ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 57 ข้าเองก็ไม่ได้พูดเหลวไหล

Now you are reading ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 Chapter 57 ข้าเองก็ไม่ได้พูดเหลวไหล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คำพูดของนางทำให้รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงทันที

เขาหรี่ตาลงกล่าวเสียงหนัก “อาสะใภ้จ้าว ข้าวกินซี้ซั้วได้ แต่คำพูดจะพูดซี้ซั้วไม่ได้นะ”

จ้าวยาจื่อเห็นคนซื่ออย่างเซียวเถี่ยเฟิงเปลี่ยนสีหน้าก็สะดุ้งด้วยความตกใจ นางรีบก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้า…ข้าเองก็ไม่ได้พูดเหลวไหล วันนั้น จ้าวจิ้งเทียนนั่งอยู่หน้าหลุมศพเมียของเขา เมียของเจ้าไปหาแล้วพวกเขาก็นั่งคุยกันอยู่ตรงนั้น สองคนนั้นคุยกันไปส่งยิ้มให้กันไป เมียของเจ้ายังจับมือจ้าวจิ้งเทียนด้วย! ต่อมาเมียของเจ้าไปแล้ว จ้าวจิ้งเทียนก็ยังยืนมองนิ่งอยู่ตรงนั้นตั้งนาน ท่าทางอาลัยอาวรณ์เอามากๆ เลย!”

“คำพูดของอาสะใภ้ร้ายกาจเกินไปแล้ว เมียจิ้งเทียนกระดูกยังไม่ทันเย็น ต่อให้เมียข้าไม่รู้ความแค่ไหนก็คงไม่ถึงขั้นไปทำอะไรกับจิ้งเทียนต่อหน้าหลุมศพของนางแน่ ส่วนจิ้งเทียน เมียของเขาเพิ่งตายไปไม่กี่วัน ลูกก็ตายไปพร้อมกัน เขาเสียใจสักแค่ไหนอาสะใภ้ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ท่านคิดว่าในเวลาแบบนั้น เขายังจะมีอารมณ์คิดเรื่องพรรค์นี้อีกหรือ?”

จ้าวยาจื่อคิดไม่ถึงว่าคนซื่ออย่างเซียวเถี่ยเฟิงจะเป่าหูได้ยากเช่นนี้ นางกระทืบเท้าด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เจ้าไม่เชื่อก็แล้วไป! เอาเป็นว่าข้ามองออกก็แล้วกันว่าสายตาที่จ้าวจิ้งเทียนมองเมียเจ้ามันผิดปกติ! เจ้าไม่เชื่อ ยินดีถูกสวมเขาก็เป็นเรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!”

กล่าวจบก็แค่นเสียงฮึคำหนึ่งแล้วสะบัดหน้าจากไปทันที

เซียวเถี่ยเฟิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปที่เรือนของจ้าวจิ้งเทียน

จริงๆ ที่จ้าวยาจื่อพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพราะสายตาที่จ้าวจิ้งเทียนมองภรรยาของเขาในตอนนั้น จะไม่ให้ผู้คนสงสัยก็คงไม่ได้

ไปถึงใต้ชายคาบ้าน พอผลักประตูเข้าไป เขาก็เห็นกู้จิ้งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเตียงของจ้าวจิ้งเทียน ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองคนกำลังพูดอะไรกันอยู่

จากมุมที่เขายืนอยู่มองไม่เห็นสีหน้าของปีศาจสาว แต่เขากลับมองออกว่าจ้าวจิ้งเทียนกำลังมองนางด้วยสายตาหลงใหล เหมือนกำลังมองคู่รักที่ไม่มีวันได้อยู่ด้วยกัน

จ้าวจิ้งเทียนเห็นเซียวเถี่ยเฟิงกลับมาก็สะดุ้งด้วยความตกใจ เขารีบรั้งสายตากลับไปทันที

ท่าทางของเขาทำให้ความสงสัยยิ่งผุดขึ้นในใจของเซียวเถี่ยเฟิง

แต่เขาก็เลือกจะเก็บความในใจเอาไว้แล้วเดินไปถามกู้จิ้งว่า “จิ้งเทียนเป็นยังไงบ้าง?”

เมื่อครู่ตอนที่ได้ยินจ้าวจิ้งเทียนระบายความในใจ เธอยังอดทอดถอนใจไม่ได้ แต่พอได้เห็นเซียวเถี่ยเฟิง ในสมองของเธอกลับเหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น

เขาเคยชอบซิ่วเฟินมาก… เคยเสี่ยงชีวิตเพื่อนางด้วยนะ…

กู้จิ้งปรายตามองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “เพิ่งตรวจเสร็จ รอแค่แผ่นไม้กับยาเท่านั้น”

เซียวเถี่ยเฟิงกวาดตามองบาดแผลของจ้าวจิ้งเทียน ถึงตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บตรงต้นขา พอนึกถึงภาพที่กู้จิ้งตรวจดูบาดแผลของจ้าวจิ้งเทียน แววตาของเขาก็เยียบเย็นขึ้นหลายส่วน

เมื่อครู่เขาคิดเพียงแค่ว่าบาดแผลของจ้าวจิ้งเทียนจะมัวชักช้าไม่ได้ ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้…

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะรอเป็นเพื่อนเจ้าสักครู่”

ดังนั้นชายสองหญิงหนึ่ง คนหนึ่งนอน อีกสองคนนั่ง ต่างก็นั่งเงียบอยู่ใต้แสงจากตะเกียงน้ำมันพลางจมอยู่กับความในใจของตัวเอง

จนกระทั่งส่วนผสมของยาปากู่ซ่านกับแผ่นไม้, ผ้า, เชือกถูกส่งมา กู้จิ้งค่อยลงมือทำงานอีกครั้ง ก่อนอื่นเธอใช้ผ้ากับเชือกมัดลำตัวของจ้าวจิ้งเทียนเอาไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ใช้แผ่นไม้ตรึงขาที่ได้รับบาดเจ็บของเขาเอาไว้กับที่

เซียวเถี่ยเฟิงคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ

จ้าวจิ้งเทียนซึ่งนอนอยู่บนเตียงแยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวด หน้าผากมีเหงื่อชุ่มโชก ชีวิตนี้เขาไม่เคยเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อนเลย

กู้จิ้งพอกยาปากู่ซ่านให้จ้าวจิ้งเทียนเสร็จก็ทิ้งยาเพนิซิลลินเอาไว้ให้จำนวนหนึ่งพลางกำชับให้เขากินตามเวลา จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอก็ตามเซียวเถี่ยเฟิงกลับบ้าน

พระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงลอยสูง สาดส่องทางเดินคดเคี้ยวบนภูเขาให้เปลี่ยนเป็นสีเงินยวง พื้นดินถูกปกคลุมด้วยใบไม้ร่วง เมื่อเดินผ่านก็จะมีเสียงดังกรอบแกรบ ยามนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว ตอนกลางวันอาจจะยังไม่รู้สึกสักเท่าไหร่ แต่เมื่อมาเดินอยู่บนเขาในยามค่ำคืนเช่นนี้ย่อมอดรู้สึกหนาวไม่ได้

เสื้อผ้าที่เซียวเถี่ยเฟิงเลือกให้ก่อนหน้านี้ย่อมดีมาก แต่ยามนี้มันกลับบางเกินไปสักหน่อย กู้จิ้งยกแขนขึ้นกอดตัวเองเอาไว้

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ก็เอื้อมมือมากอดเธอ

กู้จิ้งขยับแขนเบาๆ เพื่อดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของเขา

ตั้งแต่ได้ยินเรื่องของซิ่วเฟิน เธอก็อยากหาเรื่องเขาอยู่แล้ว

ที่แท้เขาชอบซิ่วเฟินคนนั้นมาตั้งนานแล้ว ก็โตมาด้วยกันนี่นา แถมยังเคยเสี่ยงชีวิตช่วยหล่อนด้วย?

หากต่อไปซิ่วเฟินได้เป็นบรรพบุรุษของยายเธอจริงๆ ก็แล้วไป เธอยอมรับ แต่หากไม่ใช่ ท่านบรรพบุรุษของเธอต้องเสียเปรียบสักแค่ไหน? คนที่ยอมพลีกายนอนเป็นเพื่อนเขามาหลายวันอย่างเธอต้องขาดทุนสักแค่ไหน?

เธออารมณ์ไม่ดี เธออัดอั้นตันใจ เธออยากจะหาเรื่อง!

แต่การกระทำของเธอกลับทำให้เซียวเถี่ยเฟิงเข้าใจผิด

ปีศาจน้อยกับจ้าวจิ้งเทียนอยู่ในห้องด้วยกันตามลำพัง ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันบ้าง แววตาของจ้าวจิ้งเทียนเหมือนอยากจะกลืนกินนางลงไป ซ้ำตอนนี้นางก็ทำท่ารังเกียจเขา ไม่ยอมแม้แต่จะให้เขาแตะต้อง

ไฟโทสะลุกโชนขึ้นในใจของเซียวเถี่ยเฟิง มันอัดแน่นอยู่ในอกจนทำให้อกของเขาเจ็บแปลบราวกับกำลังจะระเบิด

“ผู้ชายอื่นดีขนาดนี้เชียวหรือ? ทำให้เจ้าไม่ยอมให้ข้าแตะต้องอีก?” จู่ๆ เซียวเถี่ยเฟิงก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหึงหวงเต็มที่

“ฮะๆ หมายความว่ายังไง?” เธอเลิกคิ้วขึ้นพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าหมายความว่ายังไง? จิ้งเทียนพูดอะไรกับเจ้ากันแน่?”

“เกี่ยวอะไรกับจิ้งเทียนด้วย ทำไมนายไม่พูดเรื่องของตัวเองล่ะ?”

“ข้าทำไมหรือ?”

“นายบอกมาซิว่า ตอนนั้นระหว่างนายกับจิ้งเทียนเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมนายถึงไปจากหมู่บ้าน แล้วทำไมถึงได้กลับมา?”

ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว ต้องแสดงความหึงหวงออกมาแทนบรรพบุรุษฝ่ายหญิงของตัวเอง!

“ทำไมข้าถึงจากไป และทำไมถึงกลับมางั้นรึ?”

เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว คำพูดเหล่านี้คุ้นหูอยู่บ้าง ดูเหมือนซิ่วเฟินก็เคยถามแบบนี้มาก่อน?

“ใช่ นายบอกมาสิ!”

พร่ำพลอดกันทุกวัน หลงคิดว่าตาอดีตไก่อ่อนนี่เป็นชายหนุ่มบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ที่แท้เขาก็รู้จักจีบผู้หญิงมาตั้งแต่สมัยยังเปลือยก้น! ทำไมคนสมัยโบราณถึงไม่ห้ามมีความรักในวัยเยาว์นะ!

“เจ้า…” เซียวเถี่ยเฟิงกลับคิดว่าเธอไปฟังจ้าวจิ้งเทียนเล่าเรื่องในอดีตมาแล้วก็คิดจะมาออกหน้าเอาเรื่องเขาแทนจ้าวจิ้งเทียน “เจ้าเพิ่งรู้จักจิ้งเทียนได้ไม่กี่วันก็หลงเชื่อเขา นี่คิดจะมาเอาเรื่องข้าแทนเขาอย่างนั้นรึ?”

“นายๆๆ…” กู้จิ้งพูดไม่ออก ถึงเขาจะเป็นบรรพบุรุษแต่ก็ต้องมีเหตุผลไม่ใช่หรือ “อย่าออกนอกเรื่อง บอกมา… บอกมาซิว่าเรื่องของจ้าวจิ้งเทียน เรื่องของซิ่วเฟิน ที่แท้มันเป็นยังไงกันแน่?”

เซียวเถี่ยเฟิงจ้องหญิงสาวที่กำลังโมโหตาเขม็ง เห็นนางโกรธจนตาเปลี่ยนสี สองแก้มแดงก่ำ ทรวงอกเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก็โกรธแค้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

ผู้หญิงคนนี้ยังมีจิตสำนึกอยู่หรือเปล่า? เขาแทบจะควักหัวใจออกมามอบให้นาง แต่นางกลับคิดถึงแต่คนอื่น?

“นายพูดสิ ทำไม? ไม่มีเหตุผลจะอ้างแล้วใช่ไหมล่ะ?”

กู้จิ้งไม่ได้สังเกตสักนิดว่าสีหน้าเขียวคล้ำของชายหนุ่มดูราวกับใกล้จะระเบิดเข้าไปทุกที เธอจึงราดน้ำมันลงในกองไฟไม่หยุด

คราวนี้เซียวเถี่ยเฟิงทนไม่ไหวอีก เขาคว้าร่างเธอมาแบกไว้บนบ่าทันที

“อ๊าย… นายจะทำอะไร?” กู้จิ้งตกใจมาก ท่านี้ไม่สบายเลยสักนิด เธอทุบอกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย สองขาดิ้นรนสุดชีวิต

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ฮัสกี้ก็โผล่ออกมาจากป่าเล็กๆ ด้านข้างแล้วกระดิกหางต้อนรับอย่างดีอกดีใจ

กู้จิ้งร้องตะโกนเสียงดัง “ฮัสกี้ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันด้วย เขาบ้าไปแล้ว!”

แต่ฮัสกี้ซึ่งฟันหักไปซี่หนึ่งแถมยังมีผ้าพันแผลพันอยู่บนปากกลับเอาแต่กระดิกหางเอาอกเอาใจเซียวเถี่ยเฟิง ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของกู้จิ้งสักนิด

ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณบรรพบุรุษ ในที่สุดความแค้นของมันก็ได้รับการชำระ!

“นายเป็นบ้าอะไร!” กู้จิ้งกรีดร้อง

เสียงกรีดร้องซึ่งดังก้องไปทั่วป่ากลับกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นมา

เซียวเถี่ยเฟิงสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็กลับไปถึงถ้ำ เขาโยนร่างเธอลงบนกองหญ้าแล้วเริ่มลงมือทันที

ในถ้ำโทรมๆ แห่งนั้น ชายหนุ่มรูปร่างกำยำกำลังบ้าระห่ำเต็มที่ กู้จิ้งทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งตื่นเต้น เธอจิกบ่าของเขาเอาไว้แน่นพลางส่งเสียงกรีดร้อง

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ขุนเขาทลาย แผ่นดินสะเทือน สึนามิถล่ม กู้จิ้งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับโยนขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะร่วงลงมายังพื้นดินเบื้องล่าง

มีอยู่ชั่ววินาทีหนึ่งที่เธอรู้สึกเหมือนได้เห็นแสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นตรงหน้า สมองของเธอพร่าเลือนไปหมด เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และกำลังทำเรื่องบ้าระห่ำนี้กับใคร

พอตั้งสติได้ เธอก็ลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มร่างกำยำซึ่งกำลังมีเหงื่อไหลซึมเต็มหน้าผากเงียบๆ

เธอพอใจมาก แต่เป็นความพอใจทางกายเท่านั้น ในใจเธอยังไม่พอใจ

พูดสั้นๆ ประโยคเดียว เธอควรจะหาเรื่องต่อ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 57 ข้าเองก็ไม่ได้พูดเหลวไหล

Now you are reading ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 Chapter 57 ข้าเองก็ไม่ได้พูดเหลวไหล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คำพูดของนางทำให้รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงทันที

เขาหรี่ตาลงกล่าวเสียงหนัก “อาสะใภ้จ้าว ข้าวกินซี้ซั้วได้ แต่คำพูดจะพูดซี้ซั้วไม่ได้นะ”

จ้าวยาจื่อเห็นคนซื่ออย่างเซียวเถี่ยเฟิงเปลี่ยนสีหน้าก็สะดุ้งด้วยความตกใจ นางรีบก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้า…ข้าเองก็ไม่ได้พูดเหลวไหล วันนั้น จ้าวจิ้งเทียนนั่งอยู่หน้าหลุมศพเมียของเขา เมียของเจ้าไปหาแล้วพวกเขาก็นั่งคุยกันอยู่ตรงนั้น สองคนนั้นคุยกันไปส่งยิ้มให้กันไป เมียของเจ้ายังจับมือจ้าวจิ้งเทียนด้วย! ต่อมาเมียของเจ้าไปแล้ว จ้าวจิ้งเทียนก็ยังยืนมองนิ่งอยู่ตรงนั้นตั้งนาน ท่าทางอาลัยอาวรณ์เอามากๆ เลย!”

“คำพูดของอาสะใภ้ร้ายกาจเกินไปแล้ว เมียจิ้งเทียนกระดูกยังไม่ทันเย็น ต่อให้เมียข้าไม่รู้ความแค่ไหนก็คงไม่ถึงขั้นไปทำอะไรกับจิ้งเทียนต่อหน้าหลุมศพของนางแน่ ส่วนจิ้งเทียน เมียของเขาเพิ่งตายไปไม่กี่วัน ลูกก็ตายไปพร้อมกัน เขาเสียใจสักแค่ไหนอาสะใภ้ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ท่านคิดว่าในเวลาแบบนั้น เขายังจะมีอารมณ์คิดเรื่องพรรค์นี้อีกหรือ?”

จ้าวยาจื่อคิดไม่ถึงว่าคนซื่ออย่างเซียวเถี่ยเฟิงจะเป่าหูได้ยากเช่นนี้ นางกระทืบเท้าด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เจ้าไม่เชื่อก็แล้วไป! เอาเป็นว่าข้ามองออกก็แล้วกันว่าสายตาที่จ้าวจิ้งเทียนมองเมียเจ้ามันผิดปกติ! เจ้าไม่เชื่อ ยินดีถูกสวมเขาก็เป็นเรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!”

กล่าวจบก็แค่นเสียงฮึคำหนึ่งแล้วสะบัดหน้าจากไปทันที

เซียวเถี่ยเฟิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปที่เรือนของจ้าวจิ้งเทียน

จริงๆ ที่จ้าวยาจื่อพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพราะสายตาที่จ้าวจิ้งเทียนมองภรรยาของเขาในตอนนั้น จะไม่ให้ผู้คนสงสัยก็คงไม่ได้

ไปถึงใต้ชายคาบ้าน พอผลักประตูเข้าไป เขาก็เห็นกู้จิ้งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเตียงของจ้าวจิ้งเทียน ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองคนกำลังพูดอะไรกันอยู่

จากมุมที่เขายืนอยู่มองไม่เห็นสีหน้าของปีศาจสาว แต่เขากลับมองออกว่าจ้าวจิ้งเทียนกำลังมองนางด้วยสายตาหลงใหล เหมือนกำลังมองคู่รักที่ไม่มีวันได้อยู่ด้วยกัน

จ้าวจิ้งเทียนเห็นเซียวเถี่ยเฟิงกลับมาก็สะดุ้งด้วยความตกใจ เขารีบรั้งสายตากลับไปทันที

ท่าทางของเขาทำให้ความสงสัยยิ่งผุดขึ้นในใจของเซียวเถี่ยเฟิง

แต่เขาก็เลือกจะเก็บความในใจเอาไว้แล้วเดินไปถามกู้จิ้งว่า “จิ้งเทียนเป็นยังไงบ้าง?”

เมื่อครู่ตอนที่ได้ยินจ้าวจิ้งเทียนระบายความในใจ เธอยังอดทอดถอนใจไม่ได้ แต่พอได้เห็นเซียวเถี่ยเฟิง ในสมองของเธอกลับเหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น

เขาเคยชอบซิ่วเฟินมาก… เคยเสี่ยงชีวิตเพื่อนางด้วยนะ…

กู้จิ้งปรายตามองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “เพิ่งตรวจเสร็จ รอแค่แผ่นไม้กับยาเท่านั้น”

เซียวเถี่ยเฟิงกวาดตามองบาดแผลของจ้าวจิ้งเทียน ถึงตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บตรงต้นขา พอนึกถึงภาพที่กู้จิ้งตรวจดูบาดแผลของจ้าวจิ้งเทียน แววตาของเขาก็เยียบเย็นขึ้นหลายส่วน

เมื่อครู่เขาคิดเพียงแค่ว่าบาดแผลของจ้าวจิ้งเทียนจะมัวชักช้าไม่ได้ ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้…

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะรอเป็นเพื่อนเจ้าสักครู่”

ดังนั้นชายสองหญิงหนึ่ง คนหนึ่งนอน อีกสองคนนั่ง ต่างก็นั่งเงียบอยู่ใต้แสงจากตะเกียงน้ำมันพลางจมอยู่กับความในใจของตัวเอง

จนกระทั่งส่วนผสมของยาปากู่ซ่านกับแผ่นไม้, ผ้า, เชือกถูกส่งมา กู้จิ้งค่อยลงมือทำงานอีกครั้ง ก่อนอื่นเธอใช้ผ้ากับเชือกมัดลำตัวของจ้าวจิ้งเทียนเอาไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ใช้แผ่นไม้ตรึงขาที่ได้รับบาดเจ็บของเขาเอาไว้กับที่

เซียวเถี่ยเฟิงคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ

จ้าวจิ้งเทียนซึ่งนอนอยู่บนเตียงแยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวด หน้าผากมีเหงื่อชุ่มโชก ชีวิตนี้เขาไม่เคยเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อนเลย

กู้จิ้งพอกยาปากู่ซ่านให้จ้าวจิ้งเทียนเสร็จก็ทิ้งยาเพนิซิลลินเอาไว้ให้จำนวนหนึ่งพลางกำชับให้เขากินตามเวลา จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอก็ตามเซียวเถี่ยเฟิงกลับบ้าน

พระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงลอยสูง สาดส่องทางเดินคดเคี้ยวบนภูเขาให้เปลี่ยนเป็นสีเงินยวง พื้นดินถูกปกคลุมด้วยใบไม้ร่วง เมื่อเดินผ่านก็จะมีเสียงดังกรอบแกรบ ยามนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว ตอนกลางวันอาจจะยังไม่รู้สึกสักเท่าไหร่ แต่เมื่อมาเดินอยู่บนเขาในยามค่ำคืนเช่นนี้ย่อมอดรู้สึกหนาวไม่ได้

เสื้อผ้าที่เซียวเถี่ยเฟิงเลือกให้ก่อนหน้านี้ย่อมดีมาก แต่ยามนี้มันกลับบางเกินไปสักหน่อย กู้จิ้งยกแขนขึ้นกอดตัวเองเอาไว้

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ก็เอื้อมมือมากอดเธอ

กู้จิ้งขยับแขนเบาๆ เพื่อดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของเขา

ตั้งแต่ได้ยินเรื่องของซิ่วเฟิน เธอก็อยากหาเรื่องเขาอยู่แล้ว

ที่แท้เขาชอบซิ่วเฟินคนนั้นมาตั้งนานแล้ว ก็โตมาด้วยกันนี่นา แถมยังเคยเสี่ยงชีวิตช่วยหล่อนด้วย?

หากต่อไปซิ่วเฟินได้เป็นบรรพบุรุษของยายเธอจริงๆ ก็แล้วไป เธอยอมรับ แต่หากไม่ใช่ ท่านบรรพบุรุษของเธอต้องเสียเปรียบสักแค่ไหน? คนที่ยอมพลีกายนอนเป็นเพื่อนเขามาหลายวันอย่างเธอต้องขาดทุนสักแค่ไหน?

เธออารมณ์ไม่ดี เธออัดอั้นตันใจ เธออยากจะหาเรื่อง!

แต่การกระทำของเธอกลับทำให้เซียวเถี่ยเฟิงเข้าใจผิด

ปีศาจน้อยกับจ้าวจิ้งเทียนอยู่ในห้องด้วยกันตามลำพัง ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันบ้าง แววตาของจ้าวจิ้งเทียนเหมือนอยากจะกลืนกินนางลงไป ซ้ำตอนนี้นางก็ทำท่ารังเกียจเขา ไม่ยอมแม้แต่จะให้เขาแตะต้อง

ไฟโทสะลุกโชนขึ้นในใจของเซียวเถี่ยเฟิง มันอัดแน่นอยู่ในอกจนทำให้อกของเขาเจ็บแปลบราวกับกำลังจะระเบิด

“ผู้ชายอื่นดีขนาดนี้เชียวหรือ? ทำให้เจ้าไม่ยอมให้ข้าแตะต้องอีก?” จู่ๆ เซียวเถี่ยเฟิงก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหึงหวงเต็มที่

“ฮะๆ หมายความว่ายังไง?” เธอเลิกคิ้วขึ้นพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าหมายความว่ายังไง? จิ้งเทียนพูดอะไรกับเจ้ากันแน่?”

“เกี่ยวอะไรกับจิ้งเทียนด้วย ทำไมนายไม่พูดเรื่องของตัวเองล่ะ?”

“ข้าทำไมหรือ?”

“นายบอกมาซิว่า ตอนนั้นระหว่างนายกับจิ้งเทียนเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมนายถึงไปจากหมู่บ้าน แล้วทำไมถึงได้กลับมา?”

ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว ต้องแสดงความหึงหวงออกมาแทนบรรพบุรุษฝ่ายหญิงของตัวเอง!

“ทำไมข้าถึงจากไป และทำไมถึงกลับมางั้นรึ?”

เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว คำพูดเหล่านี้คุ้นหูอยู่บ้าง ดูเหมือนซิ่วเฟินก็เคยถามแบบนี้มาก่อน?

“ใช่ นายบอกมาสิ!”

พร่ำพลอดกันทุกวัน หลงคิดว่าตาอดีตไก่อ่อนนี่เป็นชายหนุ่มบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ที่แท้เขาก็รู้จักจีบผู้หญิงมาตั้งแต่สมัยยังเปลือยก้น! ทำไมคนสมัยโบราณถึงไม่ห้ามมีความรักในวัยเยาว์นะ!

“เจ้า…” เซียวเถี่ยเฟิงกลับคิดว่าเธอไปฟังจ้าวจิ้งเทียนเล่าเรื่องในอดีตมาแล้วก็คิดจะมาออกหน้าเอาเรื่องเขาแทนจ้าวจิ้งเทียน “เจ้าเพิ่งรู้จักจิ้งเทียนได้ไม่กี่วันก็หลงเชื่อเขา นี่คิดจะมาเอาเรื่องข้าแทนเขาอย่างนั้นรึ?”

“นายๆๆ…” กู้จิ้งพูดไม่ออก ถึงเขาจะเป็นบรรพบุรุษแต่ก็ต้องมีเหตุผลไม่ใช่หรือ “อย่าออกนอกเรื่อง บอกมา… บอกมาซิว่าเรื่องของจ้าวจิ้งเทียน เรื่องของซิ่วเฟิน ที่แท้มันเป็นยังไงกันแน่?”

เซียวเถี่ยเฟิงจ้องหญิงสาวที่กำลังโมโหตาเขม็ง เห็นนางโกรธจนตาเปลี่ยนสี สองแก้มแดงก่ำ ทรวงอกเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก็โกรธแค้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

ผู้หญิงคนนี้ยังมีจิตสำนึกอยู่หรือเปล่า? เขาแทบจะควักหัวใจออกมามอบให้นาง แต่นางกลับคิดถึงแต่คนอื่น?

“นายพูดสิ ทำไม? ไม่มีเหตุผลจะอ้างแล้วใช่ไหมล่ะ?”

กู้จิ้งไม่ได้สังเกตสักนิดว่าสีหน้าเขียวคล้ำของชายหนุ่มดูราวกับใกล้จะระเบิดเข้าไปทุกที เธอจึงราดน้ำมันลงในกองไฟไม่หยุด

คราวนี้เซียวเถี่ยเฟิงทนไม่ไหวอีก เขาคว้าร่างเธอมาแบกไว้บนบ่าทันที

“อ๊าย… นายจะทำอะไร?” กู้จิ้งตกใจมาก ท่านี้ไม่สบายเลยสักนิด เธอทุบอกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย สองขาดิ้นรนสุดชีวิต

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ฮัสกี้ก็โผล่ออกมาจากป่าเล็กๆ ด้านข้างแล้วกระดิกหางต้อนรับอย่างดีอกดีใจ

กู้จิ้งร้องตะโกนเสียงดัง “ฮัสกี้ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันด้วย เขาบ้าไปแล้ว!”

แต่ฮัสกี้ซึ่งฟันหักไปซี่หนึ่งแถมยังมีผ้าพันแผลพันอยู่บนปากกลับเอาแต่กระดิกหางเอาอกเอาใจเซียวเถี่ยเฟิง ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของกู้จิ้งสักนิด

ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณบรรพบุรุษ ในที่สุดความแค้นของมันก็ได้รับการชำระ!

“นายเป็นบ้าอะไร!” กู้จิ้งกรีดร้อง

เสียงกรีดร้องซึ่งดังก้องไปทั่วป่ากลับกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นมา

เซียวเถี่ยเฟิงสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็กลับไปถึงถ้ำ เขาโยนร่างเธอลงบนกองหญ้าแล้วเริ่มลงมือทันที

ในถ้ำโทรมๆ แห่งนั้น ชายหนุ่มรูปร่างกำยำกำลังบ้าระห่ำเต็มที่ กู้จิ้งทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งตื่นเต้น เธอจิกบ่าของเขาเอาไว้แน่นพลางส่งเสียงกรีดร้อง

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ขุนเขาทลาย แผ่นดินสะเทือน สึนามิถล่ม กู้จิ้งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับโยนขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะร่วงลงมายังพื้นดินเบื้องล่าง

มีอยู่ชั่ววินาทีหนึ่งที่เธอรู้สึกเหมือนได้เห็นแสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นตรงหน้า สมองของเธอพร่าเลือนไปหมด เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และกำลังทำเรื่องบ้าระห่ำนี้กับใคร

พอตั้งสติได้ เธอก็ลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มร่างกำยำซึ่งกำลังมีเหงื่อไหลซึมเต็มหน้าผากเงียบๆ

เธอพอใจมาก แต่เป็นความพอใจทางกายเท่านั้น ในใจเธอยังไม่พอใจ

พูดสั้นๆ ประโยคเดียว เธอควรจะหาเรื่องต่อ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+