ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 131.1

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 131.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ฆ่าคน

 

 

 

คนทั้งหมดได้ยินคำพูดจั่วซื่อ ต่างตะลึงค้าง

 

 

จูหลานถามอย่างไม่เชื่อ “เจ้าพูดว่าอะไรนะ”

 

 

จั่วซื่อพูดอย่างสั่นกลัว “เมื่อคืนวาน ท่านสั่งให้ข้าบังคับรถม้าส่งคุณหนูเฉียวที่ไม่สบายกลับไป ไปได้ครึ่งทาง คุณหนูเฉียวก็มอบให้เงินข้าห้าตำลึง ให้ข้าเปลี่ยนเส้นทางไปบ้านนาง ข้าได้ยินนางสั่งคนเฝ้าเรือนในจวนนางสองคน ให้พวกเขาไม่ว่าจะใช้วิธีใด จักต้องจับตัวใครก็ได้ในครอบครัวแม่นางเมิ่งมาให้ได้ ให้นางได้ลิ้มลองรสชาติความเจ็บปวดของการสูญเสียคนรัก จากนั้นถึงให้บังคับรถกลับจวนพวกเรา”

 

 

จูหลานพูดอย่างฉุนเฉียว “เหตุใดนางต้องทำเช่นนั้น”

 

 

จั่วซื่อส่ายหน้า “ข้าก็ไม่ทราบ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกระชากจั่วซื่อขึ้นมา โยนไปบนคานไม้หน้ารถ ร้องบอกกับคนงานอีกคน “รีบกลับเข้าเมือง”

 

 

คนงานผู้นั้นไม่กล้ารอช้า พอจูหลานขึ้นรถ ก็รีบกระตุกบังเ**ยนนำรถม้ามุ่งตรงเข้าเมือง

 

 

จูหลานสีหน้าเคร่งขรึม มาถึงหน้าประตูเมืองโดยไม่ปริปากตลอดทาง

 

 

เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองเห็นรถม้าของพวกเขากลับมา เข้าไปแสดงความเคารพ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ คว้ามีดใหญ่จากเอวเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ที่สุด

 

 

เจ้าหน้าที่ตะลึงงัน ร้องตะโกนลั่น “บังอาจ คืนมีดมาเดี๋ยวนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา หันกลับไปในรถ

 

 

เจ้าหน้าที่คิดจะเข้าไปแย่งคืน เปาอีฝานห้ามเขา “ถอยไป มีดนี้พวกเรายืมใช้ก่อน กลับถึงจวนแล้วจะคืนให้เจ้า”

 

 

ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ชะงักมือ กลับไปยืนอย่างพินอบพิเทา

 

 

เปาอีฝานโบกมือ บรรดาเจ้าหน้าที่หลีกทางให้รถม้าทั้งหมดเข้าเมือง

 

 

เหล่าเจ้าหน้าที่หันหน้ามองกัน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยืมมีดไปทำสิ่งใด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดใหญ่กลับเข้ามาในรถ นั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ตรงข้ามจูหลาน

 

 

จูหลานมองมีดเล่มใหญ่ส่ายไปมา กำลังจะอ้าปากพูด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเอ่ยปาก “เห็นแก่หน้าเจ้า หากน้องชายข้าไม่เป็นอะไร ข้าจะไว้ชีวิตนาง หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับน้องชายข้า ข้าจะหั่นศพนางเป็นชิ้นๆ”

 

 

จูหลานกลืนคำพูดที่ปลายลิ้นลงไป

 

 

รถม้าทั้งหมดมาถึงหน้าประตูบ้านจูหลาน เมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดใหญ่ ลงจากรถม้า จูหลานเดินตามหลังมาติดๆ เปาอีฝาน เซี่ยเจียงเฟิง อันอี่หยวนต่างแยกย้ายลงจากรถ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสาวเท้าตรงเข้าบ้านจูหลาน จูหลานรีบเดินไปขวางเบื้องหน้านาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้ามองเขาอย่างเย็นเยียบ

 

 

จูหลานพูด “บิดามารดาข้าอายุมากแล้ว เจ้าถือมีดใหญ่มาด้วยจะทำพวกเขาตกใจได้ เจ้าช่วยเก็บมีดก่อนได้หรือไม่ รอให้ข้าเข้าไปซักถามนาง หากนางปฏิเสธ เจ้าคิดจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่เจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด จ้องเขาเขม็งครู่หนึ่ง มอบมีดใหญ่ในมือให้เปาอีฝานที่อยู่ข้างหลัง

 

 

จูหลานพูดกับคนที่เหลือทั้งสาม “รบกวนพวกเจ้านำตัวจั่วซื่อเข้ามาภายหลัง”

 

 

คนทั้งหมดพยักหน้า

 

 

จูหลานเดินเข้ามาในลานบ้าน เห็นเรือนอาศัยของพ่อจูและแม่จู

 

 

พ่อจูออกไปตรวจตราร้านสาขา แม่จูกำลังนั่งคุยกับเฉียวหมิ่น เห็นจูหลานกลับมา แม่จูถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้ากลับมาได้อย่างไร แม่นางเมิ่งเจอน้องชายแล้วหรือ”

 

 

เฉียวหมิ่นสะท้อนแววตา

 

 

จูหลานไม่ได้ตอบ เดินไปเบื้องหน้าเฉียวหมิ่น ใช้แววตาคับข้องใจมองนาง

 

 

เฉียวหมิ่นถูกมองจนร้อนตัว ฝืนส่งยิ้มถาม “เหตุใดถึงมองข้าเช่นนี้”

 

 

จูหลานถาม “เพราะอะไร”

 

 

เฉียวหมิ่นชะงักงัน ถามอย่างร้อนตัว “เจ้าพูดสิ่งใด ข้าไม่เข้าใจ”

 

 

จูหลานเน้นน้ำเสียง ถามอีกครั้ง “เหตุใดเจ้าต้องลักพาตัวน้องชายแม่นางเมิ่ง”

 

 

แม่จูร้องเสียงหลง “หลานเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไร หมิ่นเอ๋อร์จะลักพาตัวน้องชายแม่นางเมิ่งได้อย่างไร เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่”

 

 

จูหลานตอบกลับ “ท่านแม่ ข้าก็หวังให้เป็นเรื่องเข้าใจผิด”

 

 

แม่จูยังคงไม่เชื่อ พูดขึ้น “หมิ่นเอ๋อร์จะทำได้อย่างไร สองวันมานี้นางอยู่ที่จวนของพวกเราตลอด หาได้ออกไปไหนไม่”

 

 

เฉียวหมิ่นยิ้มพูด “ใช่ ข้าคอยอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับท่านป้า ยังมิได้ไปที่ใด”

 

 

จูหลานยิ้มอย่างสังเวช กล่าวว่า “หากเจ้ายอมพูดความจริงกับข้าตอนนี้ ว่าน้องชายแม่นางเมิ่งอยู่ที่ใด เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพวกเราในอดีต ข้ายังจะพอรักษาชีวิตนี้ของเจ้าไว้ได้ ไม่เช่นนั้น เจ้าจะต้องตายก็เหมือนอยู่ อยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น”

 

 

เฉียวหมิ่นตกใจตัวสั่นเทิ้ม กลับฝืนกล้ำกลืนพูด “ข้าไม่ได้ลักพาตัวน้องชายแม่นางเมิ่งจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไร”

 

 

จูหลานปัดถ้วยชาข้างมือนาง แผดเสียงร้องคำราม “เพราะอะไรกันแน่”

 

 

เฉียวหมิ่นตกใจกรีดร้องลุกขึ้นยืน

 

 

แม่จูก็ตกใจไม่น้อย พูดติเตียน “หลานเอ๋อร์ หลักฐานก็ไม่มี เจ้าปฏิบัติกับหมิ่นเอ๋อร์เช่นนี้ได้เยี่ยงไร”

 

 

จูหลานถอนหายใจยาว ส่งเสียงพูดไปด้านนอก “พวกเจ้าเข้ามาเถอะ”

 

 

คนทั้งหมดจับจั่วซื่อเข้ามาในห้อง

 

 

แม่จูเห็นสภาพยับเยินจนไม่อาจทนดูได้ของจั่วซื่อ ร้องอุทานเสียงหลง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดเขาถึงมีสภาพเช่นนี้”

 

 

จั่วซื่อพูดไม่ออกแล้ว

 

 

เฉียวหมิ่นเห็นสภาพน่าอนาถของจั่วซื่อ หวาดกลัวเข้าไปหลบหลังแม่จู

 

 

จูหลานหันไปพูดกับเฉียวหมิ่น “จั่วซื่อยอมคายเรื่องทั้งหมดออกมาแล้ว เจ้ายังไม่พูดความจริงอีก เจ้าจับน้องชายแม่นางเมิ่งไปซ่อนไว้ที่ไหน”

 

 

เฉียวหมิ่นยังคงดื้อดึง พูดว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าท่านพูดเรื่องอะไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง ถามอย่างเย็นเยียบ “หากคุณหนูเฉียวบอกมาตอนนี้ว่าน้องชายข้าอยู่ที่ไหน ข้าจะถือว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น”

 

 

เฉียวหมิ่นลังเลครู่หนึ่ง กลับยังส่ายหน้าพูด “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าพูดสิ่งใด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสะท้อนแววตาเ**้ยมอำมหิต สาวเท้าขึ้นหน้า ถีบใส่เฉียวหมิ่นที่หลบหลังแม่จู

 

 

เฉียวหมิ่นถูกถีบผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ชนเข้ากับโต๊ะด้านหลัง เด้งสะท้อนกลับมา ล้มคมำหน้าคว่ำไปบนพื้นอย่างอนาถ

 

 

แม่จูผวาตกใจ ร้องเสียงหลง ก้าวขึ้นหน้าประคองเฉียวหมิ่นขึ้น หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเคืองขุ่น “แม่นางเมิ่ง หมิ่นเอ๋อร์เป็นสะใภ้ที่ยังไม่ตบแต่งของบ้านจู เจ้าปฏิบัติต่อนางโดยไม่แยกแยะถูกผิด ไม่ทำเกินไปหน่อยหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร

 

 

แม่จูยังคงพูดอย่างฉุนเฉียว “เสียแรงที่ข้าคอยชื่นชมเจ้าต่อหน้าหมิ่นเอ๋อร์ ไม่คิดว่าเจ้าอายุเท่านี้จะโหดเ**้ยมได้ถึงเพียงนี้”

 

 

จูหลานรีบร้องเรียก “ท่านแม่!”

 

 

แม่จูหันไปตวาดเขา “ไม่ต้องเรียกแม่ ข้าไม่มีลูกอย่างเจ้า ภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของตัวเองถูกรังแกยังไม่รู้จักปกป้อง”

 

 

เปาอีฝานร้อนรนพูด “ท่านป้า ท่านเข้าใจผิดแล้ว แม่นางเมิ่งไม่มีทางลงมือโดยไม่มีสาเหตุ คุณหนูเฉียวลักพาตัวน้องชายนางไปจริงๆ จั่วซื่อได้สารภาพความจริงทั้งหมดแล้ว”

 

 

แม่จูยังมีความเชื่อถือเพื่อนๆ ของจูหลานอยู่บ้าง ได้ยินเปาอีฝานพูดเช่นนี้ อดถามขึ้นไม่ได้ “หมิ่นเอ๋อร์ พวกเขาพูดเป็นความจริงหรือไม่”

 

 

เฉียวหมิ่นส่ายหน้าร่ำไห้ “ท่านป้า ข้าไม่ได้ทำจริงๆ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจคนโดยรอบ จ้องเฉียวหมิ่นเขม็งแล้วพูด “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง น้องชายข้าอยู่ที่ไหน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ กลับยิ่งโหยไห้คร่ำครวญ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่โมโหกลับยิ้มเยาะ หันหลังไปคว้ามีดใหญ่ในมือเปาอีฝาน ย่างสามขุมมาตรงหน้าเฉียวหมิ่นประหนึ่งมัจจุราชจากขุมนรก

 

 

แม่จูไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะกล้าถือมีดเข้ามา ตกใจชะงักงันอยู่ตรงนั้น

 

 

เฉียวหมิ่นยิ่งตกใจกรีดร้อง “จูหลาน ช่วยข้าด้วย!”

 

 

จูหลานลืมตัวก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เปาอีฝานรั้งเขาไว้ หันไปส่ายหน้าให้เขา

 

 

จูหลานหยุดชะงักฝีเท้าอย่างเจ็บปวด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสะบัดมือ มีดเล่มใหญ่แฉลบผ่านใบหน้าเฉียวหมิ่น เฉือนเส้นผมนางหลุดหนึ่งกำ

 

 

เฉียวหมิ่นตกใจทิ้งร่างอ่อนระทวยไปกับพื้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างเย็นเยียบ “น้องชายข้าอยู่ที่ไหน”

 

 

เฉียวหมิ่นใกล้จะสูญสิ้นสติแล้ว กลับยังฝืนพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้าไม่รู้จริงๆ”

 

 

สิ้นเสียง ทุกคนเห็นเพียงแสงสะท้อนจากใบมีด แล้วใบหน้าของเฉียวหมิ่นก็มีรอยแผลเพิ่มขึ้นหนึ่งรอย

 

 

เฉียวหมิ่นเจ็บปวดกุมบาดแผลนอนกรีดร้องทุรนทุราย

 

 

แม่จูโมโหโทโส คิดจะเดินขึ้นหน้า จูหลานรั้งนางไว้แน่น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวใช้เท้าเหยียบตัวเฉียวหมิ่น คำรามเสียงต่ำ “น้องชายข้าอยู่ที่ไหน”

 

 

เฉียวหมิ่นยังคงตอบว่า “ข้าไม่รู้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตวัดมีดอีกครั้ง ใบหน้าเฉียวหมิ่นมีรอยแผลเพิ่มขึ้นอีกรอย

 

 

เฉียวหมิ่นกรีดร้องอย่างโหยหวนอีกครั้ง

 

 

แม่จูทนไม่ไหวแล้ว สะบัดหลุดออกจากมือจูหลาน เข้าไปขวางที่เบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “ข้าเห็นหมิ่นเอ๋อร์มาตั้งแต่เล็ก นางบอกว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้ หากเจ้ายังกระทำการเ**้ยมโหดเช่นนี้ ข้าก็ขอสู้ตาย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววางมีดใหญ่ในมือลงต่ำ เดินไปข้างจั่วซื่อ ถีบเขาอย่างคลุ้มคลั่ง ปลุกจั่วซื่อที่ใกล้จะสลบไปให้ฟื้นขึ้นมา

 

 

จั่วซื่อที่ลืมตาก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดใหญ่มีเลือดไหลหยด ตกใจขวัญกระเจิง ลนลานวิงวอนร้องขอ “แม่นางเมิ่งไว้ชีวิตด้วยเถิด ที่ข้าพูดไปเป็นความจริงทุกอย่าง ข้าได้ยินกับหูว่าคุณหนูเฉียวสั่งคนให้ไปลักพาตัวคนในครอบครัวแม่นาง”

 

 

แม่จูถามอย่างไม่เชื่อ “จั่วซื่อ เจ้าพูดสิ่งใด”

 

 

จั่วซื่อตอบอย่างอ่อนระทวย “ฮูหยิน เป็นความจริงทุกประการ เมื่อคืนวานข้าได้ยินมากับหูจริงๆ”

 

 

แม่จูเกรี้ยวกราดพูด “เหลวไหล เมื่อวานหลังจากที่หมิ่นเอ๋อร์กลับมา ก็อยู่กับข้าตลอด จะไปสั่งการใครตอนไหน”

 

 

จั่วซื่อตอบกลับ “เมื่อคืนวานก่อนกลับมา คุณหนูเฉียวสั่งให้ข้าไปจวนเฉียว ข้าได้ยินนางพูดเองกับหู”

 

 

จั่วซื่อเพิ่งพูดจบ เฉียวหมิ่นก็แผดเสียงตะโกนอย่างลืมความเจ็บปวด “เจ้าพูดเหลวไหล ข้านั่งรถม้าตรงกลับมาจวนจู ข้ากลับบ้านตัวเองตอนไหน เจ้าจะต้องถูกนังแพศยานี่ซื้อตัวมาพูดให้ร้ายข้า”

 

 

เห็นนางไม่ยอมรับ จั่วซื่อกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะตวัดมีดใส่ตัวเอง ร้อนรนพูดอย่างหวาดผวา “ที่ข้าพูดเป็นความจริง คุณหนูเฉียวยังให้เงินข้าห้าตำลึง กำชับข้าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป” พูดจบหยิบเงินห้าตำลึงออกมาหันไปพูดกับทุกคน “นี่คือเงินที่คุณหนูเฉียวมอบให้ข้า”

 

 

จั่วซื่อเป็นคนงานบังคับรถม้า เงินค่าแรงแต่ละเดือนได้เพียงหกร้อยอีแปะ ตอนนี้กลับล้วงเงินออกมาถึงห้าตำลึง แม่จูรู้ว่าที่เขาพูดจะต้องเป็นความจริง หันไปถามเฉียวหมิ่นอย่างไม่เชื่อ “หมิ่นเอ๋อร์ เจ้าทำเรื่องนี้จริงหรือ”

 

 

เฉียวหมิ่นเห็นจั่วซื่อหยิบเงินห้าตำลึงออกมา รู้ว่าเฉไฉต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ พูดอย่างยอมรับโดยดุษฎี “ใช่ ข้าเป็นคนสั่งให้คนไปทำ ก็แล้วอย่างไร”

 

 

แม่จูได้ยินนางยอมรับ ถามนางราวกับเป็นคนแปลกหน้า “เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้”

 

 

เฉียวหมิ่นไม่สนใจเลือดที่ยังไหลรินบนใบหน้า หัวเราะพูด “เพราะอะไร ก็เพื่อให้นังแพศยานั่นได้ลิ้มรสชาติการสูญเสียคนที่รักไปอย่างไร”

 

 

แม่จูไม่เข้าใจ

 

 

เฉียวหมิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกพูดต่อ “ข้าหมั้นหมายกับจูหลานมาแต่เยาว์วัย เราเติบโตมาด้วยกัน ข้าเห็นเขาเป็นคนที่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจที่สุด รอคอยให้เขารีบขอข้าแต่งงาน แต่หลังจากที่เขารู้จักกับนังแพศยานี่ อ้าปากหุบปากก็มีแต่พูดว่านางดีอย่างไร มีความสามารถแค่ไหน แม้แต่พวกเขาก็เช่นกัน มักชื่นชมนางต่อหน้าข้า ข้าพยายามกล้ำกลืนฝืนทน คิดว่าเมื่อพวกเราแต่งงานกันแล้วคงจะดีขึ้น ไม่คิดว่าเขา…เมื่อวานเขากลับพูดกับข้าว่ายังไม่คิดแต่งงาน เขาจะต้องลุ่มหลงนางแพศยานี้จนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว ในเมื่อข้าไม่ได้จูหลาน ข้าก็จะให้นางได้ลิ้มรสชาติการสูญสิ้นคนรักไปบ้าง”

 

 

แม่จูอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

 

 

เปาอีฝาน เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนทั้งสามมองนางอย่างไม่คาดฝัน

 

 

จูหลานไม่คิดว่าจะเป็นสาเหตุนี้ ตะลึงลานอยู่ตรงนั้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดเดินไปตรงหน้าหน้า ถามด้วยเสียงเย็นเยียบ “น้องชายข้าอยู่ที่ไหน”

 

 

เฉียวหมิ่นแสยะยิ้มอย่างเห่อเหิมใจ พูดว่า “อย่างไรใบหน้าข้าก็ถูกเจ้าทำลายสิ้น ข้าแต่งกับจูหลานไม่ได้แล้ว ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสของการสูญเสียนี้บ้าง ต่อให้ตาย ข้าก็ไม่มีวันบอกเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดหลอกล่อ “ขอเพียงเจ้าบอกว่าน้องชายข้าอยู่ที่ไหน ข้าจะรักษารอยมีดบนใบหน้าเจ้า”

 

 

เฉียวหมิ่นเผยแววตามีหวัง ถามขึ้น “จริงเหรอ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “จริง ขอเพียงเจอน้องชายข้า ข้าจะปรุงยาให้เจ้าทันที ไม่นานเท่าไหร่ใบหน้าของเจ้าก็จะฟื้นคืนดั้งเดิม”

 

 

เฉียวหมิ่นยินดีปรีดา กำลังจะบอกที่ซ่อนของเมิ่งเจี๋ย กลับเห็นใบหน้าสิ้นหวังของจูหลาน ได้สติคืนกลับมา ส่ายหน้าพูด “ข้าทำเรื่องเช่นนั้น จูหลานไม่มีทางแต่งกับข้าแล้ว รักษาใบหน้าข้าได้จะมีประโยชน์อะไร ไว้มาดูพวกเจ้าเสวยสุขอย่างนั้นหรือ ไม่ ข้าจะบอกเจ้าไม่ได้ เช่นนี้ทุกครั้งที่เจ้าเห็นจูหลาน เจ้าจะได้คิดว่าน้องชายตัวเองต้องตายเพราะเขา เช่นนั้นพวกเจ้าจะไม่มีวันอยู่ด้วยกันได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีกครั้ง “เจ้าจะไม่พูดจริงๆ ”

 

 

เฉียวหมิ่นตอบกลับ “เจ้าฆ่าข้าเถอะ อย่างไรต่อไปข้าก็อยู่เหมือนตายทั้งเป็นแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองนางอย่างเย็บเยียบ สะบัดข้อมืออีกครั้ง ใบหน้าเฉียวหมิ่นมีรอยแผลลึกเพิ่มขึ้นอีกรอย

 

 

เฉียวหมิ่นเจ็บปวดดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น

 

 

อย่างไรก็เป็นลูกสะใภ้ที่ตัวเองชอบพอมานานหลายปี ต่อให้นางทำเรื่องหยาบช้าเช่นนี้ แม่จูก็ยังปวดใจจนทนไม่ได้ ร้องพูดเสียงหลง “หมิ่นเอ๋อร์ เจ้ารีบบอกที่ซ่อนของน้องชายแม่นางเมิ่งออกมา นางจะได้ไว้ชีวิตเจ้า”

 

 

เฉียวหมิ่นเสียสติไปแล้ว ได้ยินคำพูดของแม่จู ตวาดแว้ดกลับ “พวกเจ้าใครก็อย่าได้ฝัน ข้าไม่มีวันพูด ข้าจะให้นางมีชีวิตทุกข์ระทม ชาตินี้ไม่มีวันได้ครองคู่กับจูหลาน”

 

 

คนทั้งหมดเห็นนางอย่างไรก็ไม่สำนึกผิด ต่างถอนหายใจยาว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียบตัวเฉียวหมิ่น หยุดยั้งการดิ้นทุรนทุรายของนาง

 

 

เฉียวหมิ่นเจ็บจนทนไม่ไหว แผดเสียงคำราม “เจ้าฆ่าข้าสิ ฆ่าข้าเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องนางราวจะกินเลือดกินเนื้อ เค้นถามเสียงต่ำ “น้องชายข้าอยู่ที่ไหน”

 

 

เฉียวหมิ่นไม่แยแส เอาแต่พูดให้เมิ่งเชี่ยนโยวฆ่านาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียบมือเฉียวหมิ่น พูดว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง น้องชายข้าอยู่ที่ไหนกันแน่”

 

 

เฉียวหมิ่นหัวเราะคลุ้มคลั่ง “ข้าไม่มีวันบอกเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกดแรงเหยียบ นิ้วมือหนึ่งของเฉียวหมิ่นถูกเหยียบหักดังกรอบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด