ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 147.3

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 147.3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
 เหิมเกริม

 

 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวใช้โอกาสนี้พูดขึ้น “ข้ามีเรื่องหนึ่งจะพูดกับพวกเจ้า” 

 

 

ทั้งสองเงยหน้า ถามพร้อมกัน “เรื่องอันใด?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พรุ่งนี้พอพวกเจ้าสะพายกระเป๋านักเรียนไปโรงเรียน หากมีคนชอบกระเป๋านักเรียนของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ขายให้พวกเขา ใบละสิบตำลึง” 

 

 

ซุนเหลียงไฉไม่ยินยอม “กระเป๋านักเรียนดีเช่นนี้ข้าทำใจขายให้พวกเขาไม่ได้ ข้าจะเก็บไว้สะพายเองทุกวัน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “เจ้าไม่เห็นกลุ่มหญิงสาวนั่งเย็บกระเป๋านักเรียนในบ้านข้าหรือ? ต่อไปกระเป๋านักเรียนใหม่จะมีทุกวัน เกรงว่าต่อไปพวกเจ้าจะสะพายไม่หวาดไม่ไหว ดังนั้นพวกเราต้องหาวิธีขายออกไป” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนอยู่บ้านเมิ่งมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เริ่มเข้าใจวิธีการทำงานของเมิ่งเชี่ยนโยว ได้ฟังก็ถามนาง “เจ้าคิดจะค้าขายกระเป๋านักเรียนหรือ?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “มิใช่” ข้า “จะค้าขายกระเป๋านักเรียน แต่เป็น” พวกเจ้าสองคน “จะค้าขายกระเป๋านักเรียน” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไม่เข้าใจ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายให้พวกเขาฟัง “ข้าได้ปรึกษากับซุนซ่านเหรินแล้ว การค้ากระเป๋านักเรียนนี้จะมอบให้พวกเจ้าสองคน พวกเราไม่แทรกแซง แล้วแต่ว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไร หากทำเงินได้ ลบต้นทุนและค่าแรงออก เงินทั้งหมดเป็นของพวกเจ้า หากทำเงินไม่ได้ ก็แสดงว่าพวกเจ้าสองคนเป็นคนโง่เง่าสมองทึบ” 

 

 

ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ซุนเหลียงไฉโต้กลับอย่างไม่ยอม “ข้าไม่ใช่คนโง่สมองทึบ ก็แค่ขายกระเป๋านักเรียนเอง พรุ่งนี้ข้าจะให้พวกพ่างตุนซื้อกันคนละใบ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “แค่ให้พวกเขาซื้อยังไม่พอ พวกเจ้ายังต้องคิดหาวิธีขายออกไปให้ได้มากๆ ทำให้นักเรียนในโรงเรียนพวกเจ้าทุกคนต่างก็สะพายกระเป๋านักเรียนที่พวกเราเย็บขึ้น” 

 

 

ซุนเหลียงไฉร้องอุทาน “จะเป็นไปได้อย่างไร? นอกจากพวกเขาแล้ว ยังจะมีใครอยากซื้อกระเป๋านักเรียนอีก?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าต้องคิดหาวิธีและแผนการต่างๆ ให้พวกเขาซื้อกระเป๋านักเรียนของพวกเจ้า แต่บอกก่อนว่าพวกเจ้าห้ามบังคับพวกเขาซื้อ แต่ต้องคิดหาวิธีกระตุ้นความอยากของพวกเขา ให้พวกเขาเป็นเหมือนพวกเจ้าตอนนี้ เห็นกระเป๋านักเรียนก็ละสายตาไปไม่ได้ พยายามหาวิธีอยากจะซื้อมาไว้ในครอบครอง” 

 

 

ซุนเหลียงไฉขมวดคิ้ว มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างคาดหวัง พูดว่า “ยากนัก พวกเราต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้พวกเขาอยากซื้อได้?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งอี้เซวียนแล้วถาม “อี้เซวียน เจ้าว่าอย่างไร?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนขบคิดครู่หนึ่งถึงตอบกลับ “นับแต่พรุ่งนี้ไปพวกเราจะสะพายกระเป๋านักเรียนใบใหม่ลายไม่ซ้ำกันไปโรงเรียนทุกวัน ให้พวกเขาเห็นแล้วอิจฉา จากนั้นพวกเขาก็อยากจะซื้อ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชมเขา “อี้เซวียนฉลาดหลักแหลม จับจุดหัวใจของการขายกระเป๋านักเรียนได้ในทันที” 

 

 

ได้รับคำชื่นชมจากนาง เมิ่งอี้เซวียนปลาบปลื้มจนหน้าแดง 

 

 

ซุนเหลียงไฉเริ่มริษยา พูดอย่างไม่ยอม “แค่นี้จะวัดอะไรได้ ใครที่ขายกระเป๋านักเรียนได้ถึงจะเป็นคนฉลาดที่แท้จริง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชื่นชมเขา “ซุนเหลียงไฉก็คิดได้ไม่เลว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉดีอกดีใจ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับพวกเขา “กระเป๋านักเรียนของพวกเจ้ากำหนดราคาไว้ที่ใบละสิบตำลึง น้อยกว่านี้หนึ่งอีแปะก็ห้ามขาย และห้ามให้เปล่าใคร หากข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีใครไม่ทำตามที่ข้าบอก ต่อไปข้าทำของอร่อยพวกเจ้าใครก็ห้ามกิน” 

 

 

ทั้งสองรีบร้อนพยักหน้า 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “เงินขายกระเป๋านักเรียนข้าจะเก็บรักษาให้พวกเจ้า แต่ขอเพียงพวกเจ้าขายออก กระเป๋านักเรียนหนึ่งใบข้าจะให้เงินค่าขนมพวกเจ้ายี่สิบอีแปะ หากพวกเจ้าร่วมมือกันขายได้ ข้าจะให้พวกเจ้าสามสิบอีแปะ เงินเหล่านี้พวกเจ้าสามารถนำไปใช้ได้ตามใจ อยากซื้ออะไรก็ได้?” 

 

 

“ซื้อของอร่อยก็ได้หรือ?” ซุนเหลียงไฉถาม 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แน่นอน เงินค่าขนมเป็นของพวกเจ้า พวกเจ้าอยากซื้ออะไรก็ได้” 

 

 

ซุนเหลียงไฉดีใจกระโดดโลดเต้น 

 

 

กินอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมจะไปตรวจการบ้านซุนเหลียงไฉ ด้านนอกมีเสียงเคาะกะละมังดังขึ้น จากนั้นเสียงของเมิ่งเสียวเถี่ยก็ดังแว่วมา “ทุกคนตั้งใจฟังให้ดี ตอนนี้ให้ทุกคนไปยังจุดรวมพลประจำของหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านมีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียน เมิ่งฉีเดินออกมานอกประตูใหญ่ เห็นเมิ่งเสียวเถี่ยกำลังเดินลากเท้า ด้านหนึ่งเคาะกะละมังเก่า ด้านหนึ่งตะเบ็งเสียงร้องตะโกน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเมิ่งเสียน เมิ่งฉี “พี่ใหญ่ พี่รองพวกท่านไปช่วยอาสี่ด้วยเถอะ” 

 

 

เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีรีบวิ่งไปตรงหน้าเมิ่งเสียวเถี่ย พูดว่า “อาสี่ พวกเราช่วยร้องป่าวประกาศเอง” 

 

 

เมิ่งเสียวเถี่ยปฏิเสธ “ไม่ต้อง เรื่องเล็กแค่นี้อาสี่ทำได้ พวกเจ้าไปทำงานของตัวเองต่อเถอะ” 

 

 

เมิ่งเสียนโน้มน้าวเขา “เย็นค่ำแล้วพวกเราไม่มีอะไรต้องทำ ให้พวกเราช่วยเถิด ขาท่านไม่ดี ไปพักก่อนเถอะ” 

 

 

เมิ่งเสียวเถี่ยยังคงปฏิเสธ “ขาข้าไม่เป็นไร พักมาตั้งนานสมควรออกมายืดเส้นยืดสายแล้ว” 

 

 

เห็นเขาดึงดันไม่ยอม เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็ไม่ยืนหยัดต่อ เดินกลับมา 

 

 

เมิ่งเสียวเถี่ยเคาะกะละมังไปพลางร้องตะโกนเดินห่างออกไป 

 

 

สองสามีภรรยาเมิ่งก็ได้ยินเสียงเดินออกมาจากในบ้าน พูดกับทั้งสามคน “น่าจะเป็นเรื่องที่ลุงใหญ่เจ้าจะประกาศว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว พวกเรารีบไปเถอะ ดูว่ามีอะไรช่วยได้หรือไม่” 

 

 

ทั้งสามคนพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าห้องกำชับเมิ่งอี้เซวียน ให้เขาดูแลเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงให้ดี จึงตามสองสามีภรรยาเมิ่งมายังลานโล่งแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน 

 

 

ได้ยินเสียงของเมิ่งเสียวเถี่ย คนในหมู่บ้านเริ่มมาถึงกันไม่น้อยแล้ว ยืนรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน คาดเดาว่าผู้ใหญ่บ้านมีเรื่องอะไรจะพูด และก็มีคนประหลาดใจ เหตุใดวันนี้ถึงเป็นเมิ่งเสียวเถี่ยลากขาพิการออกมาร้องประกาศ 

 

 

เมิ่งต้าจินและภรรยากำลังยกโต๊ะเข้ามา เห็นครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋น รีบร้อนพูด “พวกเจ้ารีบไปช่วยกันยกเก้าอี้เข้ามา ประเดี๋ยวบรรดาหัวหน้าสกุลก็คงมาถึงแล้ว” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นพาเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีไปขนย้ายเก้าอี้จากบ้านใหญ่ 

 

 

เมิ่งซานถงและภรรยาเห็นพวกเขากลางทาง รู้ว่าพวกเขากำลังจะไปขนย้ายเก้าอี้ที่บ้านใหญ่ ก็ตามไปด้วย เดินไปพลางถามเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างประหลาดใจไปพลาง “พี่รอง เมื่อก่อนพอผู้ใหญ่บ้านพูดเสร็จก็แยกย้ายไม่ใช่หรือ? เหตุใดวันนี้ยังต้องมาขนย้ายเก้าอี้บ้านพวกเรา เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบ “วันนี้พี่ใหญ่จะประกาศเรื่องที่ตัวเองได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน บรรดาหัวสกุลจะมาร่วมด้วย เก้าอี้นี้เตรียมไว้ให้พวกเขา” 

 

 

เมิ่งซานถงขาอ่อนโซซัดโซเซ เกือบจะหกล้ม รีบคว้าเมิ่งเอ้ออิ๋นไว้แน่น ถามอย่างตกใจ “เจ้าว่าอะไร? พี่ใหญ่เป็นผู้ใหญ่บ้าน?” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า 

 

 

เมิ่งซานถงกลืนน้ำลาย ถามอย่างไม่เชื่อ “เรื่องตั้งแต่เมื่อใด? เหตุใดข้าถึงไม่รู้?” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นประคองเขาอย่างระวัง ตอบกลับ “วันนี้เพิ่งจะไปทำเอกสารเปลี่ยนโอนกับผู้ใหญ่บ้านที่ศาลาว่าการ” 

 

 

เมิ่งซานถงยังคงไม่เชื่อ “เหตุใดผู้ใหญ่บ้านถึงยอมถอนตัวจากตำแหน่งได้?” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นมองคนที่เดินบนท้องถนนผ่านมาไม่ขาดสาย พูดกับเขาเสียงเบา “ตอนนี้คนเยอะ รอให้ไม่มีคนข้าค่อยเล่าให้เจ้าฟัง” 

 

 

เมิ่งซานถงได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ย่อมรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงไม่ได้ถามมาก เดินมาถึงบ้านใหญ่พร้อมคนอื่นๆ 

 

 

เมิ่งจงจวี่ในฐานะซิ่วไฉคนเดียวของหมู่บ้าน ก็ต้องไปเข้าร่วม หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แต่เนิ่นๆ แต่งกายสะอาดหมดจด อยู่ในบ้านรอให้ถึงเวลาโดยไว 

 

 

ตอนที่เมิ่งต้าจินและภรรยายกเก้าอี้ออกไป เขาก็อยากตามไปด้วย แต่เมิ่งต้าจินบอกว่ากลางคืนฟ้ามืด พวกเขาต้องยกเก้าอี้ไม่สะดวกดูแลเขา ให้เขารอครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวพวกเขาจะกลับมาประคองเขาไป ตอนนี้เห็นคนทั้งหมดเข้ามา ก็พรวดพราดลุกขึ้นยืน พูดกับคนทั้งหมด “พวกเจ้ามายกเก้าอี้แล้วรีบไปเถอะ ให้หัวหน้าสกุลต่างๆ รอจะไม่ดี” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นเมิ่งซานถงและภรรยายกเก้าอี้ เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีประคองเมิ่งจงจวี่ มาถึงพื้นที่โล่ง 

 

 

คนในหมู่บ้านมากันเกือบครบแล้ว เห็นเมิ่งจงจวี่มีหลานชายสองคนประคองมา ต่างหลีกทางให้เขาไปอยู่ข้างหน้า เมิ่งเอ้ออิ๋นเมิ่งซานถงและภรรยายกเก้าอี้เดินตามหลัง 

 

 

เห็นเมิ่งจงจวี่แต่งกายชุดใหม่ หน้าตาสดใสมีชีวิตชีวา แล้วมองดูครอบครัวสกุลเมิ่งกุลีกุจอช่วยกัน เหล่าลูกบ้านต่างรู้สึกว่าวันนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ 

 

 

บรรดาหัวหน้าสกุลไม่นานก็มาถึง ทักทายเมิ่งจงจวี่สองสามคำ ก็ทยอยเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่เตรียมไว้ 

 

 

ตามหลักเมื่อมีการเปลี่ยนโอนตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าจะต้องกล่าวถ้อยคำก่อน บอกว่าเหตุใดตนเองถึงออกจากตำแหน่ง แล้วแนะนำผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ให้กับคนผู้นั้น แต่วันนี้ทุกคนรอเป็นนาน หลิวกุ้ยก็ไม่มา ลูกบ้านยังไม่รู้ว่าเปลี่ยนผู้ใหญ่บ้านแล้ว ต่างคาดเดาไปต่างๆ นาๆ ว่าเกิดเรื่องอันใดกับบ้านผู้ใหญ่บ้านหรือไม่ เหตุใดเรียกคนในหมู่บ้านมารวมตัวกันแล้ว ตนเองกลับไม่มา 

 

 

รอนานเข้า หัวหน้าสกุลต่างๆ เริ่มไม่พอใจหลิวกุ้ย เป็นเขาเองที่ยอมมอบตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านให้คนอื่น ตอนนี้กลับไม่ยอมมา ให้ทุกคนต้องมารอเก้อเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? 

 

 

หัวหน้าสกุลหลี่พูดโพล่ง “ต้าจินเอ๊ย ข้าว่าหลิวกุ้ยคงไม่มาแล้ว เจ้าจงรีบประกาศเรื่องที่เจ้าเป็นผู้ใหญ่บ้านออกมาเถอะ เลี่ยงไม่ให้ทุกคนคาดเดาสะเปะสะปะ วิพากษ์วิจารณ์ไปเอง” 

 

 

เมิ่งต้าจินพยักหน้า หันไปเปล่งเสียงพูดกับกลุ่มคน “ทุกคนอยู่ในความสงบ ข้ามีเรื่องจะพูดกับทุกคน” 

 

 

ช่วงเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่บ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นรับสมัครคนงานจะเป็นเมิ่งต้าจินที่คอยจัดการเรื่อง ตอนนี้เห็นเมิ่งต้าจินก้าวออกมาพูด คนในหมู่บ้านนึกว่าบ้านเมิ่งจะรับสมัครคนอีก ต่างปิดปากสนิท กลั้นหายใจรอฟังว่าเมิ่งต้าจินจะพูดเรื่องดีอะไร 

 

 

เมิ่งต้าจินเปล่งเสียงพูดกับกลุ่มคนอีกครั้ง “จากการแนะนำอย่างเต็มกำลังของผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าสกุลทั้งหลาย วันนี้ข้าได้ไปขึ้นทะเบียนกับทางการแล้ว ต่อไปข้าก็คือผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ของหมู่บ้านเรา” 

 

 

ความเงียบครอบคลุมไปทั้งลานโล่ง เหล่าลูกบ้านเบิกตาโพลง ไม่อยากเชื่อข่าวที่ตัวเองได้รับนี้ 

 

 

เมิ่งต้าจินพูดต่อ “ต่อไปทุกคนมีเรื่องยุ่งยากอันใดให้รีบมาหาข้า ข้าจะช่วยทุกคนแก้ไขอย่างสุดความสามารถ” 

 

 

คนในหมู่บ้านถึงแตกตื่นโกลาหล วิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ บางคนไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ใหญ่บ้านถึงทำใจถอนตัวจากตำแหน่งนี้ได้ บางคนปลาบปลื้มยินดีที่เมิ่งต้าจินมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ต่อไปเมื่อบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นรับสมัครคน จะต้องเลือกใช้คนในหมู่บ้านตัวเองก่อน บางคนก็คาดเดาว่าการเปลี่ยนผู้ใหญ่บ้านกะทันหัน จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น 

 

 

รอจนเสียงเซ็งแซ่ของทุกคนบางลง เมิ่งต้าจินถึงพูดต่อ “ข้ารู้ว่าทุกคนกังขาว่าเหตุใดข้าถึงเป็นผู้ใหญ่บ้านได้ ในส่วนนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ข้าไม่สะดวกจะบอกทุกคน แต่ข้ารับประกันได้ว่าหลังจากข้าเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว จะนำพาทุกคนให้มีชีวิตที่ผาสุก” 

 

 

เสียงเล็กแหลมของหญิงคนหนึ่งด้านหลังกลุ่มคนดังขึ้น “มันก็ไม่แน่ เรื่องที่หลายปีมานี้ตาเฒ่าของข้าทำไม่ได้ เจ้าจะทำมันอย่างง่ายดายได้อย่างไร?” 

 

 

ทุกคนได้ยินเสียงที่คุ้นเคย แยกตัวออกเป็นทางให้อย่างคุ้นชิน 

 

 

หลิวต้าเป่าประคองมารดาตนเองเดินมาด้านหน้า 

 

 

ภรรยาหลิวกุ้ยพูดกับเมิ่งต้าจินอย่างเหยียดหยัน “เมื่อก่อนเจ้าเป็นอย่างไร ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดี พวกเจ้าอย่าคิดว่าพวกเจ้าบีบให้พวกเราถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านแล้ว เจ้าก็จะดำรงตำแหน่งได้ยาวนาน” 

 

 

สิ้นเสียงนาง กลุ่มคนส่งเสียงร้องอื้ออึง  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

หัวหน้าสกุลหลิวเปล่งเสียงตวาดนาง “สะใภ้หลิว หลิวกุ้ยถอนตัวจากตำแหน่งด้วยความเต็มใจ เจ้าอย่าได้มาก่อความปั่นป่วน” 

 

 

ภรรยาหลิวกุ้ยแค่นหัวเราะ “ใครบอกว่าพวกเราเต็มใจ เป็นเพราะนังตัวดีเมิ่งเชี่ยนโยวใช้หลิวต้าเป่ามาข่มขู่พวกเรา พวกเราไม่มีทางเลือกถึงต้องยอมรับปาก” 

 

 

กลุ่มคนร้องอื้ออึงดังระงมอีกครั้ง 

 

 

ภรรยาหลิวกุ้ยพูดต่อ “ตอนนี้บ้านพวกเจ้ามีเงินแล้ว เรื่องที่ข่มขู่ให้ถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน พวกเรายังยอมได้ แต่พวกเจ้าไม่ควรรังแกกันมากเกินไป เรื่องที่รับปากพวกเราไว้ พอเจ้าได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้วกลับผิดคำพูด” 

 

 

เสียงอื้ออึงยิ่งดังหนาหู 

 

 

เมิ่งต้าจินย่อมรู้ว่านางพูดเรื่องอะไร แต่ก็ไม่สะดวกโต้กลับต่อหน้าคนอื่น ยืนนิ่งไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี 

 

 

เมิ่งจงจวี่กลับทนดูต่อไปไม่ไหว ถามขึ้น “พวกเราไปรับปากอะไรพวกเจ้าไว้ แล้วผิดคำพูดอย่างไร?” 

 

 

ภรรยาหลิวกุ้ยชี้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างแค้นเคือง “นังตัวดีนั่นรับปากจะปิดโรงงานรมควันเนื้อกับพวกเราไว้ ตอนนี้กลับผิดคำพูด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปิดแล้ว” 

 

 

พอได้ยินภรรยาหลิวกุ้ยพูดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรับปากจะปิดโรงงานรมควันเนื้อ คนที่ทำงานในโรงงานต่างลนลาน หันมองเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นตาเดียว 

 

 

เมิ่งจงจวี่ก็มองนางอย่างซักถาม 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย “ข้าพูดกับคนงานในโรงงานแล้ว เดือนหน้าพวกเราจะปิดโรงงาน แต่พวกเขาไม่ยอม จะบีบให้ข้าปิดวันนี้ให้ได้ ทว่าเรื่องหลังจากนั้นข้ายังจัดการไม่เรียบร้อย จะบอกให้ปิดก็ปิดเลยได้อย่างไรกัน?” 

 

 

หัวหน้าสกุลต่างๆ พยักหน้าเข้าใจ 

 

 

ภรรยาหลิวกุ้ยเห็นพวกเขาเข้าข้างเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ร้อนรนพูด “เจ้าโกหก เจ้ารับปากเองว่าเมื่อให้สูตรพวกเราแล้ว จะปิดโรงงานทันที” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ถามนาง “เมื่อท่านพูดเช่นนี้ เช่นนั้นข้าถามท่าน พวกเราได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่?” 

 

 

ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ภรรยาหลิวกุ้ยยิ่งโมโหเดือดดาล “พวกเราเชื่อใจเจ้ามากเกินไป คิดว่าพอเจ้าบอกว่าปิดก็จะปิด ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะไร้สัจจะเช่นนี้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงสูงพูด “ท่านพูดออกมาได้น่าขันนัก ข้าไม่มีสัจจะตอนไหน เมื่อครู่ข้าก็บอกไปแล้ว? เดือนหน้าข้าจะปิดโรงงาน และต่อไปก็จะไม่เปิดอีก” 

 

 

ภรรยาหลิวกุ้ยตวาดแว้ด “ไม่ได้ วันพรุ่งเจ้าจักต้องปิดทิ้ง ไม่เช่นนั้นข้าจะอาละวาดจนพวกเจ้าอยู่ไม่เป็นสุข” 

 

 

เห็นนางพูดจาไร้เหตุผล หัวหน้าสกุลหลิวขมวดคิ้วแน่น ร้องเอ็ดนาง “สะใภ้หลิว รีบกลับบ้านไปซะ เลิกอาละวาดให้ขายหน้าได้แล้ว” 

 

 

ภรรยาหลิวกุ้ยไม่สนใจไม้นี้ หันไปพูดกับเมิ่งต้าจิน “เจ้าบอกว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ดีใช่ไหม เรื่องในวันนี้เจ้าจักต้องจัดการอย่างยุติธรรม ไม่เช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าจะป่าวประกาศไปให้ทั่วว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่บ้านวันแรกก็ช่วยคนในสกุลตัวเองรังแกครอบครัวพวกเรา” 

 

 

เมิ่งต้าจินตอบ “เจ้าหยุดปั้นน้ำเป็นตัวได้แล้ว เรื่องเป็นมาอย่างไร พวกเรารู้แก่ใจดี หากเจ้าไม่กลัวขายหน้า วันนี้พวกเราเอาเรื่องทั้งหมดพูดต่อหน้าทุกคนในที่นี้ ให้ทุกคนดูว่าเป็นเจ้าหรือพวกเราที่ผิด” 

 

 

ภรรยาหลิวกุ้ยไม่คิดว่าเข้าจะกล้าพูดแข็งข้อเช่นนี้ ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น 

 

 

หลิวต้าเป่าแอบกระทุ้งนาง ภรรยาหลิวกุ้ยถึงได้สติกลับมา กลิ้งกลอกนัยน์ตา นั่งลงกับพื้น ตีขาแสร้งร้องโหยหวน “ทุกคนรีบมาดูเถิด ดูว่าครอบครัวพวกเขาไร้ยางอายเพียงใด พอหลอกพวกเราให้ถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ก็ย้อนกลับมารังแกพวกเรา โลกนี้ไม่เหลือความยุติธรรมแล้ว พวกเราไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว” 

 

 

เมิ่งจงจวี่ไม่เคยถูกใครตบหน้าเช่นนี้มาก่อน โมโหจนตัวสั่น 

 

 

หัวหน้าสกุลต่างๆ ก็โมโหแทบทนไม่ไหวแล้ว 

 

 

ไม่คิดว่าอยู่ๆ นางจะมาไม้นี้ ตีก็ไม่ได้ ด่าก็ไม่ได้ เมิ่งต้าจินเองก็ว้าวุ้นร้อนรุ่มใจ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลงเบื้องหน้าภรรยาหลิวกุ้ย 

 

 

ภรรยาหลิวกุ้ยขยับถอยหลังอย่างลืมตัว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวใช้เสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนได้ยินพูดว่า “เดิมข้าคิดจะปิดโรงงานรมควันเนื้อให้เร็วขึ้น เจ้ากลับบีบข้าไม่ยอมปล่อย เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าว่าข้าไม่เกรงใจเล่า” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด