ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 152.1

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 152.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ถงเซิงระดับอำเภอ

 

 

 

 

เมิ่งชื่อตกตะลึง วางงานในมือลง ลุกขึ้นผลุนผลันเดินออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ยินเสียงเมิ่งเจี๋ยแล้ว เดินออกมาจากในห้อง เห็นเมิ่งชื่อรีบร้อนเดินออกไปถามขึ้น “ท่านแม่ ท่านจะไปไหน?” 

 

 

เมิ่งชื่อหยุดชะงัก หันกลับมาพูด “แม่จะไปดูบ้านอาต้าเป่าเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังยั้งนาง “ท่านไม่ต้องไปแล้ว” 

 

 

เมิ่งชื่อไม่เข้าใจ “เพราะอะไร?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เรื่องนี้เห็นกันอยู่ว่าหลิวต้าเป่าไปเล่นพนัน ติดหนี้บ่อนพนันอีกแล้ว ตอนนี้บ้านพวกเขามีเงิน น่าจะใช้คืนได้ ท่านไปตอนนี้ พวกเขาจะคิดว่าท่านไปดูเรื่องสนุก ไม่แน่ว่าจะยิ่งชิงชังพวกเรา” 

 

 

ได้ยินบุตรสาวพูดเช่นนี้ เมิ่งชื่อหันกลังกลับเข้าบ้าน 

 

 

เหล่าหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนก็ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว มีหญิงคนหนึ่งพูดขึ้น “เจ้าว่าทำไมหลิวต้าเป่าถึงไม่จำสักที เรื่องเมื่อปีก่อนเพราะติดหนี้บ่อนพนันเกือบจะถูกคนของบ่อนซ้อมจนตาย ถ้าไม่เพราะนายหญิงของพวกเราจิตใจดี ช่วยชีวิตเขาไว้ ลูกชายของเขาสองคนไม่รู้ป่านนี้ถูกขายไปอยู่ที่ไหนแล้ว เขาเองก็เพิ่งจะได้อิสรภาพคืน ทำไมถึงไปเล่นพนันอีกแล้ว” 

 

 

ผู้หญิงอีกคนพูดเสริม “นั่นสิ ไม่รู้ว่าเขาไปเอาเงินมาจากไหน ไหนบอกว่าปีก่อนเพื่อจ่ายหนี้ให้เขา เอาเงินในบ้านมาชดใช้จนหมดเกลี้ยงแล้วไง” 

 

 

ยังมีผู้หญิงอีกคนส่ายหน้าพูดว่า “ไม่แน่หรอก หลิวกุ้ยเป็นผู้ใหญ่บ้านมาหลายปี ครอบครัวไหนไปหาเขาไม่ต้องกรีดเนื้อเถือหนังให้เขาบ้าง ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะยังมีเงินอีกไม่น้อย ไม่อย่างนั้นหลิวต้าเป่าจะกล้าไปเล่นการพนันได้ยังไง?” 

 

 

ผู้หญิงอีกคนก็พูดขึ้น “หลิวต้าเป่าถูกภรรยาหลิวกุ้ยตามใจจนเสียงคน มีแต่นิสัยแย่ๆ แต่ก็ไม่เคยเหลวแหลกถึงขั้นนี้ ตอนนี้ทำไมถึงมัวเมาการพนันได้ ต่อให้ในบ้านมีเงินทองมากมาย ก็ทนทานการบ่อนทำลายเช่นนี้ไม่ไหว” 

 

 

ผู้หญิงคนหนึ่งพูดเสียงเบา “ข้าได้ยินคนพูดว่า คนเล่นพนันจะเสพติด ชนะแล้วก็จะอยากชนะอีก ส่วนคนที่แพ้ ยิ่งแพ้ก็ยิ่งใจรุ่มร้อน เพื่อถอนทุนคืน แทบอยากจะเอาภรรยาและลูกในบ้านไปวางค้ำ พวกเจ้าว่าหลิวต้าเป่าถูกอะไรครอบงำจิตใจ ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ ไม่ชอบ จะต้องให้บ้านแตกสาแหรกถึงจะพอใจ” 

 

 

ทุกคนส่ายหน้า 

 

 

เมิ่งชื่อเงียบงันไม่พูด 

 

 

ผู้หญิงทั้งหมดเห็นอาการของนางต่างก็หยุดปาก ตั้งใจเย็บกระเป๋านักเรียน 

 

 

กระทั่งเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีกลับมาจากตัวเมือง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ สองวันนี้จะเริ่มลงมือปลูกเรือนแล้ว ข้าจะให้อาสามไปเฝ้าดู ท่านไปรับมอบงานในมืออาสามเถอะ” 

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้า เดินไปโรงงาน 

 

 

เมิ่งฉีคนเดียวย่อมผลิตน้ำมันพริกไม่ไหว ถามขึ้น “น้องสาว เช่นนั้นข้าจะทำอะไร?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดหยอกล้อเขา “ท่านไปอ่านหนังสือกลอนแล้วกัน สองวันนี้อี้เซวียนไม่สบาย ท่านไปช่วยซุนเหลียงไฉทำการบ้านเถอะ” 

 

 

เมิ่งฉีเชื่อว่าเป็นจริง เลียนแบบท่าทางผู้ใหญ่ ประสานมือ โค้งคำนับให้เมิ่งเชี่ยนโยว พูดวิงวอน “น้องสาว เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ ให้ข้าไปอ่านหนังสือกลอน ข้าได้ตายก่อนแน่ๆ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน 

 

 

เมิ่งฉีถึงรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวหยอกล้อตนเอง ถอนใจโล่งอก 

 

 

หลังจากหัวเราะเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพูดอย่างเป็นจริงเป็นจัง “พี่รอง สองวันนี้ท่านพักผ่อนให้เต็มที่ อีกสองวันพอเริ่มปลูกเรือนท่านจะยุ่งมาก ข้อแรก เรื่องการลงทะเบียนคนที่มาทำงานทุกวันมอบเป็นหน้าที่ท่าน ข้อสอง เรื่องการซื้อกับข้าวมาทำอาหารของคนงานทุกวันก็มอบให้ท่าน ข้ามีหน้าที่แค่ให้เงิน เรื่องที่เหลือข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีก” 

 

 

เมิ่งฉีโบกมือเป็นพัลวัน “น้องสาว เรื่องการลงทะเบียนคนงานข้าไม่มีปัญหา แต่เรื่องซื้อกับข้าวมาทำอาหารข้าทำไม่เป็นจริงๆ เจ้ามอบให้คนอื่นเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ลุงใหญ่ ท่านพ่อและอาสามต่างต้องคอยตรวจตราคนงานปลูกเรือน พี่ใหญ่ต้องดูแลโรงงาน ข้าเองก็ต้องคอยไปดูการแผ้วทางภูเขาร้างว่าเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านว่า เรื่องซื้อกับข้าวทำอาหารไม่มอบให้ท่านแล้วจะมอบให้ใคร?” 

 

 

เมิ่งฉีเกาหัวแกรกๆ “เรื่องนี้ข้าไม่เคยทำมาก่อน ถ้าทำไม่ดีจะทำยังไง?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบเขา “เรื่องทำอาหารข้าจัดเตรียมไว้แล้ว ทำที่บ้านยายหลี่ ส่วนลูกมือทำอาหาร ท่านไปหาป้าใหญ่ได้ ให้นางช่วยหาให้ท่านจำนวนหนึ่ง ส่วนการซื้อกับข้าว? อย่างมากเริ่มแรกก็จ่ายเงินมากหน่อย รอให้ท่านซื้อชำนาญแล้ว รู้ราคาพืชผักก็หมดเรื่องแล้ว” 

 

 

เมิ่งฉียังคงลังเล 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ถ้าท่านยังหวาดหวั่น ข้าจะช่วยออกความคิดให้ ท่านไปหาอาสี่ ให้เขาไปกับท่าน เขาอาศัยอยู่ในเมืองมาหลายปี คุ้นเคยกับทุกๆ ที่เป็นอย่างดี ผักที่ไหนที่ทั้งดีและถูก เขาจะต้องรู้” 

 

 

เมิ่งฉีดวงตาเปล่งประกาย พูดว่า “จริงด้วย ข้าลืมอาสี่ไปได้ยังไง ข้าจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้” 

 

 

พูดจบ หันหลังกำลังจะวิ่งออกไป 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร้องเรียกเขา “พี่รอง ข้ายังพูดไม่จบ” 

 

 

เมิ่งฉีหันกลับมา ถามขึ้น “ยังมีเรื่องอะไร?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เรื่องเงิน ไม่มีเงินท่านจะไปซื้อกับข้าวยังไง?” 

 

 

เมิ่งฉีขยี้หัว พูดเก้อเขิน “ข้าร้อนใจชั่วขณะ ลืมเรื่องที่สำคัญนี้ไปเลย แต่ว่า ไม่รีบๆ ยังอีกสองวันไม่ใช่หรือ? เอาไว้เจ้าค่อยให้ข้าก็ได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสสอนเขา “พี่รอง จะทำอะไรต้องวางแผนให้ดีก่อน อย่าให้เรื่องมาถึงแล้ว ถึงค่อยคิดว่าจะทำอย่างไร ถึงตอนนั้นท่านจะจับต้นชนปลายไม่ถูก สมมติว่าอีกสองวันข้ามีธุระไม่อยู่บ้าน? ไม่มีเงิน ถึงตอนนั้นท่านจะเอาอะไรไปซื้อกับข้าว? ถ้าไม่ซื้อกับข้าว คนงานไม่ได้กินข้าว ถึงตอนนั้นพวกเขาจะมองพวกเรายังไง คนในหมู่บ้านจะคิดกับพวกเรายังไง?” 

 

 

เมิ่งฉีเบิกตาโพลง “เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องอื่นมาเช่นนี้เลย?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดังนั้น ต่อให้เป็นเรื่องเล็กๆ ก็ต้องคิดให้ดีก่อน เรื่องที่จะทำต่อมาถึงจะราบรื่น” 

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า “ข้าจำได้แล้ว น้องสาว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินยี่สิบตำลึงในกล่องวางลงบนโต๊ะ “นี่คือเงินยี่สิบตำลึง ท่านเก็บไว้ให้ดี ทุกวันพอซื้อกับข้าวเสร็จ ท่านก็ลงบัญชีไว้ สองสามวันให้หลัง แต่ละวันต้องใช้จ่ายเงินซื้อกับข้าวเท่าไหร่ ท่านก็จะมีตัวเลขในใจแล้ว” 

 

 

เมิ่งฉีถลึงตาโตอีกครั้ง ถามอย่างไม่แน่ใจ “ให้ข้าถือเงินทั้งหมดนี้?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอมยิ้มพยักหน้า 

 

 

เป็นครั้งแรกที่เมิ่งฉีถือเงินมากเช่นนี้ ตื่นเต้นดีใจใหญ่ หยิบเงินใส่อกเสื้อด้วยมือสั่นเทิ้ม ถามขึ้น “ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าจะไปหาป้าใหญ่และอาสี่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาเอาเงินใส่อกเสื้อ หัวเราะไม่ได้พูดอะไร 

 

 

เมิ่งฉีได้สติกลับมา รีบร้อนพูด “น้องสาววางใจ ข้าเอาเงินไปเก็บแล้วค่อยไป” พูดจบ วิ่งปรู๊ดเข้าไปในห้องตัวเอง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะส่ายหน้า 

 

 

เมิ่งฉีเก็บเงินเรียบร้อยแล้ว วิ่งแจ้นไปบ้านเก่าเมิ่ง 

 

 

เมิ่งจงจวี่กำลังตั้งใจตรวจดูปฏิทินจันทรคติ เลือกวันดีเริ่มงานก่อสร้าง เห็นเมิ่งฉีวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา นึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เอ่ยปากถามเขา “ฉีเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” 

 

 

เมิ่งฉีหยุดหายใจครู่หนึ่ง ร้องเรียกตามมารยาท ถึงตอบกลับ “ท่านปู่ ท่านย่า ข้ามาหาป้าใหญ่ อยากให้นางช่วยหาคนจำนวนหนึ่งมาทำอาหาร” 

 

 

หญิงชราเมิ่งฟังไม่เข้าใจ ถามขึ้น “ทำอาหารอะไร?” 

 

 

เมิ่งฉีอธิบาย “อีกไม่กี่วันตอนที่พวกเราปลูกเรือน ต้องจัดเตรียมอาหารมื้อเที่ยง น้องสาวมอบเรื่องให้ข้า ข้าอยากมาขอให้ป้าใหญ่ช่วยหาคนให้จำนวนหนึ่ง” 

 

 

หญิงชราเมิ่งเข้าใจแล้ว ยิ้มพูด “ป้าใหญ่เจ้าไปช่วยทำความสะอาดที่ดิน เจ้าไปหานางที่โน่นเถอะ” 

 

 

“แล้วอาสี่เล่า?” เมิ่งฉีถาม 

 

 

หญิงชราเมิ่งตอบ “อาสี่เจ้าก็อยู่ที่นั่น” 

 

 

เมิ่งฉีกล่าวลาสองผู้เฒ่าเมิ่ง แล้ววิ่งไปที่ที่ดิน 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินกำลังเก็บกวาดไปทั่ว เมิ่งฉีเห็นนางแต่ไกล ร้องเรียก “ท่านป้าใหญ่!” 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินได้ยินเสียงร้องเรียก ลุกขึ้นยืน เห็นเป็นเมิ่งฉี ยิ้มแย้มถาม “ฉีเอ๋อร์ มาหาป้ามีธุระอะไร?” 

 

 

เมิ่งฉีพูดเรื่องที่เพิ่งพูดกับสองผู้เฒ่าเมิ่งออกมาอีกครั้ง 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินได้ยินแล้วก็ยิ้มพูด “ได้ เรื่องนี้ป้าจัดการให้เอง เจ้ารอประเดี๋ยว ป้าจะไปหาคนให้เอง” 

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินใคร่ครวญ เดินเข้าไปในหมู่บ้าน 

 

 

เมิ่งฉีเดินมาตรงหน้าเมิ่งเสียวเถี่ยที่กำลังลากเท้าเก็บกวาดไปทั่วเช่นกัน พูดว่า “อาสี่ ข้าอยากขอให้ท่านช่วยหน่อย” 

 

 

เมิ่งเสียวเถี่ยหยุดเดิน ถามขึ้น “เรื่องอะไร? เจ้าพูดมา” 

 

 

เมิ่งฉีขยี้หัวแล้วพูด “โยวเอ๋อร์มอบงานซื้อกับข้าวมาทำอาหารให้คนงานปลูกเรือนกินให้ข้า แต่ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ข้าอยากขอให้อาสี่ช่วย ถึงเวลาท่านช่วยเข้าเมืองไปซื้อวัตถุดิบจำเป็นในการทำอาหารกับข้าด้วย” 

 

 

เมิ่งเสียวเถี่ยลังเลเล็กน้อย “อาสี่ขาไม่ดี เกรงจะช่วยเจ้าไม่ได้ เจ้าให้พ่อและลุงใหญ่เจ้าไปด้วยเถอะ” 

 

 

เมิ่งฉีไม่ขยับ พูดว่า “น้องสาวบอกแล้ว ลุงใหญ่และท่านพ่อยุ่งเรื่องปลูกเรือน ไม่มีเวลาว่าง” 

 

 

เมิ่งเสียวเถี่ยไม่พูดอะไร 

 

 

เมิ่งฉีพูดเว้าวอน “อาสี่ ท่านช่วยข้าหน่อยเถอะ น้องสาวบอกว่าท่านอยู่ในเมืองมาหลายปี คุ้นเคยทั่วทุกที่ มีท่านช่วยจะต้องลงแรงน้อยแต่ได้ประสิทธิภาพมาก” 

 

 

เมิ่งเสียวเถี่ยทอดถอนใจ “ไม่ใช่อาสี่ไม่ช่วยเจ้า แต่หลายปีที่อยู่ในเมืองอาสี่ทำแต่เรื่องไม่ดี ล่วงเกินคนไม่น้อย ข้ากลัวข้าเข้าเมืองไปพร้อมเจ้า จะทำให้เจ้าลำบากไปด้วย” 

 

 

เมิ่งฉีโบกมือ “อาสี่ พวกเราแค่ไปซื้อกับข้าว ไม่เกิดอันตรายใดดอก” 

 

 

เมิ่งเสียวเถี่ยใคร่ครวญอีกครู่หนึ่ง พยักหน้ารับปาก “ก็ได้” 

 

 

เมิ่งฉีพูดอย่างยินดี “ขอบคุณอาสี่” 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินหาผู้หญิงสี่คนมาได้โดยเร็ว พูดกับเมิ่งเสียน “ฉีเอ๋อร์ ทั้งหมดนี้เป็นยอดฝีมือด้านทำอาหารของหมู่บ้าน เจ้าดูว่าใช้ได้หรือไม่” 

 

 

เมิ่งฉีพูด “ท่านป้า ข้าไม่เข้าเรื่องทำอาหาร เอาตามที่ท่านว่าเถอะ” 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินยิ้มพูด “ได้ เช่นนั้นป้าตัดสินใจแล้ว ใช้พวกเขาสี่คนก็พอ” 

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า “ได้ ว่าตามท่าน” 

 

 

พูดจบก็หันไปพูดกับผู้หญิงทั้งหมด “แต่ละวันจะมาทำแค่อาหารเที่ยงให้คนงานที่บ้านย่าหลี่ ค่าแรงคือวันละยี่สิบอีแปะ พวกท่านดูว่าไหวหรือไม่? ถ้าไหว รอวันที่พวกเราเริ่มปลูกเรือน พวกท่านก็มาทำงานได้” 

 

 

ทั้งสี่คนพยักหน้าดีใจ ต่างแสดงว่ายินดีมาทำงาน 

 

 

จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว เมิ่งฉีก็รีบวิ่งกลับบ้าน บอกเรื่องทั้งหมดให้เมิ่งเชี่ยนโยวฟัง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังแล้ว ยิ้มชื่นชม “พี่รอง ท่านทำได้ดีมาก!” 

 

 

ได้รับคำชมจากนาง เมิ่งฉีดีใจจนหน้าแดง 

 

 

หนึ่งวันว่างๆ ช่วงบ่ายเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในลานใหญ่หยิบกุนเชียงรสชาติต่างกันจำนวนหนึ่ง ห่อให้ดี พูดกับเมิ่งเสียนที่กำลังบันทึกจำนวน “พี่ใหญ่ ทำงานเสร็จแล้ว พวกเรารีบเข้าเมืองเถอะ ครั้งก่อนซุนซ่านเหรินช่วยพวกเราไว้มาก ข้าอยากเอากุนเชียงไปให้เขา” 

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้า วางบัญชีในมือลง กำชับคนงานอีกประเดี๋ยวตากกุนเชียงให้แยกไปอีกด้าน ตนเองกลับมาค่อยบันทึกจำนวนต่อ แล้วจึงไปจัดเก็บรถม้า เข้าเมืองไปพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ถงเซิง ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงแบ่งการสอบขุนนางออกเป็น 3 ระดับ(ในที่นี้จะกล่าวถึงแค่ระดับต้น) ได้แก่ระดับต้น เรียกว่าถงเซิง รับสมัครผู้เข้าสอบตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น โดยเป็นการสอบในท้องถิ่น แบ่งระดับชั้นการสอบได้อีก 3 ลำดับ คือ เซี่ยนซื่อ(อำเภอ) ฝู่ซื่อ(จังหวัด) และย่วนซื่อ(คนของราชสำนักมาคุมการสอบเอง) 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด