ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 126.2

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 126.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
เรียกราคาเกินควร

 

 

 

ผู้ใหญ่บ้านถามขึ้น “สามข้อมีอะไรบ้าง”

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้พูด “ข้อหนึ่ง พวกเขาต้องชดให้ให้พวกเราหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง พวกเราสามแม่ลูกคนละห้าสิบตำลึง”

 

 

คนที่มามุงดูเรื่องสนุกร้องอุทาน เงินหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง กล้าเรียกเกินไปแล้ว

 

 

แม่จางจู้พูดอย่างเกรี้ยวกราด “ถุย อย่าว่าหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง ตำลึงเดียวก็ไม่มี ฝันไปเถอะ”

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้ไม่สนใจ พูดต่อ “ข้อสอง พวกเขายังต้องชดใช้ผ้าแพรพรรณและเครื่องประดับ พวกเราไม่โลภมาก ขอเพียงหลานเอ๋อร์มอบผ้าแพรพรรณที่นำมาวันนี้กับเครื่องประดับบนศีรษะนางให้พวกเราก็พอ”

 

 

กลุ่มคนส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำมือแน่น

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้เอ่ยปากพูดต่อ “ข้อสาม พวกเขาจักต้องรับปากเรื่องงานแต่งงานของเฉ่าเอ๋อร์และหลานชายคนโตของพวกเขา”

 

 

กลุ่มคนส่งเสียงฮือฮา คนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยเป็นคนงานในโรงงาน ย่อมรู้ว่าตอนนี้บ้านเมิ่งร่ำรวย อาสะใภ้รองของจางจู้ยื่นข้อเสนอเช่นนี้ เห็นชัดว่าหวังเกาะกินบ้านเมิ่ง

 

 

สองสามีภรรยาเมิ่งไม่คิดว่าพวกเขาจะยื่นข้อเสนอเช่นนี้ พลันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ หัวเราะอย่างลุ่มลึก

 

 

คนงานที่ทำงานในโรงงานเห็นรอยยิ้มของนาง ขนลุกชูชันฉับพลัน รู้ว่ามีคนกำลังจะซวยแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งฉีเสียงก้องกังวาน “พี่รอง ไปเอามีดหั่นผักในครัวมาให้ข้า วันนี้ข้าจะทำให้พวกเขารู้ว่า คนของบ้านเราไม่ใช่จะรังแกได้ง่ายๆ”

 

 

เมิ่งฉีรับคำเสียงดัง เข้าไปหยิบมีดหั่นผักจากในครัวออกมา

 

 

กลุ่มคนตกอกตกใจ ต่างเข้าไปห้ามปราม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลุ่มคนเสียงแผ่ว “พวกท่านอยากให้พี่ใหญ่ข้าแต่งกับเฉ่าเอ๋อร์หรือ”

 

 

คนทั้งหมดหันหน้ามองกัน ทยอยหลีกทางให้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดหั่นผักเดินมาตรงหน้าอาสะใภ้รองของจางจู้

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้ตกใจล้มลุกคลุกคลานไปแอบอยู่หลังผู้ใหญ่บ้าน

 

 

ผู้ใหญ่บ้านเห็นนางอายุยังน้อย กลับถือมีดหั่นผักเดินเข้ามา คิดจะพูดตำหนิว่า กลับสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวนาง ขวัญผวาจนพูดไม่ออก

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้ที่หลบหลังผู้ใหญ่บ้านถามขึ้นอย่างสั่นเทิ้ม “เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง ใช้น้ำเสียงให้ทุกคนได้ยินพูดว่า “ข้ามีอาสี่คนหนึ่ง ตอนที่พวกเราไปเปิดแผงขายของในเมือง เขาทำร้ายพี่ใหญ่ข้า เจ้ารู้ไหมว่าข้าทำอย่างไรกับเขา”

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้กลืนน้ำลาย ถามตัวสั่น “อย่างไร เจ้าทำอย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบด้วยสีหน้าแน่นิ่ง “ตอนนั้นข้าใช้มีดหั่นผักตัดเส้นเอ็นขาเขาข้างหนึ่ง ให้เขาต้องกลายเป็นคนพิการไปทั้งชาติ”

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้กรีดร้อง กอดขาผู้ใหญ่บ้านแน่น “ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยข้าด้วย”

 

 

ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน ต่อให้อายุปูนนี้ก็ตาม ผู้ใหญ่บ้านเองนอกจากภรรยาตนเองก็ไม่เคยถูกหญิงอื่นกอด ในตอนนี้ยังอยู่ต่อหน้าสายตาที่จับจ้องมา ต่อให้อาสะใภ้รองของจางจู้อายุมากแล้ว แต่หากถูกคนประสงค์ร้ายเอาไปพูดลับหลัง ภายหน้าตนเองคงไม่มีหน้าออกจากบ้าน จึงชักสีหน้าร้องตวาด “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ เจ้ากำลังทำสิ่งใด”

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้ที่ตกใจจนลืมตัวกอดขาผู้ใหญ่บ้าน ถูกผู้ใหญ่บ้านตะคอกใส่จนได้สติ รีบคลานไปข้างอารองของจางจู้ พูดขึ้น “ตาเฒ่า ช่วยข้าด้วย”

 

 

อารองของจางจู้มองเมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดหั่นผักเดินเข้ามา ก็ตกใจลนลาน ฝืนถามขึ้น “เจ้าต้องการสิ่งใด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น พูดว่า “ไม่ใช่ข้าต้องการสิ่งใด แต่ข้าที่เป็นฝ่ายต้องถาม พวกท่านต้องการสิ่งใด”

 

 

ในกลุ่มคนมีคนคล้ายต้องการจะช่วยอารองของจางจู้ร้องตะโกนขึ้น “อารองจาง ที่นางพูดเป็นความจริง ครึ่งปีมาแล้ว อาสี่ของเขายังนอนเคลื่อนไหวไม่ได้อยู่บนเตียง ข้าว่าพวกเจ้านิดหน่อยก็พอแล้ว หากทำให้นางโมโห นางสามารถทำได้ทุกอย่าง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองคนผู้นั้นอย่างชื่นชม

 

 

คนผู้นั้นขยี้หัวหัวเราะแหะๆ อย่างเก้อเขิน

 

 

อารองของจางจู้ได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ ยิ่งหวาดผวา กลับยังฝืนพูดต่อ “นางกล้า ในสายตานางยังมีกฎหมายหรือไม่”

 

 

กลุ่มคนมีคนพูดขึ้นอีก “นางรู้จักท่านผู้ว่าการตำบล ไหนเลยจะต้องกลัวกฎหมาย ตอนที่นางตัดเส้นเอ็นขาอาสี่ตัวเอง ท่านผู้ว่าการตำบลก็ทำอะไรนางไม่ได้”

 

 

อารองของจางจู้กลืนน้ำลายถามคนผู้นั้น “เจ้าพูดเป็นความจริง”

 

 

คนผู้นั้นพยักหน้า “ไม่เชื่อเจ้าถามคนอื่น”

 

 

คนไม่น้อยพยักหน้า

 

 

ผู้ใหญ่บ้านที่พอได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรู้จักกับท่านผู้ว่าการตำบล หัวใจหล่นวูบ หันไปพูดกับอารองของจางจู้ “เฒ่าจาง ข้าว่าภรรยาเจ้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมา ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าถอยคนละก้าว ข้าจะอยู่ตรงกลางเป็นพยานให้พวกเจ้า”

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้รู้สึกไม่ยอม แต่พอมองมือหั่นผักในมือเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ไม่กล้าปริปาก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองมีดหั่นผักในมือ พูดเนิบนาบ “ครั้งนี้พวกเจ้าต้องคิดให้ดีๆ ว่าจะเสนอเงื่อนไขอะไร มีดหั่นผักในมือข้าบินได้นะ ถ้าไม่พอใจ ไม่แน่ว่าจะบินไปอยู่บนตัวใคร”

 

 

ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินหันหลังไปแอบหัวเราะ

 

 

จางจู้และจางเกินมองพวกนางแวบหนึ่ง ยิ้มโค้งที่มุมปาก

 

 

เมิ่งชื่อและเมิ่งเอ้ออิ๋นสบตากันอย่างจนใจ

 

 

พ่อแม่จางจู้เผยรอยยิ้มชมเชย

 

 

เมิ่งฉี เมิ่งอี้เซวียน เมิ่งเจี๋ยมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างยกย่อง

 

 

อึดใจต่อมา อาสะใภ้รองของจางจู้พูดตัวสั่นเทิ้ม “พวกเราต้องการเพียงเงินหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง ที่เหลือไม่ต้องการแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียง “หือ” กวัดแกว่งมีดหั่นผักในมือ

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้ลนลานร้องเสียงหลง “หนึ่งร้อยตำลึง น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

 

 

กลุ่มคนหัวเราะครืน

 

 

อารองของจางจู้หน้าแดงก่ำ

 

 

แม่จางจู้ไม่ยินยอม “ไม่ได้ พวกเขาเข้ามาก่อกวนก่อน ทำไมพวกเราต้องให้เงินพวกเขา สักอีแปะเดียวก็ไม่ให้”

 

 

พ่อจางจู้พูดเอ็ด “เจ้าไม่ต้องหาเรื่องแล้ว ให้เด็กจัดการเอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นนิ้วออกไปสองนิ้ว พูดว่า “ยี่สิบตำลึง ข้ายังต้องเพิ่มข้อเสนออีกหนึ่งข้อ”

 

 

ชิงเอ๋อร์พูดขึ้น “ยี่สิบตำลึงน้อยเกินไป แม่ข้าถูกตีจนมีสภาพเช่นนี้ ต้องใช้เงินรักษาไม่น้อย พี่ชายข้าก็ถูกเตะไม่เบา อย่างไรก็ต้องฟื้นตัวอีกระยะหนึ่ง ข้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง เจ็บปวดไปทั้งตัว อีกอย่าง ยี่สิบตำลึงพวกเราสามคนจะแบ่งกันอย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เช่นนั้นก็สิบห้าตำลึง คนละห้าตำลึง”

 

 

เมิ่งเจี๋ยไม่คิดว่านางจะให้น้อยลงไปอีกห้าตำลึง มึนงงพูดไม่ออก

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้พูดอย่างหวาดกลัว “ห้าสิบตำลึง น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว หากพวกเจ้าไม่รับปาก ข้าจะนอนตายอยู่ในลานบ้านของพวกเจ้า”

 

 

แม่จางจู้พูดอย่างเคืองขุ่น “เจ้าฝันไปเถอะ เงินห้าสิบตำลึงซื้อที่ดีๆ ได้เป็นสิบหมู่ เหตุใดต้องให้พวกเจ้าเปล่าๆ ให้สิบห้าตำลึง หากพวกเจ้าไม่ตกลง สักอีแปะเดียวก็ไม่มี”

 

 

เมิ่งชื่อพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ ช่างเถอะ ห้าสิบตำลึงก็ห้าสิบตำลึงเถอะ ปีใหม่ทั้งที พวกเราจ่ายเงินซื้อความสงบสุข”

 

 

แม่จางจู้ปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ได้ แค่สิบหน้าตำลึง มากกว่านี้สักอีแปะก็ไม่ให้”

 

 

เมิ่งชื่อจนปัญญา ร้องเรียก “โยวเอ๋อร์” บอกเป็นนัยให้นางรับปากให้ห้าสิบตำลึง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีลำบากใจของเมิ่งชื่อ ยื่นนิ้วมือออกไปสามนิ้ว “เห็นแก่แม่ข้า ข้าจะให้พวกท่านสามสิบตำลึง แต่ข้ายังมีเงื่อนไข”

 

 

สามสิบตำลึงก็มากพอให้คนในชนบทหาทั้งชีวิตแล้ว อาสะใภ้รองของจางจู้ยินดีปรีดา ถามขึ้น “เงื่อนไขอะไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ต่อหน้าผู้ใหญ่บ้านและคนทั้งหมู่บ้าน วันนี้พวกท่านจงเขียนหนังสือรับรอง นับจากนี้ไปไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบ้านท่านยายข้าอีก”

 

 

“ไม่มีทาง” อารองของจางจู้ตอบกลับ “เราสองคนเป็นพี่น้องกันแท้ๆ จะไม่เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร”

 

 

พ่อจางจู้ไม่ได้พูดอะไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว พวกท่านคิดว่าจะไสหัวออกไปเอง หรือจะให้ข้าตีออกไปดี”

 

 

“อย่าๆๆ” อาสะใภ้รองของจางจู้รีบร้อนพูด จากนั้นก็หันไปตะคอกใส่อารองของจางจู้ “เจ้าโง่ มีเงินสามสิบตำลึงนี้ ภายหน้าพวกเราจะมีกินมีใช้ไม่ขัดสนแล้ว เจ้าเอาพี่ใหญ่ไปมีประโยชน์อันใด พวกเขาร่ำรวยแล้วแบ่งเงินให้เจ้า ทำของอร่อยส่งไปให้เจ้าหรือไร”

 

 

อารองของจางจู้ดึงดันตอบ “อย่างไรข้าก็ไม่เห็นด้วยให้ตัดขาดความสัมพันธ์”

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้ตบหน้าขาตัวเองร้องไห้โวยวาย “สวรรค์ช่วยข้าด้วย พวกเราอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว มีสามีเฒ่าโง่เขลาดื้อรั้น เงินสามสิบตำลึงมาถึงมือแล้วกลับผลักออกไปอย่างไม่ไยดี เถี่ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ ลูกที่อาภัพของแม่ แม่ผิดต่อพวกเจ้า เดิมทีแม่คิดจะให้พวกเจ้าคนละสิบตำลึง ตอนนี้ดีแล้ว พ่อเจ้าทำพังไม่เหลือชิ้นดีแล้ว”

 

 

จางเถี่ยได้ยินเสียงร้องไห้ พูดเว้าวอน “ท่านพ่อ ท่านรับปากเถอะ บ้านพวกเราแทบจะไม่มีกินแล้ว เงินสิบตำลึงนี้จะได้นำมารักษาชีวิต”

 

 

ชิงเอ๋อร์ก็ร้องไห้คร่ำครวญ “ท่านพ่อ ท่านรับปากเถอะ เฉ่าเอ๋อร์โตแล้ว แม้แต่เครื่องประดับดีๆ สักชิ้นก็ไม่มี จะหาสามีให้นางอย่างไร”

 

 

ทั้งลานบ้านเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยไห้ของคนทั้งครอบครัว อารองของจางจู้มองคนในครอบครัวตัวเอง แล้วมองใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ของพ่อจางจู้ กัดฟันพูด “ได้ ข้าตกลงจะตัดขาดความสัมพันธ์”

 

 

เสียงร้องไห้คร่ำครวญในลานบ้านหยุดชะงักพลัน

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้กลัวอารองของจางจู้จะกลับคำ ลนลานเข้าไปพูดกับผู้ใหญ่บ้าน “ผู้ใหญ่บ้าน ตาเฒ่าของข้าตกลงแล้ว ท่านรีบเขียนหนังสือรับรองเถอะ”

 

 

ผู้ใหญ่บ้านมองดูครอบครัวที่มีสายตาตื้นเขิน ส่ายหน้าพลางหันไปพูดกับจางจู้ “เจ้าไปบ้านข้านำเครื่องเขียนมาที่นี่ ข้าจะเขียนหนังสือรับรองให้พวกเจ้าเดี๋ยวนี้”

 

 

จางจู้สาวเท้าวิ่งออกไป

 

 

เฉ่าเอ๋อร์เดินบิดไปบิดมามายืนข้างชิงเอ๋อร์ ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงวิงวอน “ท่านแม่”

 

 

ชิงเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน หันไปพูดกับเฉ่าเอ๋อร์ “เฉ่าเอ๋อร์ แม่รับปากเจ้า ช่วงเวลานี้แม่จะหาคนที่ดีกว่านี้ให้เจ้า รับรองว่าเจ้าจะต้องได้กินดี อยู่ดี มีเครื่องประดับประโคมกาย ไปไหนมีสาวรับใช้ติดตาม บ้านแร้นแค้นอย่างพวกเขาพวกเราไม่ต้องการ”

 

 

เฉ่าเอ๋อร์ไม่ยินยอม แกว่งแขนนางพูดขึ้น “แต่ข้าพึงพอใจเขาแล้ว”

 

 

ชิงเอ๋อร์เริ่มหมดความอดทน ตวาดเสียงต่ำ “เจ้าลูกคนนี้เป็นอะไรไปแล้ว เจ้าสำคัญหรือเงินสิบตำลึงที่สำคัญ”

 

 

เฉ่าเอ๋อร์ไม่กล้าปริปากอีก มองเมิ่งเสียนอย่างอาลัยอาวรณ์

 

 

เมิ่งอี้เซวียนนึกถึงท่าทีไม่สนอีร้าค่าอีรม ยัดทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าปากตอนที่กินอาหารกลางวันของนาง เกือบจะสำลักออกมา

 

 

จางจู้นำเครื่องเขียนกลับมาโดยไว ผู้ใหญ่บ้านให้จางจู้ไปยกโต๊ะออกมา จางจู้เข้ามาในโถงกลาง ยกโต๊ะที่ล้มพับออกมา ภรรยาจางจู้รีบหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดทำความสะอาด

 

 

ต่อหน้าคนในหมู่บ้าน ไม่นานผู้ใหญ่บ้านก็เขียนหนังสือรับรองเสร็จ ทำการอ่านให้ทุกคนฟัง “ณ บัดนี้ จางเหอและจางโหย่วสองพี่น้องยินยอมพร้อมใจจะตัดขาดความสัมพันธ์ นับจากนี้ไม่ว่าเจ็บไข้ป่วยตาย ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก” อ่านจบหันไปพูดกับทั้งสองคน “หากพวกเจ้าสองคนไม่มีข้อโต้แย้ง ก็ประทับรอยนิ้วมือบนหนังสือรับรองนี้ คนละฉบับ นับจากนี้ไปพวกเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน”

 

 

พ่อจางจู้นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ถึงประทับรอยนิ้วมือ

 

 

อารองของจางจู้ก็ประทับรอยนิ้วมือ

 

 

ผู้ใหญ่บ้านนำหนังสือรับรองสองฉบับแบ่งให้พวกเขาคนละหนึ่งฉบับ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเงินสามสิบตำลึงออกมาจากอกมอบให้ผู้ใหญ่บ้าน

 

 

คนในหมู่บ้านไม่เคยเห็นเงินมากเช่นนี้ในคราเดียว ต่างเบิกตาโพล่ง แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านที่รับเงินมายังมือสั่นไม่หยุด

 

 

อาสะใภ้รองของจางจู้ลุกพรวดขึ้นมาจากพื้น แย่งเงินมาจากมือผู้ใหญ่บ้าน หันไปพูดกับจางเถี่ยและชิงเอ๋อร์ “เถี่ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ พวกเรากลับบ้าน”

 

 

จางเถี่ยลุกขึ้นมาจากพื้น พาภรรยาและลูกเดินกระเผลกตามกลับบ้านไป

 

 

ชิงเอ๋อร์ก็ไม่ยอมแพ้ หันไปส่งสายตาให้สามี สามีเข้าใจทันที พาลูกๆ หุนหันเดินตามออกไป

 

 

เฉ่าเอ๋อร์ยังมองไปที่เมิ่งเสียน ชิงเอ๋อร์กระชากนางพาลากกลับบ้าน

 

 

อารองของจางจู้มองครอบครัวจางจู้แวบหนึ่ง ถอนหายใจ เดินกลับบ้านไป

 

 

ผู้ใหญ่บ้านเห็นพวกเขาไปแล้ว หันไปพูดกับจางจู้และคนอื่นๆ อีกเล็กน้อย ถึงเก็บเครื่องเขียน แล้วกลับบ้านไป

 

 

คนที่มาดูเรื่องสนุกโดยรอบก็ทยอยแยกย้ายกลับไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด