กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 79 ข้ามีใจแต่ไร้กำลัง

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 79 ข้ามีใจแต่ไร้กำลัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ลูกผู้ชายเดินทางทั่วหล้ว ไม่ใส่ใจพิธีรีตองเล็กน้อย” หากซ่งชูอีไม่ด่าสักครั้งคงจะอกแตกตาย

ที่ด้านนอก ทหารฉินผู้นำทางได้นำใบผ่านทางให้กับผู้ที่มาต้อนรับแล้ว เนื่องด้วยคำขอของซ่งชูอีที่ให้ปิดเป็นความลับ ฉะนั้นจึงมิได้ดำเนินพิธีการต้อนรับทั่วไป ทั้งสองฝ่ายก็มิได้กล่าวอะไรกันมากมาย เพียงแสดงป้ายคำสั่งอย่างเงียบๆ ขบวนรถก็เข้านครไปแล้ว

ซ่งชูอีดึงหน้าต่างเปิดเป็นช่องว่างเพื่อสังเกตด้านนอก

ถนนหนทางมีลักษณะของภาคเหนืออันโดดเด่น มันคับแคบเป็นอย่างมาก บนท้องถนนไร้ผู้คนสัญจร

หลังจากเดินทางราวๆ หนึ่งเค่อ ด้านนอกก็มีคนพูดขึ้นด้วยสำเนียงเสียนหยางอันหนักหน่วง “ท่านราชทูตมาจากแดนไกล ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปพบ”

ซ่งชูอีถือเอกสารรับรองลงมาจากรถ เห็นชายชราอายุกว่าหกสิบผู้หนึ่งแต่งตัวเคร่งขรึมด้วยชุดข้าราชการสีดำ รองเท้าไหม สวมเครื่องกวนขนาดใหญ่บนศีรษะ

ชายชราเห็นซ่งชูอีก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ท่าน…คือราชทูตรัฐเว่ย์?”

“รัฐเว่ย์ของข้าเล็กจ้อยราษฎรเบาบาง ทำได้เพียงส่งเด็กอย่างข้าน้อยมาเท่านั้น ทำให้ท่านหัวเราะเยาะแล้ว” ซ่งชูอีหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ประสานมือพร้อมยิ้มเอ่ย

“ฮ่าๆ ไม่เลยๆ ยอดวีรบุรุษมาจากผู้อายุน้อยนี่นา เมื่อครู่ข้าผู้เฒ่าเสียมารยาทแล้ว” ชายชรารีบข่มความประหลาดใจเอาไว้ พูดคุยกับซ่งชูอีอย่างอบอุ่น “ข้าผู้เฒ่ามาครานี้มีหน้าที่เป็นผู้ดูแลท่านราชทูต สกุลไป๋ นามว่าผิง ท่านราชทูตอยู่ในรัฐฉิน หากมีความต้องการใด ขอเพียงบอกกับข้าผู้เฒ่า”

“รบกวนผู้ดูแลไป๋แล้ว” ซ่งชูอีประสานมือเอ่ย

ไป๋ผิงคำนับคืน พูดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา “มิยังอาจ มิบังอาจ”

“ไม่ทราบว่าข้าน้อยจะพบฉินกงได้เมื่อใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

ไป๋ผิงพลางพาซ่งชูอีไปยังลานที่จัดไว้เรียบร้อยแล้วพลางอธิบาย “คิดว่าท่านราชทูตคงได้ยินมาบ้าง จวินองค์ก่อนเสด็จสวรรคต จวินองค์ใหม่เพิ่งครองราชย์ได้ไม่นาน ยิ่งมาพบกับเหล่าพ่อค้าก่อกบฏ ภาระงานหนักอึ้ง รบกวนท่านราชทูตรอสักวันสองวัน ท่านจวินจะให้เข้าเฝ้าแน่นอน”

“เช่นนั้น สองวันนี้ต้องลำบากผู้ดูแลไป๋แล้ว” ซ่งชูอีกล่าว

“นี่เป็นหน้าที่ของข้าผู้เฒ่า ท่านราชทูตพำนักที่นี่ชั่วคราวก่อน ถ้าหากต้องการสิ่งใด เพียงสั่งบ่าวในลานเป็นพอ” ไป๋ผิงกล่าว

ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันต่อไม่กี่คำ ไป๋ผิงก็ขอตัวจากไปแล้ว

ซ่งชูอีสำรวจลานที่พักแห่งนี้ มีทั้งศาลาและหอคอยหรูไม่ขาด เป็นลานที่กว้างเป็นอย่างยิ่ง ทว่าพื้นที่ถูกบ่อน้ำยึดครองไปเกือบทั้งหมด ผืนดินมีไม่มาก ตรงกลางมีสะพานเชื่อมต่อสองฝั่งซ้ายขวา กำแพงหินถูกสร้างขึ้นรอบๆ สระน้ำ มีไส้เดือนมากกว่าสิบตัวสลักตัวอยู่บนหินข้างบ่อน้ำ ให้บรรยากาศหยาบๆ น้ำแข็งในบ่อสะท้อนให้เห็นถึงดอกพลัมสีแดงที่กำลังเบ่งบานอยู่บนฝั่งโดยไม่ทิ้งความสวยงามนุ่มนวล เห็นได้ชัดว่าการตกแต่งสวนนี้ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างมาก

หลงกู่ปู้วั่งก็ชมมาแล้วรอบหนึ่ง กล่าวว่า “การตกแต่งในรัฐฉินค่อนข้างต่างจากรัฐเว่ย์”

นอกเหนือจากครานี้แล้ว สถานที่ที่หลงกู่ปู้วั่งเคยไปไกลที่สุดตั้งแต่เล็กจนโตก็คือต้าเหลียงในรัฐเว่ย ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่นครที่ยอดเยี่ยมในเจ็ดมหานครรัฐ เขาอาศัยอยู่ที่นั่นเดือนกว่าและเก็บเกี่ยวความรู้มาไม่น้อย สถาปัตยกรรมของรัฐเว่ยนั้นละเอียดอ่อน ดูแล้วค่อนข้างปราณีตสง่างาม ทว่าไม่ว่าการแกะสลักตกแต่งของรัฐฉินจะซับซ้อนเพียงใดก็มักจะแฝงความรู้สึกหยาบโลนเข้าไปด้วย แม้นไม่มีรายละเอียดที่พิถีพิถันดังรัฐเว่ย แต่กลับให้ความรู้สึกเคร่งขรึมที่ทำให้ผู้คนอยากกราบนมัสการ

“เด็กๆ” ซ่งชูอีกล่าวเสียงดัง

สาวใช้ชาวฉินในชุดชวีจวีลายเมฆสีแดงเข้มซอยเท้าสั้นๆ เข้ามาอย่างรวดเร็ว ค้อมตัวเอ่ย “ท่านราชทูตมีคำสั่งใด”

ซ่งชูอีสั่ง “จงเตรียมชุดชาวฉินที่พวกข้าสามารถสวมใส่ได้”

สาวใช้ผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองรูปร่างของจี๋อวี่ จี้ฮ่วน หลงกู่ปู้วั่งและซ่งชูอี โน้มตัวคำนับ “เจ้าค่ะ ท่านราชทูตต้องการใช้เมื่อใด?”

ซ่งชูอีเอ่ย “ยิ่งเร็วยิ่งดี”

นางกำลังไตร่ตรองว่าหากฉินกงไม่สามารถให้พวกเขาเข้าเฝ้าได้ทันที ก็จะออกไปเที่ยวเล่นสักหนึ่งหรือสองชั่วยามก่อน จากนั้นอีกสองวันก็รอการเข้าเฝ้าที่นี่

ซ่งชูอีปล่อยให้แต่ละคนเลือกห้องของตัวเองแล้วไปพักผ่อนสักครู่ก่อน ส่วนตัวเองเข้าห้องไปแล้วให้เจียนไปเรียกจื่อเฉาเข้ามา

ไป๋เริ่นหมอบตัวอย่างเกียจคร้านอยู่ข้างขาของซ่งชูอี หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ลักษณะเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น

ซ่งชูอีเอนกายบนพนักพิง รับน้ำชาที่สาวใช้ส่งมาให้ เงยหน้าดื่มรวดเดียวหมด

“ท่าน” จื่อเฉาค้อมตัวคำนับอยู่หน้าประตู

“เข้ามาเถิด” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าก็ออกไปเถิด”

สาวใช้สี่คนในห้องลุกขึ้นทีละคน น้อมตัวแล้วถอยออกไป

“ไม่ต้องมากพิธี นั่งสิ” ซ่งชูอีตบๆ ไป๋เริ่น “ไปนอนที่หน้าประตู”

เห็นได้ชัดว่าซ่งชูอีคาดหวังกับไป๋เริ่นสูงเกินไปแล้ว เจ้าตัวนี้ฟังไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย ยังคงคิดว่ากำลังหยอกเล่นกับมัน จึงส่ายหางไปมาพอเป็นพิธี

“เฮ้อ!” ซ่งชูอีถอนหายใจ ลุกขึ้นลากสองอุ้งเท้าหน้าของไป๋เริ่นไปยังหน้าประตูด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี

ไป๋เริ่นยังคงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

ซ่งชูอีกลับไปนั่งคุกเข่าบนเตียง มองสำรวจจื่อเฉารอบหนึ่ง การเดินทางที่ยาวนานมิได้ทำให้หน้าตาของนางเสียหายเลย ในทางตรงกันข้ามมันดูอ่อนล้าเล็กน้อย ให้ความรู้สึกงดงามที่ต่างออกไป

“ข้าเรียกเจ้าเข้ามา เดาออกหรือไม่ว่าเป็นเรื่องใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

จื่อเฉามองหน้าซ่งชูอีด้วยความอึดอัด “ท่าน…ต้องการยกบ่าวให้คนอื่นแล้วหรือเจ้าคะ?”

ซ่งชูอีพึงพอใจในความฉลาดและไหวพริบของนางมาก ด้วยเหตุนี้น้ำเสียงจึงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “เจ้ารู้จักจวินองค์ใหม่แห่งรัฐฉินหรือไม่?”

“บ่าวมิทราบเจ้าค่ะ” จื่อเฉาหัวเราะเบาๆ นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ต่อให้มีความรู้มากมายแค่ไหนก็จะไปเข้าใจ

จวินกงองค์ใหม่ได้เยี่ยงไร ทว่านางเข้าใจความหมายของคำพูดของซ่งชูอีว่าคิดจะถวายนางให้กับจวินองค์ใหม่แห่งรัฐฉิน หัวใจก็เต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้

นี่มิใช่เรื่องที่นางจะปฏิเสธได้ ใจหนึ่งนางก็อยากรู้ถึงสถานการณ์ของฉินกง อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เดิมทีนางนึกว่าซ่งชูอีจะสนใจนางอยู่บ้าง…

“ฉินกงอายุสิบเก้า ยังมิได้แต่งงาน สูงใหญ่แข็งแรง รูปลักษณ์หล่อเหลา กระทำการเด็ดขาดดุดัน” ซ่งชูอีอธิบายเล่าถึงลักษณะของฉินกงอย่างคร่าวๆ จากนั้นก็พูดต่อ “ในบรรดาท่านจวินแห่งเจ็ดมหานครรัฐ ไม่มีบุรุษใดจะดีไปกว่าฉินกงอีกแล้ว หากเจ้าติดตามเขา อาศัยขณะที่ยังมิได้แต่งตั้งมเหสี เอาอกเอาใจให้มากหน่อย มีลูกชายสักคน อนาคตก็จะมั่นคงแล้ว”

จื่อเฉาเม้มปากเล็กน้อย ซ่งชูอีนับว่าปฏิบัติต่อนางดียิ่ง ท้ายที่สุดดูเหมือนว่าจวินองค์ใหม่แห่งรัฐฉินก็ไม่ใช่ผู้ชายที่เลวร้าย นางอยู่ที่นี่ก็จะสามารถมุ่งหน้าสู่ความสำเร็จได้อย่างฉับพลัน ทั้งหมดต้องขอบคุณซ่งชูอี ทว่านาง…

“ท่านมีพระคุณใหญ่หลวง เฉามิอาจตอบแทนได้” จื่อเฉาหมอบไปกับพื้น กัดฟันแล้วกล่าวด้วยเสียงอันดัง “เฉายังคงเป็นสาวบริสุทธิ์ หากท่านไม่รังเกียจ เฉายินดีถวายตัวให้ท่าน”

“แค่ก!” ซ่งชูอีสำลักลมหายใจของตัวเอง ไออยู่สักพักก่อนจะทอดถอนใจเอ่ย “จื่อเฉาเอ๋ย ได้เห็นสาวงามอย่างเจ้า ข้าก็หวั่นไหวยิ่ง ทว่า…เป็นการมีใจแต่ไร้กำลังโดยแท้!”

จื่อเฉาเงยหน้า มองซ่งชูอีด้วยดวงตางดงามเปื้อนน้ำตา

ซ่งชูอีพูดจาค่อนข้างคลุมเครือ ดังนั้นจื่อเฉาจึงตีความหมายเป็นอื่น ‘อายุน้อยเกินไป ยังไม่มีความจำเป็นต่อเรื่องนี้’

แต่ว่า…ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้วเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกส่วนใหญ่ล้วนมีความต้องการประเภทนั้น และหลายคนก็เคยพลอดรักมาแล้ว ในใจจื่อเฉาคิดว่าเพราะท่านมีโรคอะไรที่ไม่สามารถอธิบายได้ซ่อนเร้นไว้หรือเปล่า

ครั้นนึกถึงตรงนี้ จื่อเฉาคิดว่านางไปกระตุ้นความเสียใจของซ่งชูอีเข้า รู้สึกผิดในใจเล็กน้อย น้อมตัวเอ่ย “ถึงกระนั้นแล้วแต่ท่านจะพิจารณา”

วู้———–

ไป๋เริ่นที่อยู่หน้าประตูลุกขึ้นกะทันหัน แยกเขี้ยวไปทางซ้ายมือ

ไม่รู้ว่าเสียงโครมดังมาจากตรงไหน ผู้หญิงคนหนึ่งร้องเสียงแหลม “หมา หมาป่า!”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด