ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 141.1

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 141.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ยุ่งเหยิงอลหม่าน

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับเข้ามาในภัตตาคาร มาถึงห้องรับรองชั้นสอง

 

 

เซี่ยเหอกลับไม่ได้ยืนเฝ้าหน้าประตู แต่เข้าไปในห้องรับรอง กำลังพูดกับอวี้อวี่ “คุณหนู ตั้งแต่เมื่อวานข้าก็เตือนท่านแล้วอย่าไปพูดกับพวกคุณชายเมิ่ง ท่านกลับไม่ฟัง ครานี้ดีแล้ว หากมารดาคุณชายเมิ่งนำเรื่องของพวกท่านไปป่าวประกาศจริงๆ ไม่ต้องรอให้ถึงยามค่ำ ทั้งตำบลจะต้องรู้เรื่องของพวกท่านกันหมด”

 

 

เรื่องมาถึงตอนนี้ อวี้อวี่ตกใจจนสติกระเจิง ได้แต่ร้องไห้ไม่หยุด

 

 

เซี่ยเหอร้อนใจกระทืบเท้าพูดว่า “คุณหนู ท่านไม่ต้องร้องไห้แล้ว คิดหาวิธีก่อนเถอะ หากนายท่านรู้เรื่องที่ท่านท้องก่อนแต่ง ท่านกับคุณชายจางได้จบสิ้นชีวิตแน่”

 

 

คำพูดเซี่ยเหอเรียกสติจางเจ๋อหวย เขาหันไปพูดกับอวี้อวี่ “อวี่เอ๋อร์ เซี่ยเหอพูดถูกต้อง หากพวกเขาป่าวประกาศออกไปจริงๆ พวกเราคงมีจุดจบไม่ดี ข้าจะกลับไปเก็บข้าวของที่บ้าน พกเงินติดตัว พาพวกเจ้าไปจากตำบลชิงซีทันที ไปยิ่งไกลก็ยิ่งดี”

 

 

อวี้อวี่พูดอย่างขวัญเสีย “แต่ว่า ข้าและเหอเอ๋อร์ยังไม่ได้เก็บข้าวของ เครื่องประดับข้าก็ไม่ได้พกติดตัวมา พวกเราจะไปอย่างไร?”

 

 

จางเจ๋อหวยพูด “สิ่งเหล่านั้นไม่เอาแล้ว รอให้พวกเราปักหลักได้ ข้าจะซื้อให้พวกเจ้าใหม่” พูดจบ ลุกขึ้นเตรียมจะกลับบ้านไปเก็บข้าวของ

 

 

อวี้อวี่รั้งเขา ส่ายหน้าพูด “ไม่ได้ เครื่องประดับพวกนั้นพวกเราจักต้องนำไป ยามที่พวกเราเอาตัวไม่รอด สามารถนำไปแลกเป็นเงินได้”

 

 

จางเจ๋อหวยเริ่มร้อนรน “ข้ายืมเงินมาแล้ว เพียงพอให้ประทังชีวิตไปได้ระยะหนึ่ง ตอนนี้พวกเราควรไปให้ยิ่งไกลยิ่งดี”

 

 

อวี้อวี่ยังไม่ปล่อยมือ พูดว่า “ไม่ได้ พวกเราจักต้องนำเครื่องประดับเหล่านั้นไป ต่อให้ยามปกติไม่ได้ใช้ เมื่อลูกคลอดออกมาก็ต้องได้ใช้”

 

 

เซี่ยเหอพูดสนับสนุน “คุณหนูพูดถูกต้อง ท่านมีเพียงสิบตำลึง พอคุณหนูคลอดบุตรออกมาไม่มีทางใช้พอ เอาอย่างนี้ ท่านกับคุณหนูจะรออยู่ที่นี่ ข้าจะกลับจวนแอบขโมยเครื่องประดับของคุณหนูออกมา แล้วพวกเราก็ไปทันที”

 

 

จางเจ๋อหวยยิ่งทวีความร้อนรนพูดว่า “รอเจ้าไปเอาเครื่องประดับ พวกเราหนีไม่ทันจะทำอย่างไร?”

 

 

“ไม่มีทาง ข้าจะกลับจวนไปเอาเดี๋ยวนี้ สองเค่อก็กลับมาแล้ว” พูดจบหมุนตัวเตรียมจะวิ่งออกไป กลับเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่หน้าประตูร้องอุทานเรียก “แม่นางเมิ่ง!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้องรับรองอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วนั่งลงบนเก้าอี้

 

 

จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่ก็มองนางอย่างตกตะลึง

 

 

เซี่ยเหอลนลานปิดประตูห้องรับรอง เดินกลับเข้ามาในห้อง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองพวกเขาด้วยสีหน้าเมินเฉย ถามขึ้น “คิดจะหนี?”

 

 

จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่ตื่นตกใจ หันหน้าสบตากัน อวี้อวี่คิดจะขอร้องให้เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยพวกเขาไปอีกครั้ง จางเจ๋อหวยยับยั้งนางไว้ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย “แม่นางเมิ่ง แม้พวกเราจะกระทำเรื่องผิด ข้าและอวี่เอ๋อร์ก็ได้คุกเข่าขอขมาแล้ว คำโบราณว่าไว้ดี มีหนึ่งมีสองไม่มีสาม พวกเราคุกเข่าให้พวกเจ้าสองครั้งแล้ว ครั้งที่สามนี้พวกเราไม่มีทางขอร้องพวกเจ้าอีก คิดจะป่าวประกาศเรื่องนี้หรือจะตัดอนาคตของข้า ก็แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ”

 

 

อวี้อวี่ร้องเรียกอย่างร้อนใจ “พี่เจ๋อหวย”

 

 

จางเจ๋อหวยพูดกับนางอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ว่าจุดจบจะลงเอยอย่างไร ข้าจะเผชิญหน้ากับเจ้าเอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะหยัน “ยังมีความทรนง ไม่รู้ว่าพอเรื่องกลยุทธ์ลอบตีเฉินชังของพวกเจ้าป่าวประกาศออกไป ต้องถูกผู้คนชี้นิ้วนินทา เจ้ายังมีความกล้าพูดเช่นนี้กับคุณหนูอวี้อีกหรือไม่”

 

 

จางเจ๋อหวยตอบนางด้วยวาจาเหมาะสม “สิ่งนี้ไม่รบกวนแม่นางเมิ่งต้องเป็นกังวล หากเรื่องราวถูกป่าวประกาศออกไป คนทั้งโลกไม่ให้อภัยพวกเรา แม้ตายข้าก็จะอยู่เคียงข้างอวี่เอ๋อร์”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างราบเรียบ “ดูท่าไม่ว่าอย่างไรคุณชายจางก็จะครองคู่กับคุณหนูอวี้”

 

 

จางเจ๋อหวยพยักหน้า “ร่วมทุกข์สุขจนวันตาย ไม่มีวันทอดทิ้ง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินเขาอย่างลุ่มลึก จางเจ๋อหวยยืดตัวตรงเคียงข้างอวี้อวี่ ไม่หลบไม่เลี่ยง ให้นางมองประเมินตามอำเภอใจ

 

 

อึดใจหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงตั๋วแลกเงินสามใบจากอกวางลงบนโต๊ะ พูดว่า “พี่ใหญ่ข้าให้ข้านำตั๋วแลกเงินสามร้อยตำลึงนี้มอบให้พวกเจ้า บอกว่าเห็นแก่ความรักมั่นคงของพวกเจ้า ช่วยพวกเจ้าสักครั้ง แต่หลังจากนี้พวกเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่พวกเจ้าเองแล้ว”

 

 

จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่ทั้งสองไม่คิดว่าเมิ่งเสียนไม่เพียงไม่ตำหนิโทษพวกเขา ยังมอบตั๋วแลกเงินมาช่วยเหลือพวกเขา พลันตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไรอีก ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

 

 

จางเจ๋อหวยรีบร้องตะโกนไล่หลัง “แม่นางเมิ่ง!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักฝีเท้า หันกลับมามองเขาด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์

 

 

จางเจ๋อหวยพูดอย่างตื้นตันใจ “บุญคุณใหญ่หลวงของคุณชายเมิ่ง เจ๋อหวยจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต ฝากบอกคุณชายเมิ่งว่า ภายหน้าหากมีสิ่งใดที่ข้าช่วยได้ ขอให้รีบบอก ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็ไม่ปฏิเสธ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร หันหลังเดินออกไปจากภัตตาคาร

 

 

น้ำเสียงดีใจระคนประหลาดใจของอวี้อวี่ดังแว่วมา “ท่านพี่เจ๋อหวย ครานี้พวกเรามีทางรอดแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากภัตตาคาร ตรงมาที่ข้างรถม้า หันไปพยักหน้าให้เมิ่งเสียน

 

 

เมิ่งชื่อถามอย่างกระวนกระวาย “โยวเอ๋อร์ เจ้าเข้าไปในภัตตาคารทำสิ่งใด? เข้าไปสั่งสอนหญิงชั่วชายโฉดคู่นั้นอย่างสาสมใช่หรือไม่?”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นมองนาง แล้วมองไปทางภัตตาคารด้วยสีหน้าวิตกกังวล

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบเมิ่งชื่อ แต่พูดกับคนทั้งสองว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ เรื่องนี้ต่อไปไม่ต้องเอ่ยขึ้นมาอีก ไม่ว่าภายหน้าคุณหนูอวี้จะเป็นอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราอีก”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อหันหน้ามองกัน แล้วมองเมิ่งเสียนที่ซึมเศร้าหดหู่ พยักหน้าพร้อมกัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ อีกหนึ่งชั่วยาม อี้เซวียนก็จะเลิกเรียนแล้ว พวกเราไปกินข้าวที่เหลาจวี้เสียนพักผ่อนเสียหน่อย รอรับอี้เซวียนค่อยกลับบ้านพร้อมกัน”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นรับคำ จับจูงรถม้าให้ดี ส่งสัญญาณให้ทุกคนขึ้นไปนั่งในห้องโดยสาร

 

 

เมิ่งชื่อถอนหายใจ ก้าวขึ้นไปนั่ง

 

 

เมิ่งเสียนขึ้นไปนั่งอย่างไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

รอจนทุกคนนั่งดีแล้ว เมิ่งเอ้ออิ๋นถึงบังคับรถม้า มาถึงเหลาจวี้เสียนอย่างเชื่องช้า

 

 

เลยเวลากินข้าวมาแล้ว เหลาจวี้เสียนแทบจะไม่มีลูกค้า เสี่ยวเอ้อที่เฝ้าหน้าประตูเห็นรถม้าคันหนึ่งมุ่งตรงเข้ามา รู้สึกประหลาดใจ คิดว่าเวลาใดแล้วยังจะมีคนเข้ามากินข้าว กระทั่งเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากรถม้า ถึงรีบร้อนเข้าไปต้อนรับ ถามอย่างนบนอบ “แม่นางมาแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยว “ขอโทษด้วย พวกเราเพิ่งจะมากินข้าวยามนี้”

 

 

เสี่ยวเอ้อรีบร้อนโบกมือ ตอบว่า “หลงจู๊ของพวกเราพูดแล้ว แม่นางจะมาเวลาไหนก็ได้ ข้าจะพาท่านไปห้องรับรอง แล้วสั่งการให้คนนำอาหารมา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

เสี่ยวเอ้อเฝ้าประตูเรียกเสี่ยวเอ้ออีกคนมานำรถม้าไปดูแลหลังร้านให้ดี ตนเองนำคนทั้งสี่มายังห้องรับรอง

 

 

กระทั่งทั้งสี่คนนั่งเรียบร้อย รินน้ำชาให้คนละถ้วย ถึงถามขึ้นอย่างนอบน้อม “ไม่ทราบว่าแม่นางอยากกินอะไร?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ขออาหารแนะนำสองอย่าง อาหารจืดอีกสองอย่างก็ได้แล้ว”

 

 

เสี่ยวเอ้อรับคำ ออกไปจากห้องรับรอง ปิดประตูห้องรับรอง หลังจากตะโกนสั่งอาหารเสร็จ ก็ไปบอกหลงจู๊ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมา

 

 

คงเพราะไม่มีคนกินข้าว ไม่นานเท่าใด อาหารร้อนกรุ่นสี่อย่างก็ถูกยกขึ้นมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตะเกียบขึ้น แสร้งพูดอย่างสบายใจ “ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ไม่ได้กินข้าวเลย หิวจะตายแล้ว พวกเราลงมือเถอะ”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นก็หิวมาก หยิบตะเกียบขึ้นคีบอาหารวางในถ้วยตัวเอง เคี้ยวงุบงับคำโต

 

 

เมิ่งชื่อก็หยิบตะเกียบขึ้น คีบอาหารจำนวนหนึ่ง มีเพียงเมิ่งเสียนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอันใด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขา “พี่ใหญ่?”

 

 

เมิ่งเสียนได้สติกลับมา ฝืนยิ้มแข็งให้นาง พูดว่า “พวกเจ้ากินเถอะ พี่ใหญ่ไม่หิว”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อหยุดค้างตะเกียบ มองเขาอย่างเป็นกังวล

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตะเกียบคู่หนึ่งใส่มือเมิ่งเสียน พูดโน้วน้าว “พี่ใหญ่ ท่านไม่หิวก็กินเป็นเพื่อนพวกเราหน่อย ข้าและท่านพ่อท่านแม่หิวจะแย่แล้ว”

 

 

เมิ่งเสียนเห็นสองสามีภรรยาเมิ่งต่างมองพวกเขาอย่างเป็นห่วง จึงคีบอาหารเข้าปากตัวเอง เคี้ยวอย่างไม่รู้รสชาติ

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวหิวมากจริงๆ กินกันไปไม่น้อย เมิ่งชื่อเพียงแค่กินไม่กี่คำพอเป็นพิธี ก็วางตะเกียบลง นั่งทอดถอนใจอยู่บนเก้าอี้

 

 

เมิ่งเสียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง อาหารหนึ่งคำในปากเคี้ยวเป็นนานสองนานก็ยังไม่ได้กลืนลงไป

 

 

เมิ่งชื่อเห็นอาการย่ำแย่ของบุตรชาย พูดขึ้นอย่างควบคุมโทสะไม่ได้ “แม่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห คุณหนูอวี้ก็เป็นหญิงมีการศึกษาอยู่ในขนบ เหตุใดถึงกระทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ได้?”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นด้านหนึ่งกินข้าวด้านหนึ่งมองเมิ่งเสียนแวบหนึ่ง พูดกับเมิ่งชื่อ “เจ้าเลิกพูดได้แล้ว พวกเราพูดกันแล้วว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นอีกไม่ใช่หรือ?”

 

 

เมิ่งชื่อถอนหายใจยาวอีกครั้ง นั่งลงบนเก้าอี้

 

 

เมิ่งเสียนเขี่ยอาหารในชามข้าวอย่างไม่รู้ตัว ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของพวกเขา

 

 

กินข้าวอิ่ม เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเสี่ยวเอ้อให้มายกสำรับอาหารออกไป แล้วให้เขาชงชาขึ้นมาใหม่หนึ่งกา

 

 

คนทั้งหมดดื่มชาเงียบๆ ไม่มีใครปริปากพูด บรรยากาศในห้องตึงเครียดลง

 

 

เสียงเคาะประตูหนึ่งดังขึ้น เสียงปรอทแตกของพ่อครัวดังขึ้น “แม่นางเมิ่ง ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ ลุกขึ้นเปิดประตูห้องรับรองออก พูดด้วยรอยยิ้ม “เข้ามาเถอะ”

 

 

พ่อครัวเดินเข้ามาในห้องรับรองอย่างปรีดา แทบจะไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศตึงเครียดภายในห้อง หลังจากทักทายสองสามีภรรยาเมิ่งอย่างเป็นกันเองแล้ว ก็พูดตามตรง “แม่นางไม่ได้มาทำอาหารที่ภัตตาคารนานแล้ว ไม่ทราบว่าวันนี้มีเวลาหรือไม่?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้าด้านนอก พูดอย่างรู้สึกผิด “วันนี้เกรงว่าจะไม่ได้ น้องชายข้าเข้ามาเรียนโรงเรียนในเมือง อีกครึ่งชั่วยามก็เลิกเรียนแล้ว ข้าต้องไปรับเขา”

 

 

พ่อครัวรู้สึกผิดหวัง กลับไม่ได้ฝืนใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิด พูดว่า “อีกไม่นาน พวกคุณชายเปาจะมาเป็นแขกบ้านข้า ข้ารับปากจะทำพระกระโดดกำแพงที่ข้าถนัดที่สุดให้พวกเขากิน ถึงตอนนั้นข้าจะให้คนมาแจ้งท่าน หากท่านมีเวลา สามารถมาเรียนทำพร้อมกับข้าที่บ้านได้”

 

 

พอได้ยินว่าเป็นอาหารที่เมิ่งเชี่ยนโยวถนัดที่สุด พ่อครัวก็ดีใจลิงโลด รับปากทันควัน “มีเวลา ถึงตอนนั้นแม่นางจะต้องให้คนมาแจ้งข้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นอีก “พระกระโดดกำแพงต้องใช้วัตถุดิบมาก ถึงตอนนั้นต้องให้ท่านนำบางส่วนติดมือมาด้วย”

 

 

พ่อครัวรับประกัน “แม่นางวางใจ ต้องการวัตถุดิบอะไรให้เขียนใส่กระดาษ แล้วให้คนนำมา ข้าจะนำไปให้เจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ แล้วข้าจะให้คนมาแจ้งท่านก่อน”

 

 

พ่อครัวกล่าวขอบคุณอย่างมีความสุข

 

 

พ่อครัวยังถามถึงปัญหาปลีกย่อยในรายการอาหารสองอย่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนให้ครั้งก่อน ถึงบอกลาคนทั้งหมดอย่างอิ่มเอม ออกไปจากห้องรับรอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด