ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 129.1

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 129.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
เมิ่งเจี๋ยหายตัวไป

 

 

 

 

บนถนนผู้คนหนาแน่น ยังต้องมาคอยระวังถือโคมไฟกระดาษ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่ามีแต่คนที่สมองเสื่อมถึงจะทำเรื่องเช่นนี้ ไม่ได้สนใจเขา หมุนตัวพาเมิ่งชิงเดินไปข้างหน้า 

 

 

รอยยิ้มละมุนบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียนแข็งเกร็ง ขบกัดริมฝีปาก เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า ยกโคมไฟขวางหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูผู้คนที่เดินขวักไขว่ และมองคนข้างกายที่มองตนเองอยู่ สะกดกลั้นเพลิงโทสะในใจ แสดงสีหน้าอีกประเดี๋ยวค่อยคิดบัญชีกับเจ้าให้เมิ่งอี้เซวียน คว้าโคมไฟในมือเขามาอย่างฉุนเฉียว เดินกระฟัดกระเฟียดนำหน้าไป 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนที่อยู่ด้านหลังผุดรอยยิ้มเปล่งประกายเจิดจ้า 

 

 

จูหลาน เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนทั้งสามคนต่างรู้ว่าเมิ่งอี้เซวียนเป็นเด็กที่สองสามีภรรยาเมิ่งรับมาเลี้ยง ได้เห็นพฤติกรรมประหลาดของเขานึกว่าเขาเพียงต้องการประจบเอาใจเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่มีใครเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ 

 

 

มีเพียงเฉียวหมิ่นที่กะพริบตาปริบๆ มองเมิ่งอี้เซวียนอย่างเคลือบแคลงใจ 

 

 

คนทั้งหมดเดินเล่นอีกครู่หนึ่ง สองสามีภรรยาเมิ่งเริ่มรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง จึงเสนอขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้ากับเสียนเอ๋อร์ไปเดินเล่นกับเหล่าคุณชายเถอะ เช่นนี้พวกเจ้าจะได้สนุกกันได้เต็มที่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกว่าพวกเขาอยู่ต่อหน้าบิดามารดาตนเองไม่ได้ปลดปล่อยเต็มที่ แม้แต่คำพูดก็น้อยลงไปมาก ส่งยิ้มพูดกับทุกคน “หนึ่งปีจะมีงานชมโคมไฟสักครั้ง ยังต้องให้พวกเจ้ามาคอยดูแลครอบครัวพวกเรา ต้องขออภัยเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าไปเดินเล่นกันเองเถอะ ครอบครัวพวกเราเดินกันเองได้” 

 

 

เฉียวหมิ่นมองจูหลานอย่างรอคอย 

 

 

จูหลานส่ายหน้าพูดขึ้น “ในอำเภอมีงานชมโคมไฟทุกปี พวกเราดูจนเบื่อเสียแล้ว แม่นางเมิ่งเดินเล่นกับคนในครอบครัวให้สบายใจเถอะ พวกเราทั้งหมดจะคอยเดินเป็นเพื่อนเอง” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนพยักหน้า 

 

 

เฉียวหมิ่นก้มหน้าผิดหวัง 

 

 

เมิ่งชื่อพูดโน้มน้าว “โยวเอ๋อร์ เจ้าไปเดินกับพวกคุณชายเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา รอให้เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์เล่นสนุกพอแล้ว พวกเราก็จะกลับ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกไม่วางใจกล่าวว่า “ช่างเถอะ ข้าไปกับพวกท่านดีกว่า วันนี้คนเดินถนนมาก หากเกิดเรื่องขึ้นจะลำบาก” 

 

 

เมิ่งชื่อยิ้มพูด “ล้วนแต่เป็นคนที่ออกมาชมโคมไฟ จะเกิดเรื่องอันใดได้ เดี๋ยวพอเจ้าไป แม่จะให้พวกเขาเดินจับมือกัน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว รีบไปเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงลังเล 

 

 

เมิ่งเสียนพูดขึ้น “ข้าจะอยู่กับท่านพ่อท่านแม่เอง ให้น้องรองตามน้องสาวและคุณชายทั้งหมดไปดีกว่า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้ายังพอรับมือได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิด พยักหน้าพูด “อีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง ให้พวกเรากลับโรงเตี๊ยม” 

 

 

สองสามีภรรยาเมิ่งพยักหน้า 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแยกจากคนในครอบครัว ถือโคมไฟเดินตามเหล่าคุณชายไปยังสถานที่ที่คนพลุกพล่าน 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางยังคงถือโคมไฟ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มพึงใจ 

 

 

หลังจากแยกจากสองสามีภรรยาเมิ่ง จูหลาน เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนดูโล่งใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “วันนี้ลำบากพวกท่านแล้ว เห็นชัดว่าไม่ชอบ ยังคอยเดินดูแลครอบครัวข้าอยู่เป็นนาน” 

 

 

อันอี่หยวนพูดว่า “แม่นางเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่พวกเราไม่ชอบ แต่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสพวกเราไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พูดอะไรก็ได้ พ่อแม่ข้าหาได้ตำหนิโทษพวกเจ้าไม่” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงพูดบ้าง “ได้อย่างไรกัน หากพวกเราพูดคำไหนไม่เข้าหู ท่านลุงท่านป้าก็ไม่กล้าสั่งสอนพวกเรา กลายเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ก็แย่นะสิ” 

 

 

จูหลานพูด “ไม่ใช่แย่ แต่แย่มากๆ หากพวกเขาไม่ยอมให้เจ้าทำการค้ากับพวกเราจะทำอย่างไร สูญเสียคู่ค้ารายใหญ่อย่างเจ้า พวกเราได้ร้องไห้ตาปูดพอดี ดังนั้นพวกเราเดินตามอย่างสงบเสงี่ยมดีแล้ว จะได้ไม่เกิดความผิดพลาด” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ พูดว่า “คุณชายอันคุณชายเซี่ยข้าไม่กล้าพูด นี่ก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว นิสัยของเจ้าพ่อแม่ข้าพอจะเข้าใจแล้ว รู้ว่าเจ้าพูดจาไม่มีหูรูด เจ้าพูดอะไรพวกเขาก็ไม่ถือโทษเจ้า” 

 

 

จูหลานไม่ยินดีแล้ว พูดโต้กลับ “ข้าไม่มีหูรูดอย่างไร ข้าแค่พูดอะไรตรงไปตรงมาเท่านั้น คนอย่างข้าน่าคบหาที่สุดแล้ว ไหนเลยจะเหมือนพวกเขา มีแต่แผนการร้ายเก็บซ่อนไว้ในใจ” 

 

 

อันอี่หยวนพูดขึ้น “จูหลาน เจ้าพูดให้ชัดแจ้ง ใครที่มีแผนการร้ายเก็บซ่อนไว้” 

 

 

จูหลานตอบกลับ “ก็พวกเจ้านะสิ ทุกครั้งที่ข้าได้สิ่งของมาจากบ้านแม่นางเมิ่ง จะต้องถูกเจ้าและเปาอีฝานแย่งเอาไป พวกเจ้าไม่มีแผนการร้ายแล้วคือสิ่งใด” 

 

 

อันอี่หยวนโต้กลับ “นั่นคือแผนการร้ายหรือ ของดีๆ แบบนั้นหากเจ้ากินไม่หมดบูดเสียไปน่าเสียดายแย่ พวกเราช่วยเจ้าต่างหาก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะฟังพวกเขาโต้เถียงกันไปมา 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงส่ายหน้าขบขัน “แม่นางอย่าได้ถือสา พวกเขาสองคนมักจะเป็นเช่นนี้ ทะเลาะกันอย่างไม่ลดราวาศอกด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ข้ารู้ ครั้งแรกที่ข้ารู้จักพวกเขาที่ภัตตาคาร พวกเขาก็เป็นเช่นนี้” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงก็หัวเราะพูด “จะว่าไปก็แปลก พวกเราทั้งสี่เติบโตมาด้วยกัน มีเพียงพวกเขาที่ไม่เคยลงรอยกัน มีปากเสียงกันเช่นนี้มาตลอดหลายปี” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “นี่ก็คือวิธีเข้าหากันอีกรูปแบบหนึ่งของพวกเขา ท่านดูพวกเขาทะเลาะกันมาหลายปี เคยมีครั้งไหนแตกหักกันบ้าง” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงพูดสนับสนุน “ข้าและเปาอีฝานก็สงสัยมาตลอด บางครั้งพวกเขาทะเลาะกันหน้าแดงคอเป็นเอ็น พวกเรานึกว่าพวกเขาจะเลิกคบกันแล้ว ไม่คิดว่าพอเจอหน้ากันใหม่ทั้งสองก็ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้น” 

 

 

“พวกเจ้าทะเลาะอะไรกันอีกแล้ว” เสียงเปาอีฝานดังแว่วมาจากด้านข้าง 

 

 

คนทั้งหมดถึงสังเกตเห็นเปาอีฝานและซุนฮุ่ย ไม่รู้ว่าพวกเขามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ 

 

 

ไม่รอให้ทุกคนทักทาย อันอี่หยวนก็หันไปพูดกับเปาอีฝานอย่างกระฟัดกระเฟียด “เจ้ามาพอดี จูหลานพูดว่าพวกเราดีแต่ซุกซ่อนแผนการร้ายไว้ในใจ” 

 

 

เปาอีฝานเหมือนจะขำแต่ไม่ขำมองไปที่จูหลาน ถามขึ้น “งั้นหรือ” 

 

 

จูหลานหดคอย่น บ่นพึมพำเสียงแผ่ว 

 

 

เปาอีฝานไม่สนใจเขา กล่าวขอขมาเมิ่งเชี่ยนโยว “ขอโทษด้วยแม่นางเมิ่ง บ้านข้าเกิดเรื่องกะทันหัน ข้าและฮุ่ยเอ๋อร์มาช้าไป” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พวกเราทั้งหมดก็เพิ่งมาถึง” 

 

 

เปาอีฝานมุ่นหัวคิ้ว “เทศกาลชมโคมไฟเริ่มตั้งนานแล้ว พวกเจ้าก็เพิ่งจะออกมาหรือ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางอธิบาย “พวกเราออกมาพร้อมกับคนในครอบครัวข้านานแล้ว พ่อแม่ข้าเห็นพวกเขาดูไม่เป็นตัวของตัวเอง จึงให้ข้าและพี่รองแยกมาเดินกับพวกเขาทางนี้ ไม่คิดว่าเพิ่งเดินมาได้ไม่กี่ก้าว พวกเขาสองคนก็ทะเลาะกัน” 

 

 

เปาอีฝานพูดขึ้น “ถึงว่าข้าและฮุ่ยเอ๋อร์เห็นพวกเขาแต่ไกล ทั้งโบกมือ ทั้งร้องเรียก พวกเจ้ากลับไม่สนใจ ที่แท้เพราะพวกเขาทะเลาะกันอีกแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพยักหน้า 

 

 

ซุนฮุ่ยเดินมาข้างหน้า ดึงมือข้างที่ไม่ได้ถือโคมไฟของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างสนิทสนม “แม่นางเมิ่ง พวกเราอย่าไปสนใจพวกเขา ข้าและหมิ่นเอ๋อร์จะพาเจ้าเดินชมเทศกาลโคมไฟเอง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ขอบคุณแม่นางซุน” 

 

 

ซุนฮุ่ยยิ้มพูด “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว ข้าโตกว่าเจ้าสองปี หากเจ้าไม่รังเกียจ ต่อไปก็เรียกข้าฮุ่ยเอ๋อร์ว่าพี่เถอะ ไม่ต้องมามัวเรียกแม่นางกันไปแม่นางกันมา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับทันควัน “พี่ฮุ่ยเอ๋อร์ ต่อไปท่านก็เรียกข้าว่าน้องโยวเอ๋อร์เถอะ” 

 

 

ซุนฮุ่ยพูดอย่างยินดี “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ น้องโยวเอ๋อร์” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงขานรับอย่างยินดี 

 

 

เฉียวหมิ่นเห็นทั้งสองคนสนิทสนมถูกคอ สะท้อนแววตาเกลียดชัง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวประสาทสัมผัสไว เอียงศีรษะมองนางแวบหนึ่ง เห็นแววตาที่ยังไม่ได้เก็บคืนของนางพอดี เกิดเป็นความเคลือบแคลงใจ ไม่รู้ว่านางชิงชังตนเองหรือชิงชังซุนฮุ่ย 

 

 

ซุนฮุ่ยไม่ทันสังเกต มือข้างหนึ่งจับเมิ่งเชี่ยนโยวข้างหนึ่งเฉียวหมิ่น พูดขึ้นอย่างเริงร่า “ไป พวกเราไปชมโคมไฟเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามไปอย่างมีความสุข ส่วนเฉียวหมิ่นฝืนยิ้มแกนๆ จำต้องเดินตามไป 

 

 

เปาอีฝานและเพื่อนทั้งสี่และเมิ่งฉีเดินตามติดอยู่ด้านหลัง 

 

 

ซุนฮุ่ยและเมิ่งเชี่ยนโยวคล้องแขนกันแน่นคอยชี้โคมไฟรูปทรงประหลาดพูดคุยสรวลเสเฮฮา เฉียวหมิ่นรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ค่อยๆ เดินช้าลง เว้นระยะห่างกับคนทั้งสอง 

 

 

ทั้งสองคนสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง หยุดชะงักฝีเท้า ซุนฮุ่ยสงสัยถามขึ้น “หมิ่นเอ๋อร์ ข้าเห็นคืนวันนี้เจ้าดูไม่ค่อยสนุกเลย ยังไม่สบายตัวใช่หรือไม่” 

 

 

เฉียวหมิ่นฝืนแสยะยิ้มออกมา ตอบกลับ “เปล่าเลย ข้าเพียงเดินเหนื่อยแล้วเท่านั้น” 

 

 

ซุนฮุ่ยถามอย่างห่วงใย “ถ้าเจ้าเหนื่อยแล้ว ให้จูหลานพาเจ้าไปนั่งพักในที่คนน้อยสักหน่อยเถอะ ข้าจะเดินเป็นเพื่อนโยวเอ๋อร์เอง” 

 

 

เฉียวหมิ่นมองไปที่จูหลาน 

 

 

จูหลานมุ่นหัวคิ้วพูดว่า “อีกหนึ่งชั่วยามพวกเราก็ต้องกลับแล้ว หากเจ้าเหนื่อย ก็ให้คนงานพาเจ้ากลับไปส่งก่อน ข้าจะเดินเป็นเพื่อนแม่นางเมิ่งและคนอื่นๆ อีกประเดี๋ยว” 

 

 

เฉียวหมิ่นตอบกลับ “ไม่ต้องลำบากเช่นนั้นก็ได้ ข้าพักสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น” 

 

 

ซุนฮุ่ยยิ้มพลางพูด “คุณชายจู ท่านพาหมิ่นเอ๋อร์ไปนั่งพักในที่คนบางเบาก่อนเถอะ เมื่อนางดีขึ้นแล้ว พวกเจ้าค่อยมาสมทบกับพวกเรา” 

 

 

จูหลานพูดขึ้นอย่างลังเล “แม่นางเมิ่งอุตส่าห์เข้ามาอำเภอ ข้าพูดแล้วจะต้อนรับขับสู้นางเป็นอย่างดี จะให้ทิ้งพวกเจ้าไม่สนใจได้อย่างไร” 

 

 

เปาอีฝานพูด “ก็ยังมีพวกเราไง เจ้ารีบไปเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดบ้าง “ใช่ สุขภาพแม่นางเฉียวสำคัญกว่า” 

 

 

“เช่นนั้นก็ได้” จูหลานรับคำ พูดจบเดินหน้าเข้าไปประคองเฉียวหมิ่น พูดอย่างอ่อนโยน “พวกเราไปหาที่คนน้อยพักเสียหน่อยเถอะ” 

 

 

เฉียวหมิ่นเขินหน้าแดง ค่อยๆ เดินตามจูหลานไปยังสถานที่ที่คนเบาบาง 

 

 

คนทั้งหมดเดินมุ่งหน้าต่อ เดินได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงปรอทแตกของจูหลานดังลอยมา “แม่นางเมิ่ง พวกเจ้ามาทางนี้เร็ว ตรงนี้มีหน้ากากให้เล่นสนุก” 

 

 

คนทั้งหมดหันหลังกลับ เห็นจูหลานที่มือข้างหนึ่งประคองเฉียวหมิ่น มืออีกข้างโบกสะบัดมาที่พวกเขา 

 

 

ซุนฮุ่ยหัวเราะพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “เทศกาลชมโคมไฟแต่ละปี นอกจากโคมไฟก็มีหน้ากากที่ดึงดูดคน พวกเรารีบไปดูเถอะ หากมีหน้ากากที่เหมาะสม พวกเราก็ซื้อกลับไปสักอัน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 

 

 

คนทั้งหมดเปลี่ยนทิศทางเดินมาหน้าแผงขายหน้ากาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด