จากนั้นการเคลื่อนไหวก็หยุดนิ่ง เจ้าอี่โหลวรู้สึกว่าซ่งชูอีดูเหมือนจะไม่ได้เล่นอันธพาลกับเขาเพียงคนเดียว หากมันเป็นเพียงธรรมชาติของนางและมิได้มีความหมายเช่นนั้น ในเวลานี้เขาทำอะไรนอกกรอบแล้วภายภาคหน้าจะมองหน้ากันได้เยี่ยงไร?  อีกทั้งซ่งชูอีมิใช่สตรีที่จะออกเรือนแล้วว่านอนสอนง่ายอยู่แต่ในบ้าน และที่จริงแล้วนางก็ไม่เหมาะสมในการออกเรือนแล้วว่านอนสอนง่าย…

ภายใต้แสงไฟสลัว ซ่งชูอีก็สามารถมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ใกล้เพียงคืบได้อย่างชัดเจน เมื่อครู่ที่เขาพลิกตัวด้วยความดุเดือดเช่นนั้น ที่จริงแล้วก็ทำให้นางตกใจไปครู่หนึ่ง แต่ทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกอย่างต่อเนื่อง ท่าทางการบีบบังคับเช่นนั้นก็ลดลงไปเหมือนกระแสน้ำ

“เจ้ากำลังคิดอะไรน่ะ?” ซ่งชูอีขัดจังหวะความคิดฟุ้งซ่านของเขา พิจารณาเกี่ยวกับความคิดของเขา กล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ชอบอยู่ข้างล่าง ทว่าเห็นแก่ที่เจ้าหน้าตาดี ข้าก็ใช่ว่าจะฝืนใจตัวเองไม่ได้”

หัวใจเจ้าอี่โหลวเต้นแรงอีกครั้ง ทันใดนั้นความรู้สึกสลับซับซ้อนผุดขึ้นในหัวใจ

หลังจากทับซ่งชูอีเป็นเวลานาน เขาก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ จากนั้นเพียงแค่ค่อยๆ เอนตัวเข้าหานาง ฝังใบหน้าไว้ระหว่างคอของนาง

สำหรับซ่งชูอีแล้ว เจ้าอี่โหลวสามารถสละบัลลังก์ สามารถเผชิญหน้ากับชีวิตและความตาย อีกทั้งไม่ยอมมีปฏิสัมพันธ์ทางกายกับนางตรงๆ มันเป็นเพราะสาเหตุใด? ในเวลานั้นเขาไม่เข้าใจจริงๆ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วทั้งตั้งตาคอยและชอบมันด้วยซ้ำ

เขาเป็นคนที่อยู่ในสถานการณ์จึงมองไม่ทะลุ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปกติแล้วเขามีความตื่นตัวมากเกินไปดังนั้นจึงยิ่งระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้นหรือเปล่า

ซ่งชูอีถูกรูปร่างสูงใหญ่ของเจ้าอี่โหลวทับจนแน่นิ่ง ขยับได้เพียงนิ้วมือเท่านั้น ในตอนแรกนางก็รู้สึกว่าอารมณ์ของเจ้าอี่โหลวผิดปกติเช่นกันทว่ามิได้พูดกระไรและปล่อยให้เขาสงบสติอารมณ์ลงก่อน ใครจะรู้ว่าผ่านไปสักพักก็มีเสียงหายใจสม่ำเสมอดังขึ้นข้างหู ที่แย่กว่านั้นก็คือ ลมหายใจนี้เป็นเหมือนหญ้าหางสุนัขที่เกาหูของนางแผ่วเบา ทำให้ทั้งตัวของนางไร้เรี่ยวแรง

“เอ๊ะเอ๊ะ!” ซ่งชูอีหดๆ คอ

ศีรษะของเจ้าอี่โหลวเลื่อนลงเล็กน้อย ลมหายใจที่พ่นลงบนคอของนางมันร้ายแรงยิ่งกว่า!

“เจ้าอี่โหลว แม่งเอ๊ยเจ้าลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” ซ่งชูอีกระซิบเสียงเบา

ซ่งชูอีไม่กล้าส่งเสียงดัง นางหน้าด้านก็เรื่องหนึ่ง ทว่านางรู้จักแยกแยะได้ดีกว่าใครทั้งหมด หากว่าพรุ่งนี้มีข่าวหลุดออกไปจากค่ายว่า “เชื่อว่าท่านตูเว่ย/ข่ม/ขืนท่านที่ปรึกษา” “ตูเว่ยกับท่านที่ปรึกษามีความสัมพันธ์กัน ใช้ความงามไต่เต้า” อะไรเทือกนี้ เกรงว่าหากไม่หน้าด้านก็เป็นเรื่องที่ยากจะทัดทานได้!

“เจ้าอี่โหลว! เจ้าเค่อ! เจ้าเสี่ยวฉง!” ซ่งชูอีตะโกนสองสามคำ คนที่อยู่บนตัวยังคงไม่ขยับเขยื้อน เอ่ยด้วยความเกลียดชัง “เจ้ารอข้าให้ดี!”

นี่มันเรียกว่าขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ! ซ่งชูอีมีเหตุผลที่จะสงสัยว่าเจ้าหนุ่มนี่กำลังแกล้งหลับ ทว่าเสียงลมหายใจที่ยืดยาวสม่ำเสมอข้างหูดูไม่เหมือนว่าแสร้งทำเลย

ซ่งชูอีเห็นว่าดวงตาสดใสของไป๋เริ่นมองมาที่พวกเขา จึงเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม “ไป๋เริ่น ลากเขาออกไป พรุ่งนี้ข้าจะตุ๋นเนื้อกวางให้เจ้ากิน”

“เฮ้อ!” ท่าทางโง่ๆ ของไป๋เริ่นเช่นนี้ ซ่งชูอีรู้สึกว่าตนบ้าไปแล้วที่ฝากความหวังไว้กับมัน นางเกร็งคอพร้อมถอนหายใจยาว “แม่งเอ๊ย ข้าทำชั่วมามากแล้ว ไม่อาจอ้อนวอนต่อเทพเจ้าได้ ขอเพียงท่านคุ้มครองข้าอย่าให้ถูกทับตายคืนนี้เลย!”

ว่ากันตามความสัตย์จริง ซ่งชูอีก็มักจะชอบพูดจาฉกฉวยโอกาสเล็กๆ น้อยๆ อีกทั้งมือก็อยู่ไม่ใคร่สุขนัก จากการรวมสองชีวิตเข้าด้วยกัน นี่เป็นครั้งที่นางคิดไม่ซื่อกับผู้ชายคนหนึ่ง อยากฉวยโอกาสนี้ทำมันกับเจ้าอี่โหลวเสียจริง

แม้นว่าซ่งชูอีเยี่ยงนางจะไม่ถึงขั้นที่หงายฝ่ามือเป็นก้อนเมฆคว่ำฝ่ามือเป็นสายฝน ทว่าดีเลวอย่างไรก็เป็นกุนซือคนหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าจะล้มไม่เป็นท่าให้กับเรื่องเล็กเช่นนี้! เคลื่อนทัพออกศึกไม่ทันคว้าชัยแต่ตัวมาตายเสียก่อน!

ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโหจริงๆ

หลายวันนี้ซ่งชูอีก็เหนื่อยมามาก นางกัดฟันต่อสู้อยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ผล็อยหลับไป

วันรุ่งขึ้น

ซ่งชูอีตื่นด้วยเสียงของทหารที่กำลังฝึกซ้อมข้างนอก บัดนี้ฟ้าสางแล้ว ไป๋เริ่นกำลังนอนแทะเนื้อกวางชิ้นหนึ่งอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ข้างเตียง ครั้นได้ยินเสียงก็เหลือบตาขึ้นอย่างรวดเร็ว คาบชิ้นเนื้อหันหัววิ่งออกไป กลัวว่าจะถูกฆ่าเยี่ยงผู้บริสุทธิ์

“ฮึ เจ้าสัตว์ป่า!” ซ่งชูอีมองดูแผ่นหลังของมันที่พุ่งตัวออกไปราวกับควันก็หัวเราะด่า

นางขยับตัวและพบว่าไม่ปวดเมื่อยเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนหลังจากที่นางหลับไปเจ้าอี่โหลวก็มิได้ทับนางต่อ

เจ้าวัวหัวรั้นตัวนั้นจะต้องแกล้งหลับเป็นแน่!

ซ่งชูอีคิดพลางก็หยิบเสื้อผ้าที่อยู่บนฉากกั้นด้านข้างมาสวมใส่ หวีผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง มัดมันเป็นมวยแล้วรีบเดินไปยังค่ายบัญชาการทหาร

“ท่าน!”

เพิ่งจะเดินออกมาเพียงสองสามก้าว ก็มีนายทหารวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ทัพซย่าโมโหใหญ่แล้วขอรับ”

“เรื่องอะไร?” ซ่งชูอีเดินเร็วขึ้น

นายทหารคนนั้นรีบเดินตามให้ทัน “ได้ยินว่าเพราะไม่พอใจที่ตูเว่ยอายุน้อยเกินไป”

เรื่องนี้มิได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของซ่งชูอีเลย ซย่าเฉวียนเป็นท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่ง ถูกย้ายมาประจำการที่นี่ในขณะที่ฉินเว่ยกำลังทำสงครามกัน เขาไม่รู้ถึงแผนการ เพียงแต่รู้สึกว่ามีสงครามก็ไปรบไม่ได้ แต่กลับต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเด็กหนุ่มคนหนึ่งโดยไม่มีเงื่อนไข และในขณะที่ไฟโกรธยังไม่ทุเลานั้น เสียนหยางก็ส่งเด็กอมมือคนหนึ่งมาเป็นผู้ช่วยของเขา! เรื่องนี้มันยอมรับได้ด้วยหรือ!

“บัดซบ!”

ซ่งชูอียังไม่ทันเข้ากระโจมก็ได้ยินเสียงคำราม

“ข้าจะไปทูลถามฝ่าบาท ว่าข้าแซ่ซย่าทำผิดตรงไหนถึงได้ปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงนี้!” ซย่าเฉวียนกล่าวด้วยความไม่พอใจ

ซ่งชูอีกระแอมไอ เดินเข้าไปในกระโจมผู้บัญชาการ

ทนายสิบกว่านายข้างในยืนตัวตรง ไม่กล้าหายใจแรง ซย่าเฉวียนเดินไปเดินมาอยู่ข้างใน เจ้าอี่โหลวยืนก้มหน้าค้ำดาบอยู่ด้านซ้ายแถวหน้าสุด ไม่ขยับเขยื้อน ราวกับเป็นรูปปั้นแกะสลักอันสมบูรณ์แบบ

ซย่าเฉวียนอายุราวๆ สามสิบเจ็ดสามสิบแปดปี เกิดและโตในรัฐฉิน เป็นคนตรงไปตรงมาและอารมณ์ร้อนยิ่ง การยั่วโมโหเขาก็เหมือนกับการแหย่รังแตนอย่างไรอย่างนั้น หากไม่สู้สุดชีวิตก็จะไม่ยอมแพ้

เมื่อซย่าเฉวียนเห็นซ่งชูอี ความโกรธก็ทุเลาลงเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นความสามารถที่ซ่งชูอีมี ทว่ากลยุทธ์ห้ารัฐโจมตีรัฐเว่ยนั้นทำให้ชาวฉินมีความสุขจริงๆ อีกทั้งเรื่องที่ช่วยชีวิตจี๋อวี่จากรัฐเว่ย์ เขาก็รู้เรื่องทั้งหมด ในใจรู้สึกซาบซึ้งซ่งชูอีผู้ที่จงรักภักดีต่อแผ่นดินเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรคนประเภทนี้สมควรได้รับความเคารพจากเขา

ทุกคนเห็นดังนี้ก็ประสานมือคารวะโดยพร้อมเพรียง “ท่าน!”

ซ่งชูอีไม่มีตำแหน่งที่ชัดเจนในกองทัพ ดังนั้นจึงเพียงประสานมือแสดงความเคารพกลับ จากนั้นก็ยิ้มกว้างพร้อมมอง

ซย่าเฉวียน “เหตุใดท่านแม่ทัพจึงบันดาลโทสะแต่เช้าเล่า?”

ซย่าเฉวียนเพิ่งมาถึงเมื่อวาน เพิ่งจะได้ส่งมอบงานกับซือหม่าชั่ว เขามีเรื่องต้องให้ทำมากมาย เมื่อคืนก็อ่านหนังสือเทียบโอนแล้วทว่าเนื้อหาภายในโหรงเหรง วันนี้จึงเรียกประชุมทหารแต่เช้าและต้องตกละตึงเมื่อพบเจ้าอี่โหลวที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน อีกทั้งเขายังอ่อนเยาว์เพียงนี้

เริ่มแรกซย่าเฉวียนก็ไม่ได้ใส่ใจกระไร ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กหนุ่มที่อายุย่างยี่สิบแล้ว อีกทั้งวีรบุรษในวัยเยาว์ก็ยังสามารถพบเห็นได้บ่อยครั้ง ใครจะรู้ว่าหลังจากถามเพียงหนึ่งคำก็ยิ่งโมโห รองแม่ทัพผู้นี้มิเคยออกรบเลย!

“ฝ่าบาทได้เลื่อนขั้นให้กับรองแม่ทัพที่ไม่เคยมีประสบการณ์สงครามเลย หรือว่าชีวิตทหารก็ไม่สำคัญเช่นนั้นหรือ?” ครั้นเอ่ยขึ้นมา อารมณ์ของซย่าเฉวียนก็เริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

“ท่านแม่ทัพซย่าคิดมากเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีเหลือบมองเจ้าอี่โหลว แล้วหันไปกล่าวกับซย่าเฉวียน “ที่นี่จะยังไม่มีสงครามสักระยะหนึ่ง ทว่าท่านกลับถูกเลือกให้มาประจำการที่นี่ ท่านแม่ทัพทราบถึงเจตนาลึกๆ ของฝ่าบาทหรือไม่?”

ซย่าเฉวียนที่กำลังโวยวายไม่รู้ถึงเรื่องนี้ ครั้นถูกซ่งชูอีขัดจังหวะ เพลิงโทสะก็มอดลงไปเกือบครึ่ง “ได้โปรดท่านชี้แจงด้วย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+