ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 64 นายเคยได้ยินมาก่อนไหม?

Now you are reading ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 Chapter 64 นายเคยได้ยินมาก่อนไหม? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

รอจนกระทั่งเซียวเถี่ยเฟิงจ่ายเงินเสร็จแล้วพากู้จิ้งเดินออกไป คุณชายคนนั้นถึงได้ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “คนคนนี้หน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”

ชายมีอายุทั้งสองต่างชะโงกหน้ามองออกไปด้านนอก เห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ประดับผมด้วยปิ่นไม้ธรรมดา นอกจากผู้ชายคนนั้นดูสูงใหญ่น่าเกรงขาม ผู้หญิงคนนั้นสูงเพรียวกว่าสตรีทั่วไปแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษ พวกเขาจึงอดส่ายหน้าไม่ได้

“แค่ก็ชาวบ้านป่าธรรมดา ต่อให้ได้ยินก็คงไม่เข้าใจหรอก”

คุณชายได้ยินเช่นนี้ แม้ในใจจะยังสงสัย แต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจอีก

ฝ่ายกู้จิ้ง หลังจากได้ยินบทสนทนาของคนกลุ่มนั้น ในใจก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ชื่อจอกหยกมรกตหลิงหลงคุ้นหูเธอมาก เพราะมันเป็นของชิ้นหนึ่งซึ่งถูกตั้งบูชาไว้ในศาลบรรพชนตระกูลเซียว

มันก็เหมือนกับสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าซึ่งหายสาบสูญไประหว่างการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ แต่สุดท้ายก็ถูกลูกหลานตระกูลเซียวตามกลับมาได้ ในที่สุดก็ตกทอดมาถึงมือของลูกชายคนโตของตระกูลเซียวรุ่นปัจจุบัน น้าชายคนโตตัวอ้วนดำของเธอ

“คิดอะไรอยู่หรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเธอใจลอยก็อดเอ่ยถามไม่ได้

“พี่ล่ำ เมื่อครู่พวกเขาพูดถึงจอกหยกมรกตอะไรกัน นายเคยได้ยินมาก่อนไหม?” กู้จิ้งลองหยั่งเชิง

เธอไม่ค่อยรู้รายละเอียดนัก ถ้าจอกหยกมรกตหลิงหลงเป็นสมบัติล้ำค่าซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลเซียว แล้วมันกลายมาเป็นสมบัติของตระกูลเซียวในยุคไหนสมัยไหนกันแน่?

เธอเคยเห็นจารึกของตระกูลเซียว แต่เสียดายที่มันเขียนด้วยตัวอักษรตัวเต็มแถมยังเขียนในแนวตั้ง แค่มองดูก็ปวดหัว เธอขี้เกียจก็เลยไม่ได้ตั้งใจอ่าน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจอกหยกมรกตหลิงหลงกลายมาเป็นสมบัติของตระกูลเซียวตั้งแต่เมื่อไหร่

“เรื่องนี้…” เซียวเถี่ยเฟิงลังเลเล็กน้อย แต่จากนั้นก็พูดว่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อน คงจะเป็นของในบ้านคนมีเงินล่ะมั้ง”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจทันที

ดูท่าในยุคสมัยนี้จอกหยกมรกตหลิงหลงยังไม่ได้เป็นสมบัติของตระกูลเซียว ต้องผ่านไปอีกสักระยะ บางทีลูกหลานรุ่นหลังอาจจะได้มันมาไว้ในมือ จากนั้นก็ตกทอดต่อไปเรื่อยๆ

“เจ้าชอบของพวกนั้นหรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงไม่เคยสนใจพวกเครื่องทองเครื่องหยกสักนิด แต่เขาไม่รู้ว่าปีศาจอย่างกู้จิ้งชอบหรือไม่

“ก็ไม่ใช่…” กู้จิ้งพูดกลบเกลื่อน “จริงๆ แล้ว… จริงๆ แล้วจอกหยกมรกตหลิงหลงเป็นสมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของฉัน”

“สมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเจ้า?” เซียวเถี่ยเฟิงประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงว่าเธอยังมีครอบครัว แถมยังมีสมบัติตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ซ้ำสมบัติชิ้นนี้ยังอยู่ในโลกมนุษย์อีกด้วย

กู้จิ้งพูดโกหกก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เห็นเซียวเถี่ยเฟิงประหลาดใจเช่นนี้ก็จำต้องแต่งเรื่องต่อ

“ใช่ ครอบครัวฉันมีจอกหยกมรกตหลิงหลงที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่จนใจที่มันหายสาบสูญไป คิดไม่ถึงเลยว่าจะตกไปอยู่ในมือของอู่อ๋องอะไรนั่น”

กล่าวจบก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาคงจับไม่ได้ว่าเธอโกหกหรอกนะ?

จริงๆ กู้จิ้งมีแผนการอยู่ในใจ เธอคิดว่าในเมื่อช้าเร็วมันก็ต้องเป็นสมบัติของตระกูลเซียว ในฐานะบรรพบุรุษ เซียวเถี่ยเฟิงก็น่าจะใส่ใจให้มาก ถึงจะแย่งมาไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่ามีของชิ้นนี้อยู่ ลูกหลานรุ่นหลังจะได้ไม่ต้องกลุ้มใจมากนัก

แต่เซียวเถี่ยเฟิงกลับมองเธอด้วยความสงสัย ประเด็นที่เขาสนใจก็เป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึง

“ที่บ้านเจ้ายังมีใครอยู่บ้าง?”

“บ้านฉัน?” กู้จิ้งคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามเรื่องนี้ เธอจึงตอบแบบขอไปทีว่า “มีสิ ยายฉัน แม่ฉัน แล้วก็น้าชายอีกโขยงหนึ่ง…”

เซียวเถี่ยเฟิงฟังแล้วประหลาดใจมาก เขาจ้องเธออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอ

“เจ้าออกมาแบบนี้ ไม่คิดถึงพวกเขาหรือ?”

คำพูดนี้แทงใจดำเข้าพอดี

กู้จิ้งหลับตาลงพลางถอนใจ “จริงๆ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้จากโลกที่เคยอยู่มาที่นี่ แต่ตอนนี้เกรงว่า…เกรงว่าคงจะกลับไปไม่ได้แล้ว”

กลับไปไม่ได้แล้ว?

เซียวเถี่ยเฟิงก้มลงมองสีหน้าเซื่องซึมของกู้จิ้ง ความรู้สึกสงสารผุดขึ้นในหัวใจ เขาเอื้อมมือไปรั้งเธอมากอดเอาไว้เบาๆ พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ในเมื่อกลับไปไม่ได้ เจ้าก็อยู่ที่นี่ ข้าจะดูแลเจ้าเอง”

“อืม ฉันรู้”

กู้จิ้งยกมือขึ้นกอดเขาบ้าง

เธอซบหน้าแนบกับแผงอกหนา เธอย่อมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีที่ไปที่อื่น มีแต่ต้องพึ่งพาเขาเท่านั้น

“จอกหยกมรกตหลิงหลงนั่นเป็นสมบัติของครอบครัวเจ้ามาก่อนหรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว ใจอดคิดไม่ได้ว่า หรือมันจะเป็นเวทศาสตราในโลกปีศาจ แต่พลัดหลงเข้ามาอยู่ในโลกมนุษย์ สุดท้ายก็ตกไปอยู่ในมืออนุของอู่อ๋อง?

“ใช่” กู้จิ้งถอนใจอีก “แต่ไม่เป็นไร ช้าเร็วต้องมีสักวันที่มันจะกลับมาอยู่ในมือของคนตระกูลฉัน ไม่ต้องรีบร้อน”

นี่เป็นเรื่องของวงศ์ตระกูล ปู่ทำไม่ได้ก็ให้ลูกทำ ลูกทำไม่ได้ก็ให้หลานทำ สรุปแล้ว หลังจากผ่านไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า หลังจากนี้หนึ่งพันปี มันต้องตกอยู่ในมือของคนตระกูลเซียวแห่งเขาเว่ยอวิ๋นแน่

แต่เห็นได้ชัดว่าเซียวเถี่ยเฟิงไม่เข้าใจความคิดที่แท้จริงของเธอ เขาคิดว่าเธอถอนใจเพราะเสียใจที่สมบัติของตระกูลตกไปอยู่ในมือคนนอก เอากลับคืนมาไม่ได้

เขากุมมือเธอเอาไว้ สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

คืนนั้น เซียวเถี่ยเฟิงพากู้จิ้งไปเดินเล่นในตลาดนัดกลางคืนของเมืองจูเฉิง

ในตลาดกลางคืนมีการแสดงปาหี่และข้าวของให้ซื้อหามากมาย ทำให้บรรยากาศคึกคักมาก กู้จิ้งเดินไปๆ ก็ชอบของชิ้นนั้น เดินไปๆ ก็ชอบของชิ้นนี้ เซียวเถี่ยเฟิงก็ซื้อๆๆ ให้ทั้งหมด

สุดท้ายเซียวเถี่ยเฟิงยังพากู้จิ้งไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้อยาสมุนไพรที่เธอต้องการ เช่น ต้นหยางจื๋อจู๋, รากดอกมะลิ, ตังกุย, ต้นชางผู ฯลฯ

กู้จิ้งกังวลอยู่บ้าง “เราคงไม่ได้ใช้เงินจนหมดหรอกนะ ประหยัดหน่อยดีไหม?”

ถึงเธอจะไม่ได้เป็นคนมองการณ์ไกล แต่พอนึกถึงคุณยาย เธอก็รู้สึกว่าสมควรเหลืออะไรไว้ให้ลูกหลานบ้าง

เซียวเถี่ยเฟิงตบศีรษะเธอเบาๆ พลางกล่าวยิ้มๆ “เราเพิ่งขายของได้เงินมาไม่ใช่หรือ?”

“ถ้าใช้หมดล่ะ?”

“ใช้หมดก็หาใหม่”

กู้จิ้งคิดดูรู้สึกว่ามีเหตุผล ดังนั้นจึงไม่ถามอะไรอีก

คืนนั้นทั้งสองไม่ได้กลับขึ้นไปบนเขา แต่ไปพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมซึ่งเคยมาพักเมื่อครั้งก่อน เถ้าแก่โรงเตี๊ยมพาพวกเขาไปยังห้องที่เคยพักด้วยท่าทางนอบน้อม แถมยังนำชาและอาหารชั้นดีมาต้อนรับโดยไม่คิดเงินอีกด้วย

ทั้งคู่คลุกวงในกันอยู่บนเตียงตลอดทั้งคืน สุดท้ายกู้จิ้งก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนแรง

ความคิดสุดท้ายในสมองก่อนที่จะหลับไปคือ นับวันพี่ล่ำก็มีเรี่ยวแรงมากขึ้น แถมยังเชี่ยวชาญมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

ขนาดคือต้นทุนของการปฏิวัติ หากมีพร้อมทั้งขนาด + เทคนิค ย่อมไร้ผู้ต้านทาน

วันรุ่งขึ้น ทั้งสองกลับขึ้นไปบนเขา เพิ่งเดินไปถึงถ้ำก็ได้ยินเสียงทะเลาะดุเดือดดังมาจากด้านหน้า ทั้งสองสบตากันด้วยความงุนงง พอเดินเข้าไปใกล้แล้วตั้งใจเงี่ยหูฟังถึงได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ที่แท้ผู้ป่วยหนักเมื่อหลายวันก่อนหายดีเป็นปกติแล้ว พ่อแม่ของเขาก็เลยนำเครื่องเซ่นไหว้สามอย่างรวมทั้งผลไม้ชนิดต่างๆ ตีฆ้องร้องป่าว เดินหนึ่งก้าวโขกศีรษะหนึ่งครั้งมาขอบคุณต้าเซียนที่ช่วยชีวิตลูกของพวกเขาเอาไว้ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พ่อแม่ของชุนเถาก็พาคนกลุ่มหนึ่งซึ่งสวมชุดนักพรต ถือแส้กับยันต์ไว้ในมือมาถึง บอกว่าจะมาจับปีศาจ

คนสองกลุ่มมาเจอกัน ต่างฝ่ายต่างพูดเหตุผลของตัวเอง ไปๆ มาๆ ก็ทะเลาะกันอย่างดุเดือด

“ตอนนั้นลูกของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้กระทั่งท่านหมอเหลิ่งก็จนปัญญา หากไม่ใช่ต้าเซียนช่วยชีวิตลูกของข้าเอาไว้ ลูกของข้าก็คงตายไปแล้ว เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าท่านเป็นปีศาจ ไม่ใช่ต้าเซียน? หากเป็นปีศาจ จะช่วยชีวิตผู้คนเช่นนี้หรือ? แถมจะว่าไป ต่อให้เป็นปีศาจแล้วจะทำไม ปีศาจที่ช่วยคนก็นับว่าเป็นปีศาจที่ดี!”

คำพูดที่หนักแน่นเต็มไปด้วยเหตุผลเช่นนี้ทำให้ผู้คนรอบด้านพากันปรบมือเสียงดัง

“ผายลมชัดๆ! ดูชุนเถาของข้าสิ ตกใจจนมีสภาพอย่างไรไปแล้ว? ชุนเถาของข้าเป็นหญิงสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี กำลังจะแต่งงานได้แล้วแท้ๆ คิดไม่ถึงว่าถูกนางปีศาจนั่นข่มขู่ครั้งเดียวก็กลายเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ พูดจาเหลวไหลเหมือนคนบ้าแบบนี้! ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางปีศาจนั่น พวกเจ้าบอกว่านางเป็นต้าเซียน ต้าเซียนจะทำเรื่องแบบนี้ได้หรือ? ลูกของพวกเจ้ารอดชีวิต แล้วลูกสาวของข้าล่ะ ข้าจะไปเอาเรื่องกับใครได้!”

ระหว่างที่พูดก็ปาดน้ำตาไปด้วย

คนที่แม่ของชุนเถาพามาเห็นเช่นนี้ บ้างก็ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ บ้างก็โกรธแค้นนัก “ปีศาจเช่นนี้จะเก็บไว้ทำไม!”

กู้จิ้งขมวดคิ้วพลางขยับเข้าไปใกล้เซียวเถี่ยเฟิงอย่างระมัดระวัง “นี่ จะทำอย่างไรดี?”

เซียวเถี่ยเฟิงกวาดตามองคนเหล่านั้นด้วยสายตาเรียบเฉย จากนั้นจึงจับมือของกู้จิ้งเอาไว้แล้วพูดว่า “จุ๊ๆ ให้พวกเขาทะเลาะกันไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าอ้อมไปอีกทางหนึ่ง”

ไม่นานนักทั้งสองก็กลับไปถึงถ้ำ หลังจากพักดื่มน้ำแล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือจัดถ้ำเสียใหม่

ตอนนี้อากาศกำลังเย็นลงเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจจะหนาวตายได้ เซียวเถี่ยเฟิงจึงทำประตูไม้ปิดปากถ้ำเอาไว้ จากนั้นก็ยัดหญ้าแห้งใส่ร่องเหนือประตูจนเต็ม ทำให้พอจะกันลมหนาวได้บ้าง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 64 นายเคยได้ยินมาก่อนไหม?

Now you are reading ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 Chapter 64 นายเคยได้ยินมาก่อนไหม? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

รอจนกระทั่งเซียวเถี่ยเฟิงจ่ายเงินเสร็จแล้วพากู้จิ้งเดินออกไป คุณชายคนนั้นถึงได้ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “คนคนนี้หน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”

ชายมีอายุทั้งสองต่างชะโงกหน้ามองออกไปด้านนอก เห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ประดับผมด้วยปิ่นไม้ธรรมดา นอกจากผู้ชายคนนั้นดูสูงใหญ่น่าเกรงขาม ผู้หญิงคนนั้นสูงเพรียวกว่าสตรีทั่วไปแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษ พวกเขาจึงอดส่ายหน้าไม่ได้

“แค่ก็ชาวบ้านป่าธรรมดา ต่อให้ได้ยินก็คงไม่เข้าใจหรอก”

คุณชายได้ยินเช่นนี้ แม้ในใจจะยังสงสัย แต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจอีก

ฝ่ายกู้จิ้ง หลังจากได้ยินบทสนทนาของคนกลุ่มนั้น ในใจก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ชื่อจอกหยกมรกตหลิงหลงคุ้นหูเธอมาก เพราะมันเป็นของชิ้นหนึ่งซึ่งถูกตั้งบูชาไว้ในศาลบรรพชนตระกูลเซียว

มันก็เหมือนกับสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าซึ่งหายสาบสูญไประหว่างการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ แต่สุดท้ายก็ถูกลูกหลานตระกูลเซียวตามกลับมาได้ ในที่สุดก็ตกทอดมาถึงมือของลูกชายคนโตของตระกูลเซียวรุ่นปัจจุบัน น้าชายคนโตตัวอ้วนดำของเธอ

“คิดอะไรอยู่หรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเธอใจลอยก็อดเอ่ยถามไม่ได้

“พี่ล่ำ เมื่อครู่พวกเขาพูดถึงจอกหยกมรกตอะไรกัน นายเคยได้ยินมาก่อนไหม?” กู้จิ้งลองหยั่งเชิง

เธอไม่ค่อยรู้รายละเอียดนัก ถ้าจอกหยกมรกตหลิงหลงเป็นสมบัติล้ำค่าซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลเซียว แล้วมันกลายมาเป็นสมบัติของตระกูลเซียวในยุคไหนสมัยไหนกันแน่?

เธอเคยเห็นจารึกของตระกูลเซียว แต่เสียดายที่มันเขียนด้วยตัวอักษรตัวเต็มแถมยังเขียนในแนวตั้ง แค่มองดูก็ปวดหัว เธอขี้เกียจก็เลยไม่ได้ตั้งใจอ่าน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจอกหยกมรกตหลิงหลงกลายมาเป็นสมบัติของตระกูลเซียวตั้งแต่เมื่อไหร่

“เรื่องนี้…” เซียวเถี่ยเฟิงลังเลเล็กน้อย แต่จากนั้นก็พูดว่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อน คงจะเป็นของในบ้านคนมีเงินล่ะมั้ง”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจทันที

ดูท่าในยุคสมัยนี้จอกหยกมรกตหลิงหลงยังไม่ได้เป็นสมบัติของตระกูลเซียว ต้องผ่านไปอีกสักระยะ บางทีลูกหลานรุ่นหลังอาจจะได้มันมาไว้ในมือ จากนั้นก็ตกทอดต่อไปเรื่อยๆ

“เจ้าชอบของพวกนั้นหรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงไม่เคยสนใจพวกเครื่องทองเครื่องหยกสักนิด แต่เขาไม่รู้ว่าปีศาจอย่างกู้จิ้งชอบหรือไม่

“ก็ไม่ใช่…” กู้จิ้งพูดกลบเกลื่อน “จริงๆ แล้ว… จริงๆ แล้วจอกหยกมรกตหลิงหลงเป็นสมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของฉัน”

“สมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเจ้า?” เซียวเถี่ยเฟิงประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงว่าเธอยังมีครอบครัว แถมยังมีสมบัติตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ซ้ำสมบัติชิ้นนี้ยังอยู่ในโลกมนุษย์อีกด้วย

กู้จิ้งพูดโกหกก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เห็นเซียวเถี่ยเฟิงประหลาดใจเช่นนี้ก็จำต้องแต่งเรื่องต่อ

“ใช่ ครอบครัวฉันมีจอกหยกมรกตหลิงหลงที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่จนใจที่มันหายสาบสูญไป คิดไม่ถึงเลยว่าจะตกไปอยู่ในมือของอู่อ๋องอะไรนั่น”

กล่าวจบก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาคงจับไม่ได้ว่าเธอโกหกหรอกนะ?

จริงๆ กู้จิ้งมีแผนการอยู่ในใจ เธอคิดว่าในเมื่อช้าเร็วมันก็ต้องเป็นสมบัติของตระกูลเซียว ในฐานะบรรพบุรุษ เซียวเถี่ยเฟิงก็น่าจะใส่ใจให้มาก ถึงจะแย่งมาไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่ามีของชิ้นนี้อยู่ ลูกหลานรุ่นหลังจะได้ไม่ต้องกลุ้มใจมากนัก

แต่เซียวเถี่ยเฟิงกลับมองเธอด้วยความสงสัย ประเด็นที่เขาสนใจก็เป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึง

“ที่บ้านเจ้ายังมีใครอยู่บ้าง?”

“บ้านฉัน?” กู้จิ้งคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามเรื่องนี้ เธอจึงตอบแบบขอไปทีว่า “มีสิ ยายฉัน แม่ฉัน แล้วก็น้าชายอีกโขยงหนึ่ง…”

เซียวเถี่ยเฟิงฟังแล้วประหลาดใจมาก เขาจ้องเธออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอ

“เจ้าออกมาแบบนี้ ไม่คิดถึงพวกเขาหรือ?”

คำพูดนี้แทงใจดำเข้าพอดี

กู้จิ้งหลับตาลงพลางถอนใจ “จริงๆ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้จากโลกที่เคยอยู่มาที่นี่ แต่ตอนนี้เกรงว่า…เกรงว่าคงจะกลับไปไม่ได้แล้ว”

กลับไปไม่ได้แล้ว?

เซียวเถี่ยเฟิงก้มลงมองสีหน้าเซื่องซึมของกู้จิ้ง ความรู้สึกสงสารผุดขึ้นในหัวใจ เขาเอื้อมมือไปรั้งเธอมากอดเอาไว้เบาๆ พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ในเมื่อกลับไปไม่ได้ เจ้าก็อยู่ที่นี่ ข้าจะดูแลเจ้าเอง”

“อืม ฉันรู้”

กู้จิ้งยกมือขึ้นกอดเขาบ้าง

เธอซบหน้าแนบกับแผงอกหนา เธอย่อมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีที่ไปที่อื่น มีแต่ต้องพึ่งพาเขาเท่านั้น

“จอกหยกมรกตหลิงหลงนั่นเป็นสมบัติของครอบครัวเจ้ามาก่อนหรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว ใจอดคิดไม่ได้ว่า หรือมันจะเป็นเวทศาสตราในโลกปีศาจ แต่พลัดหลงเข้ามาอยู่ในโลกมนุษย์ สุดท้ายก็ตกไปอยู่ในมืออนุของอู่อ๋อง?

“ใช่” กู้จิ้งถอนใจอีก “แต่ไม่เป็นไร ช้าเร็วต้องมีสักวันที่มันจะกลับมาอยู่ในมือของคนตระกูลฉัน ไม่ต้องรีบร้อน”

นี่เป็นเรื่องของวงศ์ตระกูล ปู่ทำไม่ได้ก็ให้ลูกทำ ลูกทำไม่ได้ก็ให้หลานทำ สรุปแล้ว หลังจากผ่านไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า หลังจากนี้หนึ่งพันปี มันต้องตกอยู่ในมือของคนตระกูลเซียวแห่งเขาเว่ยอวิ๋นแน่

แต่เห็นได้ชัดว่าเซียวเถี่ยเฟิงไม่เข้าใจความคิดที่แท้จริงของเธอ เขาคิดว่าเธอถอนใจเพราะเสียใจที่สมบัติของตระกูลตกไปอยู่ในมือคนนอก เอากลับคืนมาไม่ได้

เขากุมมือเธอเอาไว้ สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

คืนนั้น เซียวเถี่ยเฟิงพากู้จิ้งไปเดินเล่นในตลาดนัดกลางคืนของเมืองจูเฉิง

ในตลาดกลางคืนมีการแสดงปาหี่และข้าวของให้ซื้อหามากมาย ทำให้บรรยากาศคึกคักมาก กู้จิ้งเดินไปๆ ก็ชอบของชิ้นนั้น เดินไปๆ ก็ชอบของชิ้นนี้ เซียวเถี่ยเฟิงก็ซื้อๆๆ ให้ทั้งหมด

สุดท้ายเซียวเถี่ยเฟิงยังพากู้จิ้งไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้อยาสมุนไพรที่เธอต้องการ เช่น ต้นหยางจื๋อจู๋, รากดอกมะลิ, ตังกุย, ต้นชางผู ฯลฯ

กู้จิ้งกังวลอยู่บ้าง “เราคงไม่ได้ใช้เงินจนหมดหรอกนะ ประหยัดหน่อยดีไหม?”

ถึงเธอจะไม่ได้เป็นคนมองการณ์ไกล แต่พอนึกถึงคุณยาย เธอก็รู้สึกว่าสมควรเหลืออะไรไว้ให้ลูกหลานบ้าง

เซียวเถี่ยเฟิงตบศีรษะเธอเบาๆ พลางกล่าวยิ้มๆ “เราเพิ่งขายของได้เงินมาไม่ใช่หรือ?”

“ถ้าใช้หมดล่ะ?”

“ใช้หมดก็หาใหม่”

กู้จิ้งคิดดูรู้สึกว่ามีเหตุผล ดังนั้นจึงไม่ถามอะไรอีก

คืนนั้นทั้งสองไม่ได้กลับขึ้นไปบนเขา แต่ไปพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมซึ่งเคยมาพักเมื่อครั้งก่อน เถ้าแก่โรงเตี๊ยมพาพวกเขาไปยังห้องที่เคยพักด้วยท่าทางนอบน้อม แถมยังนำชาและอาหารชั้นดีมาต้อนรับโดยไม่คิดเงินอีกด้วย

ทั้งคู่คลุกวงในกันอยู่บนเตียงตลอดทั้งคืน สุดท้ายกู้จิ้งก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนแรง

ความคิดสุดท้ายในสมองก่อนที่จะหลับไปคือ นับวันพี่ล่ำก็มีเรี่ยวแรงมากขึ้น แถมยังเชี่ยวชาญมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

ขนาดคือต้นทุนของการปฏิวัติ หากมีพร้อมทั้งขนาด + เทคนิค ย่อมไร้ผู้ต้านทาน

วันรุ่งขึ้น ทั้งสองกลับขึ้นไปบนเขา เพิ่งเดินไปถึงถ้ำก็ได้ยินเสียงทะเลาะดุเดือดดังมาจากด้านหน้า ทั้งสองสบตากันด้วยความงุนงง พอเดินเข้าไปใกล้แล้วตั้งใจเงี่ยหูฟังถึงได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ที่แท้ผู้ป่วยหนักเมื่อหลายวันก่อนหายดีเป็นปกติแล้ว พ่อแม่ของเขาก็เลยนำเครื่องเซ่นไหว้สามอย่างรวมทั้งผลไม้ชนิดต่างๆ ตีฆ้องร้องป่าว เดินหนึ่งก้าวโขกศีรษะหนึ่งครั้งมาขอบคุณต้าเซียนที่ช่วยชีวิตลูกของพวกเขาเอาไว้ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พ่อแม่ของชุนเถาก็พาคนกลุ่มหนึ่งซึ่งสวมชุดนักพรต ถือแส้กับยันต์ไว้ในมือมาถึง บอกว่าจะมาจับปีศาจ

คนสองกลุ่มมาเจอกัน ต่างฝ่ายต่างพูดเหตุผลของตัวเอง ไปๆ มาๆ ก็ทะเลาะกันอย่างดุเดือด

“ตอนนั้นลูกของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้กระทั่งท่านหมอเหลิ่งก็จนปัญญา หากไม่ใช่ต้าเซียนช่วยชีวิตลูกของข้าเอาไว้ ลูกของข้าก็คงตายไปแล้ว เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าท่านเป็นปีศาจ ไม่ใช่ต้าเซียน? หากเป็นปีศาจ จะช่วยชีวิตผู้คนเช่นนี้หรือ? แถมจะว่าไป ต่อให้เป็นปีศาจแล้วจะทำไม ปีศาจที่ช่วยคนก็นับว่าเป็นปีศาจที่ดี!”

คำพูดที่หนักแน่นเต็มไปด้วยเหตุผลเช่นนี้ทำให้ผู้คนรอบด้านพากันปรบมือเสียงดัง

“ผายลมชัดๆ! ดูชุนเถาของข้าสิ ตกใจจนมีสภาพอย่างไรไปแล้ว? ชุนเถาของข้าเป็นหญิงสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี กำลังจะแต่งงานได้แล้วแท้ๆ คิดไม่ถึงว่าถูกนางปีศาจนั่นข่มขู่ครั้งเดียวก็กลายเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ พูดจาเหลวไหลเหมือนคนบ้าแบบนี้! ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางปีศาจนั่น พวกเจ้าบอกว่านางเป็นต้าเซียน ต้าเซียนจะทำเรื่องแบบนี้ได้หรือ? ลูกของพวกเจ้ารอดชีวิต แล้วลูกสาวของข้าล่ะ ข้าจะไปเอาเรื่องกับใครได้!”

ระหว่างที่พูดก็ปาดน้ำตาไปด้วย

คนที่แม่ของชุนเถาพามาเห็นเช่นนี้ บ้างก็ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ บ้างก็โกรธแค้นนัก “ปีศาจเช่นนี้จะเก็บไว้ทำไม!”

กู้จิ้งขมวดคิ้วพลางขยับเข้าไปใกล้เซียวเถี่ยเฟิงอย่างระมัดระวัง “นี่ จะทำอย่างไรดี?”

เซียวเถี่ยเฟิงกวาดตามองคนเหล่านั้นด้วยสายตาเรียบเฉย จากนั้นจึงจับมือของกู้จิ้งเอาไว้แล้วพูดว่า “จุ๊ๆ ให้พวกเขาทะเลาะกันไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าอ้อมไปอีกทางหนึ่ง”

ไม่นานนักทั้งสองก็กลับไปถึงถ้ำ หลังจากพักดื่มน้ำแล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือจัดถ้ำเสียใหม่

ตอนนี้อากาศกำลังเย็นลงเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจจะหนาวตายได้ เซียวเถี่ยเฟิงจึงทำประตูไม้ปิดปากถ้ำเอาไว้ จากนั้นก็ยัดหญ้าแห้งใส่ร่องเหนือประตูจนเต็ม ทำให้พอจะกันลมหนาวได้บ้าง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+