ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 136

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 136 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ขวางกลางทาง

 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าด้วยสีหน้าเบาสบาย แล้วตอบ “กล้า!”

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะตอบอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนี้ พลันตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉสะท้อนแววตา กลับมามีใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ้มตาหยีถาม “แม่นางน้อย เจ้าทำเช่นนี้ดูจะไม่เหมาะสม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง แล้วถามกลับ “ไม่เหมาะสมอย่างไร เขาเข้าไปถึงเหมาะสมหรือ”

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉสะอึกกึก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองผู้ปกครองในที่นั่นแวบหนึ่ง พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เมื่อพวกท่านรับปากให้อี้เซวียนและบุตรหลานพวกท่านได้สู้กันอย่างลูกผู้ชายสักยก เช่นนั้นวันนี้ไม่ว่าใคร ก็ห้ามเข้าไปช่วย เช่นเดียวกัน ถ้าอี้เซวียนถูกพวกเขาอัดจนน่วม ข้าก็จะไม่เข้าไปช่วยเหลือ”

 

 

ผู้ปกครองทั้งหมดมองนาง แล้วมองเด็กๆ ที่ยังคงสู้กันอยู่ในลานโล่ง ใบหน้าแสดงสีหน้าเป็นกังวล

 

 

อาจารย์ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ อดมองประเมินนางอีกหลายครั้งไม่ได้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ตรงนั้น ขัดขวางบิดาซุนเหลียงไฉ ให้อาจารย์มองประเมินอย่างไม่สะทกสะท้าน

 

 

เด็กที่เหลือเห็นซุนเหลียงไฉถูกเมิ่งอี้เซวียนอัดหมอบไปกับพื้น มุมปากมีเลือดสดไหลออกมา เริ่มเกิดอาการหวาดกลัว ลังเลว่าควรเดินหน้าสู้ต่อหรือไม่

 

 

ซุนเหลียงไฉถ่มน้ำลาย โงนเงนลุกขึ้นยืน หันไปพูดกับคนที่เหลือ “จัดการ อัดเขาให้เต็มแรง ข้าไม่เชื่อว่าพวกเราทั้งหมดจะเอาชนะเขาคนเดียวไม่ได้”

 

 

พูดจบ พุ่งเข้าใส่เมิ่งอี้เซวียน

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเบี่ยงหลบการจู่โจมของเขาได้อย่างง่ายดาย กลับถูกเด็กคนหนึ่งชกเข้าที่แก้ม ภาพตรงหน้าพลันดับวูบ ร่างกายโคลงเคลง

 

 

เด็กที่เหลือคนอื่นฉวยโอกาสกระโจนเข้าใส่ ทำเขาล้มถลาไปกับพื้น เด็กคนอื่นๆ เข้ารุมซัดกันนัว

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉลืมเรื่องที่ตัวเองถูกตบหน้า ตั้งท่าออกหมัดตะโกนร้องบอกเด็กเหล่านั้น “ดีมาก ต้องทำแบบนี้ กดเขา กดเขาให้อยู่หมัด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเมิ่งอี้เซวียนถูกเด็กเหล่านั้นกดไว้แนบพื้น ขยับเขยื้อนไม่ได้ ขมวดคิ้วมุ่น

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉลอบสังเกตนางอย่างไม่แสดงออก เห็นนางไม่แสดงสีหน้าวิตกกังวล ดวงตาเล็กหรี่ลง

 

 

เมิ่งอี้เซวียนถูกเด็กเหล่านั้นกดแนบพื้น ดิ้นรนขัดขืน ถูกรุมตีหลายครั้ง กระวนกระวายใจ จึงกัดแขนของเด็กคนหนึ่ง

 

 

เด็กที่ถูกกัดแขนเจ็บจนทนไม่ไหว ด้านหนึ่งตะโกนร้อง “เจ็บจะตายแล้ว” อีกด้านหมายจะดึงแขนตัวเองออกมาจากปากเมิ่งอี้เซวียน

 

 

เมิ่งอี้เซวียนปล่อยปาก ฉวยโอกาสตอนที่เด็กคนนี้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผลักเขาออกไปเต็มแรง

 

 

เด็กคนนั้นไม่ได้เตรียมระวัง ไถลออกไปจากบนตัวเมิ่งอี้เซวียน

 

 

เมิ่งอี้เซวียนใช้โอกาสนี้ตะเกียกตะกายออกมาจากด้านล่างเด็กเหล่านั้น พลิกตัวกลับแล้วลุกขึ้นยืน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาออกมา แอบลอบถอนใจโล่งอก

 

 

เด็กทั้งหมดก็ทยอยลุกขึ้น ล้อมเมิ่งอี้เซวียนไว้ตรงกลางอีกครั้ง เด็กที่ถูกกัดแขนพุ่งเข้าใส่อย่างไม่รอรี่ ง้างหมัดใส่เขา เมิ่งอี้เซวียนจับแขนเขาไว้ได้ แล้วบิดหักไปด้านหลัง

 

 

เด็กชายร้องเจ็บปวดอีกครั้ง “เจ็บจะตายแล้ว”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนปล่อยมือ ถีบเขาเต็มรัก เด็กชายโงนเงนล้มไปกับพื้น เจ็บจนร้องหาพ่อแม่

 

 

ผู้ปกครองของเด็กชายเห็นลูกตัวเองเจ็บปวดทุรนทุราย ก้าวขาไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง

 

 

ผู้ปกครองเด็กชายหยุดชะงัก มองบุตรของตนเองอย่างร้อนรุ่มใจ

 

 

เมิ่งอี้เซวียนไม่เกรงใจแล้ว ทั้งเตะทั้งต่อยใส่เด็กที่เหลือที่พุ่งเข้ามา เด็กที่เหลือหลบไม่ทัน ต่างถูกอัดไปกองที่พื้น ร้องครวญครางโอดโอย

 

 

กลางลานกว้างยังเหลือซุนเหลียงไฉและเมิ่งอี้เซวียนสองคนยืนอยู่

 

 

ปกติซุนเหลียงไฉจะมีคนคอยห้อมล้อม เกะกะระรานจนเป็นนิสัย ไม่เคยต้องเสียเปรียบให้ใคร ทนรับความอัปยศนี้ไม่ได้ หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียนอย่างเคียดแค้น “ข้าขอสู้ตาย” พูดจบพุ่งเข้าหาเมิ่งอี้เซวียนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหลบเขา ถีบใส่ก้นของซุนเหลียงไฉ ซุนเหลียงไฉไม่ทันตั้งตัว ร่างอ้วนถลาล้มไปกับพื้นอย่างแรง เจ็บจนร้องตะโกนลั่น “ท่านพ่อ รีบมาช่วยข้า ข้าเจ็บจะตายแล้ว”

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉร้อนใจผลักเมิ่งเชี่ยนโยวออก วิ่งไปยังกลางลานกว้าง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเด็กทั้งหมดล้มไปนอนกองบนพื้นหมดแล้ว จึงไม่ขัดขวาง

 

 

ผู้ปกครองคนอื่นเห็นเช่นนั้น ก็ทยอยวิ่งเข้าไปประคองบุตรหลานตนเอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินรั้งท้ายไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางเดินเข้ามา ส่งรอยยิ้มแห่งชัยชนะให้นาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นรอยฟกช้ำที่ใบหน้าเขา กวักมือให้เขาแล้วพูด “เข้ามา”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเดินไปตรงหน้านางอย่างเชื่อฟัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือสัมผัสรอยฟกช้ำบนใบหน้าเขาแผ่วเบา เมิ่งอี้เซวียนส่งเสียงร้อง “ซี้ด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างอ่อนโยน “เจ็บหรือไม่”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “เจ็บ!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงคงเดิม “เจ็บก็ถูกต้องแล้ว ต่อไปเจ้าจักได้จำได้ ห้ามประมาทคู่ต่อสู้อีก”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนไม่กล้าปริปาก

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉมองพวกเขาสองคน

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉเข้าไปประคองซุนเหลียงไฉอย่างเจ็บปวดใจ เห็นเขาล้มจนหน้าบวมจมูกเขียว หันไปร้องบอกบิดาตนเอง “ท่านพ่อ ท่านรีบมาดูเถอะ ไฉเอ๋อร์ถูกเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอนนี่ทำร้ายจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว”

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉเดินขึ้นหน้า เห็นหลานตนเองถูกทำร้ายสะบักสะบอม ก็ให้รู้สึกปวดใจ ยกมือขึ้นลูบคลำใบหน้าซุนเหลียงไฉแผ่วเบา

 

 

ซุนเหลียงไฉปัดมือเขา ร้องตะโกนอย่างเจ็บปวด “ท่านปู่ เบามือหน่อยไม่ได้หรือ ข้าเจ็บจะตายแล้ว”

 

 

คิดถึงท่าทีของเมิ่งอี้เซวียน แล้วมองกลับมาที่หลานตนเอง ปู่ของซุนเหลียงไฉทอดถอนใจ

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉเห็นบุตรชายตนเองเจ็บจนแทบทนไม่ไหว หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียนอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าตัวดี เจ้ารอก่อน พรุ่งนี้ข้าจะเรียกคนมาจัดการเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉพูดอย่างเคืองขุ่น “เจ้าลูกไม่เอาไหน พวกเราตกลงกันแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรห้ามหาเรื่องกับอีกฝ่าย เจ้าลืมง่ายเช่นนี้เลยหรือ”

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉไม่สนใจเรื่องนี้ พูดโต้กลับ “เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรก็แล้วยังไง ในตำบลชิงซีนี้ข้ามีสิทธิ์ขาด ข้าอยากอะไรทำอย่างไรก็ได้”

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉโมโหถีบเขาเต็มแรงทั้งก่นด่า “เจ้าลูกชั่ว หากเจ้ากล้าหาเรื่องพวกเขา ข้าจะไล่เจ้าออกจากสกุล”

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉไม่ทันได้ตั้งรับ ล้มไม่เป็นท่าไปบนพื้น พูดอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อ ถีบข้าทำไม เขาทำร้ายไฉเอ๋อร์ถึงขั้นนี้ ข้าไม่ควรระบายแค้นแทนเขาหรือ”

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉชี้เขา ตวาดเสียงลั่น “หุบปาก!”

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉเห็นบิดาตนเองโมโหแล้ว จึงหุบปากแต่โดยดี

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉเก็บคืนอารมณ์เกรี้ยวกราด หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวและน้อง “พวกเจ้าไม่ต้องกลัว จงมาโรงเรียนตามปกติ หากเจ้าลูกทรพีนี่กล้าส่งคนมาจัดการพวกเจ้า ข้าจะหักขาเขาเอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า “พวกเราไม่กลัว ขอเพียงพวกท่านรับผลที่จะตามมาได้ ก็เชิญส่งคนมาได้เลย”

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉรีบพูดรับประกัน “จะไม่มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น พวกเจ้าวางใจได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พวกเราไม่มีสิ่งใจต้องวางใจ หากมีคนมาพวกเราจะได้ฝึกปรือฝีมือตัวเองไปในตัว”

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉไม่คิดว่านางจะไม่รับน้ำใจ นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น

 

 

ซุนเหลียงไฉพูดอย่างน้อยใจ “ท่านปู่ ข้าเจ็บจะตายแล้ว ยังไม่รีบพาข้าไปโรงหมออีก”

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉได้สติคืนกลับมา รีบตวาดบุตรชายตนเอง “ยังมัวยืนเซ่อทำอะไร ยังไม่รีบพาไฉเอ๋อร์ไปโรงหมอ”

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉรีบลนลานลุกขึ้น คิดจะอุ้มบุตรชายตนเอง พยายามสองครั้งก็ยังอุ้มไม่ขึ้น ร้องโวยวายอย่างร้อนรุ่มใจ “ท่านพ่อ เข้ามาช่วยข้าหน่อย”

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉถอนหายใจ เดินขึ้นหน้า ช่วยประคองซุนเหลียงไฉเข้าไปในอ้อมอกบิดาเขา

 

 

บิดาซุนเหลียงไฉอุ้มบุตรชายที่ร้องโอดครวญไม่หยุดอย่างกินแรงเดินออกไปข้างนอก

 

 

ปู่ของซุนเหลียงไฉหันไปพูดกับอาจารย์ “พวกเราพาไฉเอ๋อร์ไปโรงหมอก่อน หากเขาไม่เป็นอะไร ข้าจะรีบส่งเขามาเรียนหนังสือ”

 

 

อาจารย์พยักหน้า พูดกับผู้ปกครองคนอื่น “วันนี้ให้พวกเขาลาหนึ่งวัน พวกท่านพาพวกเขาไปโรงหมอรับการรักษาเถอะ”

 

 

เหล่าผู้ปกครองกล่าวขอบคุณ หลังจากมองเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนแวบหนึ่ง ก็ประคองบุตรหลานตนเองเดินจากไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็พาเมิ่งอี้เซวียนเดินออกไปข้างนอก

 

 

อาจารย์ยืนอยู่หลังพวกเขา เอาแต่ขมวดคิ้วมองพวกเขาเดินลับตาไป

 

 

เมิ่งเสียนกุมบังเ**ยนรออยู่ด้านนอก ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงเห็นบิดาซุนเหลียงไฉอุ้มซุนเหลียงไฉออกมาอย่างอ่อนแรง ยังเดินไม่ถึงประตูโรงเรียน ก็ร้องโวยวายเสียงลั่นใส่คนรับใช้ของตัวเอง “พวกเจ้าตายไปหมดแล้วหรือ ไม่เห็นว่าข้าเหนื่อยจะตายแล้วหรือไร ยังไม่รีบไสหัวเข้ามาช่วยอีก!”

 

 

คนรับใช้รีบวิ่งเข้ามา อาจารย์เวรเข้าขวางพวกเขาพูดว่า “ช่วงเวลาเข้าเรียน พวกเจ้าห้ามเข้า”

 

 

คนใช้รีบร้อนพูด “พวกเรามิได้เข้าไปก่อกวน พวกเราเพียงเข้าไปอุ้มคุณชายของพวกเราออกมา”

 

 

อาจารย์พูดหนักแน่น “เช่นนั้นก็ไม่ได้ นี่เป็นกฎของโรงเรียน ใครก็ห้ามฝ่าฝืน”

 

 

คนรับใช้ร้อนรุ่มใจ มองบิดาซุนเหลียงไฉอุ้มเขาเดินยักแย่ยักยันมาถึงหน้าประตู

 

 

อาจารย์มองซุนเหลียงไฉที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ดิน เปิดประตูใหญ่ออก

 

 

คนรับใช้บ้านซุนถลาเข้ามารับซุนเหลียงไฉอุ้มขึ้นรถอย่างสุดแรง

 

 

ผู้ปกครองคนอื่นๆ ก็รีบร้อนพาบุตรหลานออกมา ขึ้นนั่งรถม้าของบ้านตนเอง สั่งคนขับรถม้าให้รีบไปยังโรงหมอที่ใกล้ที่สุด

 

 

รถม้าหน้าประตูโรงเรียนหายวับในพริบตา เหลือเพียงเมิ่งเสียนที่ยังยืนรออยู่ตรงนั้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนเดินเอ้อระเหยออกมา

 

 

อาจารย์มองรอยฟกช้ำบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียนอย่างแคลงใจ ถามขึ้น “พวกเจ้าทั้งหมดเกิดอะไรขึ้น ทะเลาะวิวาทหรือ”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าตอบ “อือ พวกเราสู้กันอย่างลูกผู้ชาย”

 

 

อาจารย์ตกใจตัวลอย พูดว่า “พวกเจ้าทำเช่นนี้จะถูกโรงเรียนไล่ออกได้”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนยิ้มพูด “ท่านไม่ต้องเป็นกังวล พวกเราสู้กันครั้งนี้ได้รับการอนุมัติจากอาจารย์ผู้สอนพวกเราแล้ว”

 

 

เห็นอาจารย์เวรประหลาดใจ หมายจะถามเพิ่ม เมิ่งอี้เซวียนกลับกล่าวลาเขาอย่างมีมารยาท เดินออกไปจากประตูโรงเรียนพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเสียนเห็นทั้งสองคนออกมา รีบจูงรถม้าเข้ามาอย่างยินดี แต่พอเห็นรอยฟกช้ำบนหน้าเมิ่งอี้เซวียนกลับต้องร้องอุทาน “อี้เซวียน เจ้าทะเลาะกับใครมาอีกแล้ว”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหัวเราะใส่เขา พูดปลอบใจ “พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไร”

 

 

เมิ่งเสียนหันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว พูดตำหนิ “น้องสาว เจ้าก็ตามเข้าไปด้วย เหตุใดถึงให้อี้เซวียนมีเรื่องวิวาทกับคนอื่น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พี่ใหญ่ อี้เซวียนที่ต้องการจะต่อสู้เอง ข้าเพียงแค่ไม่ได้คัดค้านเขา”

 

 

เมิ่งเสียนตกใจถาม “อี้เซวียนที่ต้องการจะต่อสู้ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ให้อี้เซวียนเล่าให้ท่านฟังเถอะ”

 

 

เมิ่งเสียนมองเมิ่งอี้เซวียน เมิ่งอี้เซวียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่เข้าไปตั้งแต่ต้นจนจบให้เมิ่งเสียนฟังอย่างไม่ตกหล่นสักคำ

 

 

เมิ่งเสียนฟังจบก็ตำหนิเมิ่งเชี่ยนโยว “อี้เซวียนยังเด็ก เจ้าให้เขาไปต่อสู้กับเด็กหกคนพร้อมกัน หากเสียเปรียบจะทำอย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พี่ใหญ่ ข้าสอนวรยุทธ์พวกท่านมานาน ข้าพอมีความมั่นใจ อี้เซวียนรับมือเด็กพวกนั้นได้สบาย”

 

 

เมิ่งเสียนตวาดนาง “ต่อให้เจ้ามีความมั่นใจ เจ้าก็ไม่ควรรับปากให้อี้เซวียนไปต่อสู้ หากไปทำเด็กคนอื่นบาดเจ็บสาหัสเล่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทะลุมิติมานาน เป็นครั้งแรกที่ถูกเมิ่งเสียนตวาด แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่โกรธ กลับยิ้มแย้มพูด “พี่ใหญ่ ตาต่อตาฟันต่อฟันเป็นเอกลักษณ์ของข้า คนเยี่ยงข้าไม่มีทางยอมถูกรังแกเปล่าๆ อีกอย่าง อี้เซวียนเองก็มีความมั่นใจ ไม่มีทางเกิดเรื่องใหญ่โต ท่านวางใจเถอะ”

 

 

เมิ่งเสียนเห็นนางแย้มสรวล โมหะในใจก็คลายลง ถอนใจอย่างจนใจ พูดว่า “น้องสาว เจ้านี่นะ…”

 

 

ไม่รอให้เขาพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตัดบทเขา “พี่ใหญ่ อี้เซวียนถูกตีไม่น้อย พวกเรารีบพาเขาไปร้านยาเต๋อเหรินเถอะ”

 

 

พอได้ยินว่าเมิ่งอี้เซวียนก็ถูกตี เมิ่งเสียนลนลานพูด “พวกเจ้ารีบขึ้นรถม้า พวกเราจะไปร้านยาเต๋อเหรินเดี๋ยวนี้”

 

 

ทั้งสองขึ้นรถม้าโดยเร็ว เมิ่งเสียนตวัดบังเ**ยนในมือ ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูร้านยาเต๋อเหริน

 

 

คนไข้ในร้านยาเต๋อเหรินมีไม่มาก เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลงจากลงม้าเดินเข้าไป

 

 

พนักงานร้านยาเต๋อเหรินเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา รีบเข้ามาถามไถ่ “แม่นาง เจ้ามาแล้ว มาตรวจโรคหรือจัดยา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วพูด “น้องชายข้าได้รับบาดเจ็บภายนอก ข้าพาเขามาดูว่าเป็นอะไรหนักหนาหรือไม่”

 

 

พนักงานรับคำ “แม่นางรอสักครู่ ข้าจะให้หมอมาตรวจดูให้เขา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือพูด “ไม่รีบ พวกเรารอเข้าแถวก็ได้แล้ว”

 

 

พนักงานรีบร้อนพูด “แม่นาง อย่าทำพวกเราลำบากเลย นายท่านของพวกเราบอกแล้ว ไม่ว่าท่านมาเวลาใด ก็ห้ามให้ท่านต้องรอ ไม่เช่นนั้นจะไล่พวกเราออก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างยินดี “เหวินซื่อกลับมาแล้ว”

 

 

พนักงานรีบพูด “นายท่านยังไม่กลับมา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกผิดหวัง กลับไม่ได้ขัดขวางพนักงานไปบอกหมอชรา

 

 

หมอชราเพิ่งจะตรวจรักษาคนไข้เสร็จ ได้ยินพนักงานบอก เงยหน้าก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยว เดินตรงเข้ามาพูดอย่างดีใจ “แม่นางมาแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “น้องชายข้าเพิ่งจะมีเรื่องวิวาทมา ได้รับบาดเจ็บภายนอก ท่านช่วยดูให้หน่อยเถิด ดูว่าหนักหนาหรือไม่”

 

 

หมอชราชี้เตียงข้างๆ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าให้เขาขึ้นไปนอนบนเตียงนั่น ข้าจะตรวจดูให้เขา”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเดินไปอย่างเชื่อฟัง นอนลงบนเตียง

 

 

หมอชราเดินตามติดมา ดึงผ้าม่านแล้วพูด “ถอดเสื้อผ้าออกให้ข้าดู”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนถอนเสื้อผ้าครึ่งบนออกอย่างเขินอาย หมอชราตรวจดูรอยฟกช้ำบนตัวเขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนหลังผ้าม่านได้ยินเมิ่งอี้เซวียนเอาแต่ร้องซี้ดซ้าด

 

 

หมอชราตรวจดูให้เมิ่งอี้เซวียนอย่างละเอียดเสร็จ บอกเขาให้แต่งตัวให้เรียบร้อย เดินออกมาหลังม่าน พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “บาดแผลของน้องชายเจ้าไม่หนักหนา พักฟื้นสองสามวันก็จะหายดี เพียงแต่รอยฟกช้ำบนใบหน้าค่อนข้างหนัก เกรงจะต้องใช้เวลาสักระยะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเมิ่งอี้เซวียนคงไม่เป็นอะไรมาก ที่พาเขามาตรวจเมื่อกลับไปจะได้ตอบคำถามสองสามีภรรยาเมิ่งได้ เลี่ยงไม่ให้เห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียนแล้วจะมาเอ็ดตำหนินาง สองเพราะอยากมาดูว่า เหวินซื่อกลับมาแล้วหรือยัง ได้ยินคำกล่าวของหมอชรา ก็ยิ้มพูด “ไม่เป็นอะไรมากก็ดี รบกวนท่านให้ยารักษาแผลภายนอกมาด้วย ให้เขาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น”

 

 

หมอชราพยักหน้า สั่งพนักงานไปเอายาทาภายนอกจำนวนหนึ่งมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสนี้กดเสียงต่ำถามทีเล่นทีจริง “หมอชรา เหวินซื่อยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่”

 

 

หมอชรานิ่งงัน แล้วยิ้มพูด “แม่นางพูดขบขันแล้ว นายท่านของพวกเรายังมีชีวิตดี ทั้งยังหมั้นหมายอย่างราบรื่น สองวันก่อนส่งจดหมายมา บอกว่าพ้นเดือนอ้ายก็จะกลับมา ถึงตอนนั้นข้าจะให้คนไปส่งข่าวแก่แม่นาง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือพูด “ไม่ต้องแล้ว เขาไม่ตายก็พอ ไม่ต้องส่งข่าวให้ข้า”

 

 

หมอชราประดักประเดิด ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร

 

 

พนักงานนำยารักษาภายนอกเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา พูดกับเมิ่งอี้เซวียนที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว “บาดแผลบนตัวเจ้าไม่เป็นอะไรมาก หมอชราให้ยารักษาภายนอกมาแล้ว กลับไปทาไม่กี่ครั้งก็หาย”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนยิ้มให้หมอชราอย่างเก้อเขิน

 

 

หมอชราเห็นดวงตางดงามคู่นั้นของเขารู้สึกคุ้นเคย พลันตะลึงงัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นหมอชราเอาแต่จ้องมองเมิ่งอี้เซวียน เกิดความฉงน ถามขึ้น “น้องชายข้ามีอะไรผิดปกติหรือ”

 

 

หมอชราได้สติกลับมา ยิ้มพูด “ไม่มี ข้าเพียงรู้สึกคุ้นหน้ากับน้องชายเจ้า ไม่รู้ว่าเคยเจอกันที่ไหน”

 

 

หมอชราเคยไปบ้านตนเอง เห็นเมิ่งอี้เซวียนแล้วรู้สึกคุ้นหน้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ใส่ใจ หลังจากบอกลาหมอชรา ก็พาเมิ่งอี้เซวียนออกไปจากร้านยาเต๋อเหริน เห็นสีหน้ากระวนกระวายของเมิ่งเสียน ก็ชูยาในมือขึ้นพูดว่า “พี่ใหญ่ อี้เซวียนไม่เป็นอะไรมาก กลับไปทายาไม่กี่วันก็หายแล้ว”

 

 

เมิ่งเสียนวางใจลง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “พี่ใหญ่ วันนี้พวกเราไม่มีธุระอันใด ไม่เช่นนั้นเราเดินเล่นในเมือง ซื้อของใช้จำเป็นกลับไป”

 

 

เมิ่งเสียนมองเมิ่งอี้เซวียนถามขึ้น “อี้เซวียน เจ้าไหวหรือไม่ หากรู้สึกเจ็บ พวกเราจะกลับไป”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนตอบ “พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นอะไร”

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้า บังคับรถม้าไปซื้อขนมจำนวนหนึ่งที่ร้านขายขนมตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอกก่อน หวังเหลียงกลับมาทำงานแล้ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนที่ใบหน้าฟกช้ำเข้ามา ด้านหนึ่งบอกพนักงานให้ไปห่อขนม ด้านหนึ่งถามอย่างประหลาดใจ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับอี้เซวียน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “มีเรื่องวิวาทกับนักเรียนคนอื่นที่โรงเรียนในเมือง เมื่อครู่ข้าพาเขาไปร้านยาเต๋อเหริน ไม่เป็นอะไรมาก อาหวังวางใจได้”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเติบโตในหมู่บ้านแต่เล็ก ไม่เคยได้ยินว่าเคยมีเรื่องขัดแย้งกับเด็กคนไหนในหมู่บ้านมาก่อน หวังเหลียงคิดมาตลอดว่าเขาเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่คิดว่าเขาจะวิวาทกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนของตัวเอง รู้สึกประหลาดใจ กำลังจะถามต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเปลี่ยนเรื่องพูด หวังเหลียงเห็นนางไม่ยินดีพูดอีก ก็ไม่ได้ถามเพิ่ม

 

 

พนักงานห่อขนมเสร็จเดินมา เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงิน หันไปกล่าวลาหวังเหลียงแล้วเดินออกมาจากร้านขนม บอกเมิ่งเสียนไปตลาดสดต่อ

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้า บังคับรถม้ามาถึงแถวตลาดสด กำลังจะหาที่คนน้อยจอดรถม้า เด็กสาวคนหนึ่งกลับพุ่งเข้ามา ชี้หน้าเขาแล้วพูด “ในที่สุดก็เจอเจ้า เจ้าต้องรับผิดชอบคุณหนูของพวกเรา”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด