ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 128.2

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 128.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ชมโคมไฟ

 

 

 

 

จูหลานกลับมาถึงบ้าน แม่จูเห็นเขากลับมาก็ให้ประหลาดใจ ถามขึ้น “เจ้าบอกว่าต้องไปต้อนรับแขกสำคัญไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงกลับมาแล้ว” 

 

 

จูหลานตอบ “ท่านแม่ เมื่อครู่พวกเราสี่คนปรึกษากัน รู้สึกว่ามีเพียงพวกเราคอยดูแลดูจะไม่เหมาะสม ท่านเองก็ปลีกตัวไปไม่ได้ ข้าจึงคิดจะให้หมิ่นเอ๋อร์ไปช่วยต้อนรับด้วย ท่านว่าดีหรือไม่” 

 

 

แม่จูเกิดในตระกูลพ่อค้า ย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องชายๆ หญิงๆ อีกอย่าง เซี่ยเจียงเฟิง เปาอีฝานและอันอี่หยวนต่างก็รู้จักหมิ่นเอ๋อร์ จึงพยักหน้า หันไปพูดกับเฉียวหมิ่น “หมิ่นเอ๋อร์ เจ้าตามเขาไปเถอะ พอเจอกันแล้วพยายามสานสัมพันธ์กับแม่นางเมิ่ง จะเป็นผลดีกับการค้าในภายหน้าของพวกเรา” 

 

 

เฉียวหมิ่นสะท้อนแววตา ลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง ตอบกลับ “ข้าทราบแล้ว ท่านป้า ข้าจะตามเขาไป” 

 

 

แม่จูพยักหน้าพอใจ ยิ้มกล่าว “หมิ่นเอ๋อร์ของพวกเรารู้ความที่สุด อีกไม่กี่วันรอให้ทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอย ข้าจะไปหารือกับพ่อแม่เจ้า ให้พวกเจ้าได้แต่งงานกันโดยไว เมื่อเจ้าแต่งงานเข้ามาแล้วจะได้ช่วยจูหลานอีกแรง” 

 

 

เฉียวหมิ่นหน้าแดง ตอบกลับอย่างขวยเขิน “ทุกอย่างแล้วแต่ท่านป้าจะจัดการ” 

 

 

จูหลานกลับพูดว่า “ท่านแม่ จะรีบแต่งงานไปไหน การค้าของข้ากำลังเจริญรุ่งเรือง รออีกสองปีก็ยังไม่สาย” 

 

 

เฉียวหมิ่นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย 

 

 

แม่จูไม่สังเกตเห็น ยิ้มพลางดุว่า “เจ้าไม่รีบแต่แม่รีบ ปีนี้พวกเจ้าแต่งงาน ปีหน้าแม่จะได้อุ้มหลานตัวอ้วนๆ” 

 

 

จูหลานร้อนรนพูด “ท่านแม่ สิ่งของที่แม่นางเมิ่งผลิตออกมาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ข้าคิดจะใช้โอกาสสองปีนี้ออกไปวิ่งหาตลาด เปิดร้านสาขาเพิ่มอีกสองสามแห่ง จะเอาเวลาที่ไหนมาแต่งงาน” 

 

 

พอได้ยินเขาเอ่ยถึงเมิ่งเชี่ยนโยว เฉียวหมิ่นก็ชักสีหน้าอึมครึม 

 

 

แม่จูพูดว่า “แต่งงานแล้วเจ้าจะออกไปหาตลาดไม่ได้หรือ เรื่องนี้ให้ว่าตามนี้ รอให้พ้นสองสามวันนี้ไป แม่และพ่อเจ้าจะไปตกลงเรื่องฤกษ์วันแต่งงานกับครอบครัวหมิ่นเอ๋อร์ เจ้ามีหน้าที่รอวันแต่งงานอย่างเบิกบานใจก็พอ” 

 

 

“ท่านแม่…” จูหลานคิดจะพูดต่อ 

 

 

แม่จูโบกมือ “ไม่ต้องพูดแล้ว รีบพาหมิ่นเอ๋อร์ไปต้อนรับแม่นางเมิ่งเถอะ ไปช้าจะเป็นการเสียมารยาท” 

 

 

จูหลานรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาพูดกันตอนนี้ จึงไม่ดื้อแพ่งอยู่ต่อ พาเฉียวหมิ่นออกไปจากบ้าน มาถึงรถม้าด้านนอก 

 

 

เฉียวหมิ่นขึ้นนั่งบนรถม้ารวบรวมความกล้า ลองหยั่งเชิงถาม “เจ้าไม่ยินดีจะแต่งงานกับข้าหรือ” 

 

 

จูหลานตอบกลับ “ไม่ใช่ข้าไม่ยินดีแต่งงานกับเจ้า แต่ข้าอยากให้รออีกสองปีค่อยแต่ง เจ้าไม่รู้หรอกว่าสิ่งของที่แม่นางเมิ่งผลิตออกมาขายดีมากแค่ไหน สองปีนี้ข้าอยากจะเร่งทำกำไรสักก้อน” 

 

 

เฉียวหมิ่นถามอย่างไม่แยแส “แม่นางเมิ่งคนนั้นดีมากนักหรือ ครั้งก่อนข้าพบนาง รู้สึกธรรมดาทั่วไป” 

 

 

“เจ้ามองผิดแล้ว นางหาธรรมดาไม่…” จูหลานพูด 

 

 

เฉียวหมิ่นถามอย่างเคืองขุ่น “ไม่ธรรมดาอย่างไร” 

 

 

จูหลานไม่รับรู้ถึงความผิดปกติของนาง ได้ยินนางถามถึงเมิ่งเชี่ยนโยว ก็เล่าเรื่องตั้งแต่วันแรกที่รู้จักเมิ่งเชี่ยนโยวจนถึงวันนี้ทั้งหมดให้นางฟังเป็นต่อยหอย 

 

 

เฉียวหมิ่นเห็นท่าทีมีชีวิตชีวายามพูดถึงเมิ่งเชี่ยนโยวของเขา บิดผ้าเช็ดหน้าแน่นอย่างอดรนทนไม่ไหว 

 

 

จูหลานพูดมาตลอดทาง กระทั่งรถม้ามาถึงโรงเตี๊ยมที่พวกเมิ่งเชี่ยนโยวพักอาศัย ผ้าเช็ดหน้าในมือเฉียวหมิ่นก็ถูกบิดจนเกือบขาดแล้ว ใบหน้าง้ำงอน่าหวาดกลัว 

 

 

เมื่อคนงานจอดรถม้าสนิท จูหลานถึงได้สังเกตเห็นว่ามาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมแล้ว กำลังเตรียมจะลงจากรถม้าพร้อมเฉียวหมิ่น เพื่อเชื้อเชิญครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นไปกินข้าวที่ภัตตาคารด้วยกัน กลับเห็นสีหน้าที่ไม่ทันได้เก็บคืนของเฉียวหมิ่น ตะลึงงันถามขึ้น “เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือ” 

 

 

เฉียวหมิ่นได้สติคืนกลับมา คลายผ้าเช็ดหน้าในมือ เปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มพูดว่า “ไม่เป็นอะไร ข้าแค่คิดว่าอีกประเดี๋ยวต้องเจอครอบครัวแม่นางเมิ่ง รู้สึกตื่นเต้นก็เท่านั้น” 

 

 

“งั้นหรือ” จูหลานถามอย่างคลางแคลงใจ 

 

 

เฉียวหมิ่นพยักหน้าหนักแน่น “จริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเจอคนแปลกหน้ามากเช่นนี้ ภายในใจกระวนกระวายเป็นอย่างมาก” 

 

 

จูหลานไม่สงสัยนางอีก ประคองนางลงจากรถม้า ยิ้มพลางพูด “เจ้าไม่ต้องตื่นเต้น คนในครอบครัวแม่นางเมิ่งล้วนดีมาก เจ้าถือว่าพวกเขาเป็นคนในครอบครัวเจ้าก็พอแล้ว” 

 

 

เฉียวหมิ่นหยุดชะงักฝีเท้าเล็กน้อย 

 

 

จูหลานไม่ทันสังเกต พูดเร่งเร้า “พวกเรารีบขึ้นไปเถอะ พวกเขาคงจะรอแย่แล้ว” 

 

 

เฉียวหมิ่นฝืนยิ้ม ตามเขาเข้าไปในโรงเตี๊ยม 

 

 

ทั้งสองคนมาถึงหน้าประตูห้อง จูหลานเคาะประตูอย่างนุ่มนวล ร้องถามเสียงดัง “แม่นางเมิ่ง ข้าและหมิ่นเอ๋อร์มารับพวกเจ้าทั้งครอบครัวไปกินข้าวที่ภัตตาคารแล้ว” 

 

 

คนในห้องได้ยินเสียงเขาต่างลุกขึ้นพร้อมกัน เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปเปิดประตูห้อง เห็นจูหลานและเฉียวหมิ่นยืนอยู่หน้าประตู พูดอย่างเป็นกันเอง “คุณหนูเฉียว รีบเข้ามาในห้องก่อน” 

 

 

เฉียวหมิ่นยิ้มตอบตามมารยาท เดินเข้ามาในห้องพร้อมจูหลาน 

 

 

จูหลานกล่าวแนะนำกับสองสามีภรรยาเมิ่ง “ท่านลุง ท่านป้า นี่คือเฉียวหมิ่นภรรยาที่ยังไม่ได้ตบแต่งของข้า วันนี้นางอยู่บ้านข้าพอดี ข้าจึงเชิญนางมาด้วย มาร่วมรับประทานอาหารที่ภัตตาคารด้วยกัน” พูดจบหันไปแนะนำกับเฉียวหมิ่น “นี่คือบิดามารดาแม่นางเมิ่ง เจ้าเรียกท่านลุงท่านป้าก็พอ” 

 

 

เฉียวหมิ่นแย้มยิ้มพลางร้องเรียกตามมารยาท 

 

 

สองสามีภรรยาเมิ่งเห็นการแต่งกายของเฉียวหมิ่น ก็รู้ว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ตื่นเต้นจนวางมือวางเท้าไม่ถูก ยิ่งไม่กล้าขานรับคำเรียกจากเฉียวหมิ่น 

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าเฉียวหมิ่นพลันแข็งทื่อ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างหน้า กล่าวขอขมาเฉียวหมิ่น “ต้องขอโทษด้วย คุณหนูเฉียว พ่อแม่ข้าเป็นคนบ้านนอก ไม่เคยเห็นโลกกว้าง ขอเจ้าอย่าได้ถือสา” 

 

 

เฉียวหมิ่นยิ้มพูด “ไม่เป็นไร ขอเพียงท่านลุงท่านป้าไม่รังเกียจข้าก็พอ” 

 

 

สองสามีภรรยาเมิ่งลุกลนโบกมือ เมิ่งชื่อรีบร้อนพูดขึ้น “ไม่ๆๆ คุณหนูเฉียว เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พวกเราจะรังเกียจเจ้าได้อย่างไร พวกเราเพียงแค่ไม่เคยเห็นคุณหนูสูงศักดิ์ที่งดงามเช่นเจ้า จึงตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก” 

 

 

เฉียวหมิ่นเขินหน้าแดง พูดอย่างมีมารยาท “ขอบคุณท่านป้าที่ชม” 

 

 

จูหลานหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “พวกเราจองโต๊ะที่ภัตตาคารไว้แล้ว พวกเขาสามคนรุดหน้าไปก่อน ข้ากับหมิ่นเอ๋อร์แวะมารับพวกเจ้า พวกเราไปพร้อมกันเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “พ่อแม่ข้านั่งรถมาเหนื่อย อยากจะพักผ่อนอยู่ที่โรงเตี๊ยม คืนนี้จะได้ไปชมโคมไฟได้อย่างสบาย จึงไม่ไปด้วยแล้ว ข้ากับพี่ใหญ่จะไปกับพวกเจ้าเอง” 

 

 

จูหลานร้องอุทาน “ได้อย่างไรกัน พวกเราตกลงกันแล้ว พวกเราทั้งหมดจะเลี้ยงอาหารครอบครัวเจ้า ข้าไปรบกวนที่บ้านพวกเจ้าตั้งหลายครั้ง วันนี้ได้มีโอกาสให้ข้าเป็นเจ้าภาพเลี้ยงดูปูเสื่อ พวกท่านจะไม่ไปได้อย่างไร” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พวกเราเดินทางเข้าอำเภอมาแต่เช้า ท่านพ่อท่านแม่ข้าเหนื่อยจริงๆ แล้ว วันข้างหน้าอีกยาวไกล ภายหน้าคุณชายจูยังมีโอกาสได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงดูปูเสื่อพวกเรา” 

 

 

สองสามีภรรยาเมิ่งแสดงว่าตัวเองเหนื่อยล้าจริงๆ ต้องการจะพักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยม ฟื้นฟูเรี่ยวแรง คืนนี้จะได้ออกไปชมโคมไฟ 

 

 

จูหลานเห็นว่าพวกเขาพูดเช่นนี้แล้ว จึงไม่ดึงดั้นต่ออีก จำต้องออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียน ขึ้นนั่งรถม้ามาถึงภัตตาคาร 

 

 

เสี่ยวเอ้อพาคนทั้งหมดมายังห้องรับรองที่จองเอาไว้แล้วอย่างนอบน้อม 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิง อันอี่หยวน เปาอีฝานรวมถึงภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของเปาอีฝานต่างนั่งรออยู่ในห้องแล้ว 

 

 

พอเห็นพวกเขาไม่กี่คนเข้ามา ก็ให้รู้สึกประหลาดใจ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวต้องอธิบายอย่างรู้สึกผิดว่าพ่อแม่และคนในครอบครัวคนอื่นต่างเหนื่อยล้า ต้องการพักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยม ฟื้นฟูเรี่ยวแรง คืนนี้จะได้ออกไปชมโคมไฟ 

 

 

คนที่อยู่ในห้องล้วนสมองแหลมคม ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่านี่เป็นคำพูดปฏิเสธของเมิ่งเชี่ยนโยวแทนพ่อแม่ แต่คนทั้งหมดก็ไม่ได้เปิดโปง ต่างบอกให้พวกเขาหาที่นั่ง 

 

 

เฉียวหมิ่นรู้จักกับภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของเปาอีฝาน ทั้งสองคนจึงนั่งด้วยกัน ทั้งหมดนั่งอยู่ทางซ้ายของเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเสียนถัดจากเมิ่งเชี่ยนโยวมาทางขวา ส่วนคนอื่นๆ นั่งกันหมดแล้ว 

 

 

เปาอีฝานชี้ภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของตนเองกล่าวว่า “แม่นางเมิ่งรู้จักคนในที่นี้หมดแล้ว ข้าจะไม่แนะนำอีก นี่ก็คือซุนฮุ่ยภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของข้า” 

 

 

จากนั้นก็พูดกับซุนฮุ่ย “นี่ก็คือเมิ่งเชี่ยนโยวที่ข้าเคยพูดให้เจ้าฟัง” 

 

 

ซุนฮุ่ยเอื้อนเอ่ยอย่างมีมิตรไมตรี “ข้าได้ยินเปาอีฝานเล่าว่าแม่นางเมิ่งอายุยังน้อยก็เก่งกล้าสามารถมาก อยากเจอตัวจริงมานานแล้ว วันนี้ในที่สุดก็ได้เจอ แม่นางเมิ่งมีท่วงท่าไม่ธรรมดาไม่จริงๆ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนพูด “คุณหนูซุนเกรงใจไปแล้ว ข้าเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนา ไม่รู้ขนบธรรมเนียม หากทำสิ่งใดไม่เหมาะสม ขอคุณหนูซุนอย่าได้ขบขัน” 

 

 

ซุนฮุ่ยยังไม่ทันได้พูด จูหลานก็แย่งพูดก่อน “เจ้าโหดขนาดนั้น ใครจะกล้าขบขันเจ้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาตักเตือนเขา 

 

 

จูหลานหดคอกลับ ไม่กล้าพูดอีก 

 

 

เฉียวหมิ่นจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด บิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นอีกครั้ง 

 

 

คนทั้งหมดคุ้นชินกับปฏิกิริยาที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีต่อจูหลานแล้ว ไม่มีใครเก็บเอามาใส่ใจ 

 

 

มีเพียงซุนฮุ่ยที่นิ่งอึ้ง จากนั้นยิ้มพูด “แม่นางเมิ่งพูดกระไรเช่นนั้น หากเจ้าเป็นเด็กสาวบ้านนา ข้ากับเฉียวหมิ่นไม่ยิ่งต้องแทรกแผ่นดินหนีเลยหรือ” 

 

 

พูดจบหันไปถามเฉียวหมิ่น “ใช่หรือไม่ เฉียวหมิ่น” 

 

 

เฉียวหมิ่นฝืนยิ้มแห้งๆ 

 

 

ซุนฮุ่ยถามขึ้น “เฉียวหมิ่น วันนี้สีหน้าเจ้าดูแปลกๆ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” 

 

 

เฉียวหมิ่นลูบหน้าลูบตาตัวเอง ส่ายหน้า “เปล่า คงเพราะเมื่อวานนอนไม่พอ ประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จกลับไปพักผ่อนก็คงดีขึ้น” 

 

 

ซุนฮุ่ยยิ้มพูด “ต้องกลับไปพักผ่อนให้มากๆ คืนนี้พวกเรายังต้องไปชมโคมไฟด้วยกัน หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว ห้ามพลาดเด็ดขาด” 

 

 

เฉียวหมิ่นพยักหน้า 

 

 

ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็ยกอาหารเข้ามา คนทั้งหมดเริ่มลงมือรับประทานอาหาร 

 

 

ซุนฮุ่ยคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่ง วางใส่ในถ้วยของเมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ภัตตาคารแห่งนี้ทำปลาได้ไม่เลว แม่นางเมิ่งลองชิมดู” 

 

 

ยังไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ จูหลานก็พูดขึ้น “ปลานี้จะไปสู้อะไรได้ ปลาที่แม่นางเมิ่งทำต่างหากถึงจะไร้เทียมทาน ตอนที่พวกเราได้เห็นครั้งแรก ลูกตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า” 

 

 

ซุนฮุ่ยหัวเราะพูด “วิธีการทำปลามีแค่นึ่ง ทอด ต้ม ตุ๋นไม่กี่อย่างเท่านั้น หรือแม่นางเมิ่งยังคิดวิธีแปลกใหม่อะไรได้” 

 

 

จูหลานกลืนอาหารในปากแล้วพูด “นางคิดวิธีแปลกใหม่ออกมาได้ นางวางปลาไว้ในหม้อใบหนึ่ง ใต้หม้อใบนั้นยังมีไฟจุดไว้ ในอากาศที่หนาวเหน็บเช่นนี้ จนพวกเรากินเนื้อปลาชิ้นสุดท้ายหมด น้ำซุปในหม้อก็ยังร้อนระอุอยู่” 

 

 

ซุนฮุ่ยถลึงตาโต “มีวิธีเช่นนี้ด้วย” 

 

 

จูหลานตอบอย่างลำพองใจ “แน่นอน แม่นางเมิ่งทำอาหารแปลกประหลาดได้มากมาย ล้วนเป็นอาหารที่พวกเจ้าไม่เคยเห็น” 

 

 

ซุนฮุ่ยหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “เช่นนั้นภายหน้าหากมีโอกาสข้าขอชิมอาหารที่แม่นางเมิ่งทำบ้าง ถึงตอนนั้นเจ้าจะต้องทำอาหารที่เจ้าถนัดที่สุดให้ข้ากิน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ไม่มีปัญหา หากเจ้าว่างก็ไปที่บ้านข้า ข้าจะทำพระกระโดดกำแพงอาหารที่ข้าถนัดที่สุดให้เจ้ากิน รับประกันว่าหลังจากเจ้าได้กิน จะต้องงอแงไม่ยอมไปจากบ้านข้า” 

 

 

ซุนฮุ่ยพูดตาม “พระกระโดดกำแพง เป็นชื่อที่แปลกประหลาดนัก เจ้าไม่พูดข้ายังไม่คิดว่านี่เป็นชื่ออาหาร” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “พระกระโดดกำแพงต้องใช้วัตถุดิบสิบแปดชนิด เครื่องปรุงอีกสิบชนิดถึงจะทำได้ โดยทั่วไปหากไม่ใช่แขกสำคัญข้าไม่มีทางทำอาหารนี้” 

 

 

ซุนฮุ่ยพูดอย่างยินดี “เช่นนั้นข้าต้องขอบใจแม่นางแล้ว เอาไว้ข้าว่าง จะต้องไปรบกวนแม่นางหลายๆ วัน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ยินดีต้อนรับเสมอ” 

 

 

จูหลานร้องโวยวายไม่พอใจ “เจ้าจะทำให้นางกินคนเดียวไม่ได้ พวกเราก็อยากกิน เจ้าจะเลือกที่รักมักที่ชั่งไม่ได้” 

 

 

อีกสามคนที่เหลือก็พยักหน้า 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ข้ารู้สึกสนิทสนมกับคุณหนูซุนตั้งแต่แรกพบ เป็นเพื่อนรักที่คุยถูกคอ ข้าทำให้นางกินก็สมควรแล้ว อาหารที่ยุ่งยากเช่นนี้เหตุใดข้าต้องทำให้พวกเจ้ากินด้วย” 

 

 

จูหลานพูด “เจ้าบอกเองว่าพวกเราก็เป็นเพื่อนเจ้า ฉะนั้นเจ้าต้องทำให้พวกเรากินด้วย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ข้าเคยพูดเช่นนั้นหรือ เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้” 

 

 

จูหลานสำลักจนพูดไม่ออก 

 

 

ทุกคนหัวเราะครืน 

 

 

จูหลานร้องงอแงไม่ยอม “ข้าไม่สน พระกระโดดกำแพงนี้เจ้าจะต้องทำให้ข้ากิน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่มีเวลา” 

 

 

จูหลานถามกลับ “ทำไมจะไม่มีเวลา ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง ตอนบ่ายเจ้าไปเตรียมของ คืนนี้ทำให้พวกเรากินได้พอดี” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววางตะเกียบในมือลง หันไปพูดกับจูหลาน “คุณชายจู ข้าเข้ามาอำเภอเพื่อชมโคมไฟ ไม่ได้มาทำอาหารให้เจ้า คำพูดเช่นนี้เจ้ายังมีหน้าพูดออกมา” 

 

 

จูหลานก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินกว่าเหตุ บ่นงึมงำเสียงแผ่ว “ข้าก็แค่ได้ยินของอร่อยเลยดีใจจนลืมเรื่องที่เจ้ามาชมโคมไฟเท่านั้นเอง” 

 

 

ทุกคนหัวเราะครืน 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด