ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 61 ข้าไม่ได้ว่านางแบบนี้

Now you are reading ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 Chapter 61 ข้าไม่ได้ว่านางแบบนี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คำพูดนี้ขัดหูเซียวเถี่ยเฟิงมาก เขาปรายตามองซิ่วเฟินพลางขมวดคิ้วแน่น “ซิ่วเฟิน นางอาจจะไม่รู้ความและพูดจาไม่ค่อยถูกหูไปบ้าง แต่นางมีจิตใจดี ไม่มีทางทะเลาะกับคนอื่นโดยไร้เหตุผลเด็ดขาด อยู่ดีๆ ทำไมเจ้าต้องว่านางแบบนี้ด้วย? ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ว่าก็ไม่ควรกุเรื่องเหลวไหลแบบนี้ไม่ใช่หรือ?”

ไม่ว่าผู้ชายคนไหนได้ยินคนอื่นว่าผู้หญิงของตนเองเช่นนี้ก็คงไม่พอใจด้วยกันทั้งนั้น

ซิ่วเฟินน้อยใจมาก “ข้าไม่ได้ว่านางแบบนี้ นางเสแสร้ง คนอย่างนางเล่นละครเก่ง เจ้าเล่ห์แสนกล!”

กู้จิ้งซึ่งหลบอยู่ด้านหลังเซียวเถี่ยเฟิงกล่าวเบาๆ ว่า “เธอกล้าสาบานต่อสวรรค์ไหมล่ะว่าเธอไม่ได้พูด เธอพูดชัดๆ ไม่ใช่หรือว่า ‘นี่เป็นนางปีศาจจิ้งจอก ใช่ต้าเซียนอะไรเสียที่ไหน นี่มันนางปีศาจจิ้งจอกที่ดีแต่ยั่วยวนผู้ชายชัดๆ!’ ”

กู้จิ้งเลียนแบบน้ำเสียงของซิ่วเฟินได้เหมือนมาก แม้กระทั่งสำเนียงพูดก็แทบจะไม่แตกต่าง ไม่ว่าใครฟังแล้วย่อมรู้ทันทีว่าซิ่วเฟินเคยพูดแบบนี้จริง ไม่เช่นนั้นคนที่ไม่สนิทกับซิ่วเฟินอย่างกู้จิ้งจะพูดออกมาได้อย่างไร

สีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาจ้องซิ่วเฟินด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าพูดแบบนี้กับนาง? นางเป็นเมียของข้า หากเจ้าเห็นแก่มิตรภาพที่เรามีต่อกันมาตั้งแต่เด็กบ้าง เจ้าก็คงจะไม่รังแกนางแบบนี้!”

ระหว่างที่เซียวเถี่ยเฟิงพูด กู้จิ้งซึ่งหลบอยู่ด้านหลังก็แลบลิ้นใส่ซิ่วเฟินด้วยท่าทางได้ใจเต็มที่

ซิ่วเฟินยิ่งทั้งโกรธทั้งน้อยใจ “นางพูดเหลวไหล ข้าเคยพูดแบบนั้นตั้งนานแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ได้พูด ท่านดูนางสิ ดูท่าทางโอหังของนาง นางจงใจใส่ร้ายข้า!”

แต่เห็นได้ชัดว่าเซียวเถี่ยเฟิงไม่เชื่อคำพูดของนาง

“ในเมื่อเจ้ายอมรับว่าเจ้าเป็นคนพูด แล้วจะเป็นการใส่ร้ายได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าบอกว่าเคยพูดแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว หมายความว่าเจ้ารังแกนางมานานแล้วอย่างนั้นรึ? นางไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟังเลย ครั้งนี้คงถูกข่มเหงมากก็เลยสุดจะทนแล้วสินะ”

“ไม่นะ! เพิ่งจะเมื่อครู่ ไม่สิ ไม่ใช่เมื่อครู่…”

ซิ่วเฟินมีปากแต่ไม่อาจแก้ตัว ซ้ำผู้หญิงที่ด้านหลังของเซียวเถี่ยเฟิงยังทำท่าเยาะหยันนางอีกด้วย

“ท่าน…ท่านเชื่อนางแต่ไม่เชื่อข้า!”

ได้ยินเช่นนี้ กู้จิ้งก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที เธอรีบราดน้ำมันลงในกองไฟอีก “ท่านพี่ พี่ชายคนดี หล่อนพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? เมื่อก่อนพวกนายเคยมีอะไรกันอย่างนั้นหรือ? ฉันเป็นเมียนาย แล้วหล่อนเป็นอะไรกับนาย? ถ้านายยังทำแบบนี้ ฉัน…ฉันก็ไม่อยากอยู่แล้ว…”

เซียวเถี่ยเฟิงฟังแล้วสมองพองโตขึ้นมาทันที เขากลัวกู้จิ้งเข้าใจผิด ดังนั้นจึงรีบปลอบใจว่า “เสี่ยวจิ้งเอ๋อ อย่าคิดเหลวไหล ข้ากับนางจะมีอะไรกันได้ยังไง เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กก็จริง แต่นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก”

“นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก?” ซิ่วเฟินไม่อยากเชื่อ มองดูผู้ชายคนนี้เอาอกเอาใจภรรยาจนออกนอกหน้าแล้วย้อนกลับมาคิดถึงสภาพที่แสนน่าอนาถของตัวเอง นางก็กัดฟันถามออกมาทีละคำด้วยความโกรธแค้นแกมโศกเศร้า

“แล้วจะมีอะไรอีก?” เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว ตามองซิ่วเฟินด้วยความไม่เข้าใจ

ถึงตอนนี้ผู้คนรอบด้านก็พากันล้อมวงเข้ามาดูพลางวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน

ซิ่วเฟินรู้สึกเสียหน้า นางมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยความสิ้นหวัง จากนั้นก็ร้องไห้โฮออกมาก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าแล้ววิ่งหนีไป

หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ กู้จิ้งคิดว่าแม่ม่ายซิ่วเฟินอะไรนี่น่าจะหมดหวังในตัวท่านบรรพบุรุษของเธอแล้ว ดังนั้นเธอจึงรีบช่วยเซียวเถี่ยเฟิงยกสัตว์ที่ล่ามาได้ขึ้นไปไว้บนรถลากอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็บงการให้เขาลากอยู่ด้านหน้า ส่วนตัวเองช่วยดันอยู่ด้านหลัง

“อุ้งตีนหมีต้องเก็บรักษาอย่างไรหรือ? เราต้องรีบเอาไปขายในเมือง” กู้จิ้งเริ่มลงมือแบ่งแยกประเภท

“อุ้งตีนหมีไม่ขาย เก็บไว้ให้เจ้ากิน” เซียวเถี่ยเฟิงคิดว่ามีของดีย่อมต้องเก็บไว้ให้ภรรยา ไยต้องเสียดายไม่กล้ากินเพราะเห็นแก่เงินเล็กๆ น้อยๆ ด้วย

“ตกลง” กู้จิ้งเองก็ไม่ใช่คนตระหนี่ มีกินก็กิน ก็ชีวิตแสนสุขนี่นา

“โสมหัวนี้ใหญ่ น่าจะมีอายุสองร้อยปีได้ เราจะเอาไปขาย”

“อืมๆ” ได้เงินมาเอาไปซื้อของอร่อยกิน!

“ส่วนหมาป่าตัวนี้ เราจะถลกหนังมันออกมาทำเสื้อผ้า จากนั้นก็เลาะเขี้ยวออกมาทำสร้อยคอให้เจ้า”

สร้อย? สร้อยคอเขี้ยวหมาป่า?

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ดวงตาก็เปล่งประกายเจิดจ้า เธอมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

“ใช่” เซียวเถี่ยเฟิงมองสีหน้าคาดหวังของปีศาจน้อยแล้วก็ยิ้มออกมาบ้าง เขาลูบลำคอขาวผ่องของเธอเบาๆ “ทำสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าให้เจ้า”

 

(กู้จิ้ง: คนที่มีสิทธิ์เป็นบรรพบุรุษฝ่ายหญิงสองคน คนหนึ่งถูกหล่อนข่มขวัญจนสติแตก ส่วนอีกคนก็โมโหจนแทบจะอกแตกตาย หล่อนยังจะเอายังไงอีก แบมือ)

 

กู้จิ้งอยากได้สร้อยคอเขี้ยวหมาป่าที่เซียวเถี่ยเฟิงพูดถึงมาก เธอเคยได้ยินคุณยายเล่าว่า บรรพบุรุษตระกูลเซียวมีสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าตกทอดมาเส้นหนึ่ง แต่ภายหลังเกิดภัยสงคราม มันถูกโจรกลุ่มหนึ่งแย่งชิงไป สร้อยคอเขี้ยวหมาป่าจึงหายสาบสูญไปนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ผ่านไปหลายปี ลูกหลานตระกูลเซียวซึ่งอยู่ที่ต่างประเทศไปเจอสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าเส้นนั้นที่บริติชมิวเซียมเข้าโดยบังเอิญก็เลยจ่ายเงินก้อนใหญ่ประมูลกลับมาเก็บรักษาเอาไว้ ว่ากันว่าเดิมคิดจะส่งกลับมาเก็บไว้ที่ศาลบรรพบุรุษตระกูลเซียวที่เขาเว่ยอวิ๋น แต่ตอนนั้นประเทศจีนตกอยู่ในภาวะระส่ำระสาย ลูกหลานตระกูลเซียวซึ่งอยู่ที่เขาเว่ยอวิ๋นก็เลยขอให้ลูกหลานตระกูลเซียวซึ่งอยู่ที่อังกฤษเก็บรักษาไว้ชั่วคราวก่อน

ต่อมาสถานการณ์ในบ้านเมืองสงบลง แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา สร้อยคอเขี้ยวหมาป่าเส้นนี้ไม่ได้ถูกส่งกลับมาที่เขาเว่ยอวิ๋น แต่ตกอยู่ในมือของลูกหลานตระกูลเซียวสายอังกฤษมาโดยตลอด ทุกปีในวันขึ้นปีใหม่ ลูกหลานตระกูลเซียวสายอังกฤษจะไปทำความเคารพสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าเส้นนี้ ถือเป็นการปลอบขวัญลูกหลานที่ต้องพลัดพรากไปจากบ้านเกิดเมืองนอนทางหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ พอกู้จิ้งได้ยินคำว่าสร้อยคอเขี้ยวหมาป่า เธอก็เข้าใจทันที บางทีสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษเส้นนั้น อาจมีที่มาจากท่านบรรพบุรุษตรงหน้าคนนี้ก็ได้

เธอโผเข้าไปจับมือเซียวเถี่ยเฟิงด้วยความตื่นเต้น “เอา ฉันอยากได้สร้อยคอเขี้ยวหมาป่า”

เห็นนางชอบเช่นนี้ เขาจะไม่ทำให้นางได้อย่างไร “ได้ๆๆ ข้ารู้แล้ว รอให้ข้าจัดการชำแหละหมาป่าตัวนี้ก่อน จากนั้นค่อยเอาเขี้ยวหมาป่าไปให้ช่างในเมืองแกะสลักเป็นสร้อยให้เจ้า แบบนั้นถึงจะสวย”

“ตกลง”

หลังจากนั้น กู้จิ้งก็นั่งดูว่าเซียวเถี่ยเฟิงจะจัดการกับหมาป่าตัวนั้นอย่างไร

เขาถลกหนังมันออกมาก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ เลาะเขี้ยวออกมาวางไว้ข้างๆ อย่างระมัดระวัง

“เอาไว้ข้าจะเอาหนังหมาป่านี่ไปให้ช่างในเมืองทำเสื้อคลุมให้เจ้า อีกไม่นานอากาศก็หนาวแล้ว เจ้ายังไม่มีเสื้อผ้าสำหรับกันหนาวเลย”

“แล้วนายล่ะ?”

“ข้ายังมีอยู่ที่บ้านหลายตัว เอามาใส่ก่อนได้ แถมจะว่าไป ข้าเองก็หนังหนาไม่กลัวหนาวหรอก”

เซียวเถี่ยเฟิงแล่เนื้อหมาป่าเสร็จก็เอาไปใส่หม้อต้ม เนื้อหมาป่าต้องตุ๋นทิ้งไว้นานๆ ถึงจะกินได้ เซียวเถี่ยเฟิงเองก็ไม่เร่งร้อน เขาจึงค่อยๆ ตุ๋นมันด้วยไฟอ่อนๆ

ระหว่างที่ตุ๋นเนื้อหมาป่า ทั้งสองก็จัดการกับสัตว์อื่นๆ ไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอุ้งตีนหมี ย่อมถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี

เซียวเถี่ยเฟิงไปหาดินเค็มจำนวนหนึ่งมาจากบ่อเกลือที่เชิงเขา นำมาเคี่ยวจนได้เกลือ จากนั้นก็เริ่มใช้ถ่านย่างอุ้งตีนหมี เขาตัดขนของมันให้สั้น เอาไปแช่น้ำให้นิ่ม จากนั้นก็เอาดินเหนียวกับหญ้าแห้งมาผสมเข้าด้วยกันแล้วหุ้มอุ้งตีนหมีเอาไว้ เสร็จแล้วเก็บไว้ในขวดโหล ปิดฝาให้แน่น

กู้จิ้งเห็นเขาทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความนับถือ

ใจคิดว่าท่านบรรพบุรุษไม่เสียทีที่เป็นท่านบรรพบุรุษ เชี่ยวชาญไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าจะฆ่าหมาป่าล่าหมีก็ชำนาญไปเสียหมด

ตกเย็น เนื้อหมาป่าตุ๋นจนได้ที่ เซียวเถี่ยเฟิงใช้ชามกระเบื้องใบเล็กๆ ตักน้ำมันหมาป่าที่ลอยบนผิวหน้าขึ้นมา จากนั้นก็เทใส่ชามกลับไปกลับมาเพื่อขจัดส่วนที่เป็นน้ำทิ้ง

“นี่เป็นน้ำมันหมาป่า ใช้รักษาบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ดีมาก เราเก็บเอาไว้ใช้นิดหน่อย ส่วนที่เหลือเอาไปขายที่ร้านขายยาได้”

ถึงกู้จิ้งจะเกิดและเติบโตขึ้นมาในภูเขา แต่ในยุคสมัยของเธอ ผู้คนล่าหมาป่าได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำมันหมาป่ามีสรรพคุณเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงประหลาดใจมาก พอหายประหลาดใจ เธอก็เข้าไปช่วยเซียวเถี่ยเฟิงกรอกน้ำมันหมาป่าใส่ขวดใบเล็กๆ เตรียมนำไปขายในวันพรุ่งนี้

คืนวันนั้นทั้งสองนำเนื้อหมาป่าออกมาตากทิ้งไว้ จากนั้นก็เอาอุ้งตีนหมีมานึ่งกิน อุ้งตีนหมีนั้นทั้งนุ่มทั้งอร่อย เรียกได้ว่าเป็นอาหารเลิศรสอย่างไม่มีอะไรเทียบเลยทีเดียว

กินเสร็จ เธอควักเบียร์กระป๋องหนึ่งออกมาดื่มด้วยความพึงพอใจ

ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสเช่นนี้ จะขาดเบียร์ไปได้อย่างไร

“มา เรามาดื่มเบียร์ด้วยกัน” พูดจบเธอก็ดึงฝากระป๋องให้เปิดออก

เซียวเถี่ยเฟิงมองเธอหยิบของประหลาดออกมา จากนั้นเพียงสิ้นเสียงดังป๊อก ก็มีไอสีขาวเย็นๆ ลอยออกมาจากของประหลาดนั้น เซียวเถี่ยเฟิงประหลาดใจไม่น้อย ใจคิดว่าใครๆ บอกว่าเมื่อปีศาจปรากฏตัวจะมีไอสีขาวลอยวนอยู่รอบๆ ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงสินะ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 61 ข้าไม่ได้ว่านางแบบนี้

Now you are reading ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 Chapter 61 ข้าไม่ได้ว่านางแบบนี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คำพูดนี้ขัดหูเซียวเถี่ยเฟิงมาก เขาปรายตามองซิ่วเฟินพลางขมวดคิ้วแน่น “ซิ่วเฟิน นางอาจจะไม่รู้ความและพูดจาไม่ค่อยถูกหูไปบ้าง แต่นางมีจิตใจดี ไม่มีทางทะเลาะกับคนอื่นโดยไร้เหตุผลเด็ดขาด อยู่ดีๆ ทำไมเจ้าต้องว่านางแบบนี้ด้วย? ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ว่าก็ไม่ควรกุเรื่องเหลวไหลแบบนี้ไม่ใช่หรือ?”

ไม่ว่าผู้ชายคนไหนได้ยินคนอื่นว่าผู้หญิงของตนเองเช่นนี้ก็คงไม่พอใจด้วยกันทั้งนั้น

ซิ่วเฟินน้อยใจมาก “ข้าไม่ได้ว่านางแบบนี้ นางเสแสร้ง คนอย่างนางเล่นละครเก่ง เจ้าเล่ห์แสนกล!”

กู้จิ้งซึ่งหลบอยู่ด้านหลังเซียวเถี่ยเฟิงกล่าวเบาๆ ว่า “เธอกล้าสาบานต่อสวรรค์ไหมล่ะว่าเธอไม่ได้พูด เธอพูดชัดๆ ไม่ใช่หรือว่า ‘นี่เป็นนางปีศาจจิ้งจอก ใช่ต้าเซียนอะไรเสียที่ไหน นี่มันนางปีศาจจิ้งจอกที่ดีแต่ยั่วยวนผู้ชายชัดๆ!’ ”

กู้จิ้งเลียนแบบน้ำเสียงของซิ่วเฟินได้เหมือนมาก แม้กระทั่งสำเนียงพูดก็แทบจะไม่แตกต่าง ไม่ว่าใครฟังแล้วย่อมรู้ทันทีว่าซิ่วเฟินเคยพูดแบบนี้จริง ไม่เช่นนั้นคนที่ไม่สนิทกับซิ่วเฟินอย่างกู้จิ้งจะพูดออกมาได้อย่างไร

สีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาจ้องซิ่วเฟินด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าพูดแบบนี้กับนาง? นางเป็นเมียของข้า หากเจ้าเห็นแก่มิตรภาพที่เรามีต่อกันมาตั้งแต่เด็กบ้าง เจ้าก็คงจะไม่รังแกนางแบบนี้!”

ระหว่างที่เซียวเถี่ยเฟิงพูด กู้จิ้งซึ่งหลบอยู่ด้านหลังก็แลบลิ้นใส่ซิ่วเฟินด้วยท่าทางได้ใจเต็มที่

ซิ่วเฟินยิ่งทั้งโกรธทั้งน้อยใจ “นางพูดเหลวไหล ข้าเคยพูดแบบนั้นตั้งนานแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ได้พูด ท่านดูนางสิ ดูท่าทางโอหังของนาง นางจงใจใส่ร้ายข้า!”

แต่เห็นได้ชัดว่าเซียวเถี่ยเฟิงไม่เชื่อคำพูดของนาง

“ในเมื่อเจ้ายอมรับว่าเจ้าเป็นคนพูด แล้วจะเป็นการใส่ร้ายได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าบอกว่าเคยพูดแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว หมายความว่าเจ้ารังแกนางมานานแล้วอย่างนั้นรึ? นางไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟังเลย ครั้งนี้คงถูกข่มเหงมากก็เลยสุดจะทนแล้วสินะ”

“ไม่นะ! เพิ่งจะเมื่อครู่ ไม่สิ ไม่ใช่เมื่อครู่…”

ซิ่วเฟินมีปากแต่ไม่อาจแก้ตัว ซ้ำผู้หญิงที่ด้านหลังของเซียวเถี่ยเฟิงยังทำท่าเยาะหยันนางอีกด้วย

“ท่าน…ท่านเชื่อนางแต่ไม่เชื่อข้า!”

ได้ยินเช่นนี้ กู้จิ้งก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที เธอรีบราดน้ำมันลงในกองไฟอีก “ท่านพี่ พี่ชายคนดี หล่อนพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? เมื่อก่อนพวกนายเคยมีอะไรกันอย่างนั้นหรือ? ฉันเป็นเมียนาย แล้วหล่อนเป็นอะไรกับนาย? ถ้านายยังทำแบบนี้ ฉัน…ฉันก็ไม่อยากอยู่แล้ว…”

เซียวเถี่ยเฟิงฟังแล้วสมองพองโตขึ้นมาทันที เขากลัวกู้จิ้งเข้าใจผิด ดังนั้นจึงรีบปลอบใจว่า “เสี่ยวจิ้งเอ๋อ อย่าคิดเหลวไหล ข้ากับนางจะมีอะไรกันได้ยังไง เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กก็จริง แต่นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก”

“นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก?” ซิ่วเฟินไม่อยากเชื่อ มองดูผู้ชายคนนี้เอาอกเอาใจภรรยาจนออกนอกหน้าแล้วย้อนกลับมาคิดถึงสภาพที่แสนน่าอนาถของตัวเอง นางก็กัดฟันถามออกมาทีละคำด้วยความโกรธแค้นแกมโศกเศร้า

“แล้วจะมีอะไรอีก?” เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว ตามองซิ่วเฟินด้วยความไม่เข้าใจ

ถึงตอนนี้ผู้คนรอบด้านก็พากันล้อมวงเข้ามาดูพลางวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน

ซิ่วเฟินรู้สึกเสียหน้า นางมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยความสิ้นหวัง จากนั้นก็ร้องไห้โฮออกมาก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าแล้ววิ่งหนีไป

หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ กู้จิ้งคิดว่าแม่ม่ายซิ่วเฟินอะไรนี่น่าจะหมดหวังในตัวท่านบรรพบุรุษของเธอแล้ว ดังนั้นเธอจึงรีบช่วยเซียวเถี่ยเฟิงยกสัตว์ที่ล่ามาได้ขึ้นไปไว้บนรถลากอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็บงการให้เขาลากอยู่ด้านหน้า ส่วนตัวเองช่วยดันอยู่ด้านหลัง

“อุ้งตีนหมีต้องเก็บรักษาอย่างไรหรือ? เราต้องรีบเอาไปขายในเมือง” กู้จิ้งเริ่มลงมือแบ่งแยกประเภท

“อุ้งตีนหมีไม่ขาย เก็บไว้ให้เจ้ากิน” เซียวเถี่ยเฟิงคิดว่ามีของดีย่อมต้องเก็บไว้ให้ภรรยา ไยต้องเสียดายไม่กล้ากินเพราะเห็นแก่เงินเล็กๆ น้อยๆ ด้วย

“ตกลง” กู้จิ้งเองก็ไม่ใช่คนตระหนี่ มีกินก็กิน ก็ชีวิตแสนสุขนี่นา

“โสมหัวนี้ใหญ่ น่าจะมีอายุสองร้อยปีได้ เราจะเอาไปขาย”

“อืมๆ” ได้เงินมาเอาไปซื้อของอร่อยกิน!

“ส่วนหมาป่าตัวนี้ เราจะถลกหนังมันออกมาทำเสื้อผ้า จากนั้นก็เลาะเขี้ยวออกมาทำสร้อยคอให้เจ้า”

สร้อย? สร้อยคอเขี้ยวหมาป่า?

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ดวงตาก็เปล่งประกายเจิดจ้า เธอมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

“ใช่” เซียวเถี่ยเฟิงมองสีหน้าคาดหวังของปีศาจน้อยแล้วก็ยิ้มออกมาบ้าง เขาลูบลำคอขาวผ่องของเธอเบาๆ “ทำสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าให้เจ้า”

 

(กู้จิ้ง: คนที่มีสิทธิ์เป็นบรรพบุรุษฝ่ายหญิงสองคน คนหนึ่งถูกหล่อนข่มขวัญจนสติแตก ส่วนอีกคนก็โมโหจนแทบจะอกแตกตาย หล่อนยังจะเอายังไงอีก แบมือ)

 

กู้จิ้งอยากได้สร้อยคอเขี้ยวหมาป่าที่เซียวเถี่ยเฟิงพูดถึงมาก เธอเคยได้ยินคุณยายเล่าว่า บรรพบุรุษตระกูลเซียวมีสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าตกทอดมาเส้นหนึ่ง แต่ภายหลังเกิดภัยสงคราม มันถูกโจรกลุ่มหนึ่งแย่งชิงไป สร้อยคอเขี้ยวหมาป่าจึงหายสาบสูญไปนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ผ่านไปหลายปี ลูกหลานตระกูลเซียวซึ่งอยู่ที่ต่างประเทศไปเจอสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าเส้นนั้นที่บริติชมิวเซียมเข้าโดยบังเอิญก็เลยจ่ายเงินก้อนใหญ่ประมูลกลับมาเก็บรักษาเอาไว้ ว่ากันว่าเดิมคิดจะส่งกลับมาเก็บไว้ที่ศาลบรรพบุรุษตระกูลเซียวที่เขาเว่ยอวิ๋น แต่ตอนนั้นประเทศจีนตกอยู่ในภาวะระส่ำระสาย ลูกหลานตระกูลเซียวซึ่งอยู่ที่เขาเว่ยอวิ๋นก็เลยขอให้ลูกหลานตระกูลเซียวซึ่งอยู่ที่อังกฤษเก็บรักษาไว้ชั่วคราวก่อน

ต่อมาสถานการณ์ในบ้านเมืองสงบลง แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา สร้อยคอเขี้ยวหมาป่าเส้นนี้ไม่ได้ถูกส่งกลับมาที่เขาเว่ยอวิ๋น แต่ตกอยู่ในมือของลูกหลานตระกูลเซียวสายอังกฤษมาโดยตลอด ทุกปีในวันขึ้นปีใหม่ ลูกหลานตระกูลเซียวสายอังกฤษจะไปทำความเคารพสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าเส้นนี้ ถือเป็นการปลอบขวัญลูกหลานที่ต้องพลัดพรากไปจากบ้านเกิดเมืองนอนทางหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ พอกู้จิ้งได้ยินคำว่าสร้อยคอเขี้ยวหมาป่า เธอก็เข้าใจทันที บางทีสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษเส้นนั้น อาจมีที่มาจากท่านบรรพบุรุษตรงหน้าคนนี้ก็ได้

เธอโผเข้าไปจับมือเซียวเถี่ยเฟิงด้วยความตื่นเต้น “เอา ฉันอยากได้สร้อยคอเขี้ยวหมาป่า”

เห็นนางชอบเช่นนี้ เขาจะไม่ทำให้นางได้อย่างไร “ได้ๆๆ ข้ารู้แล้ว รอให้ข้าจัดการชำแหละหมาป่าตัวนี้ก่อน จากนั้นค่อยเอาเขี้ยวหมาป่าไปให้ช่างในเมืองแกะสลักเป็นสร้อยให้เจ้า แบบนั้นถึงจะสวย”

“ตกลง”

หลังจากนั้น กู้จิ้งก็นั่งดูว่าเซียวเถี่ยเฟิงจะจัดการกับหมาป่าตัวนั้นอย่างไร

เขาถลกหนังมันออกมาก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ เลาะเขี้ยวออกมาวางไว้ข้างๆ อย่างระมัดระวัง

“เอาไว้ข้าจะเอาหนังหมาป่านี่ไปให้ช่างในเมืองทำเสื้อคลุมให้เจ้า อีกไม่นานอากาศก็หนาวแล้ว เจ้ายังไม่มีเสื้อผ้าสำหรับกันหนาวเลย”

“แล้วนายล่ะ?”

“ข้ายังมีอยู่ที่บ้านหลายตัว เอามาใส่ก่อนได้ แถมจะว่าไป ข้าเองก็หนังหนาไม่กลัวหนาวหรอก”

เซียวเถี่ยเฟิงแล่เนื้อหมาป่าเสร็จก็เอาไปใส่หม้อต้ม เนื้อหมาป่าต้องตุ๋นทิ้งไว้นานๆ ถึงจะกินได้ เซียวเถี่ยเฟิงเองก็ไม่เร่งร้อน เขาจึงค่อยๆ ตุ๋นมันด้วยไฟอ่อนๆ

ระหว่างที่ตุ๋นเนื้อหมาป่า ทั้งสองก็จัดการกับสัตว์อื่นๆ ไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอุ้งตีนหมี ย่อมถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี

เซียวเถี่ยเฟิงไปหาดินเค็มจำนวนหนึ่งมาจากบ่อเกลือที่เชิงเขา นำมาเคี่ยวจนได้เกลือ จากนั้นก็เริ่มใช้ถ่านย่างอุ้งตีนหมี เขาตัดขนของมันให้สั้น เอาไปแช่น้ำให้นิ่ม จากนั้นก็เอาดินเหนียวกับหญ้าแห้งมาผสมเข้าด้วยกันแล้วหุ้มอุ้งตีนหมีเอาไว้ เสร็จแล้วเก็บไว้ในขวดโหล ปิดฝาให้แน่น

กู้จิ้งเห็นเขาทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความนับถือ

ใจคิดว่าท่านบรรพบุรุษไม่เสียทีที่เป็นท่านบรรพบุรุษ เชี่ยวชาญไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าจะฆ่าหมาป่าล่าหมีก็ชำนาญไปเสียหมด

ตกเย็น เนื้อหมาป่าตุ๋นจนได้ที่ เซียวเถี่ยเฟิงใช้ชามกระเบื้องใบเล็กๆ ตักน้ำมันหมาป่าที่ลอยบนผิวหน้าขึ้นมา จากนั้นก็เทใส่ชามกลับไปกลับมาเพื่อขจัดส่วนที่เป็นน้ำทิ้ง

“นี่เป็นน้ำมันหมาป่า ใช้รักษาบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ดีมาก เราเก็บเอาไว้ใช้นิดหน่อย ส่วนที่เหลือเอาไปขายที่ร้านขายยาได้”

ถึงกู้จิ้งจะเกิดและเติบโตขึ้นมาในภูเขา แต่ในยุคสมัยของเธอ ผู้คนล่าหมาป่าได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำมันหมาป่ามีสรรพคุณเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงประหลาดใจมาก พอหายประหลาดใจ เธอก็เข้าไปช่วยเซียวเถี่ยเฟิงกรอกน้ำมันหมาป่าใส่ขวดใบเล็กๆ เตรียมนำไปขายในวันพรุ่งนี้

คืนวันนั้นทั้งสองนำเนื้อหมาป่าออกมาตากทิ้งไว้ จากนั้นก็เอาอุ้งตีนหมีมานึ่งกิน อุ้งตีนหมีนั้นทั้งนุ่มทั้งอร่อย เรียกได้ว่าเป็นอาหารเลิศรสอย่างไม่มีอะไรเทียบเลยทีเดียว

กินเสร็จ เธอควักเบียร์กระป๋องหนึ่งออกมาดื่มด้วยความพึงพอใจ

ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสเช่นนี้ จะขาดเบียร์ไปได้อย่างไร

“มา เรามาดื่มเบียร์ด้วยกัน” พูดจบเธอก็ดึงฝากระป๋องให้เปิดออก

เซียวเถี่ยเฟิงมองเธอหยิบของประหลาดออกมา จากนั้นเพียงสิ้นเสียงดังป๊อก ก็มีไอสีขาวเย็นๆ ลอยออกมาจากของประหลาดนั้น เซียวเถี่ยเฟิงประหลาดใจไม่น้อย ใจคิดว่าใครๆ บอกว่าเมื่อปีศาจปรากฏตัวจะมีไอสีขาวลอยวนอยู่รอบๆ ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงสินะ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+