ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 139.1

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 139.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
 เปิดอก

 

 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นบังคับรถม้าตามซุนซ่านเหรินมาถึงหอน้ำชาของครอบครัว 

 

 

หลังจากหลงจู๊หอน้ำชาได้ยินคำพูดที่คนรับใช้วิ่งกลับมาส่งข่าว ก็ให้เสี่ยวเอ้อจัดเก็บห้องดื่มชาชั้นเลิศขึ้นใหม่ พร้อมกับลงมือชงชาด้วยตัวเอง แล้วจึงนำเสี่ยวเอ้อมารอที่หน้าประตูหอน้ำชา 

 

 

พอรถม้าของซุนซ่านเหรินมาถึงหน้าประตู หลงจู๊รีบเดินขึ้นหน้า เลิกม่านให้ซุนซ่านเหรินด้วยตัวเอง ซุนซ่านเหรินลงจากรถม้าอย่างเบิกบานใจ พูดกับคนรับใช้ที่คอยตามข้างรถม้ามาตลอดว่า “ยังไม่รีบไปเปิดม่านบังรถให้แขกสำคัญ” 

 

 

“ไม่ต้องแล้ว” สิ้นเสียง เมิ่งเชี่ยนโยวก็เลิกม่านออกด้วยตัวเองแล้วลงจากรถม้า 

 

 

หลงจู๊เห็นแขกสำคัญที่นายท่านของตัวเองกล่าวถึงเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบกว่าปีนางหนึ่ง ตะลึงงันฉับพลัน 

 

 

ซุนซ่านเหรินหันไปสั่งการเสี่ยวเอ้อหอน้ำชา “รีบจูงรถม้าแขกสำคัญไปดูแลที่หลังร้านให้ดี” 

 

 

เสี่ยวเอ้อรับคำ รับบังเ**ยนจากมือเมิ่งเอ้ออิ๋นมาอย่างพินอบพิเทา บังคับรถม้าไปหลังร้าน 

 

 

ซุนซ่านเหรินหันไปสั่งการหลงจู๊อีกว่า “พาพวกเราไปห้องน้ำชาที่จัดเก็บเรียบร้อยแล้ว” 

 

 

หลงจู๊แสดงท่วงท่าเชื้อเชิญให้เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวทันใด ทั้งพูดอย่างนบนอบ “ทั้งสองท่านเชิญด้านใน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เกรงใจ ก้าวเท้าเดินเข้าไป 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นเดินตามหลัง 

 

 

รอจนทั้งสองคนเข้าไปแล้ว ซุนซ่านเหรินถึงหัวเราะเดินตามเข้าไป 

 

 

หลงจู๊พาทั้งสามคนมาถึงห้องน้ำชา เมื่อทั้งสามคนนั่งเรียบร้อย ก็รินน้ำชาให้ทุกคนคนละถ้วย ถึงถอยไปที่ประตูอย่างนอบน้อม ปิดประตูห้องน้ำชา ยืนรอนายท่านสั่งการที่หน้าประตู 

 

 

ซุนซ่านเหรินพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างชื่นบาน “นี่คือชาผู่เอ๋อร์ร์ชั้นเลิศ เชิญทั้งสองท่านลิ้มรส” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นยกถ้วยชาขึ้นอย่างเป็นทางการ เป่าใบชา แล้วจิบหนึ่งคำอย่างระวัง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ รอเมิ่งเอ้ออิ๋นวางถ้วยชาลงจึงเอ่ยปากพูด “ซุนซ่านเหรินมีความคิดอย่างไรก็พูดมาตามตรงเถอะ อีกประเดี๋ยวพวกเรายังมีธุระสำคัญต้องไปทำ เกรงว่าจะไม่มีเวลามากพออยู่ดื่มชาเป็นเพื่อนท่านได้” 

 

 

ซุนซ่านเหรินก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้น จิบน้ำชาแผ่วเบาหนึ่งคำ พอได้ฟังก็วางถ้วยชาในมือลง หัวเราะเหอะๆ แล้วพูด “เมื่อแม่นางน้อยเปิดเผยตรงไปตรงมา ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมอีก เมื่อวานหลังจากเห็นกระเป๋านักเรียนงดงามประณีตของน้องชายเจ้า ข้าจึงอยากเจรจาการค้ากระเป๋านักเรียนกับแม่นางน้อย ข้ายังคงพูดคำเดิม ขอเพียงพวกเจ้าทำออกมาได้ ไม่ว่าราคาเท่าใดข้าก็รับซื้อ” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นเผยสีหน้าชื่นสุข 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่แสดงอาการ ถามอย่างเฉยชา “เงื่อนไขเล่า” 

 

 

ซุนซ่านเหรินตกตะลึง แล้วหัวเราะร่วน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว 

 

 

พอซุนซ่านเหรินหัวเราะเสร็จก็พูดว่า “แม่นางน้อยหลักแหลมนัก เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีเงื่อนไข” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านเป็นพ่อค้า ไม่เคยทำการค้าขาดทุน วันนี้กลับเอาแต่พูดซ้ำไปมาว่าไม่ว่ากระเป๋านักเรียนราคาสูงเท่าใดท่านก็รับซื้อ หากท่านบอกว่าไม่มีเงื่อนไข เกรงว่าใครได้ยินก็คงจะไม่เชื่อ” 

 

 

ซุนซ่านเหรินหัวเราะลั่นอีกครั้ง หลังจากหัวเราะแล้วก็หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างอิจฉา “น้องชายโชคดีนัก มีบุตรสาวที่หลักแหลมเช่นนี้ ภายหน้าจักต้องได้เสวยสุข” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะเก้อเขิน 

 

 

ซุนซ่านเหรินก็ไม่ปิดบัง พูดด้วยความสัตย์จริง “ข้ามีเงื่อนไขจริงๆ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เชิญพูด” 

 

 

ซุนซ่านเหรินพูดอย่างรู้สึกไม่ดี “ข้าอยากให้เจ้าช่วยอบรมสั่งสอนหลานของข้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งอึ้ง ถามอย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร” 

 

 

ซุนซ่านเหรินถอดถอนใจพูดว่า “สมัยยังหนุ่ม ข้าเอาแต่ยุ่งทำการค้า ละเลยการเลี้ยงดูสั่งสอนบุตรชาย ทำให้เขากลายเป็นคนทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง กลายเป็นคุณชายเจ้าสำราญผลาญเงินทอง ภายหลังมีไฉเอ๋อร์ ข้าก็คิดจะบ่มเพาะเขาให้ดีที่สุด ไม่ให้ซ้ำรอยเหมือนพ่อเขา แต่บุตรชายไม่เอาถ่านของข้าไม่อาจรับช่วงดูแลกิจการในครอบครัวได้ ข้าจึงต้องเหน็ดเหนื่อยอีกหลายปี รอกระทั่งสองปีมานี้ข้ามีเวลาว่างแล้ว กลับพบว่าไฉเอ๋อร์กลายเป็นเหมือนพ่อเขาไปแล้ว เหิมเกริมผยอง จองหองอวดดี ข้าคิดหาวิธีต่างๆ เพื่อแก้ไข แต่นิสัยนั้นติดตัวไฉเอ๋อร์ไปเสียแล้ว บวกกับไฉเอ๋อร์เป็นทายาทเพียงคนเดียวของสกุล ฮูหยินข้ารักใคร่เอ็นดูเขามาก พอข้าออกโรงสั่งสอน นางก็คร่ำครวญอาละวาด เข้าขวางอย่างสุดชีวิต ข้าเองก็ปวดหัวมาก ด้วยเหตุนี้วิธีที่คิดไว้มากมายจึงไม่บังเกิดผล เมื่อวานข้าเห็นพวกเจ้าสองพี่น้องรู้ความ ว่านอนสอนง่าย โดยเฉพาะวิธีการสอนน้องชายของเจ้าก็แปลกแหวกแนว ข้าจึงเกิดความคิดนี้ขึ้น แต่พวกเราไม่เคยรู้จักกัน ข้ากลัวเจ้าปฏิเสธ เมื่อวานพอกลับไปก็คิดอยู่นาน ถึงคิดวิธีนี้ได้ ข้าจะช่วยพวกเจ้าขายกระเป๋านักเรียน กำไรที่ได้จะให้พวกเจ้าทั้งหมดไม่เอาไว้สักแดงเดียว ขอเพียงเจ้าช่วยข้าอบรมสั่งสอนไฉเอ๋อร์ให้ว่านอนสอนง่ายดังเช่นน้องชายเจ้าก็พอ” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่คิดว่าซุนซ่านเหรินจะยื่นข้อเสนอเช่นนี้ พลันตกอยู่ในภวังค์ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “จะเปลี่ยนให้ว่านอนสอนง่ายเหมือนน้องชายข้าไม่มีทางเป็นไปได้ แค่ได้สักครึ่งยังพอไหว” 

 

 

ซุนซ่านเหรินได้ฟังถามอย่างดีใจ “พูดเช่นนี้แปลว่าแม่นางรับปากแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ข้ามีน้องชายหลายคน เพิ่มเขามาอีกคนไม่ถือว่ามาก” 

 

 

ซุนซ่านเหรินปิติยินดี “ขอบใจแม่นาง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านอย่าเพิ่งขอบใจไปก่อน ข้าจะพูดเงื่อนไขสองสามข้อดูว่าท่านจะรับปากหรือไม่ หากท่านรับปาก เราค่อยคุยเรื่องหลังจากนี้” 

 

 

“ขอเพียงเจ้ายอมรับปากจะสั่งสอนไฉเอ๋อร์ อย่าว่าแต่เงื่อนไขข้อเดียว ต่อให้เป็นร้อยข้อข้าก็รับปาก” ซุนซ่านเหรินรีบร้อนพูด 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “จะให้ข้าอบรมสั่งสอนหลานชายของท่าน เงื่อนไขแรกคือให้เขาต้องมากินนอนบ้านข้า” 

 

 

ซุนซ่านเหรินพยักหน้า “เรื่องนี้ข้าคิดเอาไว้แล้ว แม่นางไม่พูด ข้าก็จะร้องขอให้เขาไปอาศัยกับครอบครัวพวกเจ้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “บ้านข้าอยู่บ้านนอก สภาพเงื่อนไขต่างๆ ลำบากมาก ท่าไม่ปวดใจแทนหลานท่านหรือ” 

 

 

ซุนซ่านเหรินตอบนาง “ไม่ปวดใจ เขาถูกตามใจอย่างเหลือกินเหลือใช้แต่เด็ก ไม่เคยรู้เลยว่าความลำบากคืออะไร ให้เขาได้รับรู้บ้างก็ดี” 

 

 

ลินพูดต่อ “เงื่อไขที่สองคือ ช่วงเวลาที่เขามากินนอนบ้านพวกเรา ไม่ว่าใครในบ้านพวกท่าน โดยเฉพาะบุตรชายและฮูหยินของท่านห้ามมาเยี่ยมดู และยิ่งห้ามส่งของกินของเล่นมา” 

 

 

ซุนซ่านเหรินพยักหน้า “เงื่อนไขนี้ก็ไม่ยาก ช่วงที่ไฉเอ๋อร์ไปอาศัยอยู่บ้านเจ้า ข้าจะให้คนเฝ้าดูพวกเขา จะไม่ให้พวกเขาไปรบกวนพวกเจ้าเด็ดขาด” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีก “เงื่อนไขสุดท้าย และเป็นข้อที่สำคัญที่สุด วิธีการอบรมสั่งสอนของข้าเข้มงวดมาก หากท่านมอบหลานให้ข้าแล้ว ได้ยินว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้น ขอท่านอย่าได้ซักถาม” 

 

 

ข้อสุดท้ายซุนซ่านเหรินไม่ได้รับคำทันที แต่ครุ่นคิดครู่ใหญ่ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเร้า ยกถ้วยชาขึ้นจิบชาสองสามคำช้าๆ รอให้เขาทำการตัดสินใจ 

 

 

เวลาล่วงผ่านไปนาน ซุนซ่านเหรินถึงหยั่งเชิงถามขึ้น “จะมีผลเสียต่อร่างกายในอนาคตหรือไม่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบคำถามเขา เพียงแต่พูดว่า “น้องๆ ของข้าก็ผ่านมากันเช่นนี้” 

 

 

ซุนซ่านเหรินวางใจลง กัดฟันแล้วพูดว่า “ได้ ข้ารับปากเจ้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยชาในมือลงพูดว่า “มีเพียงสองสามข้อนี้เท่านั้น ท่านกลับไปทบทวนให้ดีอีกครั้ง หากตัดสินใจแน่วแน่แล้ว พรุ่งนี้หลังเลิกเรียน ข้าจะพาเขากลับไปบ้านพวกเรา” 

 

 

ซุนซ่านเหรินโบกมือ “ไม่ต้องทบทวนแล้ว ข้าตัดสินใจตอนนี้เลย พวกเจ้าจงพาเขาไปคืนนี้เถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ พูดว่า “ท่านใจร้อนเกินไป อย่างไรท่านก็ควรจะกลับไปพูดกับคนในครอบครัวก่อน เล้าโลมสภาพจิตใจของพวกเขา ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเขามาตะโกนหน้าโรงเรียนบอกว่าข้าลักพาหลานของพวกท่านไป ต่อให้ข้ามีร้อยปากก็อธิบายไม่หมด” 

 

 

ซุนซ่านเหรินหน้าแดงเรื่อ พูดว่า “ข้าใจร้อนไปหน่อย ขาดการคิดใคร่ครวญ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ข้าเข้าใจความรู้สึกท่าน ท่านอยากให้หลานประสบความสำเร็จในชีวิต” 

 

 

ซุนซ่านเหรินถอนใจพูด “เรื่องประสบความสำเร็จ ข้ามิได้คาดหวังแล้ว ข้าเพียงหวังเมื่อข้าอายุร้อยปี เขาจะจัดการกิจการของครอบครัวได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ ยกถ้วยชาขึ้นดื่มอีกหลายคำ 

 

 

ซุนซ่านเหรินเห็นถ้วยน้ำชาของนางลดลง จึงยกกาน้ำชารินให้นางด้วยตัวเอง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจับถ้วยชาแน่นกล่าวขอบคุณ 

 

 

หลังจากซุนซ่านเหรินนั่งลง ก็หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ต่อไปไฉเอ๋อร์ไปอาศัยอยู่บ้านพวกเจ้า น้องชายอย่าได้เห็นเขาเป็นคนนอก เมื่อต้องว่าก็ว่า เมื่อต้องตีก็ตี ให้เห็นเขาเป็นเหมือนลูกตัวเอง ข้าขอกล่าวขอบใจเจ้าไว้ ณ ที่นี้ก่อน” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบร้อนพูด “ได้อย่างไรกัน เด็กยังเล็ก มีเรื่องอะไรบอกกล่าวสั่งสอนก็ได้แล้ว ข้าไม่มีทางด่าว่าหรือทุบตีพวกเขา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะพูด “ท่านฝากฝังคนผิดแล้ว บิดามารดาข้า ไม่เคยด่าว่าหรือทุบตีพวกเราพี่น้องมาก่อน แม้แต่ตวาดก็น้อยมาก” 

 

 

ซุนซ่านเหรินยิ่งให้รู้สึกประหลาดใจ ถามอย่างไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าพี่น้องถึงเยี่ยมยอดเช่นนี้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน แล้วพูดว่า “พวกเราพี่น้องทั้งหมดเกิดมาก็เป็นเช่นนี้แล้ว” 

 

 

ซุนซ่านเหรินนิ่งงัน จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะดังสนั่น 

 

 

เสียงหัวเราะนี้ ผ่อนคลายบรรยากาศเคร่งเครียดในห้องน้ำชาลง เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่มีพิธีรีตองมากอีก ยกถ้วยชาขึ้นดื่มชาหนึ่งคำ 

 

 

ซุนซ่านเหรินก็ยกกาน้ำชารินให้เขาเต็มถ้วย เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบกล่าวขอบคุณ ซุนซ่านเหรินพูดว่า “ข้ามัวแต่สนทนากับพวกท่านทั้งสอง ลืมถามชื่อแซ่น้องชาย ไม่ทราบว่าต้องเรียกขานน้องชายอย่างไร” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบ “ข้าชื่อเมิ่งเอ้ออิ๋น ต่อไปซุนซ่านเหรินเรียกชื่อข้าตามตรงก็ได้แล้ว” 

 

 

ซุนซ่านเหรินพูดทันควัน “น้องเอ้ออิ๋น ต่อไปรบกวนเจ้าดูแลไฉเอ๋อร์ด้วย” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่รบกวน ไม่รบกวน ก็แค่เพิ่มตะเกียบอีกคู่เท่านั้น” 

 

 

แล้วซุนซ่านเหรินก็หันไปถามเมิ่งเชี่ยนโยว “ไม่ทราบว่าชื่อของแม่นางคือ…” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างไม่เคลือบแฝง “ข้าชื่อเมิ่งเชี่ยนโยว คนที่มาเรียนหนังสือเป็นน้องชายข้าชื่อเมิ่งอวี้เซวียน คนที่บังคับรถม้ามาเมื่อวานเป็นพี่ชายคนโตข้าชื่อเมิ่งเสียน ที่บ้านยังมีพี่ชายคนรองข้าชื่อเมิ่งฉีและน้องชายอีกสองคนชื่อเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง” 

 

 

ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำจบ ซุนซ่านเหรินก็พูดอย่างอิจฉาเมิ่งเอ้ออิ๋น “น้องเอ้ออิ๋นลูกหลานเต็มบ้านดีจริงๆ” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะชื่นบานไม่ได้พูดอะไร 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด