ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 155.2

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 155.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
 ซื้อคน

 

 

 

หลังจากเลือกเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวชี้หนังสือที่วางเรียงรายเต็มร้านพูดกับทั้งสองคน “พวกท่านดูว่ามีหนังสือที่ชอบหรือไม่? ใช้โอกาสนี้ซื้อติดมือกลับไป”

 

 

เมิ่งเสียนพูดอย่างเปิดเผย “ให้อี้เซวียนเลือกเถอะ ข้าไม่ต้องแล้ว เพราะอย่างไรข้าก็ไม่ได้เข้าสอบคัดเลือกขุนนาง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พี่ใหญ่ ใครบอกว่าไม่สอบคัดเลือกขุนนางก็จะอ่านหนังสือไม่ได้ ท่านเลือกซื้อหนังสือแบบที่ชอบจำนวนหนึ่งกลับไปได้ ตอนว่างๆ ไม่มีอะไรทำจะได้เอามาอ่านเล่น”

 

 

หนังสือเป็นของล้ำค่ามีราคา พวกนักเรียนยากจนเวลาเข้าเรียนมักจะซื้อไม่ไหว มักจะต้องหยิบยืมหรือคัดลอกมาใช้ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกเมิ่งเสียนให้ซื้อหนังสือกลับไปอ่านยามว่างอย่างไม่ใยดีสักนิด หลงจู๊ร้านหนังสือและพนักงานอดเพ่งมองนางหลายครั้งไม่ได้

 

 

เดิมเมิ่งเสียนชื่นชอบมาก เพียงแต่เพื่อช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวแบกรับภาระหนักของครอบครัวถึงไม่ได้รับปากคำขอของนางให้เข้ามาเรียนหนังสือในเมือง ตอนนี้ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็ดีใจใหญ่ เดินไปหน้าชั้นหนังสือ เลือกหนังสือที่ตัวเองชอบมาหลายเล่ม

 

 

เมิ่งอี้เซวียนก็เลือกที่ตัวเองชอบเสร็จแล้ว หยิบไปวางตรงหน้าพนักงาน

 

 

พนักงานนำเครื่องเขียนและหนังสือที่พวกเขาเลือกเสร็จแล้วไปตรงหน้าหลงจู๊

 

 

หลงจู๊คำนวณราคา พูดว่า “ทั้งหมดห้าสิบสามตำลึง พวกท่านซื้อเยอะ ข้าคิดถ้วนๆ เหลือเพียงห้าสิบตำลึง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงตั๋วแลกเงินห้าสิบตำลึงออกมามอบให้หลงจู๊

 

 

หลงจู๊เห็นนางเป็นคนจ่ายเงิน ประเมินมองนางอีกเล็กน้อย ถึงหยิบตั๋วแลกเงินมาดูอย่างละเอียด พบว่าไม่มีปัญหา จึงให้พนักงานห่อสิ่งของทั้งหมดอย่างดี

 

 

ทั้งสามคนนำสิ่งของที่ห่อเสร็จเรียบร้อยออกจากร้านหนังสือ เดินกลับไปอย่างเรื่อยเฉื่อย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่ว่าพี่รองทำงานที่ภัตตาคารไหน? วันนี้พวกเราว่างพอดี จะได้ไปหาเขา”

 

 

เมิ่งเสียนส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ตั้งแต่ที่พี่เมิ่งอี้มาทำงานในอำเภอ ก็กลับบ้านน้อยครั้ง หนึ่งปีพวกเราแทบไม่ได้พบหน้ากัน ข้ารู้เพียงว่าเขาทำงานที่ภัตตาคาร แต่เป็นที่ไหน ข้าไม่เคยถาม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจึงล้มเลิกความคิดจะไปหาเมิ่งอี้ ทั้งสามเดินเรื่อยเปื่อยกลับมา มองเห็นหน้าทางเข้าโรงเตี๊ยมมีรถม้าหลายคันจอดอยู่ลิบๆ คิดว่าเป็นของลูกค้าที่มาเข้าพักนำมา ทั้งสามไม่ได้สนใจ ยังคงเดินเอื่อยเฉื่อย

 

 

เสี่ยวเอ้อชะเง้อมองเห็นพวกเขาแต่ไกล หุนหันวิ่งออกมาต้อนรับ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง พวกคุณชายเซี่ยมารอพวกท่านที่ห้องโถงชั้นหนึ่งนานแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบสาวเท้าเข้ามาในห้องโถง

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงเห็นนางก่อน พูดอย่างดีใจ “แม่นางเมิ่งกลับมาแล้ว”

 

 

อันอี่หยวนก็เห็นนางแล้ว ร้องทักทายนางเช่นกัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกท่านทั้งสองมาได้อย่างไร?”

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงค่อนขอดนางอย่างไม่เกรงใจ “เจ้ายังจะพูด เข้าเมืองมาไม่บอกพวกเราสักคำ หากไม่เพราะเปาอีฝานให้คนส่งข่าวบอกพวกเรา พวกเรายังไม่รู้ว่าเจ้าเข้ามาเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ครั้งนี้ข้าพาน้องชายมาเข้าสอบถงเซิงระดับอำเภอ เดิมไม่อยากรบกวนพวกท่าน แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องกับพี่ใหญ่อีกคนของข้าโดยบังเอิญเข้า เรื่องราวบานปลายไปถึงใต้เท้าเปา ข้าก็รู้ว่าเรื่องปิดไม่มิดแล้ว แต่ข้าคิดว่ารอวันพรุ่งให้น้องชายข้าเข้าสนามสอบก่อน ค่อยไปหาพวกท่าน”

 

 

ได้ยินนางพูดเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเที่ยง เซี่ยเจียงเฟิงถามอย่างเป็นห่วง “ข้าได้ยินว่าพวกเจ้ามีเรื่องวิวาทกับพวกที่ดีแต่อวดเบ่งบารมีของสกุลจาง พวกเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บนะ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ยิ้มพูด “ถูกลูกหลงเล็กน้อย แต่คนบ้านนอกหนังหนาเนื้อทน ไม่เป็นไร”

 

 

อันอี่หยวนไม่เห็นด้วย “จะไม่เป็นไรได้อย่างไร? รีบไปตรวจดูที่โรงหมอหน่อยเถอะ”

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงก็พยักหน้าเห็นพ้อง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวล ไม่เป็นไรจริงๆ ข้ายังออกไปเดินเล่นในตลาดกับพี่ใหญ่และน้องเล็กมารอบหนึ่งแล้วเลย”

 

 

ทั้งสองเห็นนางไม่เหมือนคนที่จะเป็นอะไรจริงๆ จึงวางใจลง

 

 

เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนก็เดินเข้ามา ทักทายคนทั้งสองอย่างมีมารยาท

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเชิญทั้งสองขึ้นไปนั่งในห้อง ทั้งสั่งเสี่ยวเอ้อชงชาชั้นดีมาให้หนึ่งกา

 

 

เสี่ยวเอ้อรับคำไปชงชา

 

 

คนทั้งหมดเข้ามาในห้องพักชั้นบน วางสิ่งของในมือเพิ่งจะนั่งสนิท เสี่ยวเอ้อก็ยกน้ำชาเข้ามา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนนั่งดื่มชาไปพลางพูดคุยกับเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวน เมิ่งอี้เซวียนจัดการกับข้าวของที่เพิ่งซื้อกลับมาลำพัง

 

 

อันอี่หยวนกล่าวว่า “เดิมเปาอีฝานก็มาด้วยกัน พวกเราใกล้จะถึงทางเข้าโรงเตี๊ยมแล้ว เจ้าหน้าที่ก็วิ่งหน้าตั้งมาหาเขา เหมือนว่าคดีค้ามนุษย์ที่ครั้งก่อนเจ้าฝากฝังเรื่องกับเขาจะมีความคืบหน้า เขาก็เลยต้องไปสืบคดีก่อน บอกว่าช่วงค่ำจะเข้ามาพาพวกเจ้าไปเลี้ยงข้าว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ขอบคุณพวกท่าน ตอนค่ำพวกเราคงไม่ไปกินข้าวด้วยแล้ว วันพรุ่งน้องชายข้าต้องเข้าสอบถงเซิงระดับอำเภอ ค่ำนี้ข้าอยากให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ มีสภาพจิตใจที่สมบูรณ์ พร้อมรับมือกับการสอบระดับอำเภอในวันพรุ่งนี้”

 

 

ทั้งสองได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็พยักหน้า ล้มเลิกความคิดจะชวนนางออกไปกินข้าว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “ไม่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของคุณชายจูเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงตอบ “ตอนนี้ลงจากเตียงมาเดินเหินได้แล้ว เพียงแค่ยังออกกำลังหนักไม่ได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “คุณชายจูได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้กลับฟื้นตัวได้ดีเช่นนี้ เพราะมีร่างกายที่แข็งแรง ฝากพวกท่านไปบอกให้เขาค่อยๆ รักษาตัว ห้ามใจร้อนเด็ดขาด?”

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงถาม “แม่นางเมิ่งมาครั้งนี้ไม่คิดจะไปเยี่ยมเขาหน่อยหรือ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ครั้งนี้ฉุกละหุกเกินไป ไม่มีเวลา เอาไว้ครั้งหน้ามีเวลาค่อยไปเยี่ยมเขา”

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนหันหน้าสบตากัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองสีหน้าพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาเข้าใจผิดแล้ว แย้มยิ้มอธิบาย “พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้เคืองโกรธเขาด้วยเพราะเรื่องครั้งก่อน เป็นเพราะครั้งนี้ยุ่งมากจริงๆ พรุ่งนี้พอน้องชายเข้าสนามสอบ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างต้องทำ ข้าไม่มีเวลาไปเยี่ยมเขาจริงๆ “

 

 

ทั้งสองโล่งอก แทบจะถามขึ้นพร้อมกัน “แม่นางยังมีเรื่องอันใด? ต้องการให้พวกเราช่วยหรือไม่?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายหน้า “ล้วนเป็นเรื่องภายในครอบครัว ไม่รบกวนพวกท่านทั้งสองแล้ว”

 

 

ทั้งสองคนเห็นนางไม่อยากพูด ก็ไม่ถามให้มากความ คุยเรื่องสัพเพเหระอื่นอย่างสนุกสนาน เมิ่งเชี่ยนโยวบอกอันอี่หยวน หลังจากเมิ่งอี้เซวียนสอบระดับอำเภอเสร็จ นางจะกลับไปซื้อที่ดินร้างปลูกมันฝรั่ง หากว่าราบรื่น ฤดูร้อนก็จะเก็บเกี่ยวมันฝรั่งจำนวนมากได้แล้ว

 

 

อันอี่หยวนยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เกรงใจ จะต้องขายมันฝรั่งแผ่นทอดให้ตนเอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับปากเต็มคำ

 

 

ผ่านไปหนึ่งชั่วยามได้ เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนถึงจากไปอย่างอิ่มเอม

 

 

หลังจากพวกเขาจากไป เมิ่งอี้เซวียนเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ถามนางอย่างปวดใจ “เจ้าได้รับบาดเจ็บ?” เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงัน ถึงนึกได้ว่าเขาคงได้ยินเรื่องที่ตนเองพูดกับเซี่ยเจียงเฟิงใต้โรงเตี๊ยม พูดปลอบโยนเขา “โดนนิดหน่อยเท่านั้น ไม่เป็นไร”

 

 

เห็นเขาไม่เชื่อ รีบร้อนพูดอีก “ไม่เชื่อเจ้าถามพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ก็ถูกตีเล็กน้อยเช่นกัน”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหันไปมองเมิ่งเสียน

 

 

เมิ่งเสียนกำลังจะพูดว่าเจ็บมาก กลับเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา พยายามส่งสัญญาณให้เขาพูดว่าไม่เป็นไร จึงเม้มปากฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “คนรับใช้พวกนั้นไม่มีวรยุทธ์ ตีแล้วไม่เจ็บ”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนมองเขาอย่างแคลงใจแวบหนึ่ง พูดเสียงแผ่ว “ข้าช่วยดูให้พี่ใหญ่หน่อยดีกว่า จะได้ใส่ยาด้วย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวเรื่องแตก รีบร้อนพูด “ออกมาครั้งนี้ข้าไม่ได้เอายามาด้วย”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนยิ่งมองนางอย่างเคลือบแคลงใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มร้อนตัว แสร้งพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดรำคาญ “พวกเราบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ เจ้าจะเป็นห่วงอะไรหนักหนา ยังไม่รีบไปทบทวนตำราอีก พรุ่งนี้สอบระดับอำเภอไม่ผ่านคอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนรีบร้อนไปอ่านตำราทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจโล่งอก

 

 

เมิ่งเสียนห็นอาการของนาง ก็หลุดขำ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมายังห้องตนเอง เริ่มรู้สึกเจ็บที่หลังของตัวเอง แอบด่าตัวเองในใจ ช่วงเวลานี้ตามใจตัวเองจนเหลิง อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านี้ยังรู้สึกเจ็บ คิดถึงตอนฝึกซ้อมในชาติก่อนได้รับบาดเจ็บทุกวัน บาดเจ็บหนักกว่านี้หลายเท่า ยังไม่รู้สึกเจ็บเหมือนเช่นในตอนนี้ แล้วทิ้งตัวฟุบไปบนเตียง คิดจะพักสักประเดี๋ยว ไม่ทันไรก็สะลึมสะลือหลับไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเสียงอึกทึกหนึ่งทำให้ตื่น ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองนอนหลับไปบนเตียง ร้องสบถเสียงต่ำ รีบร้อนยันกายขึ้น ออกมาที่ห้องพักข้างๆ ค่อยๆ เคาะประตูห้อง ร้องถามเสียงเบา “พี่ใหญ่ อี้เซวียน พวกท่านอยู่หรือไม่?”

 

 

เมิ่งเสียนเปิดประตูห้องออก เห็นท่าทีเพิ่งตื่นนอนของนาง ถามขึ้น “เจ้าตื่นเพราะเสียงอึกทึกด้านนอกใช่หรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าถาม “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีเสียงดังเช่นนั้น?”

 

 

เมิ่งเสียนตอบ “เจ้าหน้าที่คุมตัวนักโทษเดินผ่านไปตามถนน ผู้คนมากมายล้อมมุงดู เสียงวิพากษ์จึงดังอย่างเลี่ยงไม่ได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเช่นนั้น รีบเดินไปเปิดหน้าต่าง มองออกไปด้านนอก เห็นนายทหารกำลังตะคอกใส่นักโทษสิบกว่าคนให้รีบเดินไปบนถนน เดินไปก็ตวาดไป “ยังไม่รีบเดินอีก? โอ้เอ้นักจะต้องให้เฆี่ยนก่อนใช่ไหม?” พูดจบ ใช้แส้ในมือฟาดชายฉกรรจ์ที่อยู่ข้างกาย

 

 

ชายฉกรรจ์มองเขาด้วยแววตาเคียดแค้น

 

 

เจ้าหน้าที่รัฐเห็นเขาจนถึงตอนนี้ยังกล้าใช้สายตาเช่นนี้มองตัวเอง จึงใช้แส้ฟาดเขาอีกครั้ง พูดอย่างเห่อเหิม “เฮอะ ไม่ยอมใช่ไหม ไม่ยอมแล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้? เจ้าคิดว่าตนเองยังเป็นคุณชายสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนชื่อเสียงลือเลื่องนักอีกเรอะ? ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงทาสหลวงที่รอขายออกไปของทางการ” พูดจบใช้แส้ฟาดเขาไม่ยั้งอีกครั้ง

 

 

ชายฉกรรจ์ไม่หลบหลีก ทั้งไม่ส่งเสียงร้อง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่หลุบนัยน์ตา

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเห็นชายฉกรรจ์ถูกแส้ฟาดหลายครั้งติดครั้ง พูดด้วยความเห็นใจ “ถูกเฆี่ยนด้วยแส้เช่นนี้ พวกเขาจะต้องเจ็บปวดอย่างมาก น่าสงสารยิ่งนัก”

 

 

เมิ่งเสียนเห็นสภาพของพวกเขา ก็พูดอย่างสงสาร “ไม่รู้ว่าพวกเขากระทำความผิดอะไร ถึงกับถูกลดขั้นเป็นทาสหลวง ข้าเคยเห็นในหนังสือ ทาสหลวงน่าสังเวชที่สุด สามารถถูกด่าว่าทุบตี ซื้อขายได้ตามใจ ต่อให้ถูกข่มเหงรังแกจนตาย ก็ไม่มีใครสนใจ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับ พูดกับคนทั้งสอง “ข้าจะลงไปดู”

 

 

พูดจบสาวเท้าเดินออกไป

 

 

เมิ่งเสียนคิดจะห้ามนาง แต่นางเดินออกไปแล้ว เขาเริ่มเป็นห่วง อยากตามออกไป แต่ไม่วางใจทิ้งเมิ่งอี้เซวียนไว้คนเดียวในห้อง จำต้องมานั่งที่หน้าต่าง เฝ้ามองดูเหตุการณ์ด้านนอกต่อ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินลงมา แม้แต่เสี่ยวเอ้อโรงเตี๊ยมที่ส่งเสียงทักทายก็ไม่สนใจ เดินออกไปหน้าถนน ตามทิศทางของกลุ่มคนมาถึงหน้ากลุ่มคนพวกนั้น มองประเมินชายฉกรรจ์ที่ถูกเฆี่ยนตีเมื่อครู่อย่างละเอียด เห็นเขามีร่างกายกำยำ รอบเอวกว้างหนา มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนมีวรยุทธ์ ฝีเท้าหนักแน่น ราวกับแส้ที่ฟาดลงมาหลายครั้งเมื่อครู่ ไม่ได้กระทบถูกตัวเขา ทว่าในตอนนี้กลับมีใบหน้ากลัดกลุ้ม มักจะคอยมองหญิงสาวและเด็กที่ถูกต้อนมาด้วยกันข้างกาย สะท้อนแววตารวดร้าวใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจับจ้องพฤติกรรมทั้งหมดนี้ ทั้งมองประเมินหญิงสาวและเด็กข้างกายเขาหลายครั้ง ถึงหยุดฝีเท้า มองดูพวกเขาค่อยๆ จากไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด