ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 165-1 พูดหว่านล้อม

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 165-1 พูดหว่านล้อม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เหวินซื่อไม่เชื่อ “นานขนาดนี้ยังปรุงไม่เสร็จ เจ้าคงไม่ได้โกหกข้านะ?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “โกหกท่านข้าจะได้ประโยชน์ใด?” 

 

 

เหวินซื่อสะอึกกึก 

 

 

หมอชราปิดปากกลั้นขำ 

 

 

เหวินซื่อเริ่มมีน้ำโห “ยายตัวแสบ จะบอกให้นะ หากเจ้าไม่ปรุงยารักษารอยแผลเป็นให้ข้า ภายหน้าข้าจะไม่หาเมล็ดฉั่งฉิกมาให้เจ้าอีก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แยแสสักนิด “พอข้าปลูกเองได้ เมล็ดพันธุ์ที่มีก็เพียงพอแล้ว ข้ายังต้องให้เจ้าไปหามาให้?” 

 

 

เหวินซื่อถูกขัดคอจนพูดไม่ออก 

 

 

หมอชราพ่นหัวเราะ 

 

 

พนักงานบรรทุกเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดเสียงต่ำกับหมอชรา แล้วกำชับเหวินเปียวและเหวินหู่ให้บังคับรถม้าออกไป 

 

 

ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวพูดขัดคอสองครั้ง เหวินซื่อทำหน้าเหยเกไม่พูดกับนางอีก ได้แต่ยืนไม่พอใจอยู่อีกด้าน เห็นนางกระซิบกระซาบกับหมอชรา ตะแคงหูอยากฟังว่าพวกเขาสองคนคุยอะไรกัน แต่จนใจที่เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวเบาเกินไป เขาไม่ได้ยินสักคำเดียว จึงหันมายืนตัวตรง รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวมากล่าวลาตอนจะจากไป ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับหมอชราเสร็จ ไม่แม้แต่จะมองเขาก็จากไปทันที 

 

 

เหวินซื่อโกรธตัวสั่น ยกเท้าจะตามไปเอาความกับนาง 

 

 

หมอชรารีบเข้ามาขวาง “นายท่าน ยารักษารอยแผลเป็นของแม่นางเมิ่งยังขาดหนึ่งตัวยาสมุนไพร รอให้นางหาได้ ก็จะปรุงได้สำเร็จเอง” 

 

 

เหวินซื่อหยุดชะงัก บ่นงึมงำเสียงเบา “ยายตัวแสบนี่ ขาดยาสมุนไพรหนึ่งตัวก็ไม่บอก ทำเอาข้านึกว่านางไม่อยากปรุงยาให้แล้ว” 

 

 

หมอชราก้มหน้าไม่พูดอะไร ในใจกลับค่อนขอด ทุกครั้งที่ท่านเจอแม่นางเมิ่งจะต้องร้องเรียกนางยายตัวแสบ นางยอมสนใจท่านก็แปลกแล้ว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเหวินเปียว เหวินหู่นำเมล็ดพันธุ์มายังภูเขาร้างด้วยกัน ให้คนงานขนย้ายเมล็ดพันธุ์ไปยังภูเขาลูกต่างๆ แล้วพูดกับคนของหมู่บ้านหลี่ “นับแต่วันนี้ไป พวกท่านทำงานรายวัน ได้วันละห้าสิบอีแปะ เพาะเมล็ดพันธุ์พวกนี้บนภูเขาให้ดี” 

 

 

ทุกคนยินดี 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “แต่ว่า พวกท่านต้องรับประกันว่าเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกนี้จะต้องขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ไม่เช่นนั้นจะหักเงินค่าแรงพวกท่านตามสมควร” 

 

 

คนหนึ่งใช้ความกล้าถาม “เมล็ดพันธุ์พวกนี้พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน จะรับประกันได้อย่างไรว่าจะปลูกขึ้น?” 

 

 

“ข้าจะสอนพวกท่านว่าต้องปลูกอย่างไร ขอเพียงรักษาระยะห่างและระยะแถวให้ดี เมล็ดพันธุ์นี้ปลูกขึ้นง่ายมาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 

 

 

คนทั้งหมดได้ยินก็เข้ามาลงชื่อ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขาลงชื่อเป็นครอบครัว แบ่งเขตแปลงแตกต่างกันให้พวกเขา แล้วสาธิตให้พวกเขาดูด้วยตัวเอง บอกพวกเขาว่าต้องปลูกอย่างไร ทั้งกำชับพวกเขา ช่วงแรก เมล็ดพันธุ์นี้ต้องการปริมาณน้ำที่เพียงพอ แนะพวกเขาให้คนในครอบครัวที่แข็งแรงกำยำเป็นคนหาบน้ำขึ้นมา เมล็ดพันธุ์พวกนี้จะได้ปลูกขึ้นมากยิ่งขึ้น 

 

 

ทุกคนเชื่อฟังคำแนะนำของนาง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตรวจดูระหว่างภูเขาแต่ละลูก คอยชี้แนะการปลูกฉั่งฉิกให้ชาวบ้าน หมดหนึ่งวัน เหนื่อยจนแทบจะไร้เรี่ยวแรงเดินเหิน กลับมาถึงบ้านอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แม้แต่ข้าวเย็นก็ไม่อยากกิน คิดจะกลับไปพักผ่อนในห้อง เมิ่งชื่อต้องร้องทักนาง “โยวเอ๋อร์ วันนี้ปู่เจ้าเข้ามา อยากปรึกษาเจ้าเรื่องงานแต่งงานของเหรินเอ๋อร์” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตกตะลึง ถามอย่างงุนงง “งานแต่งงานของพี่เมิ่งเหริน?” 

 

 

“ใช่สิ วันนี้ป้าใหญ่ให้สะใภ้ซุนกลับไปถามที่บ้านฝ่ายแม่แล้ว พ่อแม่อิงจื่อก็เห็นด้วยให้อิงจื่อรีบแต่งเข้ามา ท่านยายดีอกดีใจใหญ่ รบเร้าให้ท่านปู่เจ้าเลือกวันฤกษ์ดี จะได้ให้พวกเขาแต่งงานกันเร็วๆ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว “ให้เขาแต่งงานเวลานี้? จะดีต่ออิงจื่อหรือ?” 

 

 

เมิ่งชื่อถอนใจ “ท่านปู่เจ้าก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ถึงเข้ามาหารือกับเจ้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบแล้วท่านแม่ ข้าขอเข้าไปพักผ่อนครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จข้าจะไปบ้านใหญ่กับท่านพ่อ” 

 

 

เห็นสภาพอิดโรยของนาง เมิ่งชื่อเริ่มปวดใจ “ท่านปู่เจ้าก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ไม่เช่นนั้นไปพรุ่งนี้ก็ได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านยายกับป้าใหญ่ตระเตรียมเรื่องทุกอย่างแล้ว หากวันแต่งงานถูกกำหนด ทุกอย่างจะสายเกินไป” 

 

 

“เช่นนั้นเจ้ารีบกลับไปพักผ่อนก่อน พอแม่ทำอาหารเสร็จค่อยเรียกเจ้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้อง ชำระล้างเนื้อตัว เอนตัวลงบนเตียงเตา แล้วก็หลับไปทันที 

 

 

เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จ เมิ่งเอ้ออิ๋นและลูกๆ ก็กลับมาจากที่ดินร้างแล้ว ไม่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยว นึกว่านางยังไม่กลับ ถามอย่างเป็นห่วง “มืดค่ำป่านนี้เหตุใดโยวเอ๋อร์ยังไม่กลับมาอีก?” 

 

 

เมิ่งชื่อชี้ไปในบ้าน “กลับมาแล้ว เหน็ดเหนื่อยมาก กำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนมีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่ามาตลอด ไม่เคยเหนื่อยล้าเช่นนี้มาก่อน เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ยินก็ให้ปวดใจ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องเรียกนางแล้ว ให้นางหลับสบายสักตื่น นางตื่นเมื่อไหร่ค่อยทำอาหารให้นางกิน” 

 

 

เมิ่งชื่อส่ายหน้า “ไม่ได้ วันนี้ท่านพ่อเข้ามาปรึกษาโยวเอ๋อร์เรื่องงานแต่งของเหรินเอ๋อร์ อีกประเดี๋ยวโยวเอ๋อร์ยังต้องไปบ้านใหญ่” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ฟังก็ตกใจ คิดจะถามอีก เมิ่งชื่อก็เดินเข้าไปเรียกคนในบ้านแล้ว 

 

 

แม้จะนอนหลับลึก แต่ความคุ้นชินที่ถูกฝึกฝนมาหลายปีทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงรู้สึกตัวทันทีที่เมิ่งชื่อก้าวพ้นประตูเข้ามา ถามงึมงำสะลึมสะลือ “ท่านแม่ ทำอาหารเสร็จแล้วหรือ?” 

 

 

เมิ่งชื่อรับคำ “ทำเสร็จแล้ว รีบลุกขึ้นมากินเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ในห้องมืดสนิท จัดแจงเสื้อผ้าเล็กน้อย ก็เดินตามเมิ่งชื่อออกมาถึงห้องครัว 

 

 

ได้หลับไปพักหนึ่ง เรี่ยวแรงฟื้นคืน เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเก่า พอกินอาหารค่ำเสร็จ ก็ไปบ้านใหญ่พร้อมเมิ่งเอ้ออิ๋น 

 

 

บรรยากาศในบ้านใหญ่แปลกประหลาด ภรรยาเมิ่งต้าจินอยู่ในห้องหญิงชราเมิ่งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เห็นพวกเขาสองคนเข้ามา ก็ไม่ได้พูดทักทายพวกเขาเหมือนก่อน เพียงแค่ฝืนยิ้มให้พวกเขา เมิ่งต้าจินกลับเงียบขรึม หญิงชราเมิ่งสีหน้าไม่สู้ดี มีเพียงเมิ่งจงจวี่ที่พูดกับทั้งสองคนอย่างยินดี “พวกเจ้ามาแล้ว นั่งลงก่อนเถอะ” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นรู้สึกถึงบรรยากาศอึมครึมภายในบ้าน ถามขึ้น “ท่านพ่อ ท่านแม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” 

 

 

หญิงชราเมิ่งตอบอย่างฉุนเฉียว “ก็พ่อเจ้านะสิ วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าฝากสะใภ้ซุนไปถามบ้านฝ่ายแม่นาง ว่าพ่อแม่อิงจื่อยินดีจะแต่งเข้ามาเร็วขึ้นหรือไม่ แต่พ่อเจ้ากลับบอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ให้พวกเขาแต่งงานกัน บอกว่าสภาพเหรินเอ๋อร์ในตอนนี้จะทำให้อิงจื่อเสียเวลาไปทั้งชีวิต” 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินก็เม้มริมฝีปาก คล้ายมีเรื่องจะพูด 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดสนับสนุน “ข้าคิดว่าคำพูดของท่านปู่มีเหตุผล พี่เมิ่งเหรินในตอนนี้ไม่เหมาะจะแต่งงานจริงๆ” 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินมองนางอย่างประหลาดใจ คำพูดที่ปลายลิ้นก็ไม่ได้พูดออกมา 

 

 

หญิงชราเมิ่งกลับกระวนกระวายใจ แผดเสียงสูงขึ้น “เหรินเอ๋อร์ในตอนนี้ก็แค่สติสตังเลือนลอยไปบ้าง เหตุใดถึงไม่เหมาะจะแต่งงาน?” 

 

 

เมิ่งจงจวี่ตวาดนาง “เจ้าโวยวายใส่โยวเอ๋อร์ทำไม? มีอะไรค่อยๆ พูด” 

 

 

หญิงชราเมิ่งก็รู้สึกตัวว่าน้ำเสียงไม่น่าฟัง พูดอย่างรู้สึกผิด “โยวเอ๋อร์ ย่าร้อนใจเกินไป เลยพูดโพล่งออกไป เจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจเด็ดขาด” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านย่า ท่านไม่ต้องขอโทษ ข้าเข้าใจความรู้สึกท่าน” 

 

 

หญิงชราเมิ่งผ่อนคลายน้ำเสียง “เหรินเอ๋อร์ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้ว ตอนนี้ก็อยู่ที่บ้านพอดี ย่ากับป้าใหญ่เจ้าต่างก็คิดว่าให้เขาแต่งงานตอนนี้เหมาะสมที่สุด” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เห็นพ้องพูดว่า “ท่านย่าเป็นห่วงพี่เมิ่งเหริน ไม่มีอะไรติเตียนได้ แต่ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ สภาพของพี่เมิ่งเหรินในตอนนี้ หากอิงจื่อแต่งเข้ามา จะมีชีวิตที่ผาสุกหรือไม่”  

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินร้อนรนพูด “เหรินเอ๋อร์เพียงแค่ยังคิดไม่ตก พอแต่งงานไปก็จะดีเอง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ตอนนี้ไม่เพียงพี่เมิ่งเหรินคิดไม่ตก น่าจะยังเคียดแค้นพวกเรามากด้วย แต่เขาทำอะไรพวกเราไม่ได้ ทำได้เพียงนอนต่อต้านเงียบๆ อยู่บนเตียง แต่ถ้าแต่งงานก็จะไม่เหมือนกัน บางทีเขาอาจจะโยนบาปทั้งหมดนี้ไปที่อิงจื่อ ถึงตอนนั้นหากเขาด่าทอตบตีนาง ไม่เท่ากับว่าพวกเราทำร้ายอิงจื่อไปทั้งชีวิตหรือ?” 

 

 

หญิงชราเมิ่งไม่เห็นด้วยกับคำพูดนาง “ไม่มีทาง เหรินเอ๋อร์จิตใจดี ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด” 

 

 

“นั่นเป็นเมื่อก่อน เขาเต็มไปด้วยความหวัง คิดแต่ว่าตัวเองจะได้เข้าสอบขุนนาง ได้มีชื่อสลักบนป้ายทอง แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน พวกเราขัดขวางเส้นทางการสอบขุนนางของเขา เขาเคียดแค้นชิงชังพวกเรา ไม่แน่ว่าแม้แต่อิงจื่อก็ชิงชังไปด้วย ในตอนนี้ เราจะให้อิงจื่อแต่งเข้ามาได้อย่างไร?” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินเริ่มว้าวุ่นใจ “เช่นนั้นจะไม่ให้เหรินเอ๋อร์แต่งงานแล้ว?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไม่ใช่ไม่ให้พี่เมิ่งเหรินแต่งงาน แค่ตอนนี้เขายังไม่เหมาะจะแต่งงาน” 

 

 

“เช่นนั้นต้องรอไปถึงเมื่อไร?” ภรรยาเมิ่งต้าจินเค้นถาม 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “รอจนพี่เมิ่งเหรินได้สติรู้แจ้งแล้ว” 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินเผยอปาก กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร 

 

 

หญิงชราเมิ่งกลับพูดว่า “เหรินเอ๋อร์และอิงจื่อก็อายุไม่น้อยแล้ว ต่อให้พวกเราประวิงเวลาได้ ทางฝั่งอิงจื่อเกรงว่าจะเลื่อนออกไปไม่ได้แล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ดังนั้นวันพรุ่งข้าจะไปบ้านอิงจื่อ บอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมดให้อิงจื่อฟัง หากพวกเขาคิดจะถอนหมั้น พวกเราก็ยินดี” 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินร้องเสียงหลง “โยวเอ๋อร์ เหรินเอ๋อร์เป็นพี่ใหญ่เจ้า เจ้าจะพรากชีวิตสมรสของพวกเขาได้อย่างไร?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ป้าใหญ่พูดผิดแล้ว ข้าไม่ได้จะพรากชีวิตสมรสเขา ข้าเพียงบอกเรื่องนี้กับอีกฝ่าย ให้พวกเขาตัดสินใจเอง” 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินยังคงพูดเสียงแหลม “ทำเช่นนี้ไม่ใช่พรากชีวิตสมรสพวกเขายังจะเรียกว่าอะไร?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเน้นย้ำน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น “ป้าใหญ่ หากพวกเรารู้แก่ใจว่าหลังจากอิงจื่อแต่งเข้ามาจะต้องมีชีวิตขืนข่มระทมทุกข์ พวกเรายังจะให้นางแต่งเข้ามา มนุษยธรรมของเราเล่า ท่านทำใจได้หรือ? หากอิงจื่อเป็นบุตรสาวท่าน ท่านทำใจให้นางแต่งกับคนเช่นนี้ได้หรือ?” 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินเป็นใบ้พูดไม่ออก 

 

 

เมิ่งจงจวี่ตัดสินใจเด็ดขาด “ทำตามที่โยวเอ๋อร์พูด พรุ่งนี้ไปพูดเรื่องทั้งหมดที่บ้านอิงจื่อให้กระจ่าง หากพวกเขาต้องการถอนหมั้น พวกเราก็หมดคำพูด” 

 

 

เมิ่งต้าจินเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร 

 

 

เช้าวันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวไปภูเขาร้างเหมือนปกติ เฝ้าดูชาวบ้านปลูกฉั่งฉิกอย่างเข้มงวด ทั้งบอกข้อควรระวังในการปลูกอย่างละเอียดแก่จางจู้จางเกินและพ่อลูกผู้ใหญ่บ้าน ทั้งบอกว่าตอนบ่ายมีธุระมาไม่ได้ ให้พวกเขาช่วยตรวจตราพวกชาวบ้าน จะต้องให้พวกเขาทำตามข้อกำหนดที่นางบอกอย่างเคร่งครัด 

 

 

ทั้งสี่คนพยักหน้า ผู้ใหญ่บ้านรับประกัน “วางใจเถอะ แม่นางเมิ่ง พวกเราจะตรวจสอบพวกเขาตามความต้องการของเจ้า หากมีตรงไหนไม่ผ่านเกณฑ์จะให้พวกเขาทำใหม่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ตรวจตราดูภูเขาร้างแต่ละลูกอีกรอบ เห็นทุกคนต่างก็ปลูกฉั่งฉิกตามที่ตัวเองกำหนด จึงวางใจกลับบ้าน กินอาหารเที่ยงเสร็จ นำของขวัญจำนวนหนึ่งติดตัวไปด้วย แล้วให้เหวินเปียวไปยังหมู่บ้านซุน 

 

 

หลังจากพ่อแม่อิงจื่อรับปากจะให้อิงจื่อแต่งงานเร็วขึ้น ก็รีบร้อนเตรียมสิ่งของสำหรับแต่งงานให้นาง โดยเฉพาะฟูกนอนผ้าห่ม ล้วนต้องเตรียมไว้เนิ่นๆ แต่ยังดีที่ในชนบทมีข้อปฏิบัติหนึ่ง ไม่ว่าบ้านไหนแต่งบุตรสาว คนในหมู่บ้านจะเข้ามาช่วยเหลือทำฟูกนอนผ้าห่ม 

 

 

ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงบ้านอิงจื่อ มาทันหญิงสาวในหมู่บ้านมาช่วยอิงจื่อทำฟูกนอนผ้าห่มพอดี พอเห็นมีรถม้าจอดหน้าประตูบ้านอิงจื่อ ผู้หญิงคนหนึ่งก็พูดกับแม่อิงจื่อว่า “รถม้าคันนั้นตรงมาบ้านพวกเจ้า คงไม่ใช่บ้านที่เจ้าจะเกี่ยวดองด้วยมาหาดอกนะ?” 

 

 

แม่อิงจื่อเห็นรถม้าแล้ว ก็ให้คลางแคลงใจ ลนลานลุกขึ้นออกไปต้อนรับ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้าพอดี เห็นแม่อิงจื่อเข้ามา แย้มยิ้มพูด “ท่านป้า ข้าเป็นลูกผู้น้องเมิ่งเหริน ตั้งใจมาหาอิงจื่อ มีเรื่องอยากพูดกับนาง ไม่ทราบว่านางอยู่บ้านหรือไม่?” 

 

 

แม่อิงจื่อจำเมิ่งเชี่ยนโยวได้ กุลีกุจอพูด “อยู่ๆๆ ข้าจะไปตามอิงจื่อมาให้เดี๋ยวนี้ เจ้ารีบเข้ามานั่งในบ้านเถอะ” 

 

 

พูดจบหันตะโกนเข้าไปในบ้าน “อิงจื่อ มีแขกมาหา รีบออกมา” 

 

 

อิงจื่อกำลังต้มน้ำอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงตะโกนก็ออกมา พอเห็นเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบเข้ามาต้อนรับ พูดอย่างเป็นกันเอง “เจ้ามาแล้ว เร็ว เข้ามานั่งในบ้านเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปหยิบของขวัญบนรถม้า ยิ้มแล้วมอบให้อิงจื่อ “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า” 

 

 

แม่อิงจื่อโบกมือพัลวัน “ไม่ได้เด็ดขาด ของมีค่าเช่นนี้พวกเรารับไว้ไม่ได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านป้า ข้าและอิงจื่อเป็นเพื่อนรักกัน ท่านอย่าได้เกรงใจเลย” 

 

 

แม่อิงจื่อยังคิดจะปฏิเสธ อิงจื่อรับของขวัญมา พูดกับแม่ตัวเอง “ใช่ ข้ากับโยวเอ๋อร์เป็นเพื่อนรักกัน ไม่ต้องเกรงใจนาง” 

 

 

แม่อิงจื่อจำต้องรับของขวัญไว้ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้ารีบเข้าไปนั่งในห้องอิงจื่อเถอะ ข้าจะไปรินน้ำมาให้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและอิงจื่อกลับเข้ามาในห้อง แม่อิงจื่อยกน้ำสองถ้วยมาให้พวกเขา เห็นทั้งสองคนพูดคุยถูกคอ จึงถอยออกไป 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด