กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 238 วาสนาในชาติที่แล้วและชาตินี้

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 238 วาสนาในชาติที่แล้วและชาตินี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จวี้จื่อแห่งสำนักม่ออายุมากแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมิได้มาร่วมด้วยตนเอง ส่งเพียงชวีกู้ศิษย์ใหญ่ในสำนักมาเท่านั้น สำนักม่อไม่มีเจตนาที่จะทำให้ซ่งชูอีลำบากใจ และไม่มีเจตนาที่จะตั้งแง่กับรัฐฉิน ตราบใดที่ซ่งชูอียอมสาบาน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องสืบค้นต่อไปอีกแล้ว

สำนักม่อสนับสนุน “ความชอบธรรม” สำนักม่อและสำนักขงจื้อเป็นสองสำนักที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลลึกซึ้งมากที่สุดในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับความผ่อนคลายของสำนักขงจื้อแล้ว สำนักม่อมีโครงสร้างภายในที่เข้มงวด กฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดซึ่งเป็นคมดาบที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพในการต่อสู้มาก

“สาบานด้วยเลือดเป็นพอ เหตุใดต้องเสียอวัยวะด้วย?” ชาวขงจื้อท่านหนึ่งขมวดคิ้วพร้อมกล่าวไม่เห็นด้วย

คำสาบานจำต้องกล่าวอยู่แล้ว ประเด็นสำคัญคือจะสาบานอย่างไร เรื่องนี้แม้แต่อิ๋งซื่อก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด

“แนวคิดโหดร้ายที่จะทำลายล้างสิ่งมีชีวิตบนโลกเช่นนั้น หากไม่เดิมพันด้วยคำสาบานยิ่งใหญ่ แล้วจะโน้มน้าวใต้หล้าได้เยี่ยงไร” ชวีกู้มองซ่งชูอี กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ซ่งชูอี เจ้ากล้าตัดนิ้วพิสูจน์ความบริสุทธิ์หรือไม่!”

ต่อให้ไม่มีใครขอร้อง ซ่งชูอีก็จะเดิมพันด้วยการสาบาน เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าเซียงจื่อจะเอ่ยออกมาก่อน อีกทั้งยังสมกับนิสัยมุทะลุของสำนักนิติธรรมที่เอะอะก็จะให้ตัดนิ้วสาบาน สำนักนิติธรรมขึ้นชื่อเรื่องความยุติธรรมและความเข้มงวดมาโดยตลอด เข้มงวดทั้งกับตนเองและผู้อื่น มิได้จะต่อต้านเพียงซ่งชูอีโดยเฉพาะ

องค์จวินสามารถฆ่าตัวตายเป็นการขอขมาในการพูดผิดหรือกระทำผิดของตน เพื่อพิสูจน์ศีลธรรมจรรยาของตนและสามารถเป็นการช่วยชีวิตได้เช่นกัน! นี่คือกฎแห่งการอยู่รอดในโลกนี้ อย่างไรก็ดี บัดนี้คุณธรรมขององค์จวินเสื่อมถอยลงอย่างช้าๆ แต่ตราบใดที่ร้อยสำนักเมธียังคงอยู่ กฎแห่งการเอาชีวิตรอดเหล่านี้ก็ไม่สามารถลบเลือนไปได้ทั้งหมด

“เป็นตายเรื่องเล็ก แปรพักตร์เรื่องใหญ่” ซ่งชูอีเอ่ยช้าๆ ยกมือขึ้น “เอามีดมา!”

“ไม่…” ชูหลี่จี๋ลุกขึ้นพรวด เพิ่งจะเอ่ยปากกลับถูกเสียงเย็นเยียบของอิ๋งซื่อขัดจังหวะ “ซ่งจื่อใจกว้างยิ่ง! เอามีดมา!”

เรื่องพัฒนามาถึงขั้นนี้ก็นับว่าดีมากแล้วจริงๆ…ในที่นี้ต้องมีคนคิดก่อกวนเป็นแน่ หากยืดเยื้อต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าสถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้ายลง ดวงตาของชูหลี่จี๋แดงก่ำ บังคับตัวเองให้นั่งกลับไปทันที

ท่านแม่ทัพในชุดเกราะดำนายหนึ่งยื่นมีดสั้นให้ซ่งชูอี ชื่นชมในความกล้าหาญของนาง “ซ่งจื่อเชิญ!”

“ช้าก่อน! นักปราชญ์ทั้งหลายเรื่องยังไม่กระจ่างก็ให้ซ่งจื่อดื่มพิษสาบาน รังแกผู้อ่อนแอเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ?” คนหนึ่งลุกขึ้นยืนอยู่ตรงมุมกำแพงทางทิศใต้

บัดนี้ซ่งชูอีดึงมีดออกจากฝักแล้ว บุคลนี้หมายจะปกป้องนางทว่าก็ไม่กำจัดความคิดที่จะก่อกวนต่อและทำให้เรื่องราวใหญ่โตเกินกว่าจะจัดการได้ หากเป็นชาติที่แล้ว ผู้อื่นคิดจะโจมตีนางเพียงเพราะเหตุผลที่นางเป็นผู้หญิง แต่ชาตินี้…ทฤษฎีการโค่นรัฐ สถานะของนาง อาจารย์ของนาง อีกทั้ง…สิ่งที่นางทำทั้งหมดในรัฐสู่ หากผู้อื่นไม่รู้ ทว่าบัดนั้นหมิ่นฉือก็อยู่ที่รัฐสู่ ไม่มีทางที่จะไม่รู้!

เรื่องมันก็ยุ่งเหยิงเพียงนี้แล้ว สูญเสียไปสักนิ้วจะเป็นอะไรไป ทว่านิ้วนี้จะเสียเปล่ามิได้…

“ท่านเป็นชาวเว่ยรึ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

บุคคลนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง “มิใช่ชาวเว่ย เหตุใดซ่งจื่อจึงถามเยี่ยงนี้?”

“ในที่นี้มีชาวเว่ยหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยเสียงดัง

คนที่นั่งอยู่ตอบรับกระจัดกระจาย

ซ่งชูอีแผ่นิ้วอยู่บนโต๊ะ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย “รบกวนทุกท่านไปบอกหลางจงฝ่ายขวาแห่งรัฐให้ทีว่าเขาโจมตีซ่งชูอีได้เพียงตัวบุคคลเท่านั้น! ต่อให้วันนี้ข้าผู้แซ่ซ่งตายจากข่าวลือ ก็มิได้พิสูจน์ว่าเขามีความสามารถกว่าข้าผู้แซ่ซ่ง!”

ทันทีที่สิ้นเสียงก็ยกมีดขึ้นและเหวี่ยงมันลง

ขณะที่ทุกคนกำลังใคร่ครวญถึงคำพูดของนางอยู่นั้น กลับเห็นชุดคลุมสีเขียวผ่านวูบขึ้นไปบนเวทีราวกับเงา มือข้างหนึ่งจับมือของซ่งชูอีที่ถือมีดไว้แน่นและเปลี่ยนทิศทางฉับพลัน

แสงเย็นเยียบวาบผ่าน เลือดกระเซ็นทั่วทุกแห่ง

ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง คนทั่วทั้งห้องต่างอ้าปากค้าง จับจ้องฉากนี้อย่างงุนงงเล็กน้อย

นิ้วก้อยร่วงหล่นลงบนโต๊ะ ทว่าไม่ใช่ของซ่งชูอีแต่เป็นของจวงจื่อ!

“คำสาบานนี้ ข้าจะกล่าวแทนเขาเอง” จวงจื่อไม่สนอาการประหลาดใจของทุกคน สาบานกับสวรรค์ “หากคำพูดอันโหดร้ายที่มาจากหกรัฐในซานตงเป็นฝีมือของซ่งหวยจิน ข้ายินดีที่จะรับโทษจากนางสวรรค์แทนเขา ขอให้ชีวิตหลังความตายไม่อาจจบลงด้วยดี!”

กล่าวจบก็ปล่อยมือของซ่งชูอีและจากไปอย่างอิสระ

เลือดอุ่นๆ ไหลลงตามช่องว่างระหว่างนิ้ว ซ่งชูอีราวกับถูกต้มอยู่ในหม้อ ทันทีที่ปล่อยมือ มีดสั้นก็ร่วงลงพื้นส่งเสียงโคล้งเคล้ง

เพราะอะไร? ชาตินี้มีวาสนาเจอหน้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ดื่มสุรากันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เหตุใดต้องกล่าวคำสาบานร้ายแรงเช่นนี้แทนนางด้วย! ลำคอของซ่งชูอีหมุนขยับ คราบน้ำอุ่นในดวงตาทำให้แถบผ้าไหมสีดำที่ปิดตาเปียกชื้น

ซ่งชูอีลุกขึ้นพรวด ยกมือคลายผ้าไหมออก ทว่าดวงตาก็ยังคงมืดสนิท ไม่สามารถแยกแยะทิศทางได้

อาจารย์ในความทรงจำเป็นคนที่ไม่แยแสต่อเรื่องใดๆ เสมอมา ใช้ชีวิตอยู่อย่างอิสระทว่าก็โดดเดี่ยว เขามักจะมีท่าทีเฉยเมยต่อความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์มาโดยตลอด อย่าว่าแต่ชาตินี้รู้จักกันเพียงผิวเผินเลย แม้แต่ชาติที่แล้ว ซ่งชูอีก็ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าสักวันหนึ่งอาจารย์จะแบกรับเรื่องของนางไว้ที่ตัวเอง

หากจวงจื่อในชาตินี้มิใช่จวงจื่อในชาติก่อน ทว่าการที่เขาจากไปอย่างเด็ดขาดเช่นนี้เหมือนกับชาติก่อนไม่มีผิดเพี้ยน

ซ่งชูอีนั่งลงช้าๆ เอื้อมมือสัมผัสนิ้วขาดบนโต๊ะที่ชุ่มไปด้วยเลือด ทันใดนั้นนางก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป กำแพงหัวใจที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าได้พังทลายลงฉับพลัน น้ำตาก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ นางฟุบโต๊ะปกปิดกิริยาที่ไม่เหมาะสมของตัวเอง

เลือดบนโต๊ะเปียกโชกบนเสื้อคลุมสีดำ เหลือเพียงร่องรอยสีมืดจางๆ

ทุกคนตกใจกับเหตุการณ์จนลืมทุกอย่างสิ้น

แม้ว่าแนวคิดของจวงจื่อจะไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญในการปกครองบ้านเมือง แต่ก็ต้องยอมรับว่าความสามารถของเขาทำให้โลกประหลาดใจ บรรดาบทความที่มีความวิจิตรงดงามไร้ที่เปรียบเหล่านั้น แนวคิดที่เกี่ยวกับความเข้าใจวิถีแห่งสวรรค์เหล่านั้น…เป็นที่ยกย่องของบัณฑิตในปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่ามีสถานะห่างไกลจากเมิ่งจื่อมากนัก

นักปราชญ์เยี่ยงนี้กลับต้องทนทุกข์ทรมานจากการสูญเสียนิ้ว…

อย่างไรก็ดี ทุกคนไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์ระหว่างเขาและซ่งชูอีและนางไม่เคยต้องบีบให้อาจารย์ต้องทรมาน ทว่าในเมื่อเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้วก็เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ ทุกคนในที่แห่งนี้รู้สึกอับอายและเสียใจ ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้วจึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปโดยปริยาย

ผู้ที่ได้รับคำสั่งจากเว่ยอ๋องให้ปลุกปั่นความคิดเห็นของประชาชนก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะพัฒนามาถึงขั้นนี้ ในใจรู้ว่าครั้นเรื่องยุ่งเหยิงแล้ว ในเวลานี้หากใครก็ตามที่ต้องการโจมตีซ่งชูอีอีกจะต้องกลายเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนอย่างแน่นอน…

ชูหลี่จี๋ดึงสติกลับมา มองเห็นซ่งชูอีฟุบลงไปกับโต๊ะ เนิ่นนานไม่ลุกขึ้น ในใจรู้สึกเจ็บปวด

“บัดนี้จวงจื่อได้กล่าวคำสาบานแทนศิษย์แล้ว ทุกท่านเห็นว่า…จะให้ซ่งชูอีกล่าวคำสาบานอีกครั้ง? หรือว่ายุติเพียงเท่านี้?” เสียงเย็นเยียบของอิ๋งซื่อทำลายความเงียบ

“พวกข้าเชื่อจวงจื่อ” ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

““ทฤษฎีโค่นรัฐ” รั่วไหลออกมาจากหกรัฐแห่งซานตงอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ ไม่ว่าบุคคลนี้ต่อต้านต้าฉินหรือว่าต่อต้านซ่งจื่อ อิ๋งซื่อจะไม่มีวันปล่อยไปอย่างแน่นอน!” อิ๋งซื่อลุกขึ้นช้าๆ สายตาของเขาวาดผ่านแผ่นหลังของซ่งชูอี “ในเมื่อทุกท่านรวมตัวกันในรัฐฉิน ก็สามารถเรียนรู้กันได้อย่างเต็มที่ ฉินจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเป็นเจ้าบ้านที่ดี”

“น้อมส่งฉินจวิน” ทุกคนค้อมคำนับส่งเขาจากไป

ชูหลี่จี๋รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคองซ่งชูอีแล้วก็จากไป

*** ***

“เป็นเยี่ยงไรบ้าง?” ในรถม้า ชูหลี่จี๋มองเปี่ยนเชวี่ยด้วยความร้อนใจ

เปี่ยนเชวี่ยหดมือที่จับชีพจรกลับมา “แค่หมดสติไป ไม่มีอะไรร้ายแรง”

ชูหลี่จี๋ถอนหายใจโล่งอก เขาก็ไม่ใคร่เข้าใจนิสัยของซ่งชูอีนัก ทว่ารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า นางไม่แยแสที่จะตัดนิ้วก้อยของตัวเองเลยสักนิด แต่ไม่สามารถยอมรับที่จวงจื่อทุกข์ทรมานแทนนางได้

ชีหลี่จี๋ไม่เข้าใจ เนื่องจากจวงจื่อไม่รู้จักนางตั้งแต่แรก เพราะเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้เล่า?

“ไม่เข้าใจคนสำนักเต๋าเลยจริงๆ!” เปี่ยนเชวี่ยเอ่ยความสงสัยของชูหลี่จี๋ออกมา

ในหมอกสลัว

ซ่งชูอีหวนรำลึกถึงเสียงทอดถอนใจของอาจารย์เมื่อหลายปีก่อนอีกครั้ง

“ข้าตัดสินใจที่จะตัดขาดทางโลกแล้ว เจ้ายังหาเรื่องมาให้ข้าเช่นนี้ ช่างเป็นปีศาจร้ายจริงๆ! โบยเจ้ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ!”

ตอนนั้นนางแอบเข้าไปในกุ๋ยกู่ในบริเวณใกล้เคียงในขณะที่ยังอยู่ในสำนักและได้รับบาดเจ็บจากเครื่องกลในหุบเขา บัดนั้นนางถูกบรรดาศิษย์ในกุ๋ยกู่ส่งกลับเข้าสำนัก จวงจื่อโบยนางต่อหน้าพวกเขา

ขณะนั้นนางอายุเพียงหกขวบกว่า ได้ยินประโยคคับแค้นใจของอาจารย์นี้เลือนลางระหว่างที่ไข้ขึ้นสูง ทว่ามันผ่านไปนานแล้ว หลังจากนั้นนางออกจากสำนัก เดินทางไปทั่วหล้า ได้รับความทุกข์ทรมานมากมาย เฉียดตายอยู่หลายครั้ง อาจารย์ก็มิได้สนใจนางอีก ดังนั้นประโยคนี้จึงเลือนหายไปตามกาลเวลา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด บัดนี้กลับจำมันได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง

หลับอย่างล้ำลึก ซ่งชูอีตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นหนึ่งวันหลังจากนั้นแล้ว

“ท่านตื่นแล้ว!” เสียงค่อนข้างคุ้นเคยของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง “เป็น…องค์หญิงอิ๋งสี่?”

“ท่านยังจำข้าได้รึ?” อิ๋งสี่มองดูใบหน้าซีดเซียวของซ่งชูอี ความปิตินั้นเจือจางลงเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าสำนักม่อจะบีบท่าน…”

“อย่างไรก็ต้องเจอเช่นนี้อยู่แล้ว องค์หญิงอย่าได้นำมาใส่ใจเลย” ซ่งชูอีถามต่อ “ที่นี่ที่ไหน?”

“จวนของท่านหวยจิน พี่ใหญ่ไม่วางใจท่าน จึงส่งข้ามาเฝ้า” อิ๋งสี่เอ่ย

“องค์หญิงทราบหรือไม่ว่านิ้วที่ขาดนั้นอยู่ที่ใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

อิ๋งสี่ลุกขึ้นออกไปนอกห้อง หยิบกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วกลับไปที่เตียง “พี่รองใช้น้ำแข็งเก็บรักษานิ้วที่ขาดไว้ในกล่องนี้แล้ว บอกว่ารอให้ท่านตื่นมาแล้วค่อยว่ากัน”

ซ่งชูอีรับกล่องมา ลูบสีที่เคลือบอยู่ด้านบนแผ่วเบา ปลายนิ้วสามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ซึมออกมาจากข้างใน

นางเป็นคนที่เคยชินกับการเดินหนึ่งก้าวระวังสามก้าว แม้แต่สถานการณ์ในวันนี้ก็อยู่ในความคาดหมายของนาง อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่ก่อให้เกิดสถานการณ์ในวันนี้นั้น ในแง่หนึ่งเพราะสถานการณ์อยู่นอกเหนือความควบคุมอย่างแท้จริง อีกแง่หนึ่งก็เพราะนางจงใจปล่อยให้มันเป็นไป นางต้องการโอกาสที่จะผลักวิกฤติในการปกปิด “ทฤษฎีโค่นรัฐ” สถานะและอื่นๆ ออกไป จากนั้นค่อยแก้ไขปัญหา โอกาสนี้มาถึงแล้วเพียงแต่มันเสี่ยงเกินไป

แม้วิธีการของหมิ่นฉือจะโหดเหี้ยม ทว่าซ่งชูอีก็มองเห็นโอกาสจากในนั้นและใช้ประโยชน์จากมัน

ความเสี่ยงทั้งหมดอยู่ในมือของนาง ทว่าในโลกใบนี้มักจะมีสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เสมอ ต่อให้นางคิดคำนวณเป็นพันหมื่นรอบอย่างไร ก็ไม่สามารถคำนวณได้ว่าจวงจื่อจะโผล่ออกมากะทันหัน

นิ้วขาดชิ้นนี้ช่วยนางยับยั้งสิ่งที่นางต้องเผชิญในภายหลังไปมาก อย่างไรก็ดี ในใจของนางกลับไม่มีความรู้สึกโชคดีหรือรู้สึกมีความสุขใดๆ เลย

ซ่งชูอีขอให้อิ๋งสี่ช่วยหาสถานที่ที่เหมาะสมในจวน หลังจากฝังกล่องด้วยตัวเองแล้ว ก็ยืนอยู่ในสวนเป็นเวลานาน

“ท่านเจ้าคะ มีแขกมาแวะคารวะเจ้าค่ะ” หนิงยาเอ่ย

ซ่งชูอีดึงสติกลับมา “ใครรึ?”

“สภาพร่างกายของท่านตอนนี้ไม่เหมาะที่จะพบแขก” อิ๋งสี่เห็นร่างของซ่งชูอีที่บางเหมือนกระดาษแล้วก็รู้สึกว่านางอาจจะล้มเมื่อใดก็ได้ อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “พี่ใหญ่ให้ข้ามาเยี่ยมท่าน หากท่านเป็นอะไรไป เขาได้ถลกหนังของข้าแน่!”

ซ่งชูอีก็ไม่มีพลังมากนัก ในขณะที่กำลังจะปฏิเสธกลับได้ยินหนิงยากล่าวว่า “เขาบอกว่าชื่อหมิ่นจื๋อห่วนเจ้าค่ะ”

“ฮ่า!” ซ่งชูอีหัวเราะเสียงเย็นชา “คิดจะมาดูว่าข้าตกต่ำเพียงใดเช่นนั้นหรือ? ข้าก็จะทำตามความประสงค์ของเขา หนิงยา พาเขาเข้ามาข้างใน!”

“หมิ่นจื๋อห่วน…หมิ่นฉือ? ก็คือหลวงจงฝ่ายขวาผู้นั้นมิใช่หรือ!” อิ๋งสี่เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เขาช่างบังอาจจริงๆ”

ซ่งชูอีเดิมไปตามทางเดินหินเพื่อเข้าไปนั่งในศาลา อิ๋งสี่ลังเลครู่หนึ่งก่อนตามเข้าไปด้วย

ไม่นาน หนิงยาก็พาชายหนุ่มในชุดสีเทาเข้มคนหนึ่งเดินเข้ามา

“ท่านซ่ง” หมิ่นฉือสูงกว่าก่อนหน้านี้ประมาณครึ่งศีรษะ นอกจากนี้รูปร่างยังใกล้เคียงกับชายในวัยผู้ใหญ่ บุคลิกราวกับสายลมสดชื่นและจันทราสุกใส เสมือนคุณชายสูงศักดิ์ผู้ไร้สิ่งแปดเปื้อนจากโลกใบนี้

อิ๋งสี่มองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ หากมิได้รู้มาก่อนหน้านี้ก็ยากจะเชื่อว่าบุคคลนี้ร้ายกาจ

“ท่านหมิ่นมาได้เยี่ยงไร?” ซ่งชูอีเอนตัวพิงราวเล็กน้อย บนใบหน้ามีรอยยิ้ม ไม่มีวี่แววของความเกลียดชังแม้แต่น้อย

หมิ่นฉือประสานมือเอ่ย “คำยั่วยุโผงผางที่ท่านเอ่ยในงานประชุม ข้าแซ่หมิ่นได้ยินมาแล้ว อีกทั้งได้ยินว่าท่านไม่สบาย จึงตั้งใจมาเยี่ยม”

“ช่างใส่ใจนัก เชิญนั่ง” ซ่งชูอีเอ่ย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 238 วาสนาในชาติที่แล้วและชาตินี้

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 238 วาสนาในชาติที่แล้วและชาตินี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จวี้จื่อแห่งสำนักม่ออายุมากแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมิได้มาร่วมด้วยตนเอง ส่งเพียงชวีกู้ศิษย์ใหญ่ในสำนักมาเท่านั้น สำนักม่อไม่มีเจตนาที่จะทำให้ซ่งชูอีลำบากใจ และไม่มีเจตนาที่จะตั้งแง่กับรัฐฉิน ตราบใดที่ซ่งชูอียอมสาบาน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องสืบค้นต่อไปอีกแล้ว

สำนักม่อสนับสนุน “ความชอบธรรม” สำนักม่อและสำนักขงจื้อเป็นสองสำนักที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลลึกซึ้งมากที่สุดในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับความผ่อนคลายของสำนักขงจื้อแล้ว สำนักม่อมีโครงสร้างภายในที่เข้มงวด กฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดซึ่งเป็นคมดาบที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพในการต่อสู้มาก

“สาบานด้วยเลือดเป็นพอ เหตุใดต้องเสียอวัยวะด้วย?” ชาวขงจื้อท่านหนึ่งขมวดคิ้วพร้อมกล่าวไม่เห็นด้วย

คำสาบานจำต้องกล่าวอยู่แล้ว ประเด็นสำคัญคือจะสาบานอย่างไร เรื่องนี้แม้แต่อิ๋งซื่อก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด

“แนวคิดโหดร้ายที่จะทำลายล้างสิ่งมีชีวิตบนโลกเช่นนั้น หากไม่เดิมพันด้วยคำสาบานยิ่งใหญ่ แล้วจะโน้มน้าวใต้หล้าได้เยี่ยงไร” ชวีกู้มองซ่งชูอี กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ซ่งชูอี เจ้ากล้าตัดนิ้วพิสูจน์ความบริสุทธิ์หรือไม่!”

ต่อให้ไม่มีใครขอร้อง ซ่งชูอีก็จะเดิมพันด้วยการสาบาน เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าเซียงจื่อจะเอ่ยออกมาก่อน อีกทั้งยังสมกับนิสัยมุทะลุของสำนักนิติธรรมที่เอะอะก็จะให้ตัดนิ้วสาบาน สำนักนิติธรรมขึ้นชื่อเรื่องความยุติธรรมและความเข้มงวดมาโดยตลอด เข้มงวดทั้งกับตนเองและผู้อื่น มิได้จะต่อต้านเพียงซ่งชูอีโดยเฉพาะ

องค์จวินสามารถฆ่าตัวตายเป็นการขอขมาในการพูดผิดหรือกระทำผิดของตน เพื่อพิสูจน์ศีลธรรมจรรยาของตนและสามารถเป็นการช่วยชีวิตได้เช่นกัน! นี่คือกฎแห่งการอยู่รอดในโลกนี้ อย่างไรก็ดี บัดนี้คุณธรรมขององค์จวินเสื่อมถอยลงอย่างช้าๆ แต่ตราบใดที่ร้อยสำนักเมธียังคงอยู่ กฎแห่งการเอาชีวิตรอดเหล่านี้ก็ไม่สามารถลบเลือนไปได้ทั้งหมด

“เป็นตายเรื่องเล็ก แปรพักตร์เรื่องใหญ่” ซ่งชูอีเอ่ยช้าๆ ยกมือขึ้น “เอามีดมา!”

“ไม่…” ชูหลี่จี๋ลุกขึ้นพรวด เพิ่งจะเอ่ยปากกลับถูกเสียงเย็นเยียบของอิ๋งซื่อขัดจังหวะ “ซ่งจื่อใจกว้างยิ่ง! เอามีดมา!”

เรื่องพัฒนามาถึงขั้นนี้ก็นับว่าดีมากแล้วจริงๆ…ในที่นี้ต้องมีคนคิดก่อกวนเป็นแน่ หากยืดเยื้อต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าสถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้ายลง ดวงตาของชูหลี่จี๋แดงก่ำ บังคับตัวเองให้นั่งกลับไปทันที

ท่านแม่ทัพในชุดเกราะดำนายหนึ่งยื่นมีดสั้นให้ซ่งชูอี ชื่นชมในความกล้าหาญของนาง “ซ่งจื่อเชิญ!”

“ช้าก่อน! นักปราชญ์ทั้งหลายเรื่องยังไม่กระจ่างก็ให้ซ่งจื่อดื่มพิษสาบาน รังแกผู้อ่อนแอเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ?” คนหนึ่งลุกขึ้นยืนอยู่ตรงมุมกำแพงทางทิศใต้

บัดนี้ซ่งชูอีดึงมีดออกจากฝักแล้ว บุคลนี้หมายจะปกป้องนางทว่าก็ไม่กำจัดความคิดที่จะก่อกวนต่อและทำให้เรื่องราวใหญ่โตเกินกว่าจะจัดการได้ หากเป็นชาติที่แล้ว ผู้อื่นคิดจะโจมตีนางเพียงเพราะเหตุผลที่นางเป็นผู้หญิง แต่ชาตินี้…ทฤษฎีการโค่นรัฐ สถานะของนาง อาจารย์ของนาง อีกทั้ง…สิ่งที่นางทำทั้งหมดในรัฐสู่ หากผู้อื่นไม่รู้ ทว่าบัดนั้นหมิ่นฉือก็อยู่ที่รัฐสู่ ไม่มีทางที่จะไม่รู้!

เรื่องมันก็ยุ่งเหยิงเพียงนี้แล้ว สูญเสียไปสักนิ้วจะเป็นอะไรไป ทว่านิ้วนี้จะเสียเปล่ามิได้…

“ท่านเป็นชาวเว่ยรึ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

บุคคลนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง “มิใช่ชาวเว่ย เหตุใดซ่งจื่อจึงถามเยี่ยงนี้?”

“ในที่นี้มีชาวเว่ยหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยเสียงดัง

คนที่นั่งอยู่ตอบรับกระจัดกระจาย

ซ่งชูอีแผ่นิ้วอยู่บนโต๊ะ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย “รบกวนทุกท่านไปบอกหลางจงฝ่ายขวาแห่งรัฐให้ทีว่าเขาโจมตีซ่งชูอีได้เพียงตัวบุคคลเท่านั้น! ต่อให้วันนี้ข้าผู้แซ่ซ่งตายจากข่าวลือ ก็มิได้พิสูจน์ว่าเขามีความสามารถกว่าข้าผู้แซ่ซ่ง!”

ทันทีที่สิ้นเสียงก็ยกมีดขึ้นและเหวี่ยงมันลง

ขณะที่ทุกคนกำลังใคร่ครวญถึงคำพูดของนางอยู่นั้น กลับเห็นชุดคลุมสีเขียวผ่านวูบขึ้นไปบนเวทีราวกับเงา มือข้างหนึ่งจับมือของซ่งชูอีที่ถือมีดไว้แน่นและเปลี่ยนทิศทางฉับพลัน

แสงเย็นเยียบวาบผ่าน เลือดกระเซ็นทั่วทุกแห่ง

ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง คนทั่วทั้งห้องต่างอ้าปากค้าง จับจ้องฉากนี้อย่างงุนงงเล็กน้อย

นิ้วก้อยร่วงหล่นลงบนโต๊ะ ทว่าไม่ใช่ของซ่งชูอีแต่เป็นของจวงจื่อ!

“คำสาบานนี้ ข้าจะกล่าวแทนเขาเอง” จวงจื่อไม่สนอาการประหลาดใจของทุกคน สาบานกับสวรรค์ “หากคำพูดอันโหดร้ายที่มาจากหกรัฐในซานตงเป็นฝีมือของซ่งหวยจิน ข้ายินดีที่จะรับโทษจากนางสวรรค์แทนเขา ขอให้ชีวิตหลังความตายไม่อาจจบลงด้วยดี!”

กล่าวจบก็ปล่อยมือของซ่งชูอีและจากไปอย่างอิสระ

เลือดอุ่นๆ ไหลลงตามช่องว่างระหว่างนิ้ว ซ่งชูอีราวกับถูกต้มอยู่ในหม้อ ทันทีที่ปล่อยมือ มีดสั้นก็ร่วงลงพื้นส่งเสียงโคล้งเคล้ง

เพราะอะไร? ชาตินี้มีวาสนาเจอหน้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ดื่มสุรากันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เหตุใดต้องกล่าวคำสาบานร้ายแรงเช่นนี้แทนนางด้วย! ลำคอของซ่งชูอีหมุนขยับ คราบน้ำอุ่นในดวงตาทำให้แถบผ้าไหมสีดำที่ปิดตาเปียกชื้น

ซ่งชูอีลุกขึ้นพรวด ยกมือคลายผ้าไหมออก ทว่าดวงตาก็ยังคงมืดสนิท ไม่สามารถแยกแยะทิศทางได้

อาจารย์ในความทรงจำเป็นคนที่ไม่แยแสต่อเรื่องใดๆ เสมอมา ใช้ชีวิตอยู่อย่างอิสระทว่าก็โดดเดี่ยว เขามักจะมีท่าทีเฉยเมยต่อความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์มาโดยตลอด อย่าว่าแต่ชาตินี้รู้จักกันเพียงผิวเผินเลย แม้แต่ชาติที่แล้ว ซ่งชูอีก็ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าสักวันหนึ่งอาจารย์จะแบกรับเรื่องของนางไว้ที่ตัวเอง

หากจวงจื่อในชาตินี้มิใช่จวงจื่อในชาติก่อน ทว่าการที่เขาจากไปอย่างเด็ดขาดเช่นนี้เหมือนกับชาติก่อนไม่มีผิดเพี้ยน

ซ่งชูอีนั่งลงช้าๆ เอื้อมมือสัมผัสนิ้วขาดบนโต๊ะที่ชุ่มไปด้วยเลือด ทันใดนั้นนางก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป กำแพงหัวใจที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าได้พังทลายลงฉับพลัน น้ำตาก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ นางฟุบโต๊ะปกปิดกิริยาที่ไม่เหมาะสมของตัวเอง

เลือดบนโต๊ะเปียกโชกบนเสื้อคลุมสีดำ เหลือเพียงร่องรอยสีมืดจางๆ

ทุกคนตกใจกับเหตุการณ์จนลืมทุกอย่างสิ้น

แม้ว่าแนวคิดของจวงจื่อจะไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญในการปกครองบ้านเมือง แต่ก็ต้องยอมรับว่าความสามารถของเขาทำให้โลกประหลาดใจ บรรดาบทความที่มีความวิจิตรงดงามไร้ที่เปรียบเหล่านั้น แนวคิดที่เกี่ยวกับความเข้าใจวิถีแห่งสวรรค์เหล่านั้น…เป็นที่ยกย่องของบัณฑิตในปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่ามีสถานะห่างไกลจากเมิ่งจื่อมากนัก

นักปราชญ์เยี่ยงนี้กลับต้องทนทุกข์ทรมานจากการสูญเสียนิ้ว…

อย่างไรก็ดี ทุกคนไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์ระหว่างเขาและซ่งชูอีและนางไม่เคยต้องบีบให้อาจารย์ต้องทรมาน ทว่าในเมื่อเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้วก็เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ ทุกคนในที่แห่งนี้รู้สึกอับอายและเสียใจ ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้วจึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปโดยปริยาย

ผู้ที่ได้รับคำสั่งจากเว่ยอ๋องให้ปลุกปั่นความคิดเห็นของประชาชนก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะพัฒนามาถึงขั้นนี้ ในใจรู้ว่าครั้นเรื่องยุ่งเหยิงแล้ว ในเวลานี้หากใครก็ตามที่ต้องการโจมตีซ่งชูอีอีกจะต้องกลายเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนอย่างแน่นอน…

ชูหลี่จี๋ดึงสติกลับมา มองเห็นซ่งชูอีฟุบลงไปกับโต๊ะ เนิ่นนานไม่ลุกขึ้น ในใจรู้สึกเจ็บปวด

“บัดนี้จวงจื่อได้กล่าวคำสาบานแทนศิษย์แล้ว ทุกท่านเห็นว่า…จะให้ซ่งชูอีกล่าวคำสาบานอีกครั้ง? หรือว่ายุติเพียงเท่านี้?” เสียงเย็นเยียบของอิ๋งซื่อทำลายความเงียบ

“พวกข้าเชื่อจวงจื่อ” ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

““ทฤษฎีโค่นรัฐ” รั่วไหลออกมาจากหกรัฐแห่งซานตงอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ ไม่ว่าบุคคลนี้ต่อต้านต้าฉินหรือว่าต่อต้านซ่งจื่อ อิ๋งซื่อจะไม่มีวันปล่อยไปอย่างแน่นอน!” อิ๋งซื่อลุกขึ้นช้าๆ สายตาของเขาวาดผ่านแผ่นหลังของซ่งชูอี “ในเมื่อทุกท่านรวมตัวกันในรัฐฉิน ก็สามารถเรียนรู้กันได้อย่างเต็มที่ ฉินจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเป็นเจ้าบ้านที่ดี”

“น้อมส่งฉินจวิน” ทุกคนค้อมคำนับส่งเขาจากไป

ชูหลี่จี๋รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคองซ่งชูอีแล้วก็จากไป

*** ***

“เป็นเยี่ยงไรบ้าง?” ในรถม้า ชูหลี่จี๋มองเปี่ยนเชวี่ยด้วยความร้อนใจ

เปี่ยนเชวี่ยหดมือที่จับชีพจรกลับมา “แค่หมดสติไป ไม่มีอะไรร้ายแรง”

ชูหลี่จี๋ถอนหายใจโล่งอก เขาก็ไม่ใคร่เข้าใจนิสัยของซ่งชูอีนัก ทว่ารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า นางไม่แยแสที่จะตัดนิ้วก้อยของตัวเองเลยสักนิด แต่ไม่สามารถยอมรับที่จวงจื่อทุกข์ทรมานแทนนางได้

ชีหลี่จี๋ไม่เข้าใจ เนื่องจากจวงจื่อไม่รู้จักนางตั้งแต่แรก เพราะเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้เล่า?

“ไม่เข้าใจคนสำนักเต๋าเลยจริงๆ!” เปี่ยนเชวี่ยเอ่ยความสงสัยของชูหลี่จี๋ออกมา

ในหมอกสลัว

ซ่งชูอีหวนรำลึกถึงเสียงทอดถอนใจของอาจารย์เมื่อหลายปีก่อนอีกครั้ง

“ข้าตัดสินใจที่จะตัดขาดทางโลกแล้ว เจ้ายังหาเรื่องมาให้ข้าเช่นนี้ ช่างเป็นปีศาจร้ายจริงๆ! โบยเจ้ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ!”

ตอนนั้นนางแอบเข้าไปในกุ๋ยกู่ในบริเวณใกล้เคียงในขณะที่ยังอยู่ในสำนักและได้รับบาดเจ็บจากเครื่องกลในหุบเขา บัดนั้นนางถูกบรรดาศิษย์ในกุ๋ยกู่ส่งกลับเข้าสำนัก จวงจื่อโบยนางต่อหน้าพวกเขา

ขณะนั้นนางอายุเพียงหกขวบกว่า ได้ยินประโยคคับแค้นใจของอาจารย์นี้เลือนลางระหว่างที่ไข้ขึ้นสูง ทว่ามันผ่านไปนานแล้ว หลังจากนั้นนางออกจากสำนัก เดินทางไปทั่วหล้า ได้รับความทุกข์ทรมานมากมาย เฉียดตายอยู่หลายครั้ง อาจารย์ก็มิได้สนใจนางอีก ดังนั้นประโยคนี้จึงเลือนหายไปตามกาลเวลา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด บัดนี้กลับจำมันได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง

หลับอย่างล้ำลึก ซ่งชูอีตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นหนึ่งวันหลังจากนั้นแล้ว

“ท่านตื่นแล้ว!” เสียงค่อนข้างคุ้นเคยของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง “เป็น…องค์หญิงอิ๋งสี่?”

“ท่านยังจำข้าได้รึ?” อิ๋งสี่มองดูใบหน้าซีดเซียวของซ่งชูอี ความปิตินั้นเจือจางลงเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าสำนักม่อจะบีบท่าน…”

“อย่างไรก็ต้องเจอเช่นนี้อยู่แล้ว องค์หญิงอย่าได้นำมาใส่ใจเลย” ซ่งชูอีถามต่อ “ที่นี่ที่ไหน?”

“จวนของท่านหวยจิน พี่ใหญ่ไม่วางใจท่าน จึงส่งข้ามาเฝ้า” อิ๋งสี่เอ่ย

“องค์หญิงทราบหรือไม่ว่านิ้วที่ขาดนั้นอยู่ที่ใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

อิ๋งสี่ลุกขึ้นออกไปนอกห้อง หยิบกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วกลับไปที่เตียง “พี่รองใช้น้ำแข็งเก็บรักษานิ้วที่ขาดไว้ในกล่องนี้แล้ว บอกว่ารอให้ท่านตื่นมาแล้วค่อยว่ากัน”

ซ่งชูอีรับกล่องมา ลูบสีที่เคลือบอยู่ด้านบนแผ่วเบา ปลายนิ้วสามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ซึมออกมาจากข้างใน

นางเป็นคนที่เคยชินกับการเดินหนึ่งก้าวระวังสามก้าว แม้แต่สถานการณ์ในวันนี้ก็อยู่ในความคาดหมายของนาง อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่ก่อให้เกิดสถานการณ์ในวันนี้นั้น ในแง่หนึ่งเพราะสถานการณ์อยู่นอกเหนือความควบคุมอย่างแท้จริง อีกแง่หนึ่งก็เพราะนางจงใจปล่อยให้มันเป็นไป นางต้องการโอกาสที่จะผลักวิกฤติในการปกปิด “ทฤษฎีโค่นรัฐ” สถานะและอื่นๆ ออกไป จากนั้นค่อยแก้ไขปัญหา โอกาสนี้มาถึงแล้วเพียงแต่มันเสี่ยงเกินไป

แม้วิธีการของหมิ่นฉือจะโหดเหี้ยม ทว่าซ่งชูอีก็มองเห็นโอกาสจากในนั้นและใช้ประโยชน์จากมัน

ความเสี่ยงทั้งหมดอยู่ในมือของนาง ทว่าในโลกใบนี้มักจะมีสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เสมอ ต่อให้นางคิดคำนวณเป็นพันหมื่นรอบอย่างไร ก็ไม่สามารถคำนวณได้ว่าจวงจื่อจะโผล่ออกมากะทันหัน

นิ้วขาดชิ้นนี้ช่วยนางยับยั้งสิ่งที่นางต้องเผชิญในภายหลังไปมาก อย่างไรก็ดี ในใจของนางกลับไม่มีความรู้สึกโชคดีหรือรู้สึกมีความสุขใดๆ เลย

ซ่งชูอีขอให้อิ๋งสี่ช่วยหาสถานที่ที่เหมาะสมในจวน หลังจากฝังกล่องด้วยตัวเองแล้ว ก็ยืนอยู่ในสวนเป็นเวลานาน

“ท่านเจ้าคะ มีแขกมาแวะคารวะเจ้าค่ะ” หนิงยาเอ่ย

ซ่งชูอีดึงสติกลับมา “ใครรึ?”

“สภาพร่างกายของท่านตอนนี้ไม่เหมาะที่จะพบแขก” อิ๋งสี่เห็นร่างของซ่งชูอีที่บางเหมือนกระดาษแล้วก็รู้สึกว่านางอาจจะล้มเมื่อใดก็ได้ อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “พี่ใหญ่ให้ข้ามาเยี่ยมท่าน หากท่านเป็นอะไรไป เขาได้ถลกหนังของข้าแน่!”

ซ่งชูอีก็ไม่มีพลังมากนัก ในขณะที่กำลังจะปฏิเสธกลับได้ยินหนิงยากล่าวว่า “เขาบอกว่าชื่อหมิ่นจื๋อห่วนเจ้าค่ะ”

“ฮ่า!” ซ่งชูอีหัวเราะเสียงเย็นชา “คิดจะมาดูว่าข้าตกต่ำเพียงใดเช่นนั้นหรือ? ข้าก็จะทำตามความประสงค์ของเขา หนิงยา พาเขาเข้ามาข้างใน!”

“หมิ่นจื๋อห่วน…หมิ่นฉือ? ก็คือหลวงจงฝ่ายขวาผู้นั้นมิใช่หรือ!” อิ๋งสี่เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เขาช่างบังอาจจริงๆ”

ซ่งชูอีเดิมไปตามทางเดินหินเพื่อเข้าไปนั่งในศาลา อิ๋งสี่ลังเลครู่หนึ่งก่อนตามเข้าไปด้วย

ไม่นาน หนิงยาก็พาชายหนุ่มในชุดสีเทาเข้มคนหนึ่งเดินเข้ามา

“ท่านซ่ง” หมิ่นฉือสูงกว่าก่อนหน้านี้ประมาณครึ่งศีรษะ นอกจากนี้รูปร่างยังใกล้เคียงกับชายในวัยผู้ใหญ่ บุคลิกราวกับสายลมสดชื่นและจันทราสุกใส เสมือนคุณชายสูงศักดิ์ผู้ไร้สิ่งแปดเปื้อนจากโลกใบนี้

อิ๋งสี่มองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ หากมิได้รู้มาก่อนหน้านี้ก็ยากจะเชื่อว่าบุคคลนี้ร้ายกาจ

“ท่านหมิ่นมาได้เยี่ยงไร?” ซ่งชูอีเอนตัวพิงราวเล็กน้อย บนใบหน้ามีรอยยิ้ม ไม่มีวี่แววของความเกลียดชังแม้แต่น้อย

หมิ่นฉือประสานมือเอ่ย “คำยั่วยุโผงผางที่ท่านเอ่ยในงานประชุม ข้าแซ่หมิ่นได้ยินมาแล้ว อีกทั้งได้ยินว่าท่านไม่สบาย จึงตั้งใจมาเยี่ยม”

“ช่างใส่ใจนัก เชิญนั่ง” ซ่งชูอีเอ่ย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+