ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 164-3 คุยเรื่องแต่งงาน

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 164-3 คุยเรื่องแต่งงาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากจ่ายเงินค่าแรงให้สามพี่น้องเหวินเสร็จ ทุกคนต่างก็แยกย้าย แม้แต่คนที่โหย่วเหรินหามาก็คว้าเครื่องมือของตัวเอง เตรียมตัวกลับบ้าน 

 

 

โหย่วเหรินเดินงกๆ เงิ่นๆ มาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ลูบหัวตัวเองไปมา พูดอย่างเก้อเขิน “แม่นางเมิ่ง ข้ามีเรื่องจะปรึกษา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองเขาแวบหนึ่ง พยักหน้า “เอาไปเถอะ” 

 

 

โหย่วเหรินตกตะลึง “แม่นางรู้ว่าข้าจะพูดอะไร?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เจ้าอยากได้ภาพวาดคฤหาสน์มิใช่หรือ? ข้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ มอบให้เจ้าก็แล้วกัน” 

 

 

โหย่วเหรินถามด้วยอารามยินดี “แม่นางบอกว่าจะมอบภาพวาดนี้ให้ข้า?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 

 

 

ตั้งแต่ครั้งแรกที่โหย่วเหรินเห็นภาพวาดนี้ ก็เอาแต่เฝ้าคะนึงหา คิดว่าต้องใช้เงินมากเท่าใดถึงจะซื้อภาพนี้มาเก็บไว้ได้ กระทั่งเมื่อวานถึงยอมตัดใจนำเงินทั้งหมดของครอบครัวที่มีราวยี่สิบตำลึงออกมา เตรียมใจไว้ว่าหากเมิ่งเชี่ยนโยวรังเกียจว่าน้อยเกินไป ไม่ยินยอมขายให้ ตนเองจะยอมแบกหน้าอ้อนวอนนาง ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับจะมอบภาพวาดนี้ให้ตนเองโดยไม่คิดเงิน ถามด้วยอารามตกใจ “แม่นางรู้หรือไม่ว่าภาพนี้มีมูลค่าเท่าใด?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “สำหรับข้า พอปลูกเรือนเสร็จ ภาพนี้ก็ไร้ประโยชน์ พอดีกับที่ท่านต้องการ ข้าจึงมอบให้ท่าน ถือเป็นสินน้ำใจ คราวหน้าหากบ้านพวกเราจะปลูกเรือนอีก ท่านจะได้มาช่วยพวกเราปลูกเรือนอย่างทุ่มเทเช่นนี้อีก” 

 

 

โหย่วเหรินตบหน้าอกร้องพูดทันควัน “แม่นางวางใจ หากครั้งหน้าแม่นางจะปลูกเรือนอีก ข้ารับประกันว่าจะสร้างให้งดงามยิ่งกว่าครั้งนี้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เช่นนั้นข้าก็ขอบคุณท่านอาโหย่วเหรินไว้ก่อน” 

 

 

โหย่วเหรินลูบหัวอย่างเก้อเขิน “ได้อาศัยผลบุญของเจ้า สมควรเป็นข้าที่กล่าวของคุณแม่นาง” 

 

 

ปลูกเรือนเสร็จแล้ว ไม่ช้าไม่นานก็จะได้ย้ายเข้าไป หญิงชราเมิ่งและภรรยาเมิ่งต้าจินมองดูเมิ่งเหรินที่สติสตังเลือนลอย คิดถึงเรื่องที่จะให้เขาแต่งงานอีกครั้ง ทั้งสองหารือกัน แล้วให้ภรรยาเมิ่งต้าจินไปหาสะใภ้ซุน ให้นางกลับไปถามบ้านฝ่ายแม่ พอจะให้อิงจื่อและเมิ่งเหรินแต่งงานกันเร็วขึ้นได้หรือไม่ 

 

 

สะใภ้ซุนย่อมรับปากทันควัน รีบร้อนกลับไปบ้านแม่ ปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อแม่และพี่ชายพี่สะใภ้ของตัวเอง 

 

 

พ่อแม่อิงจื่อเริ่มอาลัยอาวรณ์ “เร็วเกินไปหน่อยหรือไม่ อิงจื่อเพิ่งจะหมั้นหมาย อย่างไรก็ควรรอสักครึ่งปีค่อยให้พวกเขาได้แต่งงานกัน” 

 

 

สะใภ้ซุนพูดเตือนพวกเขา “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ข้าก็รู้ว่าให้อิงจื่ออาจจะแต่งงานเร็วไปเสียหน่อย แต่เมิ่งเหรินเป็นบุตรชายคนโตของสกุล หากเขาไม่แต่งงาน น้องๆ ลำดับต่อมาก็จะไม่ได้หมั้นหมาย อีกอย่าง อิงจื่อของพวกเราก็ไม่เด็กแล้ว หากเป็นครอบครัวอื่น คงแต่งงานมีลูกไปนานแล้ว เชื่อข้าเถอะ พวกท่านไม่ต้องลังเลแล้ว รีบตบปากรับคำ พอพวกเขาแต่งงานแล้ว เมิ่งเหรินจะได้ไปสอบซิ่วไฉอย่างสบายใจ” 

 

 

แม่ของอิงจื่อยังไม่ยอม สะใภ้ซุนจึงพูดเรื่องที่ครอบครัวพวกเขาเพื่อการแต่งงานครั้งนี้ ปลูกคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ในรัศมีหลายสิบหลี่นี้ก็หาไม่ได้ออกมา สุดท้ายพูดว่า “พวกเขามีความตั้งใจจริงอยากจะเกี่ยวดองกับพวกเรา เพื่อแต่งอิงจื่อเข้าบ้าน ตั้งใจปลูกเรือนหลังใหญ่ ข้าขอเตือนพวกท่าน พวกท่านอย่าให้ความอาลัยชั่วครู่ของตัวเองทำให้อิงจื่อพลาดการแต่งงานนี้ ต้องรู้ด้วยว่าตอนนี้สกุลเมิ่งร่ำรวยแค่ไหน คนไม่น้อยต่างอยากส่งบุตรสาวแต่งเข้าสกุลพวกเขา หากพวกท่านยังลังเลไม่รับปาก พวกเขาเกิดโมโหถอนหมั้น พวกท่านไม่มีทางได้เจอครอบครัวที่ดีแบบนี้อีก ชีวิตนี้ของอิงจื่อก็จะจบสิ้น” 

 

 

แม่ของสะใภ้ซุนได้ฟัง รีบพูดหว่านล้อม “แม่อิงจื่อ ข้ารู้ว่าเจ้าอาวรณ์อิงจื่อ แต่ลูกสาวก็โตแล้ว อย่างไรก็ต้องแต่งงาน ครอบครัวที่ดีเช่นนี้ บ้านอื่นให้จุดโคมไฟก็ยังหาไม่เจอ พวกเจ้าต้องคิดให้ดีๆ หากพลาดจากพวกเขาไปก็คงหาไม่ได้อีกแล้ว” 

 

 

แม่อิงจื่อแม้จะไม่อยากให้บุตรสาวแต่งออกไปเร็วเช่นนี้ แต่ก็รู้ดีว่าที่สะใภ้ซุนพูดมาเป็นความจริง สกุลดีเช่นนี้หากหลุดมือไป ชีวิตนี้ของอิงจื่อก็จบสิ้นแล้ว จึงเรียกอิงจื่อมาซักถามความเห็นนาง 

 

 

อิงจื่อหน้าแดงพูดว่าแล้วแต่บิดามารดา 

 

 

สะใภ้ซุนเห็นพวกเขายอมตกลงแล้ว ก็ให้ดีใจตบหน้าขา “ข้าจะกลับไปบอกพวกเขาเดี๋ยวนี้ รอให้พวกเขากำหนดวันดีได้ ข้าจะกลับมาบอกพวกเจ้า” 

 

 

แม่อิงจื่อกระซิบหารือ “น้องสาว เจ้าช่วยพูดกับพวกเขาหน่อยได้หรือไม่ ให้ขยับออกไปสักสองเดือน เรื่องแต่งงานกะทันหันเกินไป ข้ายังไม่ทันได้เตรียมสิ่งของสำหรับการแต่งงานไว้เลย” 

 

 

“แหม พี่สะใภ้ใหญ่” สะใภ้ซุนตอบ “นี่ก็เดือนสามแล้ว รอออกไปอีกสองเดือนก็เดือนหก มีใครแต่งงานเดือนหกกันบ้าง ข้าว่าพวกเขาจะต้องกำหนดวันแต่งงานภายในเดือนหน้า ท่านรีบตระเตรียมเถอะ ตอนงานหมั้นพวกเขาส่งผ้ามาหลายพับไม่ใช่หรือ? เชิญคนมาช่วยมากหน่อย ไม่กี่วันก็ทำเสร็จแล้ว” 

 

 

แม่อิงจื่อร้องโวยวาย “เร็วเช่นนี้เลย? พวกเขารีบร้อนเช่นนี้คงไม่ได้มีเรื่องปิดบังพวกเราดอกนะ” 

 

 

สะใภ้ซุนยิ้มพูด “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน ครอบครัวเขาเกิดเรื่องอะไรบ้างข้ารู้ดีที่สุด นอกจากเมื่อไม่นานมานี้เมิ่งเหรินมีปัญหาด้านสุขภาพ กลับมาอาศัยอยู่ในบ้าน อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” 

 

 

แม่อิงจื่อยิ่งเป็นกังวล ถามเสียงต่ำ “พวกเขารีบร้อนให้อิงจื่อแต่งงานเช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะเมิ่งเหรินเกิดเป็นโรคประหลาดดอกนะ” 

 

 

สะใภ้ซุนยิ้มแล้วดึงมือแม่อิงจื่อมาพูด “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว เมิ่งเหรินเป็นเด็กฉลาดแต่เด็ก คนในครอบครัวต่างหวังว่าเขาจะสอบขุนนางได้ ให้เขามุ่งมั่นทุ่มเท น้อยครั้งที่จะให้ไปทำไร่ไถนา ร่างกายของเขาย่อมบอบบางกว่าคนที่ทำงานตลอดปี หลายวันก่อนไม่ระวังตากลมเย็นเข้า ถึงได้กลับมารักษาตัวที่บ้าน” 

 

 

แม่อิงจื่อวางใจลง “ร่างกายบอบบางไม่เป็นไร ขอแค่ไม่มีโรคประหลาดก็พอ” 

 

 

สะใภ้ซุนหัวเราะรับประกัน “ร่างกายของเมิ่งเหรินไม่มีปัญหาแน่นอน อีกอย่าง อิงจื่อเป็นหลานสาวข้า ข้าจะคิดร้ายกับนางได้อย่างไร” 

 

 

พ่อแม่อิงจื่อถึงยอมวางใจลง 

 

 

สะใภ้ซุนกลับมาหมู่บ้านหวงอย่างไม่รอช้า แม้แต่บ้านก็ยังไม่กลับ ตรงมาที่บ้านใหญ่ทันที บอกภรรยาเมิ่งต้าจินว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ของตัวเองรับปากให้อิงจื่อแต่งงานเร็ววันขึ้น หลังจากกำหนดวันดีได้แล้ว ค่อยส่งข่าวที่แน่นอนไปให้พวกเขาอีกครั้ง 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินดีอกดีใจ หยิบเงินสองร้อยอีแปะมอบให้สะใภ้ซุนเป็นสินน้ำใจทันที สะใภ้ซุนไม่รับพูดว่า “อิงจื่อเป็นหลานสาวข้า ขอเพียงพอนางแต่งเข้ามาพวกเจ้าปฏิบัติต่อนางอย่างดีก็พอ สินน้ำใจพวกนี้ข้าไม่รับแล้ว” 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินจึงกล่าวขอบคุณอีกครั้ง 

 

 

สะใภ้ซุนเดินหน้าบานออกไป 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินรีบนำข่าวดีนี้บอกกับหญิงชราเมิ่งและเมิ่งเหริน 

 

 

หญิงชราเมิ่งตื่นเต้นบอกให้เมิ่งจงจวี่รีบไปพลิกปฏิทิน หาวันฤกษ์ดีออกมา 

 

 

เมิ่งเหรินกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เพียงนอนนิ่งอยู่บนเตียงมองหลังคาด้วยแววตาว่างเปล่า 

 

 

ความดีใจแทบระเบิดของภรรยาเมิ่งต้าจินเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอยในบัดดล ทอดถอนใจยาว แล้วเดินออกจากห้องไป 

 

 

ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่า ในที่สุดภูเขาร้างก็แผ้วถางเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวทำการตรวจสอบทุกตารางพื้นที่ พบว่าไม่มีปัญหา ให้เหวินเปียวและเหวินหู่แยกย้ายกันบังคับรถม้าคนละคันไปบรรทุกเมล็ดพันธุ์ฉั่งฉิกจากร้านยาเต๋อเหริน 

 

 

หลังจากที่เหวินซื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าสามารถคิดค้นยารักษารอยแผลเป็นให้ตนเองได้ ก็เอาแต่รอคอยการมาถึงของนาง ตอนนี้ได้ยินพนักงานรายงานว่านางเข้ามาแล้ว ก็ตะลีตะลานลงจากตึก กลับไม่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างไม่สบอารมณ์ “คนเล่า?” 

 

 

พนักงานตอบอย่างนอบน้อม “กำลังบรรทุกสิ่งของอยู่กับหมอชราที่หลังร้านขอรับ” 

 

 

เหวินซื่อเดินมาหลังร้าน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่หน้าประตู ร้องพูดเสียงดัง “ยายเด็กแสบ ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว หากเจ้ายังไม่มา ข้าได้อดใจไม่ไหวไปหาเจ้าที่บ้านแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงพูดเขา หันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจ หันกลับไปสั่งพนักงานบรรทุกเมล็ดฉั่งฉิกขึ้นรถม้าต่อ 

 

 

เหวินซื่อก็ไม่ใส่ใจ เดินมาเบื้องหน้านางยื่นมือออก “ยาเล่า?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งไม่เข้าใจ “ยาอะไร?” 

 

 

เหวินซื่อร้อนใจ พูดเสียงดังลั่น “ยารักษารอยแผลเป็น” 

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ตกใจหันมองเขาแวบหนึ่ง แล้วรีบก้มหน้าลง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ่อ” พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ยังปรุงไม่เสร็จ” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด