ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 165-2 พูดหว่านล้อม

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 165-2 พูดหว่านล้อม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

กลุ่มคนที่มาช่วยทำฟูกนอนผ้าห่มในลานบ้านเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวถือของขวัญงดงามหลายชิ้นเข้ามา อดริษยาไม่ได้ ตามทยอยถามแม่อิงจื่อ “แม่อิงจื่อ อิงจื่อโชคดีจริงๆ ได้แต่งงานกับครอบครัวที่ดีเช่นนี้ แค่มาเยี่ยมเยียนก็มีของติดมือดีขนาดนี้มาด้วย พออิงจื่อแต่งไปแล้ว พวกเจ้าจะได้เสวยสุขเสียที”

 

 

แม่อิงจื่อโบกมือ “พวกเจ้าไม่รู้อะไร นางเป็นลูกผู้น้องของบุตรเขยข้า เป็นบุตรสาวอารองของเขา ได้ยินน้องสามีข้าบอกว่าทำงานเก่งมาก เปิดโรงงานสองแห่ง จ้างคนจำนวนมากมาทำงาน ทว่า พวกเขาแยกครอบครัวกันนานแล้ว ดังนั้นบุตรเขยข้าหาได้ร่ำรวยอะไรไม่”

 

 

หญิงสาวนางหนึ่งพูดเสียงลั่น “แบบนั้นก็ดีมากแล้ว เมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเขาจะต้องช่วยเหลือกัน ฐานะบุตรเขยเจ้าก็คงไม่ได้แย่ไปกว่ากัน”

 

 

แม่อิงจื่อพยักหน้า “จุดนี้เจ้าก็พูดไม่ผิด ได้ยินว่าไม่นานมานี้พ่อสามีในอนาคตของอิงจื่อเพิ่งดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ตอนนี้ครอบครัวยังสร้างคฤหาสน์เป็นที่เลื่องลือไปทั่วละแวกใกล้เคียง ฐานะทางบ้านจะต้องไม่เลว แต่เพราะเหตุนี้ ข้าถึงว่าวุ่นใจ ครอบครัวที่ดีเช่นนี้ภายหน้าจะทอดทิ้งอิงจื่อของเราหรือไม่”

 

 

หญิงอีกคนพูดว่า “ไม่มีทางแน่นอน ข้าเห็นตอนหมั้นแล้ว บุตรเขยเจ้าและคนในครอบครัวเขาต่างก็พึงพอใจอิงจื่อมาก ข้าคาดว่าหลังจากอิงจื่อแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาคงไม่ปฏิบัติแย่ต่ออิงจื่อ”

 

 

หญิงอีกคนพูดสมทบ “ใช่ๆ บุตรเขยเจ้าเป็นบัณฑิตมิใช่หรือ? รู้หนังสือมีการศึกษา เจ้าวางใจเถอะ จะต้องปฏิบัติดีต่ออิงจื่อ”

 

 

แม่อิงจื่อพูด “ขอให้เป็นเช่นนั้น”

 

 

เสียงพูดคุยในลานบ้านดังแว่วเข้ามาถึงในห้องอิงจื่อ อิงจื่อเขินอายหน้าแดงฝาด แต่ก็ยังส่งยิ้มกว้างพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นลูกผู้น้องกับเขา ตอนปีใหม่ เจ้าไม่ได้ไปเยี่ยมหาน้าข้า แต่ไปดูข้าสินะ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็แย้มยิ้มยอมรับ “ใช่ ข้าไปเพื่อดูเจ้า ข้าแปลกใจว่าเจ้าจะเป็นผู้หญิงแบบไหน ก็เลยไปดู ไม่คิดว่าเราจะถูกชะตากันมาก”

 

 

อิงจื่อยิ้มพูด “ข้าก็รู้สึกว่าคุยกับเจ้าแล้วถูกคอ เห็นเจ้าเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ข้ายังคิดว่าครั้งหน้าไปบ้านท่านอาจะไปเที่ยวหาเจ้าด้วย ไม่คิดว่าตอนงานหมั้น เจ้ากลับมาพร้อมกับพวกเขา ตอนนั้นข้าตกใจมาก พอรู้ว่าเจ้าเป็นลูกผู้น้องเขา ข้ายังแอบตำหนิเจ้าในใจเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มตอบ “ดังนั้น เพื่อให้ภายหน้าเจ้าไม่ตำหนิข้าอีก วันนี้ข้าถึงตั้งใจมาพูดเรื่องหนึ่งกับเจ้า”

 

 

อิงจื่อถลึงดวงตาเบิกกว้าง ถามอย่างประหลาดใจ “พูดเรื่องอะไร?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนรอยยิ้ม ขบคิดครู่หนึ่ง บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเมิ่งเหรินเมื่อไม่นานมานี้กับนาง ทั้งเน้นย้ำกับนางว่า สภาพการณ์ในตอนนี้ของเมิ่งเหรินแย่มาก หากพวกเขาแต่งงานกัน จะเป็นการทำร้ายนางได้

 

 

อิงจื่อฟังจบ รอยยิ้มบนใบหน้าเหือดหาย ดวงตาหมองมัว นั่งไม่พูดไม่จาบนเก้าอี้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลองหยั่งเชิงพูด “อิงจื่อ เจ้าเป็นหญิงที่ดี ข้าทนเห็นเจ้าแต่งงานไปแล้วต้องมีชีวิตอับเฉาไม่ได้ ดังนั้นวันนี้ข้าถึงตั้งใจมาบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับเจ้า เจ้าไตร่ตรองให้ดีเถอะ งานแต่งงานนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ? หากเจ้าต้องการถอนหมั้น ฝ่ายพวกเราจะไม่ตำหนิว่าสักคำ”

 

 

อิงจื่อยังคงไม่พูดอะไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รบเร้านาง นั่งรอคำตอบนางเงียบๆ

 

 

แม่อิงจื่อนั่งอยู่ในลานบ้านคอยฟังความเคลื่อนไหวภายในบ้านมาตลอด เมื่อครู่ยังได้ยินเสียงพูดคุยสรวลเสของคนทั้งสอง ตอนนี้เสียงกลับเงียบหายไป จึงรีบลุกขึ้น แสร้งทำเป็นไปเติมน้ำเข้าไปตรวจดูความเคลื่อนไหวภายในห้อง

 

 

อิงจื่อเห็นแม่ตัวเองเข้ามา ดวงตาแดงก่ำ แม่อิงจื่อรีบถามเสียงเบา “อิงจื่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

 

 

อิงจื่อมองเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจำต้องพูดเรื่องที่เพิ่งพูดกับอิงจื่อออกมาอีกครั้ง

 

 

แม่อิงจื่อได้ฟังแล้วก็ตะลึงค้าง กาน้ำในมือร่วงหล่นพื้น เกิดเสียงดังก้อง

 

 

คนในลานบ้านได้ยินเสียงเอะอะ ร้องถามเสียงดัง “แม่อิงจื่อ เป็นอะไรหรือ?”

 

 

แม่อิงจื่อเรียกสติกลับมา ลนลานตอบ “ไม่มีอะไร ข้าไม่ระวังทำกาน้ำหล่นพื้น”

 

 

กลุ่มผู้หญิงในลานบ้านพูดหยอก “จะต้องมีเรื่องดีเกิดขึ้นอีกแล้ว ดูแม่อิงจื่อเถอะ ดีใจจนโยนกาน้ำทิ้งเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะเก็บกาน้ำขึ้นมา แม่อิงจื่อร้องเสียงหลง “อย่าแตะต้อง ข้าเอง!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้งตกใจ หดมือกลับ แม่อิงจื่อนั่งยองลงเซื่องๆ เก็บกาน้ำขึ้นมา วางบนโต๊ะในห้อง ตนเองก็นั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งข้างโต๊ะ

 

 

ภายในห้องปกคลุมไปด้วยความเงียบครู่ใหญ่

 

 

กลุ่มคนในลานบ้านก็เริ่มประหลาดใจ แม้จะหันหน้ามองกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปล่งเสียงซักถาม

 

 

ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ แม่อิงจื่อถึงเอ่ยคำประนาม “เสียแรงที่เขาเป็นบัณฑิต เขากระทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้อธิบาย

 

 

แม่อิงจื่อเห็นอิงจื่อได้รับความกระทบกระเทือนใจ พูดอย่างปวดใจ “ลูกที่น่าสงสารของแม่ ทำไมชีวิตเจ้าถึงอาภัพเช่นนี้ เดิมแม่คิดว่าหาคู่ครองที่ดีให้เจ้าได้แล้ว ไม่คิดว่ากลับกลายเป็นทำร้ายลูก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดหว่านล้อมนาง “ข้ามาวันนี้ก็เพื่อบอกพวกท่าน หากพวกท่านต้องการถอนหมั้น พวกเราก็จะไม่คัดค้าน”

 

 

น้ำเสียงแม่อิงจื่อเจือความฉุนเฉียว “เรื่องมาถึงตอนนี้เจ้าจะให้พวกเราถอนหมั้นอย่างไร? เจ้าไม่เห็นคนในลานบ้านมาช่วยทำฟูกนอนผ้าห่มจนเสร็จแล้วหรือ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านป้าข้ารู้ว่าเรื่องนี้พวกเราเป็นฝ่ายผิด ดังนั้นหากพวกท่านจะถอนหมั้น สิ่งของที่ส่งมาตอนหมั้นหมายพวกเราจะไม่รับคืน อีกอย่างพวกท่านยังไปบอกคนอื่นได้ด้วยว่าเป็นพวกท่านที่ไม่พึงใจพวกเราถึงถอนหมั้น”

 

 

“เจ้าพูดง่ายดายนัก ตอนหมั้นหมายพวกเจ้าจัดเตรียมขบวนมาอย่างใหญ่โต ตอนนี้คนทั้งละแวกนี้ต่างก็รู้ว่าอิงจื่อได้คู่ครองที่ดี หากไปบอกคนอื่นว่าพวกเราถอนหมั้นก่อน พวกเขาจะมองพวกเราอย่างไร? ต่อไปใครจะกล้ามาทาบทามสู่ขออิงจื่อของพวกเราอีก?” แม่อิงจื่อพูดอย่างเคืองขุ่น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดแต่ว่าหลังจากอิงจื่อแต่งงานมีแต่จะต้องระทมทุกข์ ไหนเลยจะคิดถึงปัญหานี้ ได้ยินดังนั้นก็พูดไม่ออก อึดใจหนึ่งถึงพูดว่า “เช่นนั้นพวกท่านคิดจะทำอย่างไร?”

 

 

อิงจื่อเงยหน้าขึ้น แม้ดวงตาจะยังแดงก่ำ กลับพูดอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่ถอนหมั้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่านางจะเลือกตัดสินใจเช่นนี้ ให้ฉงนใจ พูดหว่านล้อมนาง “อิงจื่อ เจ้าต้องคิดให้ดีนะ หากครั้งนี้เจ้าไม่ถอนหมั้น ภายหน้าจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”

 

 

อิงจื่อพยักหน้า “ข้ารู้ แต่ข้าก็ยังไม่คิดจะถอนหมั้น”

 

 

“เพราะอะไร?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม

 

 

อิงจื่อตอบ “แต่โบราณพ่อแม่เป็นคนจัดการ แม่สื่อเป็นผู้ดำเนินการ ข้าหมั้นหมายกับเขาแล้ว ก็คือฟ้าลิขิตแล้ว ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะดีหรือร้าย ข้าก็ยอมรับแล้ว”

 

 

แม่อิงจื่อไม่เห็นด้วย “อิงจื่อเอ๊ย เรื่องนี้เราต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อน เจ้าอย่าได้ตัดสินใจเร็วเช่นนี้”

 

 

“ท่านแม่ คนมากมายก่อนแต่งงานไม่เคยพบหน้ากัน พอแต่งไปก็ยังมีชีวิตที่มีความสุข อย่างน้อยข้าก็ได้เห็นว่าเขาเป็นคนอย่างไร รู้นิสัยใจคอเขา หากพวกเราแต่งงานกันจริงๆ ไม่แน่ว่าชีวิตจะไม่มีความสุข” อิงจื่อตอบ

 

 

แม่อิงจื่อยังคงไม่ยินยอม “แต่ตอนนี้เขาสอบซิ่วไฉไม่ได้แล้ว!”

 

 

อิงจื่อตอบ “สอบไม่ได้ก็ไม่ต้องสอบ พวกเรามีมือมีเท้า ต่อให้เขาสอบซิ่วไฉไม่ได้ พวกเราก็ไม่อดตาย อีกอย่าง ข้าไม่รู้อักษรสักตัว เช่นนี้เป็นพวกเราที่อาจเอื้อมเอง”

 

 

“อิงจื่อ เจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดไม่ออก

 

 

แม้ดวงตาจะแดงก่ำ อิงจื่อกลับยิ้มให้นาง “โยวเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีกับข้า ถึงหว่านล้อมให้ข้าถอนหมั้น แต่ข้าไม่อยากถอนหมั้นจริงๆ ไม่ว่าเขาจะดีหรือร้าย ข้าก็ยอมรับแล้ว”

 

 

แม่อิงจื่อก็ตาแดงเอ่อ “อิงจื่อที่น่าสงสารของแม่”

 

 

อิงจื่อพูดโอ้โลมนาง “ท่านแม่ ท่านควรจะยินดี ข้าได้เจอกับครอบครัวที่ดีเช่นนี้ มีแต่คิดแทนข้าทุกอย่าง ท่านคิดดู หากพวกเขาไม่บอกพวกเราเรื่องนี้ ข้าก็ต้องแต่งออกไปอยู่ดี ถึงตอนนั้นคนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างข้า ถึงจะต้องทนทุกขเวทนาอย่างแท้จริง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มหวั่นไหว แต่ก็ยังพูดหว่านล้อม “อิงจื่อ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงทั้งชีวิตของเจ้า เจ้าค่อยๆ ปรึกษากับคนในครอบครัวแล้วค่อยตัดสินใจเถอะ ข้ารับประกันกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าตัดสินใจอย่างไร ข้าก็สนับสนุนเจ้า”

 

 

อิงจื่อพยักหน้ายิ้ม “ขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยว”

 

 

หลังจากออกมาจากบ้านอิงจื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวบังคับรถม้าค่อยๆ เดินทางกลับ ตัวเองนั่งขบคิดเป็นนานอยู่บนรถม้า

 

 

รถม้ามาถึงบ้านใหญ่เมิ่งก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวบอกหญิงชราเมิ่งและภรรยาเมิ่งต้าจินที่รอคอยอย่างกระวนกระวายใจว่า อิงจื่อยังไม่ทำการตัดสินใจ เมื่อพวกเขาใคร่ครวญดีแล้ว จะส่งข่าวมาเอง

 

 

อย่างไรหญิงชราเมิ่งก็อายุมากกว่า พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็วางใจลงได้กึ่งหนึ่ง แอบกระซิบพูดกับภรรยาเมิ่งต้าจิน “ไม่ต้องเป็นห่วง งานแต่งของเหรินเอ๋อร์จะไม่ถูกยกเลิก”

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินไม่เข้าใจ “ท่านแม่ ท่านรู้ได้อย่างไร?”

 

 

หญิงชราเมิ่งกระซิบพูด “หากพวกเขาคิดจะถอนหมั้น จะต้องเอ่ยปากต่อหน้าโยวเอ๋อร์ ตอนนี้บอกว่าขอเวลาตัดสินใจ ความเป็นจริงก็คือต้องการหาที่ลงให้ตัวเองก่อน เจ้าวางใจเถอะ อีกไม่กี่วันพวกเขาจะต้องส่งข่าวมาบอกว่าจะไม่ถอนหมั้น”

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง รอคอยอย่างกระสับกระส่าย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้กลับไปหมู่บ้านหลี่อีก แต่กลับไปที่บ้าน เมิ่งชื่อทำตัวเหมือนเด็ก เดินไปดูหน่ออ่อนของมันฝรั่ง เมิ่งเชี่ยนโยวตามไปพูดแหย่เย้า “ท่านแม่ ท่านไปดูวันละหลายรอบ มันฝรั่งถูกท่านมองจนไม่กล้าแตกหน่อแล้ว”

 

 

เมิ่งชื่อไม่ได้ต่อว่านาง กลับพูดอย่างยินดี “โยวเอ๋อร์ เจ้ารีบมาดู มันฝรั่งนี้แตกหน่อจริงๆ แล้วใช่หรือไม่?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินไปดู หยิบมันฝรั่งขึ้นมาเพ่งพินิจ พบว่ามันฝรั่งมีหน่ออ่อนงอกออกมาแล้วจริงๆ ดีอกดีใจเข้าไปกอดเมิ่งชื่อหมุนเป็นวงกลม “ท่านแม่ มันฝรั่งแตกหน่อจริงๆ แล้ว อีกไม่กี่วันพวกเราก็เริ่มเพาะปลูกได้แล้ว”

 

 

เมิ่งชื่อถูกนางหมุนจนเริ่มมึนหัว รีบร้อนพูด “ดีๆๆ แม่รู้แล้ว เจ้าปล่อยแม่ก่อนเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือ ย่อตัวลง พินิจดูมันฝรั่งอย่างละเอียด พบว่ามันฝรั่งแตกหน่อเกือบทั้งหมดแล้ว บางลูกยังมีหน่ออ่อนงอกออกมาหลายตารากด้วย จึงหยิบมันฝรั่งขึ้นมาพูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ท่านเห็นหรือยัง หนึ่งหน่ออ่อนก็คือหนึ่งเมล็ดพันธุ์ มันฝรั่งลูกนี้แตกหน่อออกมาหลายตาราก แปลว่าเอาไปเพาะได้หลายเมล็ดพันธุ์”

 

 

เมิ่งชื่อแม้จะดีใจเช่นกัน แต่ก็ยังสงสัย “หน่ออ่อนพวกนี้ไม่อยู่ที่เดียวกัน พอเอาไปปลูก หน่อที่อยู่ด้านล่างจะไม่ถูกกดทับตายหรือ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายให้นางฟังอย่างตื่นเต้น “ก่อนพวกเราจะปลูกมันฝรั่ง จะหั่นมันฝรั่งเป็นชิ้นเล็กๆ แตกต่างกัน แต่ละชิ้นจะต้องมีหนึ่งหน่ออ่อน เวลาปลูก จับหน่ออ่อนพลิกขึ้นก็ได้แล้ว”

 

 

เมิ่งชื่อถึงเข้าใจ พูดอย่างยินดี “สิ่งนี้ปลูกแบบนี้ก็ได้ด้วย? เป็นครั้งแรกที่แม่ได้ยินแบบนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับนาง “สองสามวันนี้ท่านจะต้องพรมน้ำให้มันฝรั่งมากหน่อย ให้พวกมันแตกหน่ออ่อนออกมามากกว่านี้ พวกเราจะได้มีเมล็ดพันธุ์เยอะขึ้น”

 

 

เมิ่งชื่อพยักหน้า “รู้แล้ว”

 

 

ผ่านไปอีกหลายวัน ภายใต้การประคบประหงมอย่างดีของเมิ่งชื่อ มันฝรั่งทุกลูกต่างแตกหน่อออกยอดเพิ่มขึ้นไม่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูอย่างละเอียด ก็เริ่มเตรียมงานเพาะปลูกมันฝรั่งในมือ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด