กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 259 นางก็อยากชน

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 259 นางก็อยากชน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม่ทัพใหญ่เป็นเป็นข้าราชการสูงสุดในบังคับบัญชาของสามเหล่าทัพ เทียบเท่ามหาเสนาบดี ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งค่าเบี้ยที่สูงลิ่ว อย่างไรก็ดีหากกงซุนเหยี่ยนกล่าวว่าจะปล่อยก็ปล่อย แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้เลย หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเขามั่นใจในความสามารถของตนว่าจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ไม่ว่าจะไปที่รัฐใด

ซ่งชูอีพิจารณาก่อนเอ่ยว่า “ฝ่าบาทสั่งให้คนสังหารเขาเถิด”

อิ๋งซื่อขมวดคิ้ว ชูหลี่จี๋กับจางอี๋มองนางด้วยความงุนงง เห็นได้ชัดว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล บัณฑิตไปมาได้อย่างอิสระ หากกงซุนเหยี่ยนออกจากรัฐฉินแล้วถูกสังหาร อย่าว่าแต่นานารัฐจะขุดคุ้ยเรื่องนี้เลย บัณฑิตใต้หล้าก็จะยิ่งหวาดกลัว ภายภาคหน้าใครจะกล้าเข้ามารับราชการในฉินง่ายๆ?

บัดนั้นเว่ยอ๋องกล้าสังหารซ่งชูอีอย่างเปิดเผย เป็นเพราะว่านางมีความผิดในขณะที่ไปเจรจาหว่านล้อมก่อน บัดนี้กงซุนเหยี่ยนอยู่ในรัฐฉิน ไม่เพียงไม่มีความผิดทั้งยังเป็นขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ รัฐฉินไม่เพียงไม่สามารถสังหารกงซุนเหยี่ยนได้ ทั้งยังต้องรับประกันความปลอดภัยของเขาในอาณาเขตฉิน ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถสะท้อนความใจกว้างของต้าฉินได้

“นิสัยของซีโส่วดื้อรั้น หากรัฐฉินไม่ใช้เขา ก็เป็นได้เพียงศพเท่านั้น” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าการปล่อยเขาไปอาจไม่ใช่เรื่องดี”

อิ๋งซื่อขมวดคิ้ว ทันใดนั้นในใจก็มีนัยแห่งความชัดเจน

ซ่งชูอีเอ่ย “กลุยทธ์ของกงซุนเหยี่ยนมีเป้าหมายในการยึดครองใต้หล้า แม้ว่าเขาเปี่ยมด้วยความสามารถแล้วอย่างไรเล่า? บัดนั้นฉีอ๋องครองราชย์ตั้งแต่ยังพระเยาว์ เฉลียวฉลาดกล้าหาญ ทั้งยังมีความสามารถในการอ่านคนและใช้คน ทำให้รัฐฉีแข็งแกร่งขึ้นจวบจนปัจจุบันภายในระยะเวลาหลายสิบปี เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งวีรบุรุษ ทว่าบัดนี้ ฉีอ๋องหยุดความปรารถนาในชีวิตแล้ว ลูกหลานตายจาก ความรุ่งเรืองของรัฐฉีเกรงว่ามาถึงจุดจบแล้ว ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่ายุทธศาสตร์ของรัฐหนึ่งไม่เพียง แต่เป็นแนวทางปฏิบัติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระยะยาวด้วย”

ฉีอ๋องต้องการที่จะยึดครองใต้หล้า ไม่มีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้แล้ว มิฉะนั้นความสามารถของเขาคงจะไม่หยุดเพียงแค่นั้น

“เซ่าซ่างเจ้ากล่าวมีเหตุผล” อิ๋งซื่อพยักหน้า แม้กงซุนเหยี่ยนจากไปจะน่าเสียดาย ทว่าเขาไม่สามารถรวบรวมผู้ที่มีความสามารถทั้งหมดมาใช้ที่รัฐฉินได้ เพียงแต่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยด้วยความกังวล “แม่ทัพใหญ่คนใหม่ของรัฐเว่ยจิ้นปี่เป็นนายพลผู้กล้าคนหนึ่ง รวมกับกงซุนเหยี่ยน…”

เมื่อจิ้นปี่ยังหนุ่มเขาได้ปกป้องเหอซีกับแม่ทัพหลงเหล่าผู้ล่วงลับ ทำสงครามกับชาวฉินบ่อยครั้ง เขาไม่เพียงกล้าหาญทั้งยังเก่งกาจด้านการวางกลยุทธ์ เป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊คนหนึ่ง เนื่องจากสุดท้ายแม่ทัพหลงเหล่าเสียชีวิตในสงคราม เหอซีจึงถูกฉินยึดกลับมา เขาจึงถูกศัตรูทางการเมืองปราบปรามเป็นเวลาเจ็ดถึงแปดปี ไม่กี่เดือนก่อน แม่ทัพก่อนคนถูกกงซุนเหยี่ยนจับเป็นเชลย ฆ่าตัวตายจากความอัปยศอดสู เว่ยอ๋องจึงนึกถึงความดีของเขาขึ้นมา

“หากกล่าวถึงการนำทัพต่อสู้เพียงอย่างเดียว กงซุนเหยี่ยนสู้กั๋วเว่ยไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” จางอี๋กล่าวประเมิน มิใช่ว่าเขาจงใจพูดเช่นนี้ต่อหน้าอิ๋งซื่อ กงซุนเหยี่ยนมาจากสำนักจ้งเหิง แน่นอนว่าความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่การต่อสู้

ชูหลี่จี๋ยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “หากกั๋วเว่ยยังไม่สามารถทำให้ฝ่าบาทวางพระทัยได้ ก็ยังมีอีกคนมิใช่หรือ?”

อิ๋งซื่อแสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อย “เซ่าซ่างเจ้าก็เชี่ยวชาญด้านพิชัยยุทธรึ?”

หากไม่เชี่ยวชาญ ชูหลี่จี๋ก็คงไม่กล้าเอ่ยออกมา บัดนั้นซ่งชูอีเดินทางหว่านล้อมให้ห้ารัฐโจมตีเว่ย เรียบเรียงกลยุทธ์ถวายแด่องค์จักรพรรดิและยังวางแผนปั่นป่วนปาสู่ ดังนั้นอิ๋งซื่อคิดว่านางเก่งในด้านสำนักจ้งเหิงมากกว่า

ซ่งชูอีเห็นอาการของอิ๋งซื่อก็รู้แล้วว่าเขาไม่เคยสอดแนมจวนของนาง ในใจคิดว่าโชคดีที่เขาเพียงแค่ชอบถือวิสาสะเดินเข้าไปในจวนเท่านั้น มิได้ถ้ำมองแต่อย่างใด

“ไม่ปิดบังฝ่าบาท กระหม่อมกำลังร่างตำราพิชัยยุทธที่เหมาะสมกับรัฐฉิน ไม่ช้าก็จะสมบูรณ์แล้ว” ครั้นถึงเวลาที่นางออกโรง แน่นอนว่านางก็ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ

“เยี่ยมมาก!” ทันใดนั้นรอยยิ้มร่าเริงก็ผลิบานบนใบหน้าของอิ๋งซื่อ สีหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อยก็มีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง

บรรยากาศภายในห้องอบอุ่นขึ้นทันใด จางอี๋กล่าวขึ้นอย่างเอาใจใส่ “สีหน้าฝ่าบาทไม่สู้ดี ต้องถนอมพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ!”

จางอี๋เอ่ยความคิดที่จะอาจทำให้ผู้บังคับบัญชาขุ่นเคือง เขาเริ่มแสดงผลงานได้อย่างยากลำบาก ย่อมไม่ต้องการให้องค์จวินผู้กล้าหาญนี้เป็นอะไรไปเสียก่อน

อิ๋งซื่อดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก มองจางอี๋และชูหลี่จี๋อย่างมีนัยยะแอบแฝงพร้อมเอ่ยว่า “อืม ในที่สุดก็จะได้เป็นอิสระสักที! ท่านมหาเสนาบดีทั้งสองทำได้ดีมาก กว่าเหรินจะไปแช่น้ำร้อนที่จวนซ่งจื่อเสียหน่อย”

พูดพลางก็ลุกขึ้น

ทั้งสามคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยา อิ๋งซื่อก็ล้อเล่นเสียแล้ว! หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน และออกจากหออักษรพร้อมกับเขา

ซ่งชูอีไม่มีงานพอดี ดังนั้นจึงออกจากวังและกลับจวนไปพร้อมกับอิ๋งซื่อ

นั่งอยู่ในรถม้าที่กว้างขวาง อิ๋งซื่อกึ่งพิงอยู่บนที่พักแขนโดยมือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ ไม่ช้าก็หลับไป ซ่งชูอีละสายตากลับมาจากนอกหน้าต่าง จ้องมองเขาอย่างไร้ยางอาย

หลังจากหลับไปแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชานั้นอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าไร้ความสง่างาม ใต้ตามีรอยคล้ำเล็กน้อย ความรู้สึกเปราะบางเช่นนี้ถูกคิ้วคมกริบคู่นั้นและริมฝีปากบอบบางทำลายจนหมดสิ้น

จนกระทั่งรถม้าหยุดลง ร่างกายไหวเอน อิ๋งซื่อจึงลืมตาขึ้นช้าๆ

ความสะลึมสะลืมหลังตื่นนอนผ่านวูบไป ดวงตาดุจนกอินทรีกลับมากระจ่างใสขึ้นในทันที “ถึงแล้วรึ?”

ยังไม่สาแก่ใจเลยสักนิด ซ่งชูอีแอบสบถ ทว่าปากกลับกล่าวอย่างนอบน้อม “ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ทั้งสองคนลงจากรถม้า เดินตามกันเข้าไปในจวน

ท่าทางตรงไปตรงมาของอิ๋งซื่อนั้นทำให้ผู้เฝ้าประตูหลักตะลึงจนไม่กล้าส่งเสียง ซ่งชูอีเดินตามอยู่ข้างหลัง คิดในใจว่า เขามาแช่น้ำร้อนที่จวนของข้าที่ไหนกันเล่า มันตรงกันข้ามกันต่างหาก

โชคดีที่อิ๋งซื่อเป็นคนสบายๆ เดินทางมาคราวนี้ก็พาแค่ขันทีเถามาเท่านั้น และมิได้เรียกคนในจวนของซ่งชูอีปรนนิบัติ

หลังจากที่เจินอวี๋ย้ายออก หมี่จีก็สั่งให้คนเก็บกวาดจวนหลักอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนกับห้องหนังสือล้วนเปลี่ยนใหม่ และเชิญซ่งชูอีไปพักที่ลานหลัก

การตกแต่งในห้องนอนเรียบง่ายและสงบ ไม่มีความหรูหราเลยแม้แต่น้อย ห้องหนังสือใหญ่กว่าลานด้านหน้าเท่าตัว มองจากภายนอกก็เหมือนการตกแต่งธรรมดา เพียงแต่หลังจากซ่งชูอีอยู่ที่นั่นสองวันก็สังเกตเห็นข้อดี ทุกอย่างที่นี่ถูกจัดสรรอย่างลงตัว หยิบใช้ได้สะดวกยิ่ง สำหรับซ่งชูอีแล้ว จุดสำคัญของห้องหนังสือคือการใช้งานได้จริง

จากการทำงานคราวนี้ ซ่งชูอีพึงพอใจหมี่จีมาก

อิ๋งซื่อไปแช่น้ำ ซ่งชีเข้าไปในห้องหนังสือ วางกระดานหมากรุกไว้ที่ระเบียงในลานบ้าน จัดเรียงกระดานเหมือนที่เล่นกับเจ้าอี่โหลวเมื่อวานอีกครั้ง บ้านหลังนี้มีประตูสองด้าน ด้านหนึ่งหันไปทางลานด้านหลังซึ่งมีทิวทัศน์งดงาม อีกด้านหนึ่งหันไปลานด้านหน้าซึ่งสบายที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่ตอนนี้หนาวเป็นอย่างยิ่ง

“ท่านเจ้าคะ!” หนิงยาวิ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบ กล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “พี่หมี่จีไม่ระวังชนกับฝ่าบาทเข้า”

“เกิดเรื่องอะไร?” ซ่งชูอีวางตัวหมากลง เอ่ยถามเรียบๆ

“พี่หมี่จีกำลังตรวจนับของอยู่ในห้องเก็บของ เป็นไปได้ว่าตอนที่ออกมาก็ไปที่ห้องน้ำเพื่อตักน้ำมาอาบ…สุดท้าย…” ฟันของหนิงยาสั่นเทา นางกลัวอิ๋งซื่อเป็นที่สุด

หนิงยายังพูดไม่ทันไร ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังตึ่งๆๆ

“หมี่จีขอพบท่านเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนางเผยความไม่สบายใจเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ

“เข้ามาเถิด” ซ่งชูอีโยนตัวหมากทั้งหมดลงกลับไปในถ้วย

หมี่จีเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้าซ่งชูอี ปกติแล้วเพื่อทำงานได้สะดวกขึ้น นางจะสวมเสื้อผ้าที่คล่องตัวของผู้ชาย ทว่าเพียงแวบเดียวก็ยังมองออกว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตางดงามมาก

“เชี่ยไม่รู้ว่ามีแขกอยู่ในห้องอาบน้ำ ชนกับแขกผู้สูงส่งเข้า ได้โปรดท่านลงโทษด้วย” หมี่จีก้มหน้าเอ่ย

ซ่งชูอีเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ ฝืนยิ้ม “เขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นผู้สูงส่ง”

ในเวลานี้ นางผู้แซ่ซ่งก็อยากเข้าไปชนกับเขาสักหน่อยเหมือนกัน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 259 นางก็อยากชน

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 259 นางก็อยากชน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม่ทัพใหญ่เป็นเป็นข้าราชการสูงสุดในบังคับบัญชาของสามเหล่าทัพ เทียบเท่ามหาเสนาบดี ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งค่าเบี้ยที่สูงลิ่ว อย่างไรก็ดีหากกงซุนเหยี่ยนกล่าวว่าจะปล่อยก็ปล่อย แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้เลย หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเขามั่นใจในความสามารถของตนว่าจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ไม่ว่าจะไปที่รัฐใด

ซ่งชูอีพิจารณาก่อนเอ่ยว่า “ฝ่าบาทสั่งให้คนสังหารเขาเถิด”

อิ๋งซื่อขมวดคิ้ว ชูหลี่จี๋กับจางอี๋มองนางด้วยความงุนงง เห็นได้ชัดว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล บัณฑิตไปมาได้อย่างอิสระ หากกงซุนเหยี่ยนออกจากรัฐฉินแล้วถูกสังหาร อย่าว่าแต่นานารัฐจะขุดคุ้ยเรื่องนี้เลย บัณฑิตใต้หล้าก็จะยิ่งหวาดกลัว ภายภาคหน้าใครจะกล้าเข้ามารับราชการในฉินง่ายๆ?

บัดนั้นเว่ยอ๋องกล้าสังหารซ่งชูอีอย่างเปิดเผย เป็นเพราะว่านางมีความผิดในขณะที่ไปเจรจาหว่านล้อมก่อน บัดนี้กงซุนเหยี่ยนอยู่ในรัฐฉิน ไม่เพียงไม่มีความผิดทั้งยังเป็นขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ รัฐฉินไม่เพียงไม่สามารถสังหารกงซุนเหยี่ยนได้ ทั้งยังต้องรับประกันความปลอดภัยของเขาในอาณาเขตฉิน ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถสะท้อนความใจกว้างของต้าฉินได้

“นิสัยของซีโส่วดื้อรั้น หากรัฐฉินไม่ใช้เขา ก็เป็นได้เพียงศพเท่านั้น” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าการปล่อยเขาไปอาจไม่ใช่เรื่องดี”

อิ๋งซื่อขมวดคิ้ว ทันใดนั้นในใจก็มีนัยแห่งความชัดเจน

ซ่งชูอีเอ่ย “กลุยทธ์ของกงซุนเหยี่ยนมีเป้าหมายในการยึดครองใต้หล้า แม้ว่าเขาเปี่ยมด้วยความสามารถแล้วอย่างไรเล่า? บัดนั้นฉีอ๋องครองราชย์ตั้งแต่ยังพระเยาว์ เฉลียวฉลาดกล้าหาญ ทั้งยังมีความสามารถในการอ่านคนและใช้คน ทำให้รัฐฉีแข็งแกร่งขึ้นจวบจนปัจจุบันภายในระยะเวลาหลายสิบปี เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งวีรบุรุษ ทว่าบัดนี้ ฉีอ๋องหยุดความปรารถนาในชีวิตแล้ว ลูกหลานตายจาก ความรุ่งเรืองของรัฐฉีเกรงว่ามาถึงจุดจบแล้ว ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่ายุทธศาสตร์ของรัฐหนึ่งไม่เพียง แต่เป็นแนวทางปฏิบัติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระยะยาวด้วย”

ฉีอ๋องต้องการที่จะยึดครองใต้หล้า ไม่มีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้แล้ว มิฉะนั้นความสามารถของเขาคงจะไม่หยุดเพียงแค่นั้น

“เซ่าซ่างเจ้ากล่าวมีเหตุผล” อิ๋งซื่อพยักหน้า แม้กงซุนเหยี่ยนจากไปจะน่าเสียดาย ทว่าเขาไม่สามารถรวบรวมผู้ที่มีความสามารถทั้งหมดมาใช้ที่รัฐฉินได้ เพียงแต่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยด้วยความกังวล “แม่ทัพใหญ่คนใหม่ของรัฐเว่ยจิ้นปี่เป็นนายพลผู้กล้าคนหนึ่ง รวมกับกงซุนเหยี่ยน…”

เมื่อจิ้นปี่ยังหนุ่มเขาได้ปกป้องเหอซีกับแม่ทัพหลงเหล่าผู้ล่วงลับ ทำสงครามกับชาวฉินบ่อยครั้ง เขาไม่เพียงกล้าหาญทั้งยังเก่งกาจด้านการวางกลยุทธ์ เป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊คนหนึ่ง เนื่องจากสุดท้ายแม่ทัพหลงเหล่าเสียชีวิตในสงคราม เหอซีจึงถูกฉินยึดกลับมา เขาจึงถูกศัตรูทางการเมืองปราบปรามเป็นเวลาเจ็ดถึงแปดปี ไม่กี่เดือนก่อน แม่ทัพก่อนคนถูกกงซุนเหยี่ยนจับเป็นเชลย ฆ่าตัวตายจากความอัปยศอดสู เว่ยอ๋องจึงนึกถึงความดีของเขาขึ้นมา

“หากกล่าวถึงการนำทัพต่อสู้เพียงอย่างเดียว กงซุนเหยี่ยนสู้กั๋วเว่ยไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” จางอี๋กล่าวประเมิน มิใช่ว่าเขาจงใจพูดเช่นนี้ต่อหน้าอิ๋งซื่อ กงซุนเหยี่ยนมาจากสำนักจ้งเหิง แน่นอนว่าความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่การต่อสู้

ชูหลี่จี๋ยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “หากกั๋วเว่ยยังไม่สามารถทำให้ฝ่าบาทวางพระทัยได้ ก็ยังมีอีกคนมิใช่หรือ?”

อิ๋งซื่อแสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อย “เซ่าซ่างเจ้าก็เชี่ยวชาญด้านพิชัยยุทธรึ?”

หากไม่เชี่ยวชาญ ชูหลี่จี๋ก็คงไม่กล้าเอ่ยออกมา บัดนั้นซ่งชูอีเดินทางหว่านล้อมให้ห้ารัฐโจมตีเว่ย เรียบเรียงกลยุทธ์ถวายแด่องค์จักรพรรดิและยังวางแผนปั่นป่วนปาสู่ ดังนั้นอิ๋งซื่อคิดว่านางเก่งในด้านสำนักจ้งเหิงมากกว่า

ซ่งชูอีเห็นอาการของอิ๋งซื่อก็รู้แล้วว่าเขาไม่เคยสอดแนมจวนของนาง ในใจคิดว่าโชคดีที่เขาเพียงแค่ชอบถือวิสาสะเดินเข้าไปในจวนเท่านั้น มิได้ถ้ำมองแต่อย่างใด

“ไม่ปิดบังฝ่าบาท กระหม่อมกำลังร่างตำราพิชัยยุทธที่เหมาะสมกับรัฐฉิน ไม่ช้าก็จะสมบูรณ์แล้ว” ครั้นถึงเวลาที่นางออกโรง แน่นอนว่านางก็ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ

“เยี่ยมมาก!” ทันใดนั้นรอยยิ้มร่าเริงก็ผลิบานบนใบหน้าของอิ๋งซื่อ สีหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อยก็มีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง

บรรยากาศภายในห้องอบอุ่นขึ้นทันใด จางอี๋กล่าวขึ้นอย่างเอาใจใส่ “สีหน้าฝ่าบาทไม่สู้ดี ต้องถนอมพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ!”

จางอี๋เอ่ยความคิดที่จะอาจทำให้ผู้บังคับบัญชาขุ่นเคือง เขาเริ่มแสดงผลงานได้อย่างยากลำบาก ย่อมไม่ต้องการให้องค์จวินผู้กล้าหาญนี้เป็นอะไรไปเสียก่อน

อิ๋งซื่อดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก มองจางอี๋และชูหลี่จี๋อย่างมีนัยยะแอบแฝงพร้อมเอ่ยว่า “อืม ในที่สุดก็จะได้เป็นอิสระสักที! ท่านมหาเสนาบดีทั้งสองทำได้ดีมาก กว่าเหรินจะไปแช่น้ำร้อนที่จวนซ่งจื่อเสียหน่อย”

พูดพลางก็ลุกขึ้น

ทั้งสามคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยา อิ๋งซื่อก็ล้อเล่นเสียแล้ว! หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน และออกจากหออักษรพร้อมกับเขา

ซ่งชูอีไม่มีงานพอดี ดังนั้นจึงออกจากวังและกลับจวนไปพร้อมกับอิ๋งซื่อ

นั่งอยู่ในรถม้าที่กว้างขวาง อิ๋งซื่อกึ่งพิงอยู่บนที่พักแขนโดยมือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ ไม่ช้าก็หลับไป ซ่งชูอีละสายตากลับมาจากนอกหน้าต่าง จ้องมองเขาอย่างไร้ยางอาย

หลังจากหลับไปแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชานั้นอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าไร้ความสง่างาม ใต้ตามีรอยคล้ำเล็กน้อย ความรู้สึกเปราะบางเช่นนี้ถูกคิ้วคมกริบคู่นั้นและริมฝีปากบอบบางทำลายจนหมดสิ้น

จนกระทั่งรถม้าหยุดลง ร่างกายไหวเอน อิ๋งซื่อจึงลืมตาขึ้นช้าๆ

ความสะลึมสะลืมหลังตื่นนอนผ่านวูบไป ดวงตาดุจนกอินทรีกลับมากระจ่างใสขึ้นในทันที “ถึงแล้วรึ?”

ยังไม่สาแก่ใจเลยสักนิด ซ่งชูอีแอบสบถ ทว่าปากกลับกล่าวอย่างนอบน้อม “ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ทั้งสองคนลงจากรถม้า เดินตามกันเข้าไปในจวน

ท่าทางตรงไปตรงมาของอิ๋งซื่อนั้นทำให้ผู้เฝ้าประตูหลักตะลึงจนไม่กล้าส่งเสียง ซ่งชูอีเดินตามอยู่ข้างหลัง คิดในใจว่า เขามาแช่น้ำร้อนที่จวนของข้าที่ไหนกันเล่า มันตรงกันข้ามกันต่างหาก

โชคดีที่อิ๋งซื่อเป็นคนสบายๆ เดินทางมาคราวนี้ก็พาแค่ขันทีเถามาเท่านั้น และมิได้เรียกคนในจวนของซ่งชูอีปรนนิบัติ

หลังจากที่เจินอวี๋ย้ายออก หมี่จีก็สั่งให้คนเก็บกวาดจวนหลักอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนกับห้องหนังสือล้วนเปลี่ยนใหม่ และเชิญซ่งชูอีไปพักที่ลานหลัก

การตกแต่งในห้องนอนเรียบง่ายและสงบ ไม่มีความหรูหราเลยแม้แต่น้อย ห้องหนังสือใหญ่กว่าลานด้านหน้าเท่าตัว มองจากภายนอกก็เหมือนการตกแต่งธรรมดา เพียงแต่หลังจากซ่งชูอีอยู่ที่นั่นสองวันก็สังเกตเห็นข้อดี ทุกอย่างที่นี่ถูกจัดสรรอย่างลงตัว หยิบใช้ได้สะดวกยิ่ง สำหรับซ่งชูอีแล้ว จุดสำคัญของห้องหนังสือคือการใช้งานได้จริง

จากการทำงานคราวนี้ ซ่งชูอีพึงพอใจหมี่จีมาก

อิ๋งซื่อไปแช่น้ำ ซ่งชีเข้าไปในห้องหนังสือ วางกระดานหมากรุกไว้ที่ระเบียงในลานบ้าน จัดเรียงกระดานเหมือนที่เล่นกับเจ้าอี่โหลวเมื่อวานอีกครั้ง บ้านหลังนี้มีประตูสองด้าน ด้านหนึ่งหันไปทางลานด้านหลังซึ่งมีทิวทัศน์งดงาม อีกด้านหนึ่งหันไปลานด้านหน้าซึ่งสบายที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่ตอนนี้หนาวเป็นอย่างยิ่ง

“ท่านเจ้าคะ!” หนิงยาวิ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบ กล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “พี่หมี่จีไม่ระวังชนกับฝ่าบาทเข้า”

“เกิดเรื่องอะไร?” ซ่งชูอีวางตัวหมากลง เอ่ยถามเรียบๆ

“พี่หมี่จีกำลังตรวจนับของอยู่ในห้องเก็บของ เป็นไปได้ว่าตอนที่ออกมาก็ไปที่ห้องน้ำเพื่อตักน้ำมาอาบ…สุดท้าย…” ฟันของหนิงยาสั่นเทา นางกลัวอิ๋งซื่อเป็นที่สุด

หนิงยายังพูดไม่ทันไร ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังตึ่งๆๆ

“หมี่จีขอพบท่านเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนางเผยความไม่สบายใจเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ

“เข้ามาเถิด” ซ่งชูอีโยนตัวหมากทั้งหมดลงกลับไปในถ้วย

หมี่จีเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้าซ่งชูอี ปกติแล้วเพื่อทำงานได้สะดวกขึ้น นางจะสวมเสื้อผ้าที่คล่องตัวของผู้ชาย ทว่าเพียงแวบเดียวก็ยังมองออกว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตางดงามมาก

“เชี่ยไม่รู้ว่ามีแขกอยู่ในห้องอาบน้ำ ชนกับแขกผู้สูงส่งเข้า ได้โปรดท่านลงโทษด้วย” หมี่จีก้มหน้าเอ่ย

ซ่งชูอีเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ ฝืนยิ้ม “เขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นผู้สูงส่ง”

ในเวลานี้ นางผู้แซ่ซ่งก็อยากเข้าไปชนกับเขาสักหน่อยเหมือนกัน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+