ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 135.3

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 135.3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ข้าก็คือผู้ปกครอง

 

 

 

ซุนเหลียงไฉที่พอได้ยินว่ากระเป๋านักเรียนใบนี้พวกเขาชดใช้ไม่ไหว ตกใจขดตัวไปด้านหลัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “อี้เซวียน เจ้าบอกทุกคนในที่นี้ ว่าเมื่อวานเจ้าเห็นใครเหยียบกระเป๋านักเรียนของเจ้าก่อน”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนชี้เด็กชายหนึ่งในนั้นพูดว่า “ตอนที่ข้ากลับมาจากห้องน้ำ เห็นเขากำลังเหยียบย่ำกระเป๋านักเรียนข้า”

 

 

ผู้ปกครองของเด็กชายร้อนรนพูด “เจ้าอย่าได้ให้ร้ายพวกเรา ลูกบ้านข้าเป็นเด็กดี จะไปเหยียบกระเป๋านักเรียนเจ้าอย่างไร้สาเหตุได้อย่างไร”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างหนักแน่น “ข้าไม่ได้ให้ร้ายเขา ข้าเห็นเขาเหยียบกระเป๋านักเรียนข้ากับตา ข้ายังโมโหเข้าไปผลักเขาหนึ่งที”

 

 

ผู้ปกครองของเด็กชายรีบเบี่ยงเบนประเด็น “ถึงว่าเมื่อวานพอลูกของเรากลับไปก็เอาแต่พูดว่าเจ็บหลัง ตอนที่เจ้าผลักเขาจะต้องไปกระแทกเข้ากับโต๊ะเรียน เจ้าต้องชดใช้ให้พวกเรา พาพวกเราไปโรงหมอ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ได้ พวกเราจะไปเต๋อเหรินถังโรงหมอที่ใหญ่ที่สุดของตำบลเป็นอย่างไร ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่พวกเราจะรับผิดชอบเอง อีกทั้งยังจะมีเงินปลอบขวัญให้อีก”

 

 

ผู้ปกครองของเด็กชายพูด “ค่อยยังชั่วหน่อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “แล้วกระเป๋านักเรียนของอี้เซวียนเล่า เจ้าคิดจะชดใช้ให้พวกเราอย่างไร”

 

 

ผู้ปกครองของเด็กชายมองดูกระเป๋านักเรียนกระดำกระด่าง ไม่ได้พูดอะไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่บีบเค้นพวกเขา เพียงแต่พูดเนิบนาบ “พวกเราก็ไม่เรียกร้องมาก ขอเพียงพวกท่านนำกระเป๋านักเรียนที่เหมือนกันทุกประการออกมาได้ ข้าจะให้อี้เซวียนขอขมาพวกท่าน ทั้งพาเขากลับบ้าน ต่อไปจะไม่ให้เขาปรากฎตัวต่อหน้าบุตรหลานพวกท่านอีก แต่หากพวกท่านนำกระเป๋าแบบเดียวกันนี้ออกมาไม่ได้ เราอย่าให้อาจารย์ต้องจัดการเรื่องราวเลย พวกเราไปที่ศาลาว่าการ ข้าเองก็ไม่ต้องการการชดใช้จากพวกท่าน แค่ให้ท่านผู้ว่าการโบยบุตรหลานพวกท่านยี่สิบไม้ก็พอ”

 

 

เด็กๆ ในเมืองต่างเคยเห็นคนกระทำผิดถูกโบยด้วยไม้พาย โดยเฉพาะตอนที่ถูกตีเนื้อเละ เห็นแล้วก็ตกใจนอนไม่หลับไปหลายวัน ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกจะส่งเขาไปศาลาว่าการ เด็กชายที่ถูกชี้ตัวตกใจจนร้องไห้จ้า ร้องไปพลางแผดเสียงพูด “ข้าไม่ได้อยากทำ ซุนเหลียงไฉให้พวกเราฉวยโอกาสตอนที่เมิ่งอี้เซวียนไปเข้าห้องน้ำ เอากระเป๋านักเรียนของเขาออกมาเหยียบย่ำ ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียว พวกเขาก็เหยียบ หากจะถูกโบยพวกเขาก็ต้องไปด้วยทั้งหมด”

 

 

เด็กที่เหลือเห็นเขาพูดถึงตัวเอง ตกใจกลัว น้ำตาเอ่อล้นเป็นทาง

 

 

ซุนเหลียงไฉกลับตกใจเข้าไปหลบหลังบิดาพลัน

 

 

ได้ยินคำพูดของเด็ก เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก

 

 

ผู้ปกครองคนอื่นก็ตกอกตกใจ ครั้งนี้ทุกคนต่างหันมองไปที่ปู่ของซุนเหลียงไฉ

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างชื่นชมแวบหนึ่ง แล้วยิ้มตาหยีพูดว่า “เด็กๆ ยังเด็กเกินไป นำตัวไปโบยที่ศาลาว่าการคงจะถูกโบยอาการสาหัส แม่นางน้อย ไม่เช่นนั้นพวกเรามาเปลี่ยนวิธี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “อี้เซวียนของพวกเราเล็กกว่าพวกเขามาก ตอนที่พวกท่านรู้ว่าพวกเขาหกคนรุมทำร้ายเขาคนเดียว เหตุใดถึงไม่มีใครเข้ามาปลอบประโลมพวกเราก่อน แต่กลับแสดงท่าทีราวกับพวกเขาถูกรุมทำร้าย ในเมื่อพวกท่านยังไร้น้ำใจ เหตุใดข้าต้องเปลี่ยนวิธี”

 

 

ผู้ปกครองคนอื่นๆ มองเมิ่งอี้เซวียน แล้วมองบุตรหลานตัวเองที่ตัวสูงใหญ่กว่าเขาช่วงหนึ่ง คิดได้ว่าพวกเขาหกรุมหนึ่ง ยังจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายชดใช้ ต่างหลุบศีรษะละอายใจ

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉพูดว่า “ข้ารู้ว่าไฉเอ๋อร์ของพวกเรากระทำเรื่องผิด ทำให้เมิ่งอี้เซวียนต้องถูกรังแก เอาอย่างนี้ พวกเจ้าเสนอเงื่อนไขอะไรมาก็ได้หนึ่งอย่าง พวกเราจะไม่ต่อรอง เป็นอย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองผู้ปกครองคนอื่นๆ แวบหนึ่ง ถามขึ้น “ท่านตัดสินแทนพวกเขาได้”

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉพยักหน้าพูด “วางใจเถอะ แม่นางน้อย เมื่อข้ารับปากเจ้า ย่อมต้องตัดสินใจแทนพวกเขาได้ หากพวกเขาไม่ยินยอม ก็ทำตามที่เจ้าว่า ส่งตัวบุตรหลานพวกเขาไปศาลาว่าการ ให้ผู้ว่าการตัดสินโทษ”

 

 

ผู้ปกครองทั้งหมดรีบร้อนพูด “พวกเรายินยอม พวกเรายินยอม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะถามอี้เซวียน ว่าเขาจะจัดการปัญหานี้อย่างไร”

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉพูดอย่างประหลาดใจ “ถามเขา เด็กตัวกระเปี๊ยกจะคิดวิธีอะไรได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างจริงจัง “บุตรหลานบ้านพวกเราต่างจัดการปัญหาของตัวเองด้วยตัวเอง ในตอนนี้เขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาคิดจะทำอย่างไร ก็แล้วแต่เขาเถิด”

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉยิ่งทวีความชื่นชมมองไปพวกเขาทั้งสองคน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปถามเมิ่งอี้เซวียน “ที่พวกเราเพิ่งพูดไปเจ้าคงได้ยินหมดแล้ว เรื่องนี้เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร จงพูดอย่างเสียงดังฟังชัด”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนขบคิดเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ข้าต้องการสู้กับพวกเขาอีกสักตั้ง”

 

 

ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ บรรดาผู้ปกครองต่างคิดว่าตัวเองหูฝาด หันมองไปที่เขาอย่างไม่เชื่อ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องตาเขาแล้วถาม “เจ้าแน่ใจ”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าหนักแน่น “ข้าแน่ใจ”

 

 

“เพราะอะไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างข้องใจ

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก พูดเสียงก้องกังวาน “เจ้าชอบพูดกับข้าว่า หกล้มที่ไหนก็จงลุกขึ้นที่นั่น เมื่อวานข้าแพ้ให้พวกเขา วันนี้จะต้องเอาชัยชนะกลับคืนมา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง ยืนขึ้นยิ้มสรวลพูดว่า “พวกท่านได้ยินแล้ว อี้เซวียนต้องการจะสู้กับพวกเขาอย่างลูกผู้ชายอีกครั้ง ไม่ทราบว่าพวกท่านจะยินดีหรือไม่”

 

 

บรรดาผู้ปกครองต่างลังเล ถามอย่างไม่แน่ใจ “บุตรหลายพวกเราหกคนสู้กับเขาคนเดียว จะเกินไปหน่อยหรือไม่ หากสู้กันจนเกิดเรื่องจะทำอย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “วิธีนี้พวกเราเป็นคนเสนอ หากเกิดเรื่องขึ้นพวกเราจะรับผิดชอบกันเอง หากพวกท่านกลัวว่าอีกประเดี๋ยวพวกเราจะผิดคำพูด ก็ให้ท่านอาจารย์ลงลายมือเขียนเป็นหลักฐานไว้”

 

 

พอได้ยินว่าจะใช้การต่อสู้มาจัดการปัญหา อาจารย์ย่อมไม่ยินดีเขียนเป็นหลักฐานให้พวกเขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ท่านอาจารย์ ตอนนี้ท่านมีเพียงสองทางเลือก ทางที่หนึ่ง ท่านช่วยลงลายมือเขียนเป็นหลักฐานให้พวกเรา ให้อี้เซวียนกับพวกเขาได้สู้กันอย่างลูกผู้ชายสักยก จากนั้นเราจะทำเป็นว่าเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราจะไม่มีใครสืบสาวเอาความใคร ทางที่สอง ท่านไม่ช่วยเขียนเป็นหลักฐานให้พวกเรา ข้าจะส่งพวกเขาไปรับการโบยที่ศาลาว่าการ ท่านคิดดูว่าท่านจะเลือกทางใด”

 

 

ต่อให้นักเรียนไม่ดีอย่างไร ตนเองก็บ่มสอนมาได้ระยะหนึ่ง มีความผูกพันธ์ อาจารย์ย่อมไม่ยินส่งพวกเขาไปรับการโบยที่ศาลาว่าการ แต่ก็ไม่ยินดีให้พวกเขาวิวาทกันที่โรงเรียนอีก จึงพูดบอกปัด “การวิวาทอย่างเปิดเผยในโรงเรียนเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น ข้าตัดสินใจไม่ได้ ข้าต้องไปถามอาจารย์ฝ่ายปกครองและอาจารย์ใหญ่ ถึงจะตัดสินใจได้”

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉยิ้มตาหยีพูดว่า “ผ่านพ้นเรื่องนี้ไป ข้าจะไปอธิบายกับอาจารย์ฝ่ายปกครองและอาจารย์ใหญ่เอง ท่านช่วยเขียนเป็นหลักฐานไว้ก่อนเถอะ”

 

 

อาจารย์รู้ว่าปู่ของซุนเหลียงไฉกับอาจารย์ฝ่ายปกครองและอาจารย์ใหญ่มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่กล้าบอกปัดอีก จำต้องช่วยพวกเขาเขียนเป็นหลักฐาน โดยมีใจความว่า “ในวันนี้เมิ่งอี้เซวียนยินยอมจะปะมือกับซุนเหลียงไฉ อู๋เซิ่ง จางหู่ เกาป๋อ หวังชิ่ง โจวชิงทั้งหกคนด้วยความสมัครใจ หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย ต้องรับผิดชอบตัวเอง ห้ามเรียกร้องให้อีกฝ่ายชดใช้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดูที่อาจารย์บันทึกเป็นหลักฐานเสร็จ ก็แย้มยิ้มพูด “มีแต่อาจารย์ที่จะเขียนการต่อสู้ระหว่างเด็กๆ เป็นปะมือได้”

 

 

อาจารย์หน้าแดง พูดอย่างแหนงหน่าย “ข้าเป็นอาจารย์มาหลายปี เป็นครั้งแรกที่ต้องช่วยนักเรียนเขียนเป็นหลักฐานว่าสมัครใจต่อสู้กันเอง หากเรื่องแพร่ออกไป ไม่รู้ว่าภายหน้าจะถูกคนชี้หน้าเอาข้าไปนินทาลับหลังหรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ไม่มีแน่นอน พวกเรารับประกัน ไม่ว่าการต่อสู้วันนี้ใครแพ้ใครชนะ พวกเราก็จะไม่พูดออกไป”

 

 

อาจารย์ถอนใจพูด “ไม่ว่าพวกเจ้าจะพูดหรือไม่พูด เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับนักเรียนที่ข้าสอน ข้าก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหนแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร

 

 

อาจารย์นำคนทั้งหมดมายังลานโล่งกว้างแห่งหนึ่งภายในโรงเรียน

 

 

ผู้ปกครองต่างกำชับบุตรหลานตนเองให้ระมัดระวัง อย่าลงมือกับเมิ่งอี้เซวียนหนักเกินไป มีเพียงบิดาซุนเหลียงไฉที่พูดกับซุนเหลียงไฉเสียงดังลั่นว่า “ลูกพ่อ เอาความสามารถทั้งหมดของเจ้าออกมา อัดเขาให้พ่ายแพ้ยับเยิน กลับไปพ่อจะพาเจ้าไปกินหมูในน้ำมันที่เจ้าอยากกินที่เหลาจวี้เสียน”

 

 

ซุนเหลียงไฉพยักหน้าเต็มแรง ตอบกลับเสียงดัง “วางใจเถอะ ข้าได้กินหมูในน้ำมันแน่นอน” พูดจบ หันกลับไปมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง หันไปเรียกอีกห้าคนที่เหลือเดินไปกลางลานโล่งกว้าง ด้านหนึ่งพูดด้านหนึ่งทำมือทำไม้กับพวกเขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาไม่สังเกต ทำท่าไม้ตายให้เมิ่งอี้เซวียนดู

 

 

เมิ่งอี้เซวียนส่งรอยยิ้มเจิดจ้าให้นาง เดินไปกลางลานอย่างไม่หวาดหวั่น

 

 

บรรดาผู้ปกครองมองดูบุตรหลานตนเองอย่างเป็นห่วง

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉกระวนกระวายใจแทบอยากจะเข้าไปสู้กับเมิ่งอี้เซวียนในลานกว้างเอง

 

 

ปู่ซุนเหลียงไฉยังคงยิ้มตาหยีมองดูทั้งหมดนี้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยืนอยู่อีกด้านอย่างครึ้มอกครึ้มใจ คิดว่าไหนๆ วันนี้ก็เข้าเมืองมาแล้ว อีกประเดี๋ยวไปเดินเล่น ซื้อของที่จำเป็นเข้าบ้าน แล้วแวะถามร้านยาเต๋อเหรินว่าเหวินซื่อตายไปแล้วหรือยังดีกว่า

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเดินไปกลางลาน พูดกับคนทั้งหมด “หากวันนี้พวกเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะให้โยวเอ๋อร์รับปากทำกระเป๋านักเรียนใหม่ให้พวกเจ้าคนละใบ หากเอาชนะข้าไม่ได้ ต่อไปไม่ว่าเรื่องใดจักต้องเชื่อฟังข้า”

 

 

ซุนเหลียงไฉส่งเสียงร้อง “ถุย” พูดว่า “ปากดีนักนะ ไม่ดูบ้างว่าพวกเราเป็นใคร อยากให้พวกเราเชื่อฟังเจ้า ไม่มีทาง”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเลียนแบบเมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะหยันแล้วพูด “เช่นนั้นพวกเราก็มาลองดูกัน”

 

 

ซุนเหลียงไฉโบกมือบอกพรรคพวก “อย่างไรพวกเราเล่นงานเขาสาหัสก็ไม่ต้องรับผิดชอบ พวกเราเข้าไปพร้อมกัน รุมตีให้เขาล้มคว่ำไปกับพื้น”

 

 

เด็กที่เหลือห้าคนพยักหน้า ดาหน้าเข้ารุมเมิ่งอี้เซวียนพร้อมกับซุนเหลียงไฉอย่างไร้แบบแผน

 

 

เมิ่งอี้เซวียนถีบใส่หัวเข่าของเด็กที่วิ่งเข้ามาหน้าสุดเต็มแรง เด็กเจ็บปวดร้อง “โอ๊ย” ล้มฟุบไปกับพื้น เด็กสองคนข้างหลังหลบไม่ทัน ล้มทับตามลงมาที่ตัวเขา เด็กนอนร้องครวญคราง ผู้ปกครองข้างลานทำได้เพียงมองอย่างปวดใจ

 

 

ปู่ซุนเหลียงไฉเก็บคืนรอยยิ้มตาหยี หรี่ตาทอดมองไกลออกไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเหล่ตามองแวบหนึ่ง จากนั้นคิดเรื่องของตัวเองต่อ

 

 

ซุนเหลียงไฉและเด็กอีกสองคนเดินอ้อมสามคนบนพื้น มาด้านข้างเมิ่งอี้เซวียน พร้อมกับออกหมัดใส่เขา

 

 

เมิ่งอี้เซวียนก้มหน้าหลบหมัดของสองคนนั้น แล้วตั้งแขนกันหมัดของซุนเหลียงไฉ

 

 

ซุนเหลียงไฉประหลาดใจ กำลังจะถอนหมัดคืน

 

 

เมิ่งอี้เซวียนกลับยื่นมือไปคว้าแขนเขา จับซุนเหลียงไฉทุ่มข้ามไหล่ล้มฟาดไปกับพื้นอย่างสวยงาม

 

 

ร่างอ้วนท้วนของซุนเหลียงไฉลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้น เกิดฝุ่นควันฟุ้งกระจาย พร้อมกับเสียงโอดโอย “เจ็บจะตายแล้ว”

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉตกใจหนัก ตะคอกเสียงใส่เมิ่งอี้เซวียนดังลั่น “เจ้าเด็กไม่มีใครสั่งใครสอน มาจับลูกข้าทุ่มได้อย่างไร”

 

 

ได้ยินคำพูดเขา เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉพูดต่อ “จะบอกให้นะ หากเหลียงไฉของเราเป็นอะไรไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

 

 

ซุนเหลียงไฉนอนอยู่บนพื้นครู่ใหญ่ไม่ลุกขึ้นมา

 

 

เด็กที่เหลืออีกสองคนสบตากันอย่างหวาดกลัว พร้อมก้าวถอยหลังไปสองก้าว

 

 

เด็กสามคนที่ล้มไปก่อนลุกขึ้นมา เข้าล้อมเมิ่งอี้เซวียนไว้พร้อมกับเด็กอีกสองคน ต่างออกหมัดออกลูกเตะอย่างไร้ทิศทางใส่เขา

 

 

เมิ่งอี้เซวียนไม่ทันระวังโดนไปหลายครั้ง

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉคึกคักถูกใจ ร้องชมไม่ขาด เอาแต่ตะโกนบอก “ดี อัดเขา อัดให้น่วม”

 

 

ซุนเหลียงไฉลุกขึ้นมาจากพื้นได้แล้ว ออกหมัดใส่เมิ่งอี้เซวียนอย่างเคียดแค้น

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหลบ ถีบไปที่หัวเข่าเขา ซุนเหลียงไฉล้มฟุบไปกับพื้นเต็มแรง กระแทกจนปากแตก

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉร้องกระวนกระวาย “ลูกพ่อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” พูดจบลุกลี้ลุกลนจะวิ่งไปที่กลางลานกว้าง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงตัวขวางหน้าเขาไว้

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉรีบใช้มือผลักนาง พูดอย่างไม่เกรงใจ “นังตัวดี หลีกไป”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว แล้วกลับมาขวางหน้าเขาอีกครั้ง

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉเห็นบุตรชายสุดที่รักของตัวเองถูกเมิ่งอี้เซวียนทำร้ายล้มคว่ำไปกับพื้นถึงสองครั้ง เจ็บปวดใจแทบทนไม่ไหวแล้ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมายืนขวางหน้าไม่เลิก ไม่ยอมให้ตัวเองไปดูอาการของบุตรชาย บันดาลโทสะ พูดอย่างเกรี้ยวกราด “นังตัวดีไม่รู้จักที่ตาย อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” พูดจบก็ง้างฝ่ามือตบเมิ่งเชี่ยนโยวเต็มแรง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงหน้าหลบ ตบกลับไปที่ใบหน้าของเขาเต็มแรง

 

 

คนทั้งหมดได้ยินเสียง “เพี๊ยะ” อดหันกลับมามองไม่ได้ กลับเห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งของบิดาซุนเหลียงไฉบวมแดงเห่อ

 

 

ปู่ซุนเหลียงไฉหรี่ตาลง ไม่พูดอะไร

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉกุมใบหน้าตัวเองถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ “เจ้ากล้าตบข้า?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด