ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 164-2 คุยเรื่องแต่งงาน

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 164-2 คุยเรื่องแต่งงาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินสิบตำลึงออกมา แอบมอบให้กุนซือ พูดว่า “เรื่องในวันนี้โชคดีได้ท่านกุนซือบอกข้า เงินเล็กน้อยนี้ท่านรับไว้เถอะ เอากลับไปซื้อเหล้าดื่ม หวังว่าต่อไปหากมีเรื่องอะไรท่านกุนซือจะบอกพวกเราล่วงหน้าก่อน” 

 

 

กุนซือดีใจยิ่ง ไม่ได้บอกปัด รีบนำเงินใส่ชายเสื้อตัวเอง ยกยิ้มพูด “แน่นอนๆ” 

 

 

ทั้งสองคนนั่งรถม้ากลับมาถึงบ้าน เมิ่งต้าจินมุ่งหน้าไปสถานที่ปลูกเรือน เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมายังที่ดินร้าง 

 

 

เมิ่งเสียนที่ได้แต่กลัดกลุ้มว้าวุ่นใจ พอเห็นนางกลับมา รีบเข้าไปถามไถ่ “น้องสาว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกระซิบตอบ “พี่ใหญ่ ไม่เป็นอะไร กลับไปข้าค่อยเล่าให้ฟัง” 

 

 

เมิ่งเสียนจึงไม่เค้นถามอีก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินวนรอบที่ดินร้าง กลุ่มคนที่มาทำงานต่างร้องทักทายนาง นางขานรับทุกคน แล้วเปล่งเสียงดังพูด “เมื่อครู่ข้าไปที่ศาลาว่าการมา ผู้ว่าการบอกว่าเรื่องในวันนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ภายหน้าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก พวกท่านทำงานอย่างสบายใจ ทำความสะอาดที่ดินให้เสร็จโดยไวเถอะ” 

 

 

แม้ว่าเมื่อครู่คนทั้งหมดจะได้ยินเจ้าหน้าที่บอกว่าที่ดินผืนนี้ทำรางวัดถูกต้องแล้ว แต่พอเห็นเมิ่งต้าจินและเมิ่งเชี่ยนโยวออกไปพร้อมกุนซือ หัวใจก็ยังเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ กลัวงานที่เพิ่งได้ทำจะหลุดลอย ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ในที่สุดก็วางใจลง เร่งมือทำงานอย่างแข็งขัน 

 

 

พวกอู๋ต้าทั้งห้าคนและพวกจางมู่อีกห้าคนก็ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างพวกเขาพูดว่า “นับแต่พรุ่งนี้ไป ให้พวกเจ้าสิบคนมารวมตัวกันที่หน้าประตูบ้านข้ายามเฉิน[1]ปลายทุกวัน ข้ามีเรื่องจะให้พวกเจ้าทำ จำไว้ ห้ามมาสาย” 

 

 

ทั้งสิบคนพยักหน้าขานรับคำ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินออกไป 

 

 

หลี่หลิ่วเห็นนางไปไกลแล้ว ถึงยื่นหน้าไปกระซิบถามอู๋ต้า “พี่ใหญ่ ท่านว่านายหญิงจะให้พวกเราทำอะไร?” 

 

 

อู๋ต้าขมวดคิ้วมุ่น ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้” 

 

 

จางซานตกใจถาม “นายหญิงจะให้พวกเราไปตัดฟืนบนเขาหรือเปล่า?” 

 

 

อู๋ต้าตบกลางกระหม่อมเขา “มีสมองบ้างไหม ตอนนี้โรงงานปิดแล้ว นายหญิงจะเอาฟืนไปทำอะไรอีก?” 

 

 

จางซานลูบศีรษะที่เจ็บตุ๊บๆ พูดว่า “ก็จริง” 

 

 

โจวอู่หยั่งเชิงพูดขึ้น “นายหญิง จะลงโทษพวกเราหรือเปล่า” 

 

 

หลี่ลิ่วพูดแย้ง “เป็นไปไม่ได้ ช่วงเวลานี้พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไร?” 

 

 

ซุนเอ้อไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเป็นเรื่องอะไรกันแน่?” 

 

 

อู๋ต้าถลึงตาใส่คนทั้งหมด “จะเรื่องอะไรเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็รู้เอง พวกเจ้ายังไม่รีบทำงาน ถ้านายหญิงมาเห็นพวกเราซุบๆ ซิบๆ กัน ไม่แน่ว่าไม่ต้องให้ถึงพรุ่งนี้พวกเราก็จะถูกลงโทษก่อน” 

 

 

ทั้งสี่คนได้ยินคอหัวหด รีบลงมือทำงาน 

 

 

หลังจากเดินวนรอบที่ดิน เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับมาขึ้นรถม้า สั่งการเหวินเปียวกลับบ้าน ทั้งพูดกับเขาว่า “เจ้าไปบอกเหวินหู่ นับแต่วันพรุ่งนี้ไป ข้าหาคนมาจำนวนหนึ่ง ให้เขาช่วยฝึกสอนพวกเขาหน่อย ช่วงเริ่มต้นไม่เรียกร้องสูง ให้พวกเขาวิ่งรอบภูเขาลูกใหญ่ตรงหน้าวันละห้ารอบก่อน รอจนพวกเขามีพละกำลังพร้อมแล้ว ค่อยสอนกระบวนท่าพื้นฐานให้พวกเขา” 

 

 

เหวินเปียวรับคำอย่างนอบน้อม 

 

 

เช้าวันถัดมา ทั้งสิบคนมาที่หน้าประตูใหญ่ตรงตามเวลา เมิ่งเชี่ยนโยวและเหวินหู่รออยู่หน้าประตูแล้ว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบอกพวกเราเรื่องที่จะฝึกสอนพวกเขา ทั้งสิบคนร้องโหยหวนฉับพลัน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มแวบหนึ่ง ทั้งสิบคนหุบปากสนิททันที ยืนยืดตัวตรงอย่างเชื่อฟัง 

 

 

ตอนเหวินหู่อยู่ในสำนักคุ้มภัย ยามว่างจะฝึกสอนลูกศิษย์ในสำนักคุ้มภัย ย่อมรู้ว่าจะต้องฝึกสอนพวกเขาอย่างไร พลันชักสีหน้าเข้ม ออกคำสั่งพวกเขา “ตอนนี้ ให้ทุกคนวิ่งให้เสร็จในหนึ่งชั่วยาม หากใครวิ่งไม่เสร็จ ห้ามกินอาหารเช้า” 

 

 

เบื้องหน้ามีเมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อพวกเขา เบื้องหลังถ้าวิ่งไม่เสร็จจะไม่ได้กินอาหารเช้า พวกอู๋ต้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน วิ่งควบตรงไปยังภูเขาใหญ่ตรงหน้า เหวินหู่ตามไปร้องห้ามพวกเขา “เริ่มต้นอย่าเพิ่งวิ่งเร็วเช่นนั้น ภายหลังจะหมดเรี่ยวแรงได้” 

 

 

ทั้งสิบคนได้ยินลดความเร็วลง วิ่งเหยาะตามเหวินหู่ไป 

 

 

รอพวกเขาวิ่งเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาลานใหญ่ เห็นเหวินเปียวกำลังฝึกสอนวรยุทธ์ 

 

 

เหวินเปียวรู้จักแต่การออกอาวุธเต็มกำลัง จึงเริ่มฝึกสอนพวกเขาด้วยวิชาพื้นฐานก่อน ยังดีที่เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนได้รับการฝึกสอนจากเมิ่งเชี่ยนโยวมาระยะหนึ่งแล้ว เรียนรู้วิชาพื้นฐานได้อย่างแข็งแรงดุดัน ต้องถูกฝึกซ้อมอีกครั้งก็ไม่เกรงกลัว มีแต่ซุนเหลียงไฉที่รับไม่ไหว ช่วงเวลาหลายวันที่มาอยู่ที่นี่เมิ่งเชี่ยนโยวเอาแต่ให้เขาวิ่ง ไม่ได้ฝึกสอนอะไรจริงจังให้เขา ตอนนี้ต้องถูกเหวินเปียวฝึกสอนอย่างเข้มงวด ก็รับไม่ไหว ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันจึงผอมลงไปมาก 

 

 

หลังการฝึกวิชาพื้นฐาน จะมีเวลาพักผ่อนครู่สั้นๆ ซุนเหลียงไฉหายใจกระหืดกระหอบนอนแผ่หลาบนพื้นอย่างไม่สนใจใคร 

 

 

เมิ่งเสียนและน้องสองคนผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เตรียมตัวรับการฝึกรอบต่อไป 

 

 

เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา เหวินเปียวทักทายนางอย่างอ่อนน้อม “นายหญิง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?” 

 

 

เหวินเปียวตอบ “มีคุณสมบัติดี โดยเฉพาะคุณชายอี้เซวียน มีพรสวรรค์สูง หากได้อาจารย์ดีชี้แนะ คิดว่าไม่กี่ปีก็จะเอาชนะข้าได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวประหลาดใจ “เขาก็มีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์สูงส่ง?” 

 

 

เหวินเปียวพยักหน้ายืนยัน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิด ยิ้มพูด “ข้าให้พวกเขาเรียนวรยุทธ์เพื่อเวลาถูกลอบโจมตีพวกเขาจะได้ป้องกันตัวเองได้ มิได้จะให้พวกเขามีฝีมือสูงส่ง มีท่านสอนสั่งก็เพียงพอแล้ว” 

 

 

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม อู๋ต้าและพวกกลับไม่ได้วิ่งกลับมา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนรอหน้าประตูอย่างอดทน ผ่านไปอีกสองเค่อ ถึงได้เห็นคนทั้งหมดลากเท้าวิ่งโซซัดโซเซ ตัวโยกตัวคลอนกลับมา 

 

 

พอวิ่งมาถึงเบื้องหน้านาง ทุกคนแทบจะเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ไม่เหลือความกลัวเกรง ต่างนั่งแผ่ไปกับพื้น 

 

 

เหวินหู่ที่มีใบหน้าเรียบเฉยคิดจะตวาดพวกเขา ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวห้ามไว้ 

 

 

ครู่ใหญ่อู๋ต้าถึงหายใจสม่ำเสมอ ถามอย่างน่าเวทนา “นายหญิง พวกเรายังมีข้าวกินหรือไม่?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนกลั้นหัวเราะ เอ่ยปากพูด “มี!” 

 

 

คนทั้งหมดพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ดีๆ มีของกินก็ดี” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเช่นนั้นชักสีหน้าเข้ม “หากพรุ่งนี้พวกเขามาช้าแบบนี้อีก จะไม่มีข้าวกินจริงๆ” 

 

 

คนทั้งหมดรับประกัน “ไม่แล้ว นายหญิง พรุ่งนี้พวกเราจะต้องวิ่งเร็วกว่านี้” 

 

 

กินข้าวเช้าเสร็จ ยังคงเป็นเหวินเปียวและเหวินหู่ไปส่งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไปโรงเรียน เมิ่งเชี่ยนโยวค้นคว้าปรุงยารักษารอยแผลเป็น 

 

 

กลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนเข้ามาทำงาน หลังจากหยิบวัตถุดิบที่ต้องเองต้องใช้ หญิงสาวคนหนึ่งนั่งเย็บไปพลางพูดขึ้น “พวกเจ้าได้ยินหรือยัง? ไม่รู้เพราะอะไรหลิวกุ้ยถึงถูกผู้ว่าการโบยยี่สิบไม้ คนในครอบครัวต้องไปจ้างรถเทียมเกวียนพาเขากลับมาในสภาพร่อแร่” 

 

 

ผู้หญิงอีกคนรับคำ “เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมา คนที่เห็นบอกว่าหลิวกุ้ยถูกโบยจนเนื้อที่ก้นแตกเหวอะหวะ นอนฟุบไม่ขยับบนรถเทียมเกวียน คนที่เห็นในตอนนั้นยังคิดว่าเขาตายไปแล้ว ตกอกตกใจกันใหญ่” 

 

 

ผู้หญิงข้างๆ อดไม่ได้ พูดขึ้น “ไม่รู้ว่าเขาไปล่วงเกินอะไรผู้ว่าการ ถูกโบยจนมีสภาพน่าสังเวชแบบนี้ น่าสงสารจริงๆ” 

 

 

ผู้หญิงคนก่อนหน้าพูดอย่างไม่เห็นด้วย “เขามีอะไรน่าสงสารกัน เขาเป็นผู้ใหญ่บ้านมาหลายปี มีครอบครัวไหนมีเรื่องไปขอร้องเขาแล้วไม่ถูกรีดนาทาเร้นบ้าง เขาสมควรได้รับจุดจบเช่นนี้นานแล้ว ยังมีภรรยาของเขา วันๆ เอาแต่เดินชูคอ มองพวกเราอย่างดูถูกดูแคลน ข้าว่านะ ผู้ว่าการน่าจะลงทัณฑ์นางไปด้วย” 

 

 

พอคิดถึงพฤติกรรมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของภรรยาหลิวกุ้ย ผู้หญิงทั้งหมดก็รู้สึกเห็นพ้อง 

 

 

เมิ่งชื่อที่วันๆ ต้องยุ่งเรื่องเย็บกระเป๋านักเรียน ทำอาหารให้คนหมู่มาก แม้แต่ที่ปลูกเรือนยังไม่ค่อยได้ไป ย่อมไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ ได้ฟังก็ถามอย่างตกใจ “เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด?” 

 

 

ผู้หญิงที่นั่งใกล้นางที่สุดตอบว่า “เมื่อวานนี้อย่างไร ได้ยินว่าถูกตีตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว คนในครอบครัวเพิ่งได้รับข่าวช่วงบ่าย กว่าจะพากลับมาก็เป็นช่วงค่ำ ขากลับหลิวกุ้ยแทบจะไม่หายใจแล้ว” 

 

 

เมิ่งชื่อสะดุ้งตกใจ “ถูกลงโทษหนักเช่นนี้เลย? เขากระทำความผิดอะไรกันแน่?” 

 

 

ผู้หญิงทั้งหมดส่ายหน้า “ไม่รู้ ไม่มีใครกล้าถาม” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งต้าจินกลับมาถึงบ้าน ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคนในบ้าน เมิ่งชื่อย่อมไม่รู้เรื่องที่หลิวกุ้ยถูกโบยเกี่ยวข้องกับครอบครัวตัวเอง หลังจากคาดเดาต่างๆ นาๆ กับกลุ่มหญิงสาว ก็ลบเรื่องนี้ออกไปจากสมอง 

 

 

ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายผ่านไปอีกยี่สิบวัน ในที่สุดเรือนใหญ่ก็ปลูกเสร็จแล้ว มองจากด้านนอก มีความโอ่อ่ากว่าคฤหาสน์ของเศรษฐีในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง ยามที่คนในหมู่บ้านเดินผ่านหน้าประตู ต่างต้องหยุดฝีเท้าชื่นชมอย่างอดไม่ได้ 

 

 

วันที่การก่อสร้างเสร็จสิ้น เมิ่งจงจวี่ควบคุมความรู้สึกตื่นเต้นดีใจของตัวเองไม่อยู่ เดินพินิจวนรอบลานบ้านใหญ่ คิดว่าต่อไปตนเองก็จะได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่นี้แล้ว น้ำตาก็เอ่อคลอ 

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมิ่งต้าจินและภรรยา วันๆ เอาแต่คิดว่าตัวเองฝันไป 

 

 

และที่ดีใจที่สุดก็คือโหย่วเหริน พอเห็นเรือนหลังใหญ่โอ่อ่าสง่างามตรงหน้า คิดว่าต่อไปตนเองจะมีชื่อเสียง มีแต่คนมาให้ตนเองปลูกเรือนให้ไม่ขาด หัวใจก็พองโตพูดไม่ออก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการของเขา แกล้งพูดสัพยอก “ท่านอาโหย่วเหริน เมื่อท่านดีใจเช่นนี้ เช่นนั้นก็รับเงินค่าแรงลดน้อยลงเถอะ” 

 

 

การปลูกคฤหาสน์หลังใหญ่นี้ ใช้จ่ายเงินไปไม่น้อย โหย่วเหรินรู้แก่ใจดี บวกกับที่โรงงานสองแห่งของบ้านเมิ่งต้องปิดตัวลง ไม่มีรายรับ โหย่วเหรินจึงถือคำพูดนี้เป็นจริง พูดอย่างลำบากใจ “หากแม่นางขัดสนเรื่องเงินทอง เงินค่าแรงข้าให้ชะล่อไปก่อนได้ แต่ของคนอื่นไม่ได้ ครอบครัวพวกเขาต่างรอเงินค่าแรงนี้มาซื้อเสบียงกรอกหม้อ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน “ท่านอาโหย่วเหริน ข้าล้อท่านเล่น ท่านกลับคิดเป็นจริง ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางลดทอนการจ่ายเงินค่าแรงพวกท่าน” 

 

 

โหย่วเหรินโล่งอก ขยี้หัวหัวเราะแหะๆ 

 

 

เหวินเปียวยก**บบรรจุเงินเข้ามา เหวินซงหยิบสมุดบันทึกออกมา เมิ่งต้าจินทำการจ่ายเงินค่าแรงให้คนงานตามรายชื่อที่บันทึกในสมุด เริ่มจากช่างฝีมือที่โหย่วเหรินพามา แต่ละคนได้รับค่าแรงวันละห้าสิบอีแปะ งานก่อสร้างทั้งหมดสี่สิบห้าวัน ได้คนละสองตำลึงสองร้อยห้าสิบอีแปะ 

 

 

บรรดาช่างฝีมือไม่เคยได้เงินในคราเดียวมากเช่นนี้ รับเงินมาด้วยมือที่สั่นเทิ้ม 

 

 

ค่าแรงของแรงงานจับกังน้อยกว่ามาก ได้เพียงหนึ่งตำลึงสามร้อยห้าสิบอีแปะ ทว่าพวกเขาก็ดีใจไม่แพ้กัน ต้องรู้ว่าปลูกเรือนใหญ่เช่นนี้การไม่ติดเงินค่าแรงแรงงานจับกัง พวกเขายังไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน 

 

 

หลังจากจ่ายเงินค่าแรงให้คนงานที่โหย่วเหรินพามาเสร็จ ส่วนที่เหลือก็เป็นคนในหมู่บ้านตนเองแล้ว แม้แต่หญิงสาวที่เรียกมาทำอาหารก็ได้รับการคิดเงินค่าแรง 

 

 

สุดท้ายเหลือเหวินเปียว เหวินหู่และเหวินเป้า สามพี่น้องฝ่ายชายยังดี สะใภ้เหวินทั้งสามคนกลับจิตใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่เข้าใจทำไมเมิ่งเชี่ยนโยวต้องให้พวกนางเข้ามาด้วย 

 

 

พอเมิ่งต้าจินจ่ายเงินค่าแรงให้คนในหมู่บ้านเสร็จ ก็ขานชื่อต่อ “เหวินซง หนึ่งตำลึงสามร้อยห้าสิบอีแปะ” 

 

 

ครอบครัวเหวินต่างตะลึงพรึงเพริด 

 

 

เมิ่งต้าจินหยิบเงินค่าแรงที่นับเรียบร้อยแล้วออกมาจาก**บ ส่งให้เหวินซง 

 

 

เหวินซงนิ่งอึ้งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง หันหน้าเซื่องๆ ไปมองเหวินเปียว 

 

 

เหวินเปียวได้สติกลับมาก่อน ลนลานพูดขึ้น “แม่นาง เหตุใดซงเอ๋อร์ถึงได้รับเงินค่าแรง?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ทุกวันเหวินซงมีหน้าที่จดบันทึกจำนวนคนที่มาเข้างาน ทั้งยังช่วยทำงาน เหตุใดถึงจะไม่มีค่าแรง?” 

 

 

เหวินเปียวพูดตะกุกตะกัก “ตะ แต่ว่าพวกเรา พวกเราเป็น” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตัดบทเขา “ไม่ต้องสนใจว่าพวกเจ้ามีสถานะเช่นไร ขอเพียงทำงานก็จะมีเงินค่าแรง ไม่เพียงครั้งนี้ จากนี้ไปก็จะจ่ายเงินค่าแรงให้พวกเจ้าทุกเดือน” 

 

 

ไม่คิดว่าคนที่ขายตัวเป็นทาสแล้วอย่างตนเองก็จะมีเงินค่าแรง สามพี่น้องเหวินตะลึงงันอีกครั้ง สะใภ้เหวินทั้งสามกลับปิติยินดี แม้จะรู้ว่าแม่นางจิตใจดี ไม่เคยให้พวกนางต้องอดๆ อยากๆ แต่การมีเงินในมือบ้างจะได้สะดวกยิ่งขึ้น 

 

 

เมิ่งต้าจินจับมือเหวินซง วางเงินค่าแรงใส่มือเขา ขานเรียกต่อ “สะใภ้ใหญ่บ้านเหวิน หนึ่งตำลึงสามร้อยห้าสิบอีแปะ” 

 

 

ภรรยาเหวินเปียวเดินขึ้นหน้าไปรับเงินอย่างปิติ เหวินซงถือเงินค่าแรงเดินมาตรงหน้าเหวินเปียวอย่างปลามปลื้ม ร้องเรียกด้วยความตื้นตัน “ท่านพ่อ” 

 

 

เหวินเปียวพยักหน้า “เก็บไว้ เอาไปซื้อของที่ตัวเองชอบ” 

 

 

เหวินซงดีอกดีใจ นำเงินค่าแรงใส่อกเสื้อตัวเอง 

 

 

หลังจากสะใภ้ทั้งสามคนรับเงินค่าแรงเสร็จ เมิ่งต้าจินก็ขานเรียกอีก “เหวินเปียว สามตำลึง” 

 

 

กลุ่มคนส่งเสียงสูดลมหายใจ 

 

 

เหวินเปียวถลึงตาโต มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เชื่อ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “แต่ละวันเจ้างานเยอะที่สุด เงินค่าแรงย่อมมากที่สุด รีบเข้าไปรับเถอะ” 

 

 

เหวินเปียวปลื้มปริ่มใจ ร่างกำยำสูงใหญ่ดีใจจนน้ำตาเกือบไหลออกมา รีบร้อนพูด “ขอบคุณแม่นางๆ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องขอบใจ นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าสมควรได้ ขอเพียงพวกเจ้าทำงานตามหน้าที่ให้ดี ภายหน้าจะได้รับเงินค่าแรงมากกว่านี้” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ยามเฉิน(辰时) คือเวลา07.00-09.00น. 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด