ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 132.3

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 132.3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
จุดจบของเฉียวหมิ่น

 

 

 

เปาชิงเหอนั่งเกี้ยวด้วยอารมณ์ขุ่นมัว สั่งการเจ้าหน้าที่เดินทางกลับจวนผู้ว่า กระทั่งมาถึงประตูจวนผู้ว่าถึงพบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังมาด้วย ถามอย่างตกใจ “แม่นางเมิ่ง ยังมีเรื่องอันใด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “คุณหนูเฉียวถูกนำตัวเข้ากุมขังในสภาพไม่ได้สติเช่นนี้ อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้ ข้าอยากช่วยปลุกนางให้ฟื้น”

 

 

เปาชิงเหอพยักหน้าเห็นพ้อง “เช่นนั้นต้องรบกวนแม่นางเมิ่งแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเจ้าหน้าที่นายหนึ่ง “รบกวนเจ้าไปตักน้ำมาหนึ่งกะละมัง”

 

 

เจ้าหน้าที่รีบไปออกไป ไม่นานก็ยกน้ำเย็นมาหนึ่งกะละมัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากม้า บอกกับเจ้าหน้าที่สองนายที่ประคองเฉียวหมิ่น “พวกเจ้าวางนางลงกับพื้น”

 

 

เจ้าหน้าที่สองนายค่อยๆ วางเฉียวหมิ่นลงกับพื้นให้ใบหน้าหงายขึ้นฟ้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับกะละมังใส่น้ำมาจากเจ้าหน้าที่ สาดใส่เฉียวหมิ่นที่นอนอยู่บนพื้น

 

 

เฉียวหมิ่นฟื้นคืนสติฉับพลัน นึกว่ายังอยู่ในบ้าน ลนลานร้องถาม “ท่านพ่อ ท่านแม่เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

 

 

“เค้ง” เมิ่งเชี่ยนโยวโยนกะละมังในมือทิ้ง

 

 

เฉียวหมิ่นตกใจได้สติ ถึงพบว่าตนเองนอนเปียกปอนไปทั้งร่างอยู่บนพื้น มีเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตนด้วยสีหน้าทมึน ร้องโวยวาย “ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร บิดามารดาข้าส่งข้ากลับไปบ้านเกิดแล้วไม่ใช่หรือ”

 

 

ได้ยินเฉียวหมิ่นพูดเช่นนั้น เปาชิงเหอพรึงเพริดเหงื่อซึมไปทั้งร่าง โชคดีที่เมิ่งเชี่ยนโยวมาห้ามตนเองไว้ทัน ไม่เช่นนั้นหากเฉียวหมิ่นถูกส่งตัวไปจริงๆ คดีใหญ่นี้จับตัวคนร้ายไม่ได้ หัวโขนของตัวเองก็คงจะรักษาไว้ไม่อยู่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเฉียวหมิ่นอย่างสงบนิ่ง พูดเนิบนาบ “คุณหนูเฉียว เจ้าดูให้ดี ที่นี่คือหน้าประตูจวนผู้ว่า ความคิดของบิดามารดาเจ้าเกรงจะไม่สำเร็จแล้ว”

 

 

เฉียวหมิ่นถึงเห็นเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่โดยรอบ กรีดร้องลุกขึ้นยืน โอบปิดร่างกายตัวเอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเปาชิงเหอ “ไต้เท้าเปา ดึกป่านนี้แล้ว ให้ข้าเข้าไปส่งคุณหนูเฉียวในคุกเถอะ จะได้กำชับคนด้านใน ไม่ให้รังแกคุณหนูเฉียว วันพรุ่งนางยังต้องถูกไต่สวนอีก”

 

 

เปาชิงเหอสบตาแวบหนึ่ง ตบปากรับคำ “ไปเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้า กระชากเฉียวหมิ่นได้ก็เดินไป เฉียวหมิ่นดิ้นทุรนทุราย ร้องพูดอย่างหวาดกลัว “ข้าไม่เข้าคุก ข้าไม่เข้าคุก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แยแสแม้แต่น้อย มาถึงคุกหญิงภายใต้การนำทางจากเจ้าหน้าที่

 

 

ในคุกมืดมาก มีเพียงตะเกียงส่องแสงสลัวอันเดียว เฉียวหมิ่นยิ่งทวีความหวาดกลัว หวีดร้องเสียงดังกว่าเดิม

 

 

นักโทษในคุกถูกปลุกให้ตื่น ต่างคลานออกมาดูที่หน้าประตูห้องขังเห็นเด็กสาวใบหน้าไร้ความรู้สึกคนหนึ่งลากหญิงสาวร้องดิ้นทุรนทุรายคนหนึ่งเข้ามา

 

 

เจ้าหน้าที่เดินมาถึงด้านในสุด เปิดห้องขังว่างออก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “คุณหนูเฉียวมีสภาพเช่นนี้ ให้นางอยู่ในห้องขังคนเดียว หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ไต้เท้าเปาตำหนิโทษลงมา เจ้าและข้าคงหนีไม่พ้น ข้าว่าให้นางอยู่ในห้องขังที่คนมากจะดีกว่า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนาง คนในห้องขังจะได้แจ้งข่าวได้ทัน”

 

 

เจ้าหน้าที่กะพริบตาปริบๆ เดินมาตรงหน้าห้องขังที่คนมากที่สุด เปิดประตูห้องขังออก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลากเฉียวหมิ่นโดยเข้าไปข้างใน พูดกับนักโทษด้านในด้วยเสียงเย็นชา “นี่คือคุณหนูเฉียวแห่งจวนเฉียว กระทำความผิดร้ายแรง ถูกไต้เท้าเปาจับกุมตัวเข้าคุก คืนนี้พวกเจ้าต้องดูแลนางให้ดี ห้ามให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางเด็ดขาด อีกอย่าง ใบหน้าคุณหนูเฉียวได้รับบาดเจ็บ พวกเจ้าห้ามแตะต้องใบหน้านางเด็ดขาด หากเสียโฉมขึ้นมา ภายหน้าคุณหนูเฉียวจะไม่มีหน้าไปพบผู้คนอีก”

 

 

ในคุกไม่มีคนหน้าใหม่เข้ามานานแล้ว กลุ่มคนต่างรู้สึกเบื่อหน่าย พอได้เห็นเด็กสาวพาหญิงสาวส่งเข้ามา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่มีใครกล้าแตะต้อง แต่พอฟังนางพูดจบก็เข้าใจความหมายแฝงทันใด พวกเจ้ากลั่นแกล้งคุณหนูใหญ่ผู้นี้ได้ตามใจชอบ แต่ห้ามทำให้นางเสียโฉม กลุ่มคนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ต่างบิดแขนนวดขา อยากลองดูสักตั้ง

 

 

เจ้าหน้าที่มองเฉียวหมิ่นอย่างเห็นใจหลายครั้ง ใส่กุญแจห้องขัง เดินนำเมิ่งเชี่ยนโยวออกไป

 

 

เฉียวหมิ่นเกาะประตูห้องขังส่งเสียงร้อง ร้องได้ไม่กี่ครั้ง ก็ถูกกระชากเส้นผม ต่อมาเสียงกรีดร้องของนางก็ดังไล่หลังมาเป็นระลอก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากคุก หยิบเงินสองสามตำลึงในอกเสื้อส่งให้คนเฝ้าคุกและเจ้าหน้าที่ข้างๆ พูดขึ้น “ดึกมากแล้ว ลำบากพวกท่านแล้ว เงินเล็กน้อยนี้นำไปซื้อเหล้ามาดื่มเถอะ”

 

 

คนทั้งหมดรับมาอย่างยินดี พูดขอบคุณไม่หยุด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขี่ม้ากลับโรงเตี๊ยม

 

 

นักโทษในคุกกลั่นแกล้งทรมานเฉียวหมิ่นต่างๆ นาๆ กระทั่งฟ้าใกล้สาง ถึงรามืออย่างพอใจ แยกย้ายไปนอน

 

 

เฉียวหมิ่นขดตัวอยู่ในมุมหนึ่งอย่างอเนจอนาถ ในใจคิดเคียดแค้นที่ตัวเองใจอ่อนเกินไป ไม่ได้สั่งให้เวรยามสังหารเด็กคนนั้น

 

 

พ่อจูและแม่จูให้สาวใช้และบ่าวในบ้านคอยเฝ้าดูจูหลานทั้งคืน ทั้งป้อนยาให้เขาทุกสองชั่วยามตามคำบอกของเมิ่งเชี่ยนโยว รอจนฟ้าสางจูหลานตัวร้อนไข้ขึ้น ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาด คนทั้งหมดถึงโล่งใจ

 

 

พ่อจูหันไปพูดกับเปาอีฝาน เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวน “หลานเอ๋อร์น่าจะพ้นขีดอันตรายแล้ว พวกเจ้าสามคนเฝ้ามาทั้งคืนแล้ว รีบกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ”

 

 

ทั้งสามเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว เหนื่อยล้าอ่อนแรงมากแล้วจริงๆ พอเห็นว่าจูหลานไม่เป็นอะไร ก็พยักหน้าเห็นพ้อง ต่างออกจากโรงหมอ กลับไปบ้านตัวเอง

 

 

ซุนฮุ่ยได้ยินว่าน้องชายเมิ่งเชี่ยนโยวหายตัวไป ก็ไม่ได้กลับบ้าน เอาแต่รอฟังข่าวอยู่ที่จวนผู้ว่า เห็นเปาอีฝานกลับมาด้วยใบหน้าอ่อนล้า ไม่ให้เขาไปพักผ่อน ร้อนใจซักถามขึ้นก่อน “พบน้องชายแม่นางเมิ่งหรือไม่”

 

 

เปาอีฝานนั่งบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ตอบว่า “พบแล้ว”

 

 

ซุนฮุ่ยเร่งเร้าถามขึ้นอีก “เป็นใครกันแน่ที่ลักพาตัวน้องชายนางไป”

 

 

เปาอีฝานเงยหน้ามองนาง ทอดถอนใจ บอกเรื่องที่เฉียวหมิ่นสั่งเวรยามในบ้านให้ลักพาตัวเมิ่งเจี๋ยไป ทั้งให้พวกเขานำไปขายให้พวกค้ามนุษย์แก่นาง

 

 

ซุนฮุ่ยตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น ครู่หนึ่งถึงพูดอย่างไม่เชื่อ “เฉียวหมิ่นจะทำเรื่องไร้มนุษยธรรมเช่นนั้นได้อย่างไร”

 

 

เปาอีฝานไม่พูดอะไร

 

 

ซุนฮุ่ยลุกขึ้น “ไม่ได้ ข้าต้องไปดูว่าแม่นางเมิ่งมีอะไรให้ช่วยหรือไม่”

 

 

เปาอีฝานยับยั้งนาง พูดว่า “แม่นางเมิ่งเพิ่งจะหาเมิ่งเจี๋ยเจอ อารมณ์ยังพลุ่งพล่าน เจ้าไปตอนนี้ พวกเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงมาต้อนรับเจ้า รอให้เสร็จสิ้นคดีก่อนค่อยไปเถอะ”

 

 

ซุนฮุ่ยครุ่นคิด รู้สึกว่าเปาอีฝานพูดมีเหตุผล จึงสั่งสาวใช้ตักน้ำอุ่นมา ให้เปาอีฝานได้ล้างหน้าล้างตา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวที่หลับมาถึงโรงเตี๊ยม พบว่าห้องสองห้องไฟดับสนิทแล้ว รู้ว่าคนในครอบครัวเข้านอนหมดแล้ว จึงกลับเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าล้มลงนอนอย่างสงบ

 

 

พ่อเฉียวและแม่เฉียวไม่ได้นอนทั้งคืน กลัดกลุ้มจนเส้นผมขาวหงอกไม่น้อย รอจนฟ้าสางรีบรุดเดินทางมาจวนผู้ว่า

 

 

เวลายังเช้าเกินไป จวนผู้ว่ายังไม่เปิดประตู ทั้งสองทำได้เพียงรออย่างกระสับกระส่ายอยู่หน้าประตูจวนผู้ว่า ทำเอาคนที่เดินผ่านไปมาต้องหันมอง

 

 

เมื่อถึงเวลา ประตูใหญ่จวนผู้ว่าเปิดออก เปาชิงเหอขึ้นนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดี พ่อเฉียวและแม่เฉียวตรงดิ่งเข้าไปในจวนผู้ว่า เจ้าหน้าที่เวรยามหน้าประตูรีบกั้นคนไม่น้อยที่มามุงดู

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกินข้าวเช้าเสร็จก็มายังจวนผู้ว่า เปาชิงเหอเห็นว่าคนทั้งหมดมาครบแล้ว สั่งให้เจ้าหน้าที่นำตัวนักโทษทั้งสามคนเข้ามา

 

 

เจ้าหน้าที่รับคำสั่ง ไม่นานก็นำตัวทั้งสามคนเข้ามา

 

 

แม่เฉียวเห็นบุตรสาวทุเรศทุรังถูกลากออกมาเหมือนสุนัขตายข้างถนน ร้องกระโจนเข้าหา “หมิ่นเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”

 

 

พ่อเฉียวเห็นสภาพบุตรสาว ปวดใจเหลือจะเอ่ย ร้องถามเปาชิงเหออย่างเคืองขุ่น “ไต้เท้าเปา นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดบุตรสาวข้าถึงมีสภาพเช่นนี้”

 

 

เจ้าหน้าที่ข้างๆ ตอบกลับ “เมื่อคืนวานพอคุณหนูเฉียวเข้าห้องขัง ก็ร้องเอะอะโวยวาย รบกวนนักโทษคนอื่นในคุกไม่ได้หลับนอน ทั้งสองฝ่ายเกิดปากเสียงกัน ตอนเช้าพอพวกเราเข้าไปดู คุณหนูเฉียวก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว”

 

 

พ่อเฉียวพูดอย่างฉุนเฉียว “เหลวไหลทั้งเพ บุตรสาวข้าเป็นคนนิ่งเงียบมาแต่เด็ก จะไปมีปากเสียงกับคนอื่นได้อย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็น “คุณหนูเฉียวยังจิตใจดีมีเมตตา แต่ก็ยังทำเรื่องชั่วช้าสามานย์เช่นนี้ได้”

 

 

พ่อเฉียวสะอึกกึก

 

 

เปาชิงเหอใช้แท่งไม้ตบบัลลังก์ เปล่งเสียงดังกึกก้อง “เรื่องที่เฉียวหมิ่นส่งคนไปลักพาตัวน้องชายแม่นางเมิ่ง ทั้งให้เวรยามของบ้านตนเองนำไปขายให้พวกค้ามนุษย์มีหลักฐานครบถ้วน ตอนนี้ข้าขอตัดสินตามกฎหมายประเทศอู่ ให้ตัดคอเฉียวหมิ่น ดำเนินการหลังฤดูใบไม้ร่วง”

 

 

แม่เฉียวตกใจหน้าซีดเผือก คุกเข่าลงหน้าบัลลังก์เปาชิงเหอ ร้องไห้คร่ำครวญ “ท่านไต้เท้าเปา ขอร้องล่ะ จะตัดสินโทษตายหมิ่นไม่ได้ จะโบยจะปรับอย่างไรก็ได้ ขอไว้ชีวิตหมิ่นเอ๋อร์เป็นพอ”

 

 

พ่อเฉียวร่างกายโงนเงน พูดว่า “ไต้เท้าเปา ตัดสินหนักเกินไปหรือไม่ น้องชายแม่นางน้อยก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว หมิ่นเอ๋อร์ไม่ควรมีโทษถึงชีวิต”

 

 

เปาชิงเหอมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างลำบากใจแวบหนึ่ง

 

 

แม่เฉียวลนลานคลานไปเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งโขกหัวทั้งพูดวิงวอน “ขอร้องเจ้าล่ะ แม่นางน้อย โปรดเมตตาปราณี ไว้ชีวิตหมิ่นเอ๋อร์ของพวกเราด้วยเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก หันไปพูดกับเปาชิงเหอ “ไต้เท้าเปา ข้าก็รู้สึกว่าคุณหนูเฉียวไม่ควรถูกตัดสินโทษตาย เพราะอย่างไรน้องชายข้าก็ได้กลับคืนมาแล้ว”

 

 

เปาชิงเหอมองนางอย่างงุนงง ไม่เข้าใจนางที่เมื่อวานยังเต็มไปด้วยรังสีสังหาร เหตุใดวันนี้ถึงมาขอร้องแทนเฉียวหมิ่น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเปาชิงเหออย่างมีความนัยแฝง “เว้นโทษตายให้คุณหนูเฉียวได้ แต่โทษเป็นอยากจะหลีกเลี่ยง”

 

 

เปาชิงเหอถึงเข้าใจพูดว่า “แม่นางเมิ่งเป็นผู้เสียหาย คิดว่าควรลงโทษคุณหนูเฉียวเยี่ยงไรดีเล่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดแล้วพูด “ไม่เช่นนั้นก็สลักอักษร “ชั่ว” ไว้ที่ใบหน้าคุณหนูเฉียว ขายนางไปโรงเตี๊ยมทางการ ให้นางเป็นทาสไปชั่วชีวิต ใครจะทำร้ายฆ่าแกงก็ได้ตามใจ”

 

 

คนทั้งหมดสูดลมหายใจเข้าปาก แอบพูดงึมงำ เช่นนี้สู้ตายเสียยังดีกว่า

 

 

แม่เฉียวฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ กรีดร้องจากนั้นหมดสติไป

 

 

พ่อเฉียวบันดาลโทสะชี้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดอะไรไม่ออก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเลือดเย็น

 

 

เฉียวหมิ่นฟื้นคืนเรี่ยวแรงบ้างแล้ว ร้องร่ำ “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าใจคอโหดเ**้ยมเช่นนี้ ไม่มีวันได้ตายดี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเฉยชา “ข้าจะตายดีหรือไม่เจ้าไม่รู้ แต่เจ้าไม่มีจุดจบที่ดีข้ากลับได้เห็นเองกับตา”

 

 

เฉียวหมิ่นตะเกียกตะกายคลานเข้าหา แผดเสียงร้องคำราม “ข้าขอสู้ตายกับเจ้า!”

 

 

พ่อเฉียวคุกเข่าพร่ำพูดเว้าวอนอย่างไม่อาจตัดใจ “ท่านไต้เท้าเปา ท่านไม่เห็นแก่หน้าอินทร์ก็เห็นแก่หน้าพรหมบ้างเถิด เห็นแก่ที่บุตรสาวข้าเคยเป็นภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของจูหลาน และคุณชายเปาก็เป็นสหายรักกับจูหลานมานานหลายปี อย่าได้ตัดสินลงโทษหมิ่นเอ๋อร์เช่นนี้เลย”

 

 

เปาชิงเหอยังไม่ทันได้ตอบกลับ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากนอกศาล “ครอบครัวของพวกเราไม่มีทางให้หลานเอ๋อร์แต่งลูกสะใภ้ที่จิตใจเ**้ยมโหดเช่นนี้”

 

 

ทุกคนหันกลับไปมอง พ่อจู แม่จูและบ่าวรับใช้หามจูหลานที่ไร้แรงกำลังเดินเข้ามา

 

 

เฉียวหมิ่นเห็นสภาพจูหลาน กระวีกระวาดลุกขึ้น ถลาไปตรงหน้าแคร่ ร้อนรนถาม “จูหลาน เจ้าเป็นอะไร”

 

 

แม่จูผลักนางออกแล้วพูด “คนหายนะ อย่ามาเข้าใกล้หลานเอ๋อร์ของข้า”

 

 

เฉียวหมิ่นถูกผลักล้มไปกับพื้น ร้องเรียกอย่างน้อยใจ “ท่านป้า”

 

 

แม่จูมองนางอย่างเดียดฉันท์ ล้วงแผ่นหยกหมั้นหมายในอกเสื้อออกมา พูดกับเปาชิงเหออย่างอ่อนน้อม “ไต้เท้าเปา วันนี้ต่อหน้าคนทั้งหมด พวกเราขอยกเลิกการแต่งงานกับสกุลเฉียว นับจากนี้พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”

 

 

“ไม่นะ!” เฉียวหมิ่นถลาไปตรงหน้าแม่จู วิงวอนอย่างระทมทุกข์ “ท่านป้า ข้าขอร้อง อย่าได้ยกเลิกการแต่งงานของข้ากับจูหลาน ต่อไปต่อให้ต้องเป็นวัวเป็นม้า ข้าก็จะตอบแทนท่าน”

 

 

จูหลานในแคร่พูดอย่างอ่อนแรง “เฉียวหมิ่น!”

 

 

เฉียวหมิ่นหันกลับไปมองเขาอย่างวาดหวัง

 

 

จูหลานค่อยๆ พูดช้าๆ “พวกเราหมั้นหมายกันแต่เด็ก เป็นคู่ตุนาหงัน ข้ารู้แต่ว่าภายหน้าตนเองจะต้องแต่งงานกับเจ้า ไม่เคยมีความคิดเป็นอื่น ไม่คิดว่าเจ้าจะกระทำเรื่องผิดมหันต์เช่นนี้ ทำลายชีวิตคู่ของเราด้วยน้ำมือเจ้า”

 

 

เฉียวหมิ่นส่ายหน้า คร่ำครวญโหยไห้ “ข้าก็ไม่คิด พวกท่านที่บีบให้ข้าต้องทำ หากไม่เพราะพวกท่านคอยพร่ำพูดต่อหน้าข้าว่านังแพศยาคนนี้ดีเช่นไร ข้าก็คงไม่มีความคิดชั่ววูบ ลักพาตัวคนในครอบครัวนาง”

 

 

จูหลานมองนางอย่างร้าวระทม พูดขึ้น “เจ้าดูเถิด นางยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ข้าจะไปมีความคิดเช่นนั้นกับนางได้อย่างไร เจ้าเลิกหาข้ออ้างให้การกระทำผิดของตนเองได้แล้ว”

 

 

เฉียวหมิ่นพลันได้สติกลับมา ถลาไปตรงหน้าจูหลาน ร่ำร้องวิงวอน “ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าจะไปขอขมาแม่นางเมิ่ง แต่ขอร้องเจ้าอย่ายกเลิกงานแต่งงานได้หรือไม่”

 

 

จูหลานส่ายหน้า “สายน้ำไม่หวนคืน เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น พวกเราไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้แล้ว เจ้าเก็บแผ่นหยกถอนหมั้นนี้ไว้ให้ดี ภายหน้าพวกเราไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก”

 

 

เฉียวหมิ่นก้าวถอยหลัง โบกมือเป็นพัลวัน “ข้าไม่รับ ข้าไม่รับ!”

 

 

พ่อเฉียวถามตำหนิพ่อจู “พวกท่านไม่คิดจะไว้หน้า คิดจะถอนหมั้นให้ได้เรอะ”

 

 

พ่อจูตอบกลับอย่างเฉยชา “พี่เฉียวก็มีบุตรชาย ท่านยินดีให้บุตรชายของตัวเองแต่งเอาคนเช่นนี้เข้าบ้านหรือ”

 

 

พ่อเฉียวเผยอปาก พูดไม่ออก

 

 

เปาชิงเหอตบแท่งไม้พูดขึ้น “ตอนนี้ข้าจะทำการตัดสิน ให้ละเว้นโทษตายนักโทษเฉียวหมิ่น สลักอักษรบนหน้าผาก ขายตัวไปยังโรงเตี๊ยมทางการ ให้เป็นทาสใช้แรงงาน ชั่วชีวิตนี้ห้ามไม่ให้ไถ่ถอนคืนความเป็นทาส นักโทษเฉียวต้า ตัดสินโทษใช้แรงงานสิบปี และส่งตัวไปชายแดน นักโทษเฉียวเอ้อ ทำคุณไถ่โทษ เว้นโทษใช้แรงงาน ปล่อยตัวเป็นอิสระ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด