กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 225 ท่านเป็นนักปราชญ์

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 225 ท่านเป็นนักปราชญ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจียนตอบรับ หมุนตัวไปเชิญทั้งสองคน

กู่หานและกูจิงเดินเข้าไปในจวนด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บัดนั้นที่กู่หานอยู่ในรัฐสู่ เนื่องด้วยเขามีข้อสงสัยต่อซ่งชูอี อีกทั้งยังทำผิดต่อนางเล็กน้อย ครั้นกลับมารัฐฉินก็เกือบถูกอิ๋งซื่อประหารชีวิตเหตุเพราะนาง “ทรยศ” ต่อบ้านเมือง แม้ว่าไม่ว่าจะคิดอย่างไร นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการเท่านั้นและซ่งชูอีก็ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะต่อต้านเขา ทว่าในใจเขากลับรู้สึกหวาดกลัวซ่งชูอีขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

กู่จิงนั้นมีความยินดีเขียนอยู่เต็มใบหน้า เขาชื่นชมคนฉลาดมาตลอด และชื่นชมซ่งชูอีมากที่สุดในบรรดาคนฉลาดทั้งหมด เพราะว่าแม้ซ่งชูอีเป็นคนฉลาดทว่าไม่เคยโอ้อวด วาจาก็ติดตลก สำหรับกู่จิงแล้วนางมีความเป็นมิตรและน่าเคารพมากกว่าพวกนักปราชญ์สูงส่งเหล่านั้นเสียอีก

ทั้งสามคนหยุดอยู่นอกห้องหนังสือ เจียนเอ่ยขึ้น “ท่านขอรับ นักรบทั้งสองมาถึงแล้ว”

“เข้ามาเถิด” ซ่งชูอีกล่าว

กู่จิงก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้อง ยังไม่ทันจะได้เห็นซ่งชูอีก็ตะโกนเอ่ย “ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”

ครั้นเดิมอ้อมผ่านฉากไม้ไผ่บาง กู่จิงก็เห็นเด็กหนุ่มอย่างซ่งชูอีที่บัดนี้แก่ลงอย่างเห็นได้ชัด เขายืนอึ้งอยู่ที่เดิม อ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง พูดอะไรไม่ออก

“เข้ามาเถิด” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย

กู่จิงตกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าดวงตาของนางเลื่อนลอย จนกระทั่งกู่หานผลักเขาจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองและเข้าไปคุกเข่าตามคำเชิญ

“ท่าน เกิดอะไรขึ้นหรือ ดวงตาของท่านเป็นอะไร? ผมของท่านเป็นอะไรไป?” กู่จิงถามในสิ่งที่กูหานต้องการจะถาม

“ทำสงครามนี่นา การบาดเจ็บเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้…”

ซ่งชูอียิ้มพร้อมตอบอย่างขอไปที ยังพูดไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียง “ปัง” ดังขึ้น กู่จิงทุบโต๊ะเสียงดังพลันลุกขึ้นพรวด “ท่านไม่จำเป็นต้องบุกตะลุยโจมตีข้าศึก! กองทัพฉินสองแสนนายยังปกป้องที่ปรึกษาคนนึงยังไม่ได้ด้วยซ้ำ! เห็นทีคงมีแต่พวกขี้ขลาดตาขาวที่ทำเป็นเพียงเล่นกับนกอยู่ที่บ้านเท่านั้น!”

“นั่งนั่งนั่ง เจ้าจะตะโกนทำไมกัน หนิงยารีบดูสิว่าเขาทำโต๊ะบ้านพวกเราพังแล้วหรือยัง?” ซ่งชูอีเอ่ย

หนิงยาหัวเราะพลางชำเลืองมอง “เปล่าเจ้าค่ะ”

กูจิงนั่งลง “ท่านตระหนี่เกินไปแล้ว”

“พวกเจ้าเพียงมาเยี่ยมข้า หรือว่ามีธุระใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม กูหานเชี่ยวชาญในการรวบรวมข้อมูล จึงไม่น่าแปลกใจที่รู้ว่านางกลับมาแล้ว รีบเข้ามาหาเช่นนี้โดยมากจะต้องมีธุระอย่างแน่นอน

“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่คิดถึงท่านเท่านั้น” กูจิงหัวเราะด้วยความงี่เง่า ลืมที่จะถามอาการป่วยทางตาของซ่งชูอีไปแล้ว

กูหานกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบจนแทบจะเยือกเย็น “มาเยี่ยมท่าน แต่ก็มีเรื่องมาขอความช่วยเหลือด้วยจริงๆ”

กู่จิงเบิกตาโพลง “เรื่องอะไร? เหตุใดข้าถึงไม่รู้?”

กู่หานคิดในใจ นอกเหนือจากความงี่เง่าแล้วเจ้ายังรู้อะไรบ้าง! จากนั้นก็ไม่สนใจเขาแล้วกล่าวกับซ่งชูอี “หานอยากให้ท่านอนุญาตให้พวกข้าสองคนทำความดีเพื่อชดเชยความผิด”

ซ่งชูอีไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พวกเจ้าอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่าบาทโดยตรง ครั้นถึงเวลาที่ฝ่าบาทสามารถปล่อยได้ก็ย่อมปล่อยไปตามธรรมชาติ”

กู่หานกล่าวด้วยความเป็นกังวล “ท่านขอรับ ฝ่าบาทงานยุ่งทั้งวัน การจัดการกับพวกข้าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยและเป็นไปได้มากที่จะถูกวางทิ้งไว้และลืมไป ดังนั้นจึงอยากให้ท่านคุยกับฝ่าบาทให้ที”

แม้ว่ากู่หานจะอยู่ภายใต้องค์จวินโดยตรงแต่เขาก็ไม่ได้เป็นองครักษ์ส่วนตัว จึงไม่รู้จักนิสัยใจคอของอิ๋งซื่อ แต่ด้วยความสามารถในการสังเกตการณ์อันแหลมคมที่เขาได้สะสมมานานนับปี สามารถคาดเดาได้ว่าอิ๋งซื่อหลงลืมพวกเขาไปเสียแล้ว จึงรอให้ซ่งชูอีกลับมาจัดการ หากซ่งชูอีจงใจที่จะทำเรื่องให้ยุ่งยาก เขาจะต้องได้รับผลที่จะตามมาอย่างแน่นอน

“ฮาฮา!” หลังจากซ่งชูอีครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจในความคิดของกู่หาน อดที่จะเย้ยเขากับกู่จิงไม่ได้ “กู่จิงเอ๋ย พี่ใหญ่บ้านพวกเจ้านี่ขี้น้อยใจจริงๆ!”

กู่จิงรู้สึกสับสน ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจและก็ไม่เคยไปที่ต้นตอของปัญหา จึงเออออไปตามคำพูดของซ่งชูอีทันทีและกล่าวปลอบโยนกู่หานว่า “ที่ท่านพูดก็มีเหตุผล เป็นลูกผู้ชายต้องมีจิตใจเปิดกว้าง”

กู่หานข่มความรู้สึกที่อยากจะชกหน้าเขาสักครา กัดฟันพูด “ที่ท่านสอนก็ถูกต้อง”

ขุ่นเคืองก็ส่วนขุ่นเคือง ทว่ากู่หานเข้าใจความหมายในคำพูดของซ่งชูอี นางไม่มีทางลอบกัดเขาด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

กู่หานอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองตัดสินบุคคลที่สูงส่งอย่างไม่ยุติธรรมด้วยจิตใจที่ต่ำต้อยจริงๆ หรือ ซ่งชูอีก็มิใช่เป็นคนจิตใจคับแคบ? นางเพียงพูดเตือนเพียงไม่กี่คำตั้งแต่ต้นจนจบเท่านั้น แผนการของนางก็ทำเพื่อรัฐฉิน ในฐานะหัวหน้าองครักษ์เขาควรเป็นแพะรับบาปด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนว่าซ่งชูอีก็ไม่ได้จงใจตอบโต้เลย

ครั้นคิดดังนี้ กู่หานก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย

“จริงสิ กู่จิง ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องการให้เจ้าโปรดช่วย” ซ่งชูอีเอ่ย

กู่จิงกล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ท่านพูดอะไรน่ะ! หากท่านมีเรื่องใดก็เพียงสั่งกู่จิงมาได้เลย โปรดไม่โปรดอะไรกัน เห็นเป็นคนนอกไปได้”

เส้นเลือดบนหน้าผากของกู่หานเต้นตุบๆ เจ้าหน้าโง่คนนี้ เกรงว่าเขาคงลืมไปเสียสนิทแล้วว่าตนรับใช้ใคร! โชคดีที่ซ่งชูอีไม่ใช่ขุนนางรัฐอื่น!

“ข้างกายข้ามีเด็กคนหนึ่ง คุณสมบัติไม่เลว วันก่อนข้าเพิ่งให้เขาใช้สกุลซ่งของข้า นามว่าซ่งเจียน อยากให้เจ้าชี้แนะศิลปะป้องกันตัวขั้นพื้นฐานให้กับเขา” ซ่งชูอีรู้ว่าศิลปะการป้องกันตัวนั้นยิ่งเรียนรู้เร็วยิ่งดี ในขณะที่นางยังไม่ได้หาอาจารย์ที่เหมาะสมให้กับเจียน กู่จิงก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

“ขอเพียงท่านสั่งมาก็เชื่อใจกู่จิงได้เลย รับประกันว่าจะสอนจนต่อสู้กับศัตรูได้ร้อยคน!” กู่จิงตบหน้าอกของตัวเองเสียงดังปักปัก

สิ่งที่พวกเขาฝึกฝนมิใช่เรื่องลับที่พูดไม่ได้ กู่หานได้ยินซ่งชูอีบอกเพียงให้กูจิ่งสอนศิลปะป้องกันตัวขั้นพื้นฐาน จึงมิได้กล่าวกระไร

“ภาพเครื่องยิงธนูที่ท่านให้พี่ใหญ่นำไปให้อาจารย์ดูคราวก่อน อาจารย์เพียงมองแวบเดียวก็ประหลาดใจ ถามทันทีว่าใครเป็นคนวาด อีกทั้งบอกว่าจะมาแวะคารวะท่านด้วย” เหตุผลส่วนใหญ่ที่กู่จิงเชื่อมั่นในซ่งชูอีก็เป็นเพราะเหตุนี้

ซ่งชูอีจิบชาคำหนึ่ง เอ่ยเชื่องช้า “ครั้นเรื่องแดง เจ้าก็เปิดโปงข้าเช่นนั้นหรือ?”

กู่จิงโบกมือเป็นพัลวัน “เปล่าเปล่า ข้ามิได้เปิดโปง แต่เป็นพี่ใหญ่ต่างหาก อาจารย์โบยข้าอยู่หลายครั้งแต่ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรเลย”

กู่หานรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเขา เดิมทีกำลังคิดว่าจะเอาตัวรอดเยี่ยงไร ผลปรากฏว่ายังไม่ทันจะอ้าปากก็ถูกกู่จิงหักหลังเข้าเสียก่อน ลอบด่าอยู่ในใจ ‘เจ้ายังรู้ว่าข้าเป็นพี่ใหญ่เจ้ารึ!’

กู่หานตอบเพียงว่า “ผู้อาวุโสถาม กู่หานมิกล้าปิดบัง”

กู่หานถือได้ว่าเป็นลูกผู้ชายที่ซื่อสัตย์ แต่คนภักดีทุกคนนั้นย่อมแตกต่างกันออกไป ซ่งชูอีไม่โทษเขา “ตอนที่ข้านำภาพนั้นออกมาก็คาดคิดไว้แล้วว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ทว่ามิบังอาจให้ท่านปรมาจารย์สำนักม่อต้องแวะมาด้วยตัวเอง ไว้ข้าอาการดีขึ้นแล้วจะไปเยี่ยมเอง”

ซ่งชูอีเป็นคนมีเหตุผลเพียงนี้อีกทั้งยังมีความเคารพผู้อาวุโส กู่หานจึงรู้สึกนับถือนางเพิ่มขึ้นเล็กน้อยท่ามกลางความหวาดกลัวที่มีต่อนาง

ทั้งสองคนนั่งอยู่ครู่หนึ่ง กู่หานร่ำลาพร้อมลากกู่จิงที่ไม่เต็มใจจะจากไป หลังจากออกไปแล้วก็ลากเขาเข้าไปสั่งสอนในตรอกมืดอย่างรุนแรง

กู่หานเก่งในเรื่องอาวุธลับและรวบรวมข่าวสาร กำลังวังชาไม่เท่ากู่จิง ทว่ากู่จิงมีความเคารพต่อพี่ใหญ่มาก จึงได้แต่อดทนอย่างว่าง่าย ขณะที่ถูกสั่งสอนก็นึกถึงเหตุผลอย่างถี่ถ้วนและเอ่ยด้วยความจริงใจในภายหลัง “พี่ใหญ่ ข้าจะไม่บอกคนอื่นเรื่องที่ท่านขี้น้อยใจเป็นอันขาด”

“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าเก็บความลับด้วย!” กู่หานกัดฟันแน่นอย่างทำอะไรไม่ถูก กู่จิงมักจะปากแข็งกับคนนอกทว่ากลับไม่มีความลับกับคนที่ตนเชื่อว่าเป็นคนคุ้นเคย เขาทบทวนตัวเองครั้งหนึ่งแล้วตัดสินใจว่า คราวหน้าที่ไปหาซ่งชูอี จะต้องตกลงกับกู่จิงเสียก่อนว่าสิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด

“พี่พูดอะไรน่ะ พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ” กู่จิงกล่าวด้วยความเที่ยงธรรม

โทสะที่เพิ่งจะบรรเทาของกู่หานปะทุขึ้นมาอีกครั้ง อดที่จะกล่าวสบถมิได้ “ไอ้คนเฮงซวย! แล้วเหตุใดจึงไม่คิดว่าพวกเราเป็นพี่น้องกันตอนที่หักหลังข้าต่อหน้าท่านหวยจินเล่า!”

กู่จิงเบิกตาโพลง “ท่านเป็นถึงนักปราชญ์ พี่จะมีความรู้เทียบเท่าท่านได้เยี่ยงไร?”

“ก็ได้! ก็ได้!” กู่หานรู้ว่าเขาไม่มีเจตนาที่จะดูถูกตัวเองแต่ก็ไม่สามารถหยุดสั่นด้วยความโกรธได้ อย่างไรก็ดีเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาฟกช้ำดำเขียวก็ทนไม่ได้ที่จะสั่งสอนเขาอีก ได้แต่พลิกตัวขึ้นม้าแล้วขี่จากไปโดยไม่หันกลับมามอง

“พี่ใหญ่ ในเมืองห้ามขี่ม้าเร็ว” กู่จิงตะโกน

“เจ้าหุบปากเสีย!” กู่หานคำราม

กู่จิงเม้มริมฝีปาก ขึ้นม้าด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจแล้วตามหลังไปเงียบๆ เหมือนหมีดำที่ถูกสหายทอดทิ้ง

……

ฤดูร้อนในหล่งซีดีกว่ารัฐสู่มาก ช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดในแต่ละวันมีเพียงหนึ่งชั่วยามก่อนและหลังเที่ยง หลังจากผ่านเวลานี้ไปก็จะมีสายลมเย็นพัดมา รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก

ไม่กี่วันต่อมา เมื่อกู่จิงมีเวลาว่างก็จะรีบไปที่จวนของซ่งชูอีทันทีเพื่อสอนศิลปะการต่อสู้ให้เจียนที่นอกลาน ซ่งชูอีจะเรียกทั้งสองคนมาเป็นครั้งคราวและเล่านิทานศีลธรรมให้พวกเขาฟัง กู่จิงหงุดหงิดกับการอ่านหนังสือมากที่สุด แต่เขาสนใจเรื่องราวที่ลึกซึ้งและเรียบง่ายของซ่งชูอีเป็นอย่างมาก

ตั้งแต่ที่ไป๋เริ่นทำเจินอวี๋ตกใจ นางก็ไม่กล้าออกมานอกห้องอีกเลย ต่อมาได้ยินว่าซ่งชูอีพาไป๋เริ่นไปเลี้ยงนอกลานจึงกล้าออกมาเดินเล่น และให้สาวใช้ไปยืมหนังสือที่ห้องหนังสือของซ่งชูอีอยู่บ่อยๆ

ซ่งชูอีเคยเห็นแม่นางที่อ่อนโยนและเงียบสงบมาก่อน ทว่าไม่เคยเห็นใครที่เงียบสงบเท่าเจินอวี๋มาก่อน! อายุยังน้อยทว่าไม่ชอบออกไปเที่ยวข้างนอก เอาแต่อยู่ในบ้านหลายวัน ไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือ?

หนิงยาเก็บสมุดไผ่เข้าชั้นวางหนังสือแล้วหันมาถามซ่งชูอี “ท่านเจ้าคะ ตอนที่สาวใช้ของแม่นางเจินมาคืนหนังสือ นางถามว่ามีม้วนหนังสือที่ท่านเขียนเองหรือไม่”

“อยากอ่านหนังสือที่ข้าเขียน?” ซ่งชูอีเอามือหนุนศีรษะ เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “หลายวันนี้หากนางไม่อ่านคัมภีร์ของลัทธิขงจื้อก็อ่านบทกลอน คงไม่สนใจในสิ่งที่ข้าเขียนดอกกระมัง”

“ที่ท่านกล่าวก็ถูกเจ้าค่ะ” หนิงยาได้รับอิทธิพลจากการติดตามซ่งชูอี นางพอรู้หนังสืออยู่บ้าง และรู้ว่าทฤษฎีของสำนักขงจื้อ ม่อ นิติธรรม เต๋า และพิชัยสงครามล้วนแตกต่างกัน

“นำม้วนที่อยู่ซ้ายสุดในช่องแรกให้นาง แล้วก็บอกว่าสิ่งที่ซ่งหวยจินเขียนไม่ต่างจากหนังสือม้วนนี้มากนัก ทว่ามิได้ครอบคลุมเพียงนี้ กระชับและรัดกุมกว่า” ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ช่องสุดท้ายทางขวา เป็นบันทึกที่ข้าเขียนยามว่าง ก็เอาให้นางด้วยเถิด”

ม้วนแรกทางซ้ายมือคือ “ตำราพิชัยสงครามซุนปิ้น” สิ่งที่ซ่งชูอีเขียนขึ้นล้วนเป็นระบบการทหารที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของรัฐฉิน ไม่เหมือนกับวาทกรรมตำราพิชัยสงครามที่ใช้ได้กับทุกรัฐ ดังนั้นจึงไม่สามารถให้ใครยืมได้เป็นธรรมดา

ส่วนบันทึกม้วนนั้นมีหลักเหตุผลตามความรู้สึกของซ่งชูอี นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเชิงลึกที่ลึกซึ้งและมีบางบทกวีที่เขียนขึ้นมาเองซึ่งถือได้ว่าเป็นบันทึกเบ็ดเตล็ดในชีวิตของนาง ซ่งชูอีไม่กล้ากล่าวว่าสิ่งเหล่านี้ยอดเยี่ยมเพียงใด ทว่าสำหรับแม่นางน้อยๆ คนหนึ่งแล้ว หากสามารถเข้าใจเนื้อหาข้างในก็จะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างอย่างแน่นอน

“เจ้าค่ะ!” หนิงยาตอบรับ ห่อแผ่นไผ่สองม้วนแยกจากกัน นำออกไปมอบให้กับสาวใช้ของเจินอวี๋

สาวใช้ผู้นั้นรับแผ่นไผ่มา สำรวจหนิงยาครู่หนึ่ง “น้องสาวมีหน้าตางดงามจริงๆ”

หนิงยารับมือไม่เก่ง ใบหน้าน้อยๆ แดงระเรื่อ กล่าวข้อความที่ซ่งชูอีฝากมาเมื่อครู่อีกครั้ง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 225 ท่านเป็นนักปราชญ์

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 225 ท่านเป็นนักปราชญ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจียนตอบรับ หมุนตัวไปเชิญทั้งสองคน

กู่หานและกูจิงเดินเข้าไปในจวนด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บัดนั้นที่กู่หานอยู่ในรัฐสู่ เนื่องด้วยเขามีข้อสงสัยต่อซ่งชูอี อีกทั้งยังทำผิดต่อนางเล็กน้อย ครั้นกลับมารัฐฉินก็เกือบถูกอิ๋งซื่อประหารชีวิตเหตุเพราะนาง “ทรยศ” ต่อบ้านเมือง แม้ว่าไม่ว่าจะคิดอย่างไร นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการเท่านั้นและซ่งชูอีก็ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะต่อต้านเขา ทว่าในใจเขากลับรู้สึกหวาดกลัวซ่งชูอีขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

กู่จิงนั้นมีความยินดีเขียนอยู่เต็มใบหน้า เขาชื่นชมคนฉลาดมาตลอด และชื่นชมซ่งชูอีมากที่สุดในบรรดาคนฉลาดทั้งหมด เพราะว่าแม้ซ่งชูอีเป็นคนฉลาดทว่าไม่เคยโอ้อวด วาจาก็ติดตลก สำหรับกู่จิงแล้วนางมีความเป็นมิตรและน่าเคารพมากกว่าพวกนักปราชญ์สูงส่งเหล่านั้นเสียอีก

ทั้งสามคนหยุดอยู่นอกห้องหนังสือ เจียนเอ่ยขึ้น “ท่านขอรับ นักรบทั้งสองมาถึงแล้ว”

“เข้ามาเถิด” ซ่งชูอีกล่าว

กู่จิงก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้อง ยังไม่ทันจะได้เห็นซ่งชูอีก็ตะโกนเอ่ย “ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”

ครั้นเดิมอ้อมผ่านฉากไม้ไผ่บาง กู่จิงก็เห็นเด็กหนุ่มอย่างซ่งชูอีที่บัดนี้แก่ลงอย่างเห็นได้ชัด เขายืนอึ้งอยู่ที่เดิม อ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง พูดอะไรไม่ออก

“เข้ามาเถิด” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย

กู่จิงตกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าดวงตาของนางเลื่อนลอย จนกระทั่งกู่หานผลักเขาจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองและเข้าไปคุกเข่าตามคำเชิญ

“ท่าน เกิดอะไรขึ้นหรือ ดวงตาของท่านเป็นอะไร? ผมของท่านเป็นอะไรไป?” กู่จิงถามในสิ่งที่กูหานต้องการจะถาม

“ทำสงครามนี่นา การบาดเจ็บเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้…”

ซ่งชูอียิ้มพร้อมตอบอย่างขอไปที ยังพูดไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียง “ปัง” ดังขึ้น กู่จิงทุบโต๊ะเสียงดังพลันลุกขึ้นพรวด “ท่านไม่จำเป็นต้องบุกตะลุยโจมตีข้าศึก! กองทัพฉินสองแสนนายยังปกป้องที่ปรึกษาคนนึงยังไม่ได้ด้วยซ้ำ! เห็นทีคงมีแต่พวกขี้ขลาดตาขาวที่ทำเป็นเพียงเล่นกับนกอยู่ที่บ้านเท่านั้น!”

“นั่งนั่งนั่ง เจ้าจะตะโกนทำไมกัน หนิงยารีบดูสิว่าเขาทำโต๊ะบ้านพวกเราพังแล้วหรือยัง?” ซ่งชูอีเอ่ย

หนิงยาหัวเราะพลางชำเลืองมอง “เปล่าเจ้าค่ะ”

กูจิงนั่งลง “ท่านตระหนี่เกินไปแล้ว”

“พวกเจ้าเพียงมาเยี่ยมข้า หรือว่ามีธุระใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม กูหานเชี่ยวชาญในการรวบรวมข้อมูล จึงไม่น่าแปลกใจที่รู้ว่านางกลับมาแล้ว รีบเข้ามาหาเช่นนี้โดยมากจะต้องมีธุระอย่างแน่นอน

“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่คิดถึงท่านเท่านั้น” กูจิงหัวเราะด้วยความงี่เง่า ลืมที่จะถามอาการป่วยทางตาของซ่งชูอีไปแล้ว

กูหานกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบจนแทบจะเยือกเย็น “มาเยี่ยมท่าน แต่ก็มีเรื่องมาขอความช่วยเหลือด้วยจริงๆ”

กู่จิงเบิกตาโพลง “เรื่องอะไร? เหตุใดข้าถึงไม่รู้?”

กู่หานคิดในใจ นอกเหนือจากความงี่เง่าแล้วเจ้ายังรู้อะไรบ้าง! จากนั้นก็ไม่สนใจเขาแล้วกล่าวกับซ่งชูอี “หานอยากให้ท่านอนุญาตให้พวกข้าสองคนทำความดีเพื่อชดเชยความผิด”

ซ่งชูอีไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พวกเจ้าอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่าบาทโดยตรง ครั้นถึงเวลาที่ฝ่าบาทสามารถปล่อยได้ก็ย่อมปล่อยไปตามธรรมชาติ”

กู่หานกล่าวด้วยความเป็นกังวล “ท่านขอรับ ฝ่าบาทงานยุ่งทั้งวัน การจัดการกับพวกข้าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยและเป็นไปได้มากที่จะถูกวางทิ้งไว้และลืมไป ดังนั้นจึงอยากให้ท่านคุยกับฝ่าบาทให้ที”

แม้ว่ากู่หานจะอยู่ภายใต้องค์จวินโดยตรงแต่เขาก็ไม่ได้เป็นองครักษ์ส่วนตัว จึงไม่รู้จักนิสัยใจคอของอิ๋งซื่อ แต่ด้วยความสามารถในการสังเกตการณ์อันแหลมคมที่เขาได้สะสมมานานนับปี สามารถคาดเดาได้ว่าอิ๋งซื่อหลงลืมพวกเขาไปเสียแล้ว จึงรอให้ซ่งชูอีกลับมาจัดการ หากซ่งชูอีจงใจที่จะทำเรื่องให้ยุ่งยาก เขาจะต้องได้รับผลที่จะตามมาอย่างแน่นอน

“ฮาฮา!” หลังจากซ่งชูอีครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจในความคิดของกู่หาน อดที่จะเย้ยเขากับกู่จิงไม่ได้ “กู่จิงเอ๋ย พี่ใหญ่บ้านพวกเจ้านี่ขี้น้อยใจจริงๆ!”

กู่จิงรู้สึกสับสน ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจและก็ไม่เคยไปที่ต้นตอของปัญหา จึงเออออไปตามคำพูดของซ่งชูอีทันทีและกล่าวปลอบโยนกู่หานว่า “ที่ท่านพูดก็มีเหตุผล เป็นลูกผู้ชายต้องมีจิตใจเปิดกว้าง”

กู่หานข่มความรู้สึกที่อยากจะชกหน้าเขาสักครา กัดฟันพูด “ที่ท่านสอนก็ถูกต้อง”

ขุ่นเคืองก็ส่วนขุ่นเคือง ทว่ากู่หานเข้าใจความหมายในคำพูดของซ่งชูอี นางไม่มีทางลอบกัดเขาด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

กู่หานอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองตัดสินบุคคลที่สูงส่งอย่างไม่ยุติธรรมด้วยจิตใจที่ต่ำต้อยจริงๆ หรือ ซ่งชูอีก็มิใช่เป็นคนจิตใจคับแคบ? นางเพียงพูดเตือนเพียงไม่กี่คำตั้งแต่ต้นจนจบเท่านั้น แผนการของนางก็ทำเพื่อรัฐฉิน ในฐานะหัวหน้าองครักษ์เขาควรเป็นแพะรับบาปด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนว่าซ่งชูอีก็ไม่ได้จงใจตอบโต้เลย

ครั้นคิดดังนี้ กู่หานก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย

“จริงสิ กู่จิง ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องการให้เจ้าโปรดช่วย” ซ่งชูอีเอ่ย

กู่จิงกล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ท่านพูดอะไรน่ะ! หากท่านมีเรื่องใดก็เพียงสั่งกู่จิงมาได้เลย โปรดไม่โปรดอะไรกัน เห็นเป็นคนนอกไปได้”

เส้นเลือดบนหน้าผากของกู่หานเต้นตุบๆ เจ้าหน้าโง่คนนี้ เกรงว่าเขาคงลืมไปเสียสนิทแล้วว่าตนรับใช้ใคร! โชคดีที่ซ่งชูอีไม่ใช่ขุนนางรัฐอื่น!

“ข้างกายข้ามีเด็กคนหนึ่ง คุณสมบัติไม่เลว วันก่อนข้าเพิ่งให้เขาใช้สกุลซ่งของข้า นามว่าซ่งเจียน อยากให้เจ้าชี้แนะศิลปะป้องกันตัวขั้นพื้นฐานให้กับเขา” ซ่งชูอีรู้ว่าศิลปะการป้องกันตัวนั้นยิ่งเรียนรู้เร็วยิ่งดี ในขณะที่นางยังไม่ได้หาอาจารย์ที่เหมาะสมให้กับเจียน กู่จิงก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

“ขอเพียงท่านสั่งมาก็เชื่อใจกู่จิงได้เลย รับประกันว่าจะสอนจนต่อสู้กับศัตรูได้ร้อยคน!” กู่จิงตบหน้าอกของตัวเองเสียงดังปักปัก

สิ่งที่พวกเขาฝึกฝนมิใช่เรื่องลับที่พูดไม่ได้ กู่หานได้ยินซ่งชูอีบอกเพียงให้กูจิ่งสอนศิลปะป้องกันตัวขั้นพื้นฐาน จึงมิได้กล่าวกระไร

“ภาพเครื่องยิงธนูที่ท่านให้พี่ใหญ่นำไปให้อาจารย์ดูคราวก่อน อาจารย์เพียงมองแวบเดียวก็ประหลาดใจ ถามทันทีว่าใครเป็นคนวาด อีกทั้งบอกว่าจะมาแวะคารวะท่านด้วย” เหตุผลส่วนใหญ่ที่กู่จิงเชื่อมั่นในซ่งชูอีก็เป็นเพราะเหตุนี้

ซ่งชูอีจิบชาคำหนึ่ง เอ่ยเชื่องช้า “ครั้นเรื่องแดง เจ้าก็เปิดโปงข้าเช่นนั้นหรือ?”

กู่จิงโบกมือเป็นพัลวัน “เปล่าเปล่า ข้ามิได้เปิดโปง แต่เป็นพี่ใหญ่ต่างหาก อาจารย์โบยข้าอยู่หลายครั้งแต่ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรเลย”

กู่หานรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเขา เดิมทีกำลังคิดว่าจะเอาตัวรอดเยี่ยงไร ผลปรากฏว่ายังไม่ทันจะอ้าปากก็ถูกกู่จิงหักหลังเข้าเสียก่อน ลอบด่าอยู่ในใจ ‘เจ้ายังรู้ว่าข้าเป็นพี่ใหญ่เจ้ารึ!’

กู่หานตอบเพียงว่า “ผู้อาวุโสถาม กู่หานมิกล้าปิดบัง”

กู่หานถือได้ว่าเป็นลูกผู้ชายที่ซื่อสัตย์ แต่คนภักดีทุกคนนั้นย่อมแตกต่างกันออกไป ซ่งชูอีไม่โทษเขา “ตอนที่ข้านำภาพนั้นออกมาก็คาดคิดไว้แล้วว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ทว่ามิบังอาจให้ท่านปรมาจารย์สำนักม่อต้องแวะมาด้วยตัวเอง ไว้ข้าอาการดีขึ้นแล้วจะไปเยี่ยมเอง”

ซ่งชูอีเป็นคนมีเหตุผลเพียงนี้อีกทั้งยังมีความเคารพผู้อาวุโส กู่หานจึงรู้สึกนับถือนางเพิ่มขึ้นเล็กน้อยท่ามกลางความหวาดกลัวที่มีต่อนาง

ทั้งสองคนนั่งอยู่ครู่หนึ่ง กู่หานร่ำลาพร้อมลากกู่จิงที่ไม่เต็มใจจะจากไป หลังจากออกไปแล้วก็ลากเขาเข้าไปสั่งสอนในตรอกมืดอย่างรุนแรง

กู่หานเก่งในเรื่องอาวุธลับและรวบรวมข่าวสาร กำลังวังชาไม่เท่ากู่จิง ทว่ากู่จิงมีความเคารพต่อพี่ใหญ่มาก จึงได้แต่อดทนอย่างว่าง่าย ขณะที่ถูกสั่งสอนก็นึกถึงเหตุผลอย่างถี่ถ้วนและเอ่ยด้วยความจริงใจในภายหลัง “พี่ใหญ่ ข้าจะไม่บอกคนอื่นเรื่องที่ท่านขี้น้อยใจเป็นอันขาด”

“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าเก็บความลับด้วย!” กู่หานกัดฟันแน่นอย่างทำอะไรไม่ถูก กู่จิงมักจะปากแข็งกับคนนอกทว่ากลับไม่มีความลับกับคนที่ตนเชื่อว่าเป็นคนคุ้นเคย เขาทบทวนตัวเองครั้งหนึ่งแล้วตัดสินใจว่า คราวหน้าที่ไปหาซ่งชูอี จะต้องตกลงกับกู่จิงเสียก่อนว่าสิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด

“พี่พูดอะไรน่ะ พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ” กู่จิงกล่าวด้วยความเที่ยงธรรม

โทสะที่เพิ่งจะบรรเทาของกู่หานปะทุขึ้นมาอีกครั้ง อดที่จะกล่าวสบถมิได้ “ไอ้คนเฮงซวย! แล้วเหตุใดจึงไม่คิดว่าพวกเราเป็นพี่น้องกันตอนที่หักหลังข้าต่อหน้าท่านหวยจินเล่า!”

กู่จิงเบิกตาโพลง “ท่านเป็นถึงนักปราชญ์ พี่จะมีความรู้เทียบเท่าท่านได้เยี่ยงไร?”

“ก็ได้! ก็ได้!” กู่หานรู้ว่าเขาไม่มีเจตนาที่จะดูถูกตัวเองแต่ก็ไม่สามารถหยุดสั่นด้วยความโกรธได้ อย่างไรก็ดีเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาฟกช้ำดำเขียวก็ทนไม่ได้ที่จะสั่งสอนเขาอีก ได้แต่พลิกตัวขึ้นม้าแล้วขี่จากไปโดยไม่หันกลับมามอง

“พี่ใหญ่ ในเมืองห้ามขี่ม้าเร็ว” กู่จิงตะโกน

“เจ้าหุบปากเสีย!” กู่หานคำราม

กู่จิงเม้มริมฝีปาก ขึ้นม้าด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจแล้วตามหลังไปเงียบๆ เหมือนหมีดำที่ถูกสหายทอดทิ้ง

……

ฤดูร้อนในหล่งซีดีกว่ารัฐสู่มาก ช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดในแต่ละวันมีเพียงหนึ่งชั่วยามก่อนและหลังเที่ยง หลังจากผ่านเวลานี้ไปก็จะมีสายลมเย็นพัดมา รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก

ไม่กี่วันต่อมา เมื่อกู่จิงมีเวลาว่างก็จะรีบไปที่จวนของซ่งชูอีทันทีเพื่อสอนศิลปะการต่อสู้ให้เจียนที่นอกลาน ซ่งชูอีจะเรียกทั้งสองคนมาเป็นครั้งคราวและเล่านิทานศีลธรรมให้พวกเขาฟัง กู่จิงหงุดหงิดกับการอ่านหนังสือมากที่สุด แต่เขาสนใจเรื่องราวที่ลึกซึ้งและเรียบง่ายของซ่งชูอีเป็นอย่างมาก

ตั้งแต่ที่ไป๋เริ่นทำเจินอวี๋ตกใจ นางก็ไม่กล้าออกมานอกห้องอีกเลย ต่อมาได้ยินว่าซ่งชูอีพาไป๋เริ่นไปเลี้ยงนอกลานจึงกล้าออกมาเดินเล่น และให้สาวใช้ไปยืมหนังสือที่ห้องหนังสือของซ่งชูอีอยู่บ่อยๆ

ซ่งชูอีเคยเห็นแม่นางที่อ่อนโยนและเงียบสงบมาก่อน ทว่าไม่เคยเห็นใครที่เงียบสงบเท่าเจินอวี๋มาก่อน! อายุยังน้อยทว่าไม่ชอบออกไปเที่ยวข้างนอก เอาแต่อยู่ในบ้านหลายวัน ไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือ?

หนิงยาเก็บสมุดไผ่เข้าชั้นวางหนังสือแล้วหันมาถามซ่งชูอี “ท่านเจ้าคะ ตอนที่สาวใช้ของแม่นางเจินมาคืนหนังสือ นางถามว่ามีม้วนหนังสือที่ท่านเขียนเองหรือไม่”

“อยากอ่านหนังสือที่ข้าเขียน?” ซ่งชูอีเอามือหนุนศีรษะ เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “หลายวันนี้หากนางไม่อ่านคัมภีร์ของลัทธิขงจื้อก็อ่านบทกลอน คงไม่สนใจในสิ่งที่ข้าเขียนดอกกระมัง”

“ที่ท่านกล่าวก็ถูกเจ้าค่ะ” หนิงยาได้รับอิทธิพลจากการติดตามซ่งชูอี นางพอรู้หนังสืออยู่บ้าง และรู้ว่าทฤษฎีของสำนักขงจื้อ ม่อ นิติธรรม เต๋า และพิชัยสงครามล้วนแตกต่างกัน

“นำม้วนที่อยู่ซ้ายสุดในช่องแรกให้นาง แล้วก็บอกว่าสิ่งที่ซ่งหวยจินเขียนไม่ต่างจากหนังสือม้วนนี้มากนัก ทว่ามิได้ครอบคลุมเพียงนี้ กระชับและรัดกุมกว่า” ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ช่องสุดท้ายทางขวา เป็นบันทึกที่ข้าเขียนยามว่าง ก็เอาให้นางด้วยเถิด”

ม้วนแรกทางซ้ายมือคือ “ตำราพิชัยสงครามซุนปิ้น” สิ่งที่ซ่งชูอีเขียนขึ้นล้วนเป็นระบบการทหารที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของรัฐฉิน ไม่เหมือนกับวาทกรรมตำราพิชัยสงครามที่ใช้ได้กับทุกรัฐ ดังนั้นจึงไม่สามารถให้ใครยืมได้เป็นธรรมดา

ส่วนบันทึกม้วนนั้นมีหลักเหตุผลตามความรู้สึกของซ่งชูอี นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเชิงลึกที่ลึกซึ้งและมีบางบทกวีที่เขียนขึ้นมาเองซึ่งถือได้ว่าเป็นบันทึกเบ็ดเตล็ดในชีวิตของนาง ซ่งชูอีไม่กล้ากล่าวว่าสิ่งเหล่านี้ยอดเยี่ยมเพียงใด ทว่าสำหรับแม่นางน้อยๆ คนหนึ่งแล้ว หากสามารถเข้าใจเนื้อหาข้างในก็จะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างอย่างแน่นอน

“เจ้าค่ะ!” หนิงยาตอบรับ ห่อแผ่นไผ่สองม้วนแยกจากกัน นำออกไปมอบให้กับสาวใช้ของเจินอวี๋

สาวใช้ผู้นั้นรับแผ่นไผ่มา สำรวจหนิงยาครู่หนึ่ง “น้องสาวมีหน้าตางดงามจริงๆ”

หนิงยารับมือไม่เก่ง ใบหน้าน้อยๆ แดงระเรื่อ กล่าวข้อความที่ซ่งชูอีฝากมาเมื่อครู่อีกครั้ง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+