ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 144.1

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 144.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
การแก้แค้นของผู้ใหญ่บ้าน

 

 

 

 

ได้ยินคำพูดเขา เมิ่งเสียนและคนอื่นตกใจหลบห่างออกมา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถือท่อนไม้ไม่กี่ก้าวก็ตามซุนเหลียงไฉทัน ถามเสียงเย็น “คำพูดข้าเมื่อวาน เจ้าลืมไปหมดแล้ว?” 

 

 

หลังจากที่ซุนเหลียงไฉพลั้งปากพูดคำเหล่านั้นออกมา ถึงรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวตามมา ตกใจบิดร่างอวบอ้วนไปมาพยายามวิ่งสุดชีวิต 

 

 

ท่อนไม้ในมือเมิ่งเชี่ยนโยวปะทะเข้ากลางหลังเขา 

 

 

ซุนเหลียงไฉร้องโหยหวน ด้านหนึ่งวิ่ง ด้านหนึ่งใช้มือลูบคลำแผ่นหลังบริเวณที่ถูกตี เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนที่อยู่บนท่อนไม้เห็นท่าทางชวนขบขันของเขา หัวร่อจนเกือบตกจากท่อนไม้ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเหล่มองพวกเขาแวบหนึ่ง 

 

 

ทั้งสองคนตกใจรีบเก็บคืนอาการ เดินเร็วบนท่อนไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแกว่งไกวท่อนไม้ในมือคอยวิ่งข้างๆ ซุนเหลียงไฉ 

 

 

ซุนเหลียงไฉไม่กล้าพูดอะไรแล้ว กัดฟันวิ่งขึ้นหน้าอย่างเหนื่อยยาก 

 

 

เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งครบสิบรอบแล้ว คอยปรบมือให้กำลังใจด้านข้าง 

 

 

เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนที่เพิ่งลงมาจากท่อนไม้ปลดถุงทรายที่เท้าออก ยืดเส้นยืดสายอีกเล็กน้อย เริ่มฝึกท่ามือคว้าจับ 

 

 

ซุนเหลียงไฉเหนื่อยจนมึน ไม่รู้เลยว่าตัวเองวิ่งไปกี่รอบแล้ว ได้แต่ก้าวขาเฉื่อยชาทีละนิดราวกับหุ่นยนต์ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเขา คอยวิ่งอยู่ข้างๆ เขา 

 

 

เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ ฝึกศิลปะคว้าจับเสร็จแล้ว ตอนที่เตรียมตัวจะไปกินข้าว ซุนเหลียงไฉยังคงวิ่งอย่างไร้สติ 

 

 

คนทั้งหมดมองหน้ากัน เดินมาข้างๆ เขา พูดให้กำลังใจ “ซุนเหลียงไฉ สู้ๆ ใกล้จะวิ่งเสร็จแล้ว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉวิ่งโยกไปย้ายมาจนครบรอบสุดท้าย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดวิ่ง พูดว่า “สิบรอบแล้ว เจ้าหยุดวิ่งได้แล้ว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉได้ยินคำพูดนาง ขาอ่อนระทวย นั่งก้นจ้ำเป้าไปกับพื้น 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านประคองเขาเดินช้าอีกรอบ” 

 

 

เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีรีบเดินขึ้นหน้า ช่วยกันออกแรงประคองซุนเหลียงไฉขึ้น ลากเขาเดินช้าๆ อีกหนึ่งรอบ 

 

 

ซุนเหลียงไฉแม้จะไม่ยินดี แต่ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนแล้ว ปากเอาแต่พูดไม่หยุด “เจ้าพูดจาเชื่อไม่ได้ บอกว่าวิ่งสิบรอบ เจ้ากลับให้ข้าเดินเพิ่มอีกรอบ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร 

 

 

เมิ่งเสียนพูดกับเขาเสียงเบา “เจ้าเพิ่งจะออกกำลังเสร็จ การหยุดกะทันหันไม่ดีต่อร่างกาย น้องสาวให้พวกเราประคองเจ้าเดินหนึ่งรอบ เพื่อร่างกายของเจ้า” 

 

 

ซุนเหลียงไฉพูดกับเขาอย่างไม่เชื่อ บ่นงึมงำเสียงเบา “ดีกับข้าอะไรกัน นางเห็นข้าแล้วขัดหูขัดตา ฉวยโอกาสนี้ทารุณข้า” 

 

 

เมิ่งชื่อทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว มาร้องเรียกคนทั้งหมดไปกินข้าว 

 

 

คนทั้งหมดขานรับ หลังจากกลับมาชำระล้างในลานบ้านเสร็จ ก็เข้าไปกินข้าวในครัว 

 

 

ซุนเหลียงไฉที่วิ่งจนเหงื่อโทรมกาย เหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัว คิดจะเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดแห้ง พอเข้ามาในห้อง เห็นผ้าห่มหนานุ่ม ทิ้งหัวเข้าใส่ ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ อีก 

 

 

เมิ่งชื่อตักข้าว คนทั้งหมดนั่งรอบโต๊ะรอซุนเหลียงไฉมากินข้าว รอได้ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นเขามา เมิ่งเสียนลุกขึ้น เดินกลับเข้าไปดูในห้อง ซุนเหลียงไฉเหนื่อยฟุบหลับไปบนเตียงเตาแล้ว เมิ่งเสียนห่มผ้าให้เขาอย่างทะนุถนอม เดินกลับมาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวในครัว “น้องสาว ซุนเหลียงไฉนอนหลับไปแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “พวกเรากินข้าวเถอะ” 

 

 

เมิ่งชื่อรีบร้อนถาม “แล้วคุณชายน้อยซุนเล่า จะไม่ให้เขากินข้าวอีกหรือ? เมื่อคืนเขาก็ไม่ได้กิน คงหิวแย่แล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เขาคงเหนื่อยมากจริงๆ ให้เขานอนก่อน ตอนที่พวกเราจะส่งเขาไปโรงเรียนค่อยปลุกเขา แบ่งไข่ไก่และหมั่นโถวสองลูกให้เขาไปกินระหว่างทาง” 

 

 

เมิ่งชื่อพยักหน้า นำไข่ไก่หนึ่งใบและหมั่นโถวสองลูกวางกลับเข้าไปในหม้อ ปิดฝาหม้อ กลับไปนั่งกินข้าวข้างโต๊ะถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “โยวเอ๋อร์ คุณชายน้อยซุนใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อสุขสบายมาจนชิน อยู่ๆ เจ้าก็ให้เขาออกกำลังกายมากมาย ร่างกายเขาจะรับไหวหรือ?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าทำอะไรอยู่ เขาไม่มีปัญหา อีกสองวันก็ปรับตัวได้แล้ว” 

 

 

เมิ่งชื่อวางใจลง พูดว่า “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว อย่าได้ทำจนคุณชายน้อยซุนเหนื่อยจนล้มป่วยเด็ดขาด ถึงตอนนั้นจะตอบซุนซ่านเหรินไม่ได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับคำ “ข้าทราบ” 

 

 

ทั้งครอบครัวกินอาหารเช้าเสร็จ เก็บกวาดครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า ส่งสัญญาณให้เมิ่งเสียนไปเรียกซุนเหลียงไฉตื่น 

 

 

เมิ่งเสียนกลับเข้าห้อง เขย่าปลุกซุนเหลียงไฉให้ตื่นเบาๆ 

 

 

ซุนเหลียงไฉลืมตาขึ้นช้าๆ สะลึมสะลือมองเขา 

 

 

เมิ่งเสียนพูดเสียงแผ่ว “พวกเราต้องไปโรงเรียนแล้ว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉผลุนผลันได้สติ ลุกขึ้นยืนแล้วถาม “ยามใดแล้ว?” 

 

 

“ต้นยามเฉิน” เมิ่งเสียนตอบ 

 

 

ซุนเหลียงไฉรู้สึกหนาว ถึงนึกได้ว่าตัวเองกลับเข้าห้องมาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่รู้ทำไมถึงนอนหลับไป รีบนำเสื้อผ้าที่พกติดตัวมา เปลี่ยนด้วยความเร็วสูงต่อหน้าเมิ่งเสียน พอเปลี่ยนเสร็จ ก็โยนเสื้อผ้าที่เปลี่ยนแล้วมั่วๆ ไปอีกทาง ลุกลนพูด “ไปเถอะ” 

 

 

เมิ่งเสียนมองดูเสื้อผ้าที่เขาโยนสะเปะสะปะและผ้าห่มที่ไม่พับให้เรียบร้อย ขมวดคิ้วมุ่น ออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร 

 

 

ซุนเหลียงไฉก็คิดจะตามออกไป กลับรู้สึกว่าขาตัวเองหนักอึ้งหลายพันจินอย่างไรก็ยกไม่ขึ้น อยากจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเตาต่อ ไม่ต้องไปโรงเรียน แต่พอคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะตีตัวเองจริงๆ จำต้องฝืนสังขาร ก้าวเท้าออกมานอกประตูอย่างทุลักทุเล 

 

 

เมิ่งเสียนไปเก็บกวาดรถม้าในลานบ้าน เมิ่งชื่อถือของในมือ ยืนข้างประตูเตรียมส่งพวกเขาไปโรงเรียน 

 

 

เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเล่นซุกซนอยู่ในลานบ้าน 

 

 

เห็นซุนเหลียงไฉออกมา เมิ่งชื่อพูดอย่างดีใจ “คุณชายน้อยซุน เจ้าตื่นแล้ว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉหิวจนหน้าอกจะติดกับแผ่นหลังแล้ว เห็นเมิ่งชื่อยืนหน้าประตู ถึงระลึกได้ว่าตัวเองพลาดอาหารเช้าไปอีกแล้ว นึกถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่าถ้าพลาดเวลากินข้าวก็จะไม่เหลือเก็บให้ ขาก็ก้าวไม่ออกแล้ว เจ็บปวดรวดร้าวใจ ทิ้งก้นนั่งไปกับพื้น ร้องฟูมฟายคร่ำครวญ “พวกเจ้าโหดเ**้ยมเกินไปแล้ว จงใจไม่เรียกข้าตื่นมากินข้าว ข้าไม่ได้กินข้าวมาสองมื้อแล้ว ข้าหิวจะตายแล้ว” 

 

 

คนในลานบ้านตกใจสะดุ้ง ต่างตะลึงงัน 

 

 

ซุนเหลียงไฉยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ ร้องไห้เสียงดังขึ้น “การบ้านข้าก็ทำเสร็จแล้ว วิ่งก็วิ่งแล้ว เจ้ามีสิทธิ์อะไรไม่ให้ข้าวข้ากิน? พวกเจ้าจงใจ จงใจจะลงโทษข้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหัวเราะ เปล่งเสียงดังพูด “เจ้าร้องไห้เสียงดังเช่นนี้ ดูท่าจะยังมีเรี่ยวแรง” 

 

 

ซุนเหลียงไฉไม่สนอะไรแล้ว ร้อนใจถูขาทั้งสองข้างไปมากับพื้นแล้วพูด “ข้ามีเรี่ยวแรงที่ไหน แค่ยืนข้ายังยืนไม่ไหวแล้ว” 

 

 

เมิ่งชื่อรีบเดินมาตรงหน้าเขา มอบสิ่งของในมือตนเองให้เขา พูดว่า “คุณชายน้อยซุน ไม่ต้องร้อง พวกเราเก็บไข่ไก่และหมั่นโถวไว้ให้เจ้า” 

 

 

ซุนเหลียงไฉได้ยินหยุดเสียงร้องทันใด รีบรับห่อผ้าในมือเมิ่งชื่อมา เปิดออกอย่างเร็วรี่ เห็นข้างในมีของกินจริงๆ ก็หยิบหมั่นโถวลูกหนึ่งขึ้น วางเข้าปาก กัดคำโตเต็มปาก 

 

 

เมิ่งชื่อพูดกับเขา “ค่อยๆ กิน เดี๋ยวจะสำลัก” 

 

 

ซุนเหลียงไฉหิวจนตาลายแล้ว ไม่ได้ยินว่าเมิ่งชื่อพูดอะไร ไม่กี่คำก็กินหมั่นโถวลูกหนึ่งหมด 

 

 

เมิ่งฉีรีบเทน้ำยกมาให้ตรงหน้าเขา 

 

 

หมั่นโถวหนึ่งลูกลงท้อง ซุนเหลียงไฉไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด หยิบหมั่นโถวอีกลูกสวาปามอย่างไม่รอรี 

 

 

เมิ่งชื่อยื่นมือไป คิดจะหยิบไข่ไก่ที่เหลือในมือเขามาปอกเปลือก ซุนเหลียงไฉด้านหนึ่งกินหมั่นโถว ด้านหนึ่งกุมไข่ไก่ไว้แน่น มองนางอย่างระแวดระวัง 

 

 

เมิ่งชื่อพูดเสียงอ่อนนุ่ม “ข้าจะช่วยปอกเปลือกไข่ให้เจ้า” 

 

 

ซุนเหลียงไฉถึงคลายมือออก 

 

 

เมิ่งชื่อหยิบไข่ไก่มาช่วยปอกเปลือกให้เขา ซุนเหลียงไฉกินหมั่นโถวลูกที่สองหมดแล้ว หยิบไข่ไก่ที่เมิ่งชื่อปอกเสร็จแล้วใส่เข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ ไม่กี่คำ ก็กลืนลงไป กลับสำลัก ตกใจทุบหน้าอกตัวเองไม่หยุด 

 

 

เมิ่งฉีรีบยื่นน้ำไปที่ปากเขา พูดว่า “ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉรับถ้วยมา ดื่มน้ำหมดในรวดเดียว ถึงได้รู้สึกดีขึ้น 

 

 

เมิ่งเสียนเก็บกวาดรถม้าเสร็จแล้ว บังคับออกมานอกเรือนจอดรอหน้าประตู 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นซุนเหลียงไฉกินเสร็จแล้ว พูดกับเขาว่า “ลุกขึ้น พวกเราต้องไปโรงเรียนแล้ว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉเป็นคนกินเยอะ อาหารหยิบมือนี้ไม่ทำให้เขาอิ่มท้องได้ ได้ยินดังนั้นยังคงนั่งกับพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ข้ายังกินไม่อิ่ม” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งโมโหทั้งขำ จำต้องเข้าครัวหยิบหมั่นโถวมาอีกสองลูก พูดกับเขาว่า “ใกล้จะเข้าเรียนสายแล้ว หมั่นโถวสองลูกนี้เจ้าเอาไปกินบนรถม้า” 

 

 

ซุนเหลียงไฉลุกขึ้นอย่างแคล่วคล่อง ไม่ปัดฝุ่นตามตัว เดินไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวรับหมั่นโถวในมือนางมากัดคำโตอีกครั้งทันที 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะส่ายหน้า เดินมาข้างรถม้านอกประตู 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเตรียมตัวยืนรออยู่ข้างรถม้านานแล้ว เห็นพวกเขาออกมาก็หมุดเข้าไปนั่งในห้องโดยสารอย่างรู้ความ 

 

 

ซุนเหลียงไฉจะขึ้นไปบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขาไว้ ซุนเหลียงไฉนึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะให้เขาวิ่งตามรถม้า ตกใจจนหมั่นโถวในปากร่วงหล่น พูดอย่างตื่นกลัว “ข้าไม่วิ่งตามม้า ได้เหนื่อยตายพอดี” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นขำ ชี้เสื้อผ้าเขาแล้วพูด “จัดการเสื้อผ้าเจ้าให้สะอาดก่อนค่อยขึ้นรถม้า” 

 

 

ซุนเหลียงไฉพอได้ยินว่าไม่ได้ให้ตัวเองวิ่งตามรถม้าไปโรงเรียน ถึงวางใจลง กุลีกุจอปัดฝุ่นตามร่างกายออกจนสะอาด ขึ้นรถม้าอย่างว่องไว และไม่ต้องมีเบาะรองนั่ง หาพื้นที่นั่งเรียบร้อย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาผ่านๆ แวบหนึ่ง เผยแววตาแย้มยิ้ม 

 

 

ซุนเหลียงไฉยังคงกินหมั่นโถวที่เหลือในมือตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้น “อี้เซวียน ของใช้ของซุนเหลียงไฉ เจ้าช่วยเอามาให้แล้วใช่ไหม?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า หยิบอุปกรณ์การเรียนของซุนเหลียงไฉที่จัดเตรียมเอาไว้อย่างเรียบร้อยวางอยู่ข้างกายตัวเองมอบให้เขา 

 

 

ซุนเหลียงไฉด้านหนึ่งกินหมั่นโถวอย่างมูมมาม ด้านหนึ่งรับข้าวของของตัวเองมาไว้ข้างกาย 

 

 

กระทั่งเขากินเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวชำเลืองหางตามองเขาแวบหนึ่งพูดว่า “นับตั้งแต่วันนี้ไป บ้านพวกเราจะจ้างคนมาเย็บกระเป๋านักเรียนแล้ว หากพวกเจ้ามีผลงานดี อีกสองวันข้าจะให้กระเป๋านักเรียนใหม่กับพวกเจ้าคนละใบ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉเบิกตาโพลงอย่างยินดี ถามอย่างไม่เชื่อ “เจ้าพูดเป็นความจริง?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “ขอเพียงเจ้าตั้งใจเรียนกับอาจารย์ ทำการบ้านที่ได้รับเสร็จ ทุกวันออกวิ่งวันละสิบรอบ ข้าไม่เพียงจะให้กระเป๋านักเรียนใหม่กับเจ้า ตอนค่ำยังจะทำของอร่อยให้เจ้ากินด้วย” 

 

 

อาการดีใจบนใบหน้าซุนเหลียงไฉหดหาย คิดครู่หนึ่งถึงพูด “เจ้าต้องพูดจริงทำจริง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พูดจริงทำจริงแน่นอน” 

 

 

ซุนเหลียงไฉดีใจยกใหญ่ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลอบส่งสายตาให้กัน ยิ้มอย่างรู้ใจ 

 

 

เมื่อวานเมิ่งชื่อได้บอกเรื่องที่ตนเองหาหญิงสาวมาได้จำนวนหนึ่งและตกลงจ่ายค่าจ้างให้พวกนางคนละสามสิบอีแปะต่อวันกับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฟังแล้วแนะนำนางว่า ทางที่ดีควรให้ค่าแรงจากกระเป๋าที่ทำเสร็จแต่ละใบ ไม่ใช่ให้ค่าแรงเป็นวัน เพราะแต่ละคนทำงานช้าเร็วไม่เท่ากัน หากให้ค่าแรงเหมือนกัน ผ่านไปนานเข้า คนที่ทำเร็วก็จะเริ่มมีอคติ 

 

 

เมิ่งชื่อครุ่นคิด พยักหน้าเห็นด้วยกับวิธีของนาง วันนี้พอหญิงสาวทั้งหมดมาถึง จึงบอกพวกนางว่า เมื่อวานพอพวกนางกลับไป ตัวเองมาใคร่ครวญดู รู้สึกว่าทุกกระเป๋าหนึ่งใบที่ทำเสร็จเรียบร้อยจ่ายให้ห้าสิบอีแปะจะเหมาะสมกว่า 

 

 

หญิงสาวทั้งหมดได้ยิน ยิ่งปิติยินดี พวกนางล้วนฝีมือดีทำงานคล่อง หนึ่งวันเย็บกระเป๋าหนึ่งใบไม่มีปัญหาเลย หากกระเป๋าหนึ่งใบจ่ายให้ห้าสิบตำลึง แต่ละวันพวกนางยังจะได้เงินเพิ่มอีกยี่สิบอีแปะ 

 

 

เมิ่งชื่อเห็นทุกคนเห็นชอบ ก็ยินดีไปด้วย รีบพาทุกคนไปห้องฝั่งตะวันตกหยิบผ้าออกมาจำนวนหนึ่ง ตัดขนาดผ้าที่ต้องใช้สำหรับผลิตกระเป๋านักเรียนหนึ่งใบตามแบบที่เมิ่งเชี่ยนโยววาดเอาไว้ให้ 

 

 

คนทั้งหมดมาถึงห้องฝั่งตะวันตก เห็นพับผ้าต่างๆ นาๆ สารพัดแบบกองรวมแน่นอยู่เต็มห้อง ก็ให้ตื่นตกใจ แอบร้องอุทานในใจ สมกับเป็นคนรวย พับผ้าเต็มห้อง ล้วนแต่เป็นของที่ตัวเองไม่เคยเห็นมาก่อน 

 

 

เมิ่งชื่อเห็นท่าทีพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ ส่งยิ้มอธิบาย “ของเหล่านี้เมื่อตอนปีใหม่ ลูกค้าที่ติดต่อค้าขายกับโรงงานเป็นคนให้มา โยวเอ๋อร์บอกว่าวางทิ้งไว้ก็รกที่ ไม่เช่นนั้นก็นำมาเย็บเป็นกระเป๋านักเรียน ผ้าเนื้อดีเช่นนี้ กระเป๋านักเรียนที่เย็บเสร็จจะต้องขายได้ราคาดี” 

 

 

หญิงสาวทั้งหมดพยักหน้าเข้าใจ ยกผ้าชนิดต่างๆ ออกมาหลายพับ วางในลานบ้านที่ปูกระดาษไว้แล้ว ตัดผ้าเป็นชิ้นๆ ตามแบบที่เมิ่งชื่อวาด  

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนส่งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉถึงโรงเรียนแล้ว ก็บังคับรถม้ากลับมา ยังไม่ทันเข้าบ้านก็เห็นหญิงสาวเจ็ดแปดคนกำลังก้มหน้าก้มตาตัดผ้า แย้มยิ้มแล้วเดินเข้าไป 

 

 

หญิงสาวทั้งหมดทักทายนางอย่างเป็นมิตร มีคนร้องพูด “โยวเอ๋อร์กลับมาแล้ว?” มีบางคนร้องเรียกเลียนแบบคนงาน “นายหญิงกลับมาแล้ว?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับกับทุกคน 

 

 

หญิงสาวทั้งหมดเห็นนางยิ้มแย้ม ก็ให้รู้สึกโล่งใจ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของพวกนาง หลุดหัวเราะพูด “ข้าไม่กินคนสักหน่อย มีอะไรต้องหวาดกลัว?” 

 

 

เหล่าหญิงสาวโบกมือเป็นพัลวัน รีบร้อนพูดว่า “ไม่ใช่ๆ พวกเรามิได้กลัวเจ้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเจตนาหยอกเย้าพวกเขา “เช่นนั้นเป็นเพราะอะไร?” 

 

 

เหล่าหญิงสาวนิ่งอึ้ง พูดไม่ออก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน 

 

 

เหล่าหญิงสาวหันหน้ามองกัน จากนั้นก็หัวเราะตาม บรรยากาศในลานบ้านเบิกบานครึกครื้น 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด