ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 140.3

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 140.3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ช่วยซึ่งกันและกัน

 

 

 

ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงหน้าประตูเมือง คนเดินเท้าค่อนข้างพลุกพล่าน เมิ่งเอ้ออิ๋นถึงลดความเร็วของม้าลง ค่อยๆ เข้าเมืองช้าๆ

 

 

เมิ่งชื่อก็โคลงเคลงจนเกือบทนไม่ไหว พอรับรู้ว่ารถม้าช้าลงแล้ว ก็ถอนหายใจยาว พูดว่า “ในที่สุดก็ถึงตัวเมือง แม่เองก็โคลงเคลงจนตัวจะหลุดเป็นชิ้นแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนส่งยิ้มให้นาง

 

 

เมิ่งชื่อมองนางอย่างข้องใจอีกครั้ง ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เหตุใดแม่ถึงรู้สึกว่าเจ้ามีเรื่องในใจ”

 

 

ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร

 

 

เมิ่งชื่อยิ่งขับข้องใจ พูดว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังแม่อยู่กันแน่ เจ้ารีบบอกแม่มา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก คิดทบทวนแล้วพูดว่า “ตอนเช้าข้าและท่านพ่อเจอคุณหนูอวี้แล้ว นางบอกว่ารอท่านและพี่ใหญ่อยู่ในภัตตาคาร มีเรื่องสำคัญอยากพูดกับท่านและพี่ใหญ่ ข้าและท่านพ่อถึงได้รับกลับไปรับพวกท่านมา”

 

 

เมิ่งชื่อตกตะลึง ถามอย่างไม่เข้าใจ “นางจะมีเรื่องสำคัญอันใดพูดกับพวกเรา หรือไม่ยินดีหมั้นหมายกับเสียนเอ๋อร์แล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแววตาลอกแลก พูดอย่างร้อนตัว “นางไม่ได้พูดกับข้า ข้าก็ไม่รู้”

 

 

เมิ่งชื่อย่นหัวคิ้ว พูดพึมพำกับตัวเอง “แม้แต่เจ้าก็ไม่รู้ หรือจะเป็นอย่างที่แม่คิดจริงๆ”

 

 

ได้ยินเมิ่งชื่อพูดเช่นนั้น ใบหน้าเบิกบานของเมิ่งเสียนก็ห่อหดลง

 

 

ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องโดยสาร ได้ยินเพียงเสียงกีบเท้าม้าที่ดังชัดเจนนอกตัวรถ

 

 

เมิ่งชื่อพลันคว้าเมิ่งเชี่ยนโยวไว้แน่น ถามอย่างว้าวุ่นใจ “โยวเอ๋อร์ คงไม่ได้เป็นอย่างที่แม่คิดจริงๆ คุณหนูอวี้เปลี่ยนใจเสียแล้ว”

 

 

ยังไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ เมิ่งเสียนก็พูดด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “ท่านแม่ เมื่อวานคุณหนูอวี้พูดต่อหน้าบิดามารดาของนางเองว่า ครั้งแรกที่เจอข้าก็พึงใจข้าแล้ว ไม่น่าจะเป็นการเปลี่ยนใจ น่าจะมีเรื่องอะไรลำบากใจ ต้องการให้พวกเราช่วย”

 

 

เมิ่งชื่อได้ยินก็วางใจ พูดอย่างดีใจ “เช่นนั้นก็ดี ขอเพียงไม่ใช่ไม่อยากหมั้นหมาย วันนี้ไม่ว่าคุณหนูอวี้ยื่นเงื่อนไขอะไร แม่ก็รับปาก”

 

 

มาถึงหน้าประตูภัตตาคาร เมิ่งเอ้ออิ๋นหยุดจอดรถม้า เมิ่งเสียนลงจากรถม้าก่อน ถึงประคองเมิ่งชื่อตามลงมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รอให้เขาช่วย ลงจากรถม้าด้วยตัวเอง พูดกับคนทั้งสองว่า “คุณหนูอวี้รออยู่ที่ชั้นสอง พวกเราเข้าไปเถอะ”

 

 

เมิ่งชื่อพยักหน้า เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปชั้นสอง

 

 

เซี่ยเหอกำลังรออย่างกระสับกระส่ายอยู่ที่หน้าประตู เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งชื่อและเมิ่งเสียนขึ้นมา ก็ให้ร้อนรนขึ้นมาทันใด ด้านหนึ่งเคาะประตูร้องบอกด้านในอย่างนอบน้อม “คุณหนู พวกคุณชายเมิ่งมาถึงแล้ว” อีกด้านแสดงความเคารพเมิ่งชื่อและลูกๆ พูดว่า “พวกท่านมาถึงแล้ว คุณหนูของเราและคุณชายจางรออยู่ด้านในมาตลอด”

 

 

ได้ยินคำพูดนาง เมิ่งชื่อเกิดความกังขา เมิ่งเสียนกลับมุ่นหัวคิ้ว

 

 

เซี่ยเหอเปิดประตูห้องรับรองพูดกับทั้งสามคนอย่างนอบน้อม “เชิญพวกท่านด้านใน”

 

 

เมิ่งชื่อกำลังจะเข้าไป เมิ่งเชี่ยนโยวกลับชะงักฝีเท้า หันไปพูดกับนาง “ท่านแม่ พี่ใหญ่ เรื่องนี้คุณหนูอวี้บอกว่าจะคุยกับพวกท่านตามลำพัง ข้าจึงไม่เข้าไปแล้ว จะรอพวกท่านที่หน้าประตู มีเรื่องอะไรพวกท่านก็ตะโกนเรียกข้า”

 

 

เมิ่งชื่อพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องรับรองกับเมิ่งเสียน

 

 

เซี่ยเหอปิดประตู มีน้ำเสียงยินดีของเมิ่งชื่อเล็ดลอดออกมา “คุณหนูอวี้ ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันอีก เจ้าคงไม่รู้ ตั้งแต่ตอนก่อนปีใหม่ที่ข้าได้เจอเจ้าครั้งแรก…”

 

 

ยังพูดไม่ทันจบ เสียงตื่นตกใจของเมิ่งชื่อก็ดังขึ้น “คุณหนูอวี้ เจ้าจะทำอะไร เหตุใดต้องคุกเข่าให้พวกเรา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกะพริบตาปริบ

 

 

เซี่ยเหอเฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างกระสับกระส่าย

 

 

เสี่ยวเอ้อของภัตตาคารเห็นเมิ่งชื่อและเมิ่งเสียนเข้าไปในห้องรับรอง เข้ามาสอบถามเซี่ยเหอ “แม่นาง พวกเจ้าจะสั่งอาหารได้แล้วหรือไม่”

 

 

เซี่ยเหอกำลังเป็นกังวลกับสถานการณ์ด้านใน ได้ยินคำถามของเสี่ยวเอ้อกำลังจะโบกมือให้อย่างรำคาญ เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเงินหนึ่งตำลึงออกมาจากอกเสื้อยื่นให้เสี่ยวเอ้อ พูดว่า “ขออภัยด้วย คนด้านในมีเรื่องสำคัญต้องพูดคุย รอพวกเขาพูดคุยเสร็จ พวกเราจะสั่งอาหาร เงินหนึ่งตำลึงนี้เจ้าเก็บไว้ให้ดี ถือเป็นเงินมัดจำค่าอาหารของพวกเรา”

 

 

เสี่ยวเอ้อไม่เคยเจอใครยังไม่กินข้าวก็ให้เงินก่อน นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็รับเงินมาอย่างยินดี พูดอย่างมีไมตรีจิต “ได้ ข้าจะรออยู่ด้านข้าง หากต้องการสั่งอาหารก็ตะโกนเรียกข้าได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

เสี่ยวเอ้อถอยหลังออกไป

 

 

ในห้องรับรองไม่มีเสียงดังลอยออกมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเซี่ยเหอยืนสงบนิ่งอยู่หน้าประตู

 

 

ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อได้ ก็มีเสียงไม่อยากเชื่อของเมิ่งชื่อดังแว่วมา “คุณหนูอวี้ เจ้าพูดว่าอะไร”

 

 

ไม่ได้ยินคำตอบของอวี้อวี่

 

 

น้ำเสียงเคืองขุ่นของเมิ่งชื่อดังแว่วออกมาต่อเนื่อง “ข้านึกว่าเจ้าเป็นหญิงสาวอยู่ในขนบ อ่อนโยนเป็นกุลสตรีมาตลอด เจ้ากระทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

 

เสียงจางเจ๋อหวยดังขึ้น “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ขอท่านอย่าได้ตำหนิโทษอวี่เอ๋อร์”

 

 

เมิ่งชื่อยิ่งทวีความแค้นเคือง “เสียแรงที่เจ้าเป็นบัณฑิต กลับกระทำเรื่องโสมมได้เช่นนี้ ตำรับตำราที่เจ้าศึกษาไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลย”

 

 

จางเจ๋อหวยไม่ได้โต้แย้ง

 

 

เมิ่งชื่อยังคงโกรธแค้นไม่หาย ชี้หน้าก่นด่าทั้งสองอย่างไม่ไว้หน้า “พวกเจ้าไม่สนใจขนบประเพณี กระทำเรื่องไร้ยางอายได้ถึงขั้นนี้ ยังคิดจะวางแผนให้เสียนเอ๋อร์ของข้าหมั้นหมายกับเจ้า พวกเจ้ารอก่อน ข้าต้องออกไปป่าวประกาศ ให้คนทั้งเมืองได้รู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนอย่างไร”

 

 

เสียงวิงวอนขอร้องของอวี้อวี่ดังลอยออกมา “ทั้งหมดเป็นความผิดข้า ข้าที่เลอะเลือนชั่วขณะ ถึงได้คิดวางแผนกับคุณชายเมิ่ง ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่เจ๋อหวย ขอท่านอย่าพาลใส่เขา จะทุบตีลงโทษข้าขอน้อมรับเอง”

 

 

เมิ่งชื่อสบถหนึ่งคำ พูดอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าท้องก่อนแต่ง ไร้ยางอาย ตีเจ้าข้าก็กลัวจะติดเสนียดมือข้า”

 

 

เสียงสะอื้นไห้ของอวี้อวี่ดังแว่วออกมา

 

 

เมิ่งชื่อยังคงรู้สึกไม่หายแค้น กำลังจะก่นด่าพวกนางอีก น้ำเสียงถูกกระทำของเมิ่งเสียนก็ดังลอยออกมา “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องด่าทอแล้ว”

 

 

เมิ่งชื่อพูดอย่างปวดใจ “เสียนเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ภายหน้าแม่จะคู่แต่งงานที่ดีกว่านี้ให้เจ้า ให้หญิงไร้ยางอายคนนี้ต้องเสียใจไปทั้งชีวิต”

 

 

เสียงทุกข์ระทมของเมิ่งเสียนดังลอยมา “ท่านแม่ พวกเราไปเถอะ”

 

 

เมิ่งชื่อคัดค้านอย่างดุดัน “ได้อย่างไรกัน หากวันนี้ไม่ลงโทษชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้ให้สาสม แม่ไม่มีวันหายแค้น ยังโชคดีที่วันนี้แม่ไม่ได้เที่ยวป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป ไม่เช่นนั้นต่อไปพวกเราจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไร”

 

 

เมิ่งเสียนเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ้อนวอน “ท่านแม่ ข้าขอร้อง พวกเรากลับไปเถอะ ข้าไม่อยากเห็นพวกเขาอีก”

 

 

น้ำเสียงลนลานวิงวอนของอวี้อวี่ดังลอยมา “คุณชายเมิ่ง ขอร้องพวกท่าน ปล่อยพี่เจ๋อหวยไปเถอะ ชาติหน้าต่อให้ต้องเป็นวัวเป็นม้าข้าก็จะขอตอบแทนท่าน”

 

 

เมิ่งเสียนไม่ได้พูดอะไร เปิดประตูห้องรับรองออก เดินออกมาอย่างวิญญาณหลุดลอย

 

 

เมิ่งชื่อเห็นเมิ่งเสียนเดินออกไปจากห้องรับรองแล้ว กลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขา รีบร้อนเดินตามออกมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกอย่างเป็นห่วง “พี่ใหญ่”

 

 

เมิ่งเสียนเผยรอยยิ้มที่เหยเกไม่น่าดูยิ่งกว่าการร้องไห้ พูดว่า “น้องสาว พวกเรากลับไปเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่คิดเอาความ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเข้าไปในห้องอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง หันไปพยักหน้าให้เมิ่งเสียน

 

 

เมิ่งชื่อพูดอย่างงุ่นง่านใจ “เสียนเอ๋อร์ เจ้าจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”

 

 

เมิ่งเสียนหัวเราะอย่างทุกขเวทนา พูดประโยคเดิมนั้นอีกครั้ง “ท่านแม่ พวกเรากลับเถอะ”

 

 

เมิ่งชื่อตื่นตกใจกับอาการของเขา ลนลานรับคำ “ได้ๆๆ พวกเรากลับ”

 

 

เมิ่งเสียนเดินลงไปชั้นล่างอย่างเสียศูนย์ เมิ่งเชี่ยนโยวรีบก้าวขึ้นหน้าสองก้าว ประคองตัวเขาไว้ ทั้งสองเดินลงบันไดไปพร้อมกัน

 

 

เมิ่งชื่อเห็นสภาพเมิ่งเสียน ถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ เดินตามหลังไป

 

 

ทั้งสามออกมาจากภัตตาคารมาถึงข้างรถม้า เมิ่งเอ้ออิ๋นสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นสีหน้าซีดขาวของเมิ่งเสียน ร้อนรนถาม “เสียนเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”

 

 

เมิ่งเสียนส่ายหน้า ขึ้นไปนั่งบนรถม้าช้าๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนตรงหน้าเขา มองเขาเงียบๆ

 

 

เมิ่งเสียนเงยหน้าขึ้น ถามอย่างเลื่อนลอย “น้องสาว พี่ใหญ่โง่มากใช่ไหม เจ้ามองออกแต่แรกแล้วว่าคุณหนูอวี้ไม่ได้ต้องการหมั้นหมายกับพี่ใหญ่จริงๆ แต่พี่ใหญ่กลับยังโง่เขลาดีใจตั้งแต่เมื่อวานมาถึงตอนนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “ถ้าพี่ใหญ่รู้สึกเคืองแค้น ข้าจะออกหน้าลงมือกับพวกเขาเอง”

 

 

เมิ่งเสียนส่ายหน้า “ข้าที่ตาบอดเอง ไม่เกี่ยวกับพวกเขา”

 

 

เมิ่งชื่อพูดอย่างงุ่นง่านใจ “เสียนเอ๋อร์ เรื่องนี้จะโทษเจ้าได้อย่างไร เพราะหญิงชั่วชายโฉดคู่นั้นที่วางแผนต่ำช้า พวกเราจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด”

 

 

เมิ่งเสียนหันไปร้องขอเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ขอร้องท่านอย่าพูดเสียงดังอีกเลย หากคนอื่นได้ยินเข้า ชื่อเสียงของคุณหนูอวี้ได้หมดสิ้นแล้วจริงๆ”

 

 

เมิ่งชื่อพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “คนหน้าไม่อายอย่างนาง ยังจะมีชื่อเสียงอะไรอีก พวกเราไม่เอาเรื่องโสมมที่พวกเขาทำไปป่าวประกาศกลางถนน ก็ถือว่ามีเมตตามากแล้ว”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบพูดกับเมิ่งชื่อ “เจ้าพูดให้น้อยๆ หน่อยเถอะ เรื่องนี้พวกเราแล้วแต่เสียนเอ๋อร์ เสียนเอ๋อร์ว่าอย่างไรพวกเราก็ทำอย่างนั้น”

 

 

เมิ่งชื่อเห็นสภาพย่ำแย่ของเมิ่งเสียน ไม่ได้พูดอะไรอีก

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นพูด “เมื่อเสียนเอ๋อร์ให้อภัยพวกเขา พวกเราก็กลับเถอะ”

 

 

เมิ่งชื่อพยักหน้า

 

 

เมิ่งเสียนนั่งนิ่งบนรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวคอยยืนอยู่ข้างๆ เขาเงียบๆ

 

 

ผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมิ่งเสียนถึงถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ออกมา แหงยหน้าพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสาว พี่ใหญ่ขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านพูด” เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ

 

 

เมิ่เงสียนมองไปทางสองสามีภรรยาเมิ่ง ลุกขึ้นเดินไปอีกที่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังเขาไป เมิ่งชื่อคิดจะตามไป ถูกเมิ่งเอ้ออิ๋นรั้งไว้แล้วส่ายหน้าให้นาง

 

 

เมิ่งชื่อถอนหายใจ พูดว่า “เรื่องนี้เป็นเพราะข้า หากไม่ใช่เพราะข้าลุ่มหลงพึงพอใจคุณหนูสกุลอวี้จนไม่ได้สติ ไม่เชื่อคำพูดพวกเจ้าสืบความให้แน่ชัดก่อน วันนี้เสียนเอ๋อร์ก็คงไม่ต้องเจ็บปวดเช่นนี้”

 

 

เมิ่เงสียนเดินมาหยุดในบริเวณคนบางตา หันหลังกลับไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสาว พี่ใหญ่อยากช่วยคุณชายจางและคุณหนูอวี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตกตะลึง

 

 

เมิ่งเสียนพูดต่อ “แม้คุณหนูอวี้จะวางแผนพี่ วาจาก็ล้วนเป็นคำโป้ปด แต่อย่างไรนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่พูดคำพวกนั้นกับพี่ใหญ่ต่อหน้าคนมากมาย พี่ใหญ่รู้สึกหวั่นไหว ไม่อยากให้นางต้องมีจุดจบที่น่าเวทนา พี่ใหญ่ขอร้องเจ้า ช่วยพวกเขาด้วยเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขาอย่างงงงัน “พี่ใหญ่ ไม่เกลียดพวกเขาหรือ”

 

 

เมิ่งเสียนส่ายหน้า “คุณหนูอวี้มิได้จะวางแผนกับพี่อย่างแท้จริง ทั้งยังคุกเข่าให้พวกเราอย่างไม่สนใจสถานะ แม้ใจของพี่จะเจ็บปวด แต่ใจของข้าก็ไม่เคยคิดจะตำหนิโทษพวกเขา”

 

 

“เช่นนั้นพี่ใหญ่อยากให้ข้าช่วยพวกเขาอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม

 

 

เมิ่งเสียนขบคิด ตอบว่า “เจ้าช่วยพวกเขาเรื่องเงินทองเถอะ ให้คนรักของนางได้สอบเคอจวี่อย่างราบรื่น ส่วนที่ว่าต่อไปพวกเขาจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ไม่ต้องยุ่งแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้ ทุกอย่างแล้วแต่พี่ใหญ่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด