ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 143.3

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 143.3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ซุนเหลียงไฉพังทลาย

 

 

 

 

วันนี้ไม่มีคนไปโรงเรียนส่งอาหารให้ซุนเหลียงไฉ เป็นเมิ่งอี้เซวียนที่ซื้ออาหารหนึ่งชุดวางตรงหน้าเขา ซุนเหลียงไฉที่รังเกียจอาหารโรงเรียนมาแต่ไหนแต่ไร ย่อมกินไม่ได้มาก ตอนนี้ได้ยินคนทั้งครอบครัวกินอย่างเอร็ดอร่อย พลันรู้สึกหิวขึ้นมา กลับไม่ยอมทิ้งศักดิ์ศรีโอนอ่อน จำต้องแสร้งทระนงแข็งขืนไว้ 

 

 

ทั้งครอบครัวกินอย่างอิ่มหนำ เมิ่งชื่อไปเก็บล้าง เมิ่งเชี่ยนโยวถามเมิ่งอี้เซวียน “ทำการบ้านเสร็จหรือยัง?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็ไปดูคุณชายน้อยซุนทำเถอะ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉไม่ยินดีแล้ว โก่งคอพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้าไม่เคยทำการบ้านมาก่อน ท่านปู่ข้าบอกแล้ว ส่งข้าไปโรงเรียนเพื่อให้ข้ารู้ตัวหนังสือมากขึ้น ไม่ใช่ให้ข้าไปสอบซิ่วไฉ ข้าเพียงแค่จำอักษรที่อาจารย์สอนได้ก็พอแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา พูดอย่างเย็นเยียบ “นั่นเป็นวิธีการสอนของปู่เจ้า เมื่อปู่เจ้ามอบเจ้าให้ข้าสอนสั่ง ก็ต้องทำตามวิธีการสอนของข้า หากวันนี้เจ้าไม่ทำการบ้านที่อาจารย์ให้เสร็จ เจ้าอย่าหวังจะได้นอน” 

 

 

ซุนเหลียงไฉไม่ยอม พูดว่า “ข้าไม่ทำการบ้าน เจ้าจะทำอะไรข้าได้ ถ้าเจ้ากล้าตีข้า พรุ่งนี้ข้าจะให้บิดาของเพื่อนร่วมห้องไปแจ้งข่าวท่านปู่ ว่าเจ้าทารุณข้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “ไปเอาท่อนไม้ที่ข้าเตรียมไว้แล้วมา” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเดินออกไป ไม่นานก็ถือท่อนไม้เดินเข้ามาอย่างเริงร่า ส่งให้นาง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถือท่อนไม้เคาะไปกับมือ 

 

 

ซุนเหลียงไฉตกใจพูดโพล่ง “นังตัวดี ถ้าเจ้ากล้าตีข้า ข้าจะ…” 

 

 

พูดไม่ทันจบ ท่อนไม้ในมือเมิ่งเชี่ยนโยวก็ฟาดไปที่ก้นเขา 

 

 

ซุนเหลียงไฉเอามือจับก้นเจ็บจนร้องลั่น “เจ็บจะตายแล้ว!” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะกล้าตีซุนเหลียงไฉตกใจตัวลอย คิดจะเข้าไปห้ามปราบ ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวยับยั้ง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ารู้หนักเบา เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องยุ่ง” 

 

 

ทั้งสองมองซุนเหลียงไฉอย่างเห็นใจ ไม่พูดอะไรอีก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรอให้เสียงร้องโหยหวยของซุนเหลียงไฉเบาลง ถึงหยั่งน้ำหนักท่อนไม้ในมือพูดกับเขา “ไม้นี้เป็นการสั่งสอนที่เจ้าไร้มารยาท ไม่เพียงเห็นบิดามารดาข้าแล้วไม่ทักทาย ยังกล้าเรียกข้าว่านังตัวดี หากต่อไปเจ้ากล้าเรียกข้าเช่นนี้อีก ข้าได้ยินหนึ่งครั้งก็ตีเจ้าหนึ่งครั้ง” 

 

 

ซุนเหลียงไฉกุมก้นที่เจ็บแสบไม่กล้าปริปาก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแกว่งท่อนไม้ในมือพูดกับซุนเหลียงไฉ “รีบไปทำการบ้านที่อาจารย์ให้ ทำเสร็จเมื่อไหร่ ก็ได้นอนเมื่อนั้น ข้าเสร็จธุระแล้ว จะไปตรวจ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉเบะปาก น้ำตาเอ่อล้นเบ้าตา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูด “ร้องไห้สำหรับข้าไม่มีประโยชน์ เจ้ายิ่งร้องข้าก็ยิ่งอยากอัดเจ้า” 

 

 

ซุนเหลียงไฉตกใจเก็บกลืนน้ำตา เดินตามเมิ่งอี้เซวียนเข้าไปในห้องนอนของพวกเขาแต่โดยดี 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนช่วยเขาเอาหนังสือออกมา เปิดวางตรงหน้าเขา พูดขู่ “เจ้ารีบทำการบ้านเถอะ โยวเอ๋อร์เป็นคนพูดจริงทำจริง มีครั้งหนึ่งข้าห่วงเล่นไม่ทำการบ้าน ถูกนางตีสามวันยังลุกจากที่นอนไม่ได้” 

 

 

ซุนเหลียงไฉยิ่งหวาดผวา รีบพลิกหน้าหนังสืออ่านท่อง เมิ่งอี้เซวียนเห็นท่าทางเชื่อฟังของเขา แอบปิดปากขบขันข้างๆ ซุนเหลียงไฉอยากจะตั้งใจอ่านหนังสือจริงๆ จนใจที่เวลาปกติไม่ตั้งใจฟังอาจารย์สอน ไม่รู้เลยว่าในหนังสือเขียนว่าอะไรบ้าง บวกกับความหิว ไม่นานก็ทนไม่ไหว โมโหเขวี้ยงหนังสือไปที่พื้น ตกใส่ขาเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินเข้ามาพอดี 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว 

 

 

ซุนเหลียงไฉเห็นท่อนไม้ในมือนาง เอามือปิดก้นตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ปากพูดพร่ำ “ไม่ใช่ข้าไม่อยากท่อง ข้าอ่านไม่ออกว่าในนั้นเขียนว่าอะไร” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ก้มลงเก็บหนังสือ ส่งให้เมิ่งอี้เซวียน พูดว่า “เจ้าสอนเขาทีละประโยค” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า ปิดหนังสือ เลียนแบบท่าทางส่ายหัวไปมาของอาจารย์สอนซุนเหลียงไฉทีละตัวอักษร 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถือท่อนไม้นั่งบนเก้าอี้อีกด้าน 

 

 

ซุนเหลียงไฉเห็นนางอยู่อีกด้าน กลืนน้ำลาย อ่านตามเมิ่งอี้เซวียนทีละตัวอักษรอย่างตั้งใจ 

 

 

อ่านจบหนึ่งรอบ เมิ่งอี้เซวียนถาม “จำได้หรือยัง?” 

 

 

ซุนเหลียงไฉส่ายหน้า 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนสอนเขาอีกรอบ ซุนเหลียงไฉยังคงจำไม่ได้ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วแน่น หยั่งน้ำหนักท่อนไม้ในมือ 

 

 

ซุนเหลียงไฉตกใจผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ วิ่งหนีไปหลายก้าว พูดอย่างขวัญผวา “เจ้าอย่าตีข้า! ข้าใกล้จะจำได้แล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ กวักมือเรียกเขา พูดว่า “ให้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากเจ้ายังจำไม่ได้ คืนนี้ก็ไม่ต้องนอน” 

 

 

ซุนเหลียงไฉพยักหน้า เดินเข้ามาอย่างระวัง มองท่อนไม้ในมือเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างระแวดระวัง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาวาดกลัวจริงๆ จึงวางท่อนไม้ในมือลงบนโต๊ะ หลับตาคิดเรื่องราว 

 

 

ซุนเหลียงไฉเห็นนางวางท่อนไม้ลง ถอนใจโล่งอก ตั้งใจอ่านท่องตามเมิ่งอี้เซวียน 

 

 

ถึงเวลาครึ่งชั่วยาม เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้น เมิ่งอี้เซวียนก็สอนประโยคสุดท้ายเสร็จพอดี 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบท่อนไม้ข้างๆ ขึ้น ให้เมิ่งอี้เซวียนช่วยนางเปิดหน้าที่พวกเขาเพิ่งท่องไป ส่งสัญญาณให้ซุนเหลียงไฉท่องให้ฟัง 

 

 

ซุนเหลียงไฉตื่นเต้น ประโยคแรกก็ท่องผิด ท่อนไม้ของเมิ่งเชี่ยนโยวตกลงบนแขนเขาทันใด 

 

 

ซุนเหลียงไฉเจ็บปวดร้องลั่น ดีดตัวลุกจากเก้าอี้ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง 

 

 

ซุนเหลียงไฉเก็บกลืนเสียงร้องนั้น กลับไปนั่งบนเก้าอี้แต่โดยดี เริ่มท่องอีกครั้งอย่างระวัง 

 

 

ดวงตาเมิ่งเชี่ยนโยวจ้องหนังสือกลอน ทุกครั้งที่พบว่าเขาท่องผิด ท่อนไม้ในมือจะเข้าไปทักทายร่างกายในจุดต่างๆ อย่างแม่นยำ 

 

 

ภายในห้องมีเสียงร้องเวทนาของซุนเหลียงไฉดังออกมาเป็นระยะ 

 

 

เมิ่งชื่อได้ยินเสียงนี้ ถามเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างเป็นห่วง “พ่อเอ๊ย เจ้าว่าโยวเอ๋อร์ลงมือกับคุณชายน้อยซุนหนักเช่นนี้ หากซุนซ่านเหรินรู้เรื่องจะตำหนิโทษนางหรือไม่” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นส่ายหน้าพูด “ไม่ดอก ซุนซ่านเหรินพูดว่าขอเพียงโยวเอ๋อร์สอนสั่งคุณชายน้อยซุนได้ดี จะตีจะด่าว่าก็ได้ ดูแล้วซุนซ่านเหรินไม่ใช่คนที่จะพูดอย่างทำอย่าง ไม่มีทางตำหนิโทษโยวเอ๋อร์เป็นแน่” 

 

 

เมิ่งชื่อได้ยินก็เบาใจ พูดว่า “งั้นก็ดี” 

 

 

เสียงร้องเวทนาของซุนเหลียงไฉดังแว่วออกมาไม่ขาด เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหจริงๆ แล้ว ตกใจจนไม่กล้าเข้าบ้าน 

 

 

ผ่านไประยะหนึ่ง เสียงเวทนาของซุนเหลียงไฉไม่มีแล้ว คนทั้งหมดก็โล่งอกตามไปด้วย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากในห้อง เห็นเมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิงสี่คนรวมกันยืนข้างประตู ถามอย่างขบขัน “ทุกคนเป็นอะไรไป?” 

 

 

เมิ่งฉีตอบกุกๆ กักๆ “ไม่ ไม่เป็นอะไร” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง ยิ้มพูด “ดึกมากแล้ว พวกท่านไม่มีธุระอะไรแล้วก็รีบเข้าไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้ายังต้องตื่นมาฝึกวรยุทธ์แต่เช้าอีก” 

 

 

เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ รีบกลับเข้าห้อง 

 

 

เมิ่งชื่อหอบเครื่องนอนชุดใหม่เดินมาที่ห้องนอนพวกเขา ส่งยิ้มพูดกับซุนเหลียงไฉ “คุณชายน้อยซุน หมอนผ้าห่มนี้เป็นของใหม่ เจ้าถูไถใช้ไปก่อนนะ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉเห็นว่าเป็นผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด บ่นพึมพำไม่พอใจ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชั่งน้ำหนักท่อนไม้ในมือยิ้มถาม “เจ้าว่าอะไรนะ? ข้าฟังไม่ถนัด ลองพูดอีกครั้งสิ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉถูกตีจนตัวสั่นแล้ว ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถาม ลนลานตอบ “ข้าบอกหมอนผ้าห่มนี้ดีมาก เห็นแล้วน่าจะอบอุ่นมาก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พูดอย่างมีนัยแฝง “เมื่ออบอุ่นก็รีบเข้านอน ตกกลางคืนอย่าเที่ยวเพ่นพ่าน พรุ่งนี้ให้ตื่นต้นยามเหม่า[1] 

 

 

ซุนเหลียงไฉร้องโอดโอย ถามอย่างไม่พอใจ “เหตุใดต้องตื่นเช้าเช่นนั้น ข้าอยู่บ้านตื่นปลายยามเฉิน[2] 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา กลับบ้านกลางไปพร้อมเมิ่งชื่อ 

 

 

เมิ่งเสียนบอกเขาอย่างหวังดี “ทุกวันพวกเราทั้งหมดจะตื่นนอนเวลานี้” 

 

 

ซุนเหลียงไฉร้องโอดโอยอีกครั้ง ไม่มีเวลาเดียดฉันท์ ทิ้งหน้าลงไปบนผ้าห่มเต็มแรง กลับไม่ระวังถูกจุดที่เพิ่งถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตีมา ร้องโอดครวญอีกระลอก 

 

 

เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ มองเขาอย่างเห็นใจ 

 

 

เมิ่งฉีเตือนเขา “เจ้าจงเชื่อฟังน้องสาวแต่โดยดีเถอะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องถูกตีทุกวัน” 

 

 

เสียงเบื่อหน่ายของซุนเหลียงไฉดังลอยมา “พรุ่งนี้ข้าจะให้พ่างตุนส่งข่าวแจ้งท่านปู่ข้า บอกว่าข้าถูกตีเจียนตายแล้ว ดูว่าเขาจะปวดใจหรือไม่” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างสะใจในความทุกข์ของผู้อื่น “ข้าว่าเจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย หากโยวเอ๋อร์รู้เข้า ครั้งหน้านางไม่ตีเจ้าเบามือเช่นนี้แน่” 

 

 

ซุนเหลียงไฉพรวดพราดลุกขึ้นยืน ถลกแขนเสื้อขึ้น ชี้รอยแดงที่แขนพูดอย่างมีน้ำโห “พวกเจ้าดู ตั้งนานแล้วยังแดงอยู่เลย นี่เรียกว่าเบามือเรอะ” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าพูด “เบามากแล้วจริงๆ พรุ่งนี้เช้าก็จะหายไป เจ้าไม่รู้หรอก นางเคยจับคนไปแขวนใต้ต้นไม้หลายชั่วยามด้วย” 

 

 

ซุนเหลียงไฉตกใจชะงักงัน ครู่หนึ่งถึงถามอย่างยากลำบาก “นางกล้าทำเช่นนั้นจริงๆ?” 

 

 

คนทั้งหมดพยักหน้าพร้อมกัน 

 

 

ซุนเหลียงไฉถลันขึ้นเตียงเตา ปูที่หลับที่นอนของตัวเอง ถอดชุดฉางเผ่าออกแล้วมุดตัวไปด้านใน พูดกับคนทั้งหมด “ข้านอนก่อนล่ะ หากพรุ่งนี้เช้าข้าไม่ตื่น พวกเจ้าจักต้องปลุกข้านะ” 

 

 

คนทั้งหมดกลั้นขำพยักหน้า 

 

 

ซุนเหลียงไฉถึงหลับตานอน 

 

 

เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ แยกย้ายกันปูที่นอนของตัวเอง ล้มตัวลงนอน 

 

 

กลางดึกซุนเหลียงไฉตื่นขึ้นเพราะความหิว คิดจะลุกออกไปหาอะไรกิน แต่ก็นึกถึงคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวก่อนนอน จึงไม่กล้าลุกขึ้น ฝืนทนหิวหลับไปอีกครั้ง ตอนที่สะลึมสะลือรู้สึกเหมือนมีคนร้องเรียก นึกว่ายังอยู่ที่บ้าน พูดอย่างหงุดหงิด “ไม่เห็นหรือไงว่าข้ายังไม่ตื่น? ยังกล้ามาร้องเรียกข้า ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่ไหม?” 

 

 

ได้ยินคำพูดเขา เสียงร้องเรียกหยุดลง 

 

 

ซุนเหลียงไฉขดตัวห่อผ้าห่มเข้ามา เตรียมจะเข้าสู่ห้วงนิทราต่อ เสียงเมิ่งเสียนก็ดังขึ้นอีก “ยามเหม่าแล้ว พวกเราต่างตื่นแล้ว หากเจ้ายังไม่ตื่น จะถูกโยวเอ๋อร์ลงโทษได้” 

 

 

ซุนเหลียงไฉพลันได้สติ ตาลีตาเหลือกลุกขึ้น พอเห็นว่าในห้องเหลือแค่ตัวเองกับเมิ่งเสียน ตกใจจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ด้านหนึ่งรีบใส่ชุดฉางเผ่า ด้านหนึ่งถามเมิ่งเสียนอย่างขลาดกลัว “พวกเจ้าตื่นกันนานแล้วใช่ไหม?” 

 

 

เมิ่งเสียนตอบ “พวกเราก็เพิ่งตื่น” 

 

 

ซุนเหลียงไฉวางใจลง แต่งตัวเสร็จ ไม่ทันได้พับผ้าห่มก็เดินออกไป รุ่งอรุณต้นฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเหน็บ เพิ่งก้าวพ้นประตูมา ซุนเหลียงไฉก็หนาวจนตัวสั่นระริก รีบกลับเข้าไปในห้อง หยิบเสื้อผ้าของตัวเอง คิดจะใส่ฉางเผ่าเพิ่มอีกตัว 

 

 

เมิ่งเสียนเตือนเขา “ไม่ต้องใส่มาก อีกประเดี๋ยวร่างกายก็อบอุ่นแล้ว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉใส่ฉางเผ่าไปพลางพูด “นี่เป็นเวลาต้นยามเหม่า กว่าพระอาทิตย์จะขึ้นยังอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง” 

 

 

เมิ่งเสียนอธิบายไม่ถูก ส่ายหน้าอย่างจนใจ 

 

 

ตอนที่ทั้งสองมาถึงหน้าท่อนไม้ เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังนำทุกคนยืนเส้นยืดสาย เมิ่งเสียนรีบเข้าร่วมกับพวกเขา ซุนเหลียงไฉทำไม้ทำมืออยู่ด้านหลังเขา 

 

 

เมื่อยืดเส้นยืดสายเสร็จ เมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งอี้เซวียนยังคงมัดถุงกระสอบเดินวนบนท่อนไม้อย่างว่องไวห้ารอบเหมือนเดิม 

 

 

ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวนำเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งรอบท่อนไม้ด้านล่าง 

 

 

เห็นซุนเหลียงไฉแต่งตัวหนาเตอะ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ถอดฉางเผ่าตัวนอกของเจ้าออก” 

 

 

ซุนเหลียงไฉไม่ยินยอม แต่ก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟังเมิ่งเชี่ยนโยว จำต้องถอดฉางเผ่าตัวนอกออกอย่างไม่เต็มใจ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเขา “เจ้าวิ่งตามพวกเราข้างล่างนี้พร้อมกัน วันนี้เป็นวันแรกของเจ้า เจ้าวิ่งเหมือนกับพวกเจี๋ยเอ๋อร์สิบรอบก่อน” พูดจบก็ออกตัววิ่งนำไปด้านหน้า เมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิงวิ่งตามหลังไปอย่างคึกคัก 

 

 

เริ่มแรกซุนเหลียงไฉยังพอวิ่งตามพวกเขาได้ทัน แล้วก็ค่อยๆ ช้าลง จนกระทั่งห้ารอบผ่านไปแทบจะเรียกได้ว่าเดินช้าแล้ว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดเขา “วิ่ง!” 

 

 

ซุนเหลียงไฉลากสังขารอ้วนอืดของตัวเอง วิ่งอย่างเหนื่อยหอบอีกสองก้าว ก็ช้าลงอีก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “วิ่งไม่ครบสิบรอบไม่ได้กินข้าวเช้า” 

 

 

ซุนเหลียงไฉพูดหอบอย่างไม่พอใจ “เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ เมื่อคืนข้าก็ไม่ได้กินข้าว ตอนนี้หิวใกล้จะตายแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งไปพูดไป “สมน้ำหน้า เจ้าอยากรังเกียจอาหารของพวกเราเอง” พูดจบ หันไปพูดกับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง “รีบวิ่งเถอะ วิ่งเสร็จแล้วพักครู่หนึ่งพวกเจ้าก็ไปกินข้าวเช้า ท่านแม่บอกว่าวันนี้เช้าจะต้มไข่ให้พวกเจ้าคนละฟอง” 

 

 

เด็กน้อยทั้งสองโห่ร้องดีใจ วิ่งเร็วกว่าเดิม ตอนวิ่งผ่านซุนเหลียงไฉยังทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา 

 

 

ซุนเหลียงไฉวิ่งไม่ไหวแล้วจริงๆ นั่งแหมะไปกับพื้น หายใจหอบพูดว่า “ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าวิ่งไม่ไหวแล้วจริงๆ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว เดินไปข้างๆ เขา พูดเอ็ด “รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!” 

 

 

ซุนเหลียงไฉนั่งแช่ไม่ยอมขยับ พูดว่า “ไม่ลุก ตีให้ตายข้าก็ไม่ลุก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้องตะโกน “เจี๋ยเอ๋อร์ ไปเอาท่อนไม้ในห้องพี่มาหน่อย” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยรับคำ วิ่งกระฉับกระเฉงไปเอาท่อนไม้มา 

 

 

ซุนเหลียงไฉลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “เมื่อคืนเจ้าตีข้าจนตอนนี้ยังเจ็บอยู่เลย เจ้าจะตีข้าอีกไม่ได้แล้ว” 

 

 

เมิ่งเสียนเดินห้ารอบบนท่อนไม้เสร็จก่อนใคร กระโดดลงมาจากท่อนไม้ที่เตี้ยที่สุด พูดกับซุนเหลียงไฉด้วยเสียงอ่อนโยน “ใกล้จะวิ่งครบสิบรอบแล้ว อดทนอีกนิดเถอะ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉพูดว่า “ข้าทนไม่ไหวแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานบ่ายจนถึงตอนนี้ข้ายังไม่ได้กินข้าวเลย ขาอ่อนไปหมดแล้ว จะวิ่งยังไงไหว” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยถือท่อนไม้เข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวรับไว้ ชั่งน้ำหนักในมือ หรี่ตาลงลากเสียงยาวถาม “งั้น…หรือ…?” 

 

 

ซุนเหลียงไฉตกใจจนขนหัวลุกชัน ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน วิ่งปรู๊ดออกไปไกล วิ่งไปก็พูดอย่างเคืองขุ่นไป “นังตัวดี คิดจะตีข้าอีกแล้ว วันนี้ข้าจะให้คนไปบอกท่านปู่ บอกว่าเจ้าทารุณกรรมข้า” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด