ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 176-2 ตกตะลึง

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 176-2 ตกตะลึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

ไม่นานโจวเสี้ยวและโจวหลี่ก็กุลีกุจอเดินเข้ามาในห้อง พูดขึ้น “ท่านพ่อ ท่านต้องการพบพวกเรา?” 

 

 

ตี้ซือชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วพูดกับคนทั้งสอง “นี่คือเด็กน้อยสกุลเมิ่ง พวกเจ้าว่าเขาเหมือนใคร?” 

 

 

ทั้งสองพินิจมอง แล้วร้องอุทานพร้อมกัน “ท่านพ่อ เขา เขา เขา…” 

 

 

ตี้ซือกล่าวว่า “เมื่อครู่พ่อก็ตกใจสะดุ้ง ฉับพลันคิดว่าท่านอ๋องฉีในวัยเยาว์มายืนตรงหน้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังยิ่งขมวดคิ้วรัดแน่น ในสมองมีบางสิ่งสะท้อนวาบ 

 

 

แม้เมิ่งอี้เซวียนจะไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่ก็ยืนสงบนิ่งให้พวกเขามองประเมินตามใจอยู่ตรงนั้น 

 

 

ตี้ซือเห็นเขาอายุเพียงเท่านี้ก็มั่นคงสงบนิ่งได้เพียงนี้ ในสมองพลันมีบางสิ่งสว่างวาบ เอ่ยปากถามขึ้น “เจ้าเป็นลูกบ้านพวกเขาจริงๆ หรือ?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงขึ้นอย่างไม่พอใจ “เมื่อเขาแซ่เมิ่ง ก็คือลูกหลานของพวกเราสกุลเมิ่ง คำพูดท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไร?” 

 

 

เมื่อกล่าววาจาออกไปแล้ว ตี้ซือถึงรู้สึกตัวว่าถามไม่เหมาะสม เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวถามตนเอง จึงโน้มตัวลงขอขมา “ตัวข้าสะเพร่าเกินไป ขอแม่นางน้อยอย่าได้โมโห” 

 

 

ตี้ซือมีสถานะสูงส่ง แม้แต่ขุนนางอำมาตย์ในวังยังต้องทำความเคารพให้สามส่วน บัดนี้กลับกล่าวขอขมาตนเองที่เป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ถือโทษโมโหอีก 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนกลับไม่เข้าใจ เดิมเขาก็เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง เรื่องนี้คนในหมู่บ้านต่างก็รู้กัน ต่อให้วันนี้ไม่พูด เวลาผ่านไปนานเข้าท่านอาจารย์ก็ต้องรู้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเมิ่งเชี่ยนโยวต้องโมโหด้วย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างมีนัยแฝง “ในเมื่อท่านอาจารย์เกษียณตัวกลับบ้านเกิดแล้ว เรื่องบางเรื่องอย่าได้ข้องเกี่ยวอีกจะเป็นการดีกว่า เรื่องบางอย่างเมื่อแพร่งพรายออกไปแล้ว ผลลัพธ์อาจจะเกิดกว่าที่พวกเราจะคาดการณ์ได้” 

 

 

ตี้ซือตกตะลึงพรึงเพริด พินิจมองเด็กสาวตรงหน้าใหม่อีกครั้ง เกิดความรู้สึกเหมือนได้รู้จักนางคนใหม่  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่งปล่อยให้เขามองประเมินอยู่ตรงนั้น 

 

 

ครู่ใหญ่ตี้ซือถึงพูดขึ้นว่า “แม่นางพูดถูกต้อง เมื่อตัวข้าเกษียณตัวกลับบ้านเกิดแล้ว ต่อไปก็เป็นเพียงอาจารย์ธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องบางอย่างไม่เข้าไปข้องเกี่ยวจะเป็นการดีกว่า” พูดจบกำชับบุตรชายทั้งสองคนของตัวเอง “เรื่องนี้เก็บไว้ในใจก็พอ อย่าได้แพร่งพรายออกไป นำพาความเดือดร้อนมาให้พวกเราและสกุลเมิ่งเด็ดขาด” 

 

 

ทั้งสองพูดอย่างอ่อนน้อม “ทราบแล้ว ท่านพ่อ พวกเราจะจดจำไว้” 

 

 

เมื่อเห็นคนทั้งหมดไม่เซ้าซี้เรื่องนี้อีก เมิ่งเชี่ยนโยวก็แอบลอบถอนหายใจโล่งอก 

 

 

เสียงของตี้ซือเปล่งดังขึ้น “ทว่า ข้ายังต้องทดสอบความรู้ของน้องชายเจ้า หากความรู้ไม่ดี ไม่ว่าเขาเป็นใคร ข้าก็จักไม่รับปากเป็นอาจารย์ให้เขาเช่นเดิม” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว หากน้องชายข้าความรู้ไม่ดี พวกเราก็ไม่ยินดีให้ท่านต้องเสียเวลา” 

 

 

ตี้ซือหัวเราะลั่น “แม่นางอายุเพียงเท่านี้ก็พูดจาได้อย่างไร้ช่องโหว่ ภายหน้าจะต้องมีอนาคตยาวไกล” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “ท่านพูดเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงเด็กสาวชนบทคนหนึ่ง มีอะไรก็พูดเช่นนั้น หากพูดอะไรผิดพลาดไปขอท่านอย่าได้ถือโทษ” 

 

 

ตี้ซือหัวเราะร่วน “การได้พบกับเด็กสาวเยี่ยงเจ้าในชนบทนี้ ถือได้ว่าหาได้ยาก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร 

 

 

ตี้ซือก็ไม่สนใจ หลังจากถามเมิ่งอี้เซวียนว่าเคยเรียนอะไรมาบ้าง ก็เริ่มทำการทดสอบความรู้ของเขา กลับยิ่งทดสอบก็ยิ่งปลาบปลื้มปิติ สุดท้ายดีใจจนใช้มือตบโต๊ะอย่างกลั้นไม่อยู่ “เด็กน้อยคนนี้มีพรสวรรค์โดยแท้ อายุเพียงเท่านี้ก็อ่านซื่อซูอู่จิง[1]จนแตกฉานหมดแล้ว” 

 

 

โจวเสี้ยวและโจวหลี่เห็นปฏิกิริยาของตี้ซือ หันหน้าสบตากัน รู้ว่าตนเองหมดหวังที่จะได้กลับบ้านเกิดแล้ว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกภาคภูมิใจ พูดว่า “ไม่เพียงเท่านี้ น้องชายข้ายังมีความสามารถอ่านสิ่งใดแล้วก็ไม่ลืม” 

 

 

ตี้ซือปิติยินดี ทำการทดสอบทันที ผลลัพธ์เป็นจริงดังว่า ตัดสินใจฉับพลัน “ดี ข้าจะอยู่ที่นี่สอนสั่งเจ้าสามปี” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปลาบปลื้มปิติ พูดขึ้นทันควัน “อี้เซวียน ยังไม่รีบขอบคุณท่านอาจารย์?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างว่านอนสอนง่าย “ขอบคุณท่านอาจารย์” 

 

 

อาจารย์ลูบเคราพูดด้วยความยินดี “ดี! ดี! ดี!” 

 

 

เมื่อกำหนดเรื่องได้แล้ว อาจารย์เตรียมจะกำหนดเวลาการเรียนในแต่ละวันให้เรียบร้อย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพูดว่า “เรื่องนี้อย่าเพิ่งรีบร้อน พวกท่านเพิ่งจะมาถึงที่นี่ ควรจัดการเรื่องคนอื่นๆ ก่อน ค่อยมาว่าหลังจากนั้นต่อ” 

 

 

อาจารย์โบกมือ “พวกเราไม่มีอะไรต้องจัดการ เมื่อข้าอยู่เป็นอาจารย์ที่นี่ บุตรชายทั้งสองของข้าก็ต้องอยู่ด้วย สำหรับเรื่องการงาน หากมีที่เหมาะสม แม่นางจัดการตามสะดวกก็พอ หากว่าไม่มี ก็ให้พวกเขาไปหากันเอง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ชนบทแห่งนี้ มีแต่งานใช้แรงงาน คุณชายทั้งสองเติบโตในเมืองหลวง เกรงจะทำไม่ไหว ท่านให้ข้าขบคิดสองสามวันเถอะ ดูว่าพอจะหางานที่เหมาะสมให้พวกเขาได้หรือไม่” 

 

 

ท่านอาจารย์กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ขอบใจแม่นางมาก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ท่านอาจารย์เกรงใจเกินไปแล้ว การเชิญท่านมาเป็นอาจารย์ให้น้องชายข้าได้ เป็นเกียรติอย่างหาที่สุดไม่ได้ของพวกเรา ข้าย่อมต้องช่วยขจัดความทุกข์กังวลให้ท่าน” 

 

 

ท่านอาจารย์หัวเราะร่วน กล่าวชื่นชมเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนเดินออกมาจากเรือนที่พัก ค่อยๆ เดินทางกลับ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดมาได้ครึ่งทาง ตอนที่ใกล้จะถึงหน้าประตูบ้านพลันถามโพล่งขึ้น “เจ้าอยากสอบขุนนางได้หรือไม่?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนชะงักอึ้ง พยักหน้าแล้วพูด “หากไม่ใช่พวกเจ้า บางทีข้าอาจจะถูกขายไปนานแล้ว หรือบางทีอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้นานแล้ว เป็นพวกเจ้าที่ช่วยข้าขึ้นมาจากห้วงทะเลทุกข์ ข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณของพวกเจ้า และที่ข้าทำได้ ก็คือพากเพียรศึกษาหาความรู้ สักวันจะได้เชิดหน้าชูตา เทิดเกียรติแก่วงศ์สกุล” 

 

 

“หากพวกเราไม่ต้องการให้เจ้าเทิดเกียรติแก่วงศ์สกุลเล่า เจ้ายังหวังจะสอบขุนนางได้อีกหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อทันที 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนยังคงพยักหน้า “หวัง!” 

 

 

ลินมองไปที่เขา 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนจ้องนางกลับเขม็ง “ข้าจะต้องสอบขุนนางให้ได้ จะได้เชิดหน้าชูตา เช่นนั้นภายหน้าถึงจะมอบชีวิตที่ดีให้เจ้าได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงจังงัง หัวใจมีบางสิ่งไหลทะลัก 

 

 

ครู่ใหญ่ถึงถามขึ้นเสียงแผ่ว “หากสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องการให้เจ้าทำแล้ว เจ้ายินดีจะละทิ้งการสอบขุนนางหรือไม่?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนไม่เข้าใจ ถามขึ้น “เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุใดถึงเอาแต่ถามคำถามเช่นนี้? เจ้ามิได้หวังเห็นข้าเทิดเกียรติแก่วงศ์สกุลมาตลอดหรือ?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบเขา กลับพูดขึ้นอีกครั้ง “ตอบคำถามเมื่อครู่ของข้า เจ้ายินดีจะละทิ้งหรือไม่?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้าเด็ดเดี่ยว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้า จ้องมองเขาอย่างลุ่มลึก 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนถูกนางมองจนขนลุกชัน กลืนน้ำลายอึกใหญ่ พูดตะกุกตะกัก “ถ้า ถ้าหากว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าเรียนหนังสือ เช่น เช่นนั้นข้าละทิ้งก็ได้” 

 

 

ได้ยินคำตอบจากเขา เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้มฉับพลัน ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า เดินไปพลางพูดว่า “ไม่ว่าจะโชคลาภหรือภัยพิบัติล้วนหลบหลีกไม่พ้น ในเมื่อเจ้าชอบเรียนหนังสือ อยากสอบขุนนาง ข้าก็จะสนับสนุนเจ้า แต่ว่า เจ้าต้องจำไว้ว่า ภายหน้าเจ้าอย่าได้เสียใจต่อการตัดสินใจในวันนี้ของเจ้าเด็ดขาด” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนยิ่งทวีความคลางแคลงสงสัย สาวเท้าเดินไล่กวดนาง ถามขึ้น “วันนี้เจ้าแปลกๆ เป็นเพราะวันนี้พวกเขาพูดว่าข้าเหมือนคนอื่นอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วเดินหน้าต่อ พูดว่า “ไม่ใช่” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางไม่ยินดีพูด จึงไม่ซักถามอีก เพียงกลับบ้านไปพร้อมนางเงียบๆ 

 

 

ทั้งครอบครัวกำลังรอฟังข่าวของพวกเขา เห็นพวกเขากลับมา เมิ่งชื่อถามด้วยความร้อนใจ “เป็นอย่างไร? ผ่านการทดสอบของท่านอาจารย์หรือไม่?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ท่านอาจารย์รับปากแล้ว บอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปเข้าเรียนได้” 

 

 

เมิ่งชื่อปิติยินดี พูดว่า “แม่ว่าแล้วอี้เซวียนของพวกเราจะต้องทำได้” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดีใจยกใหญ่ “ครานี้ดีแล้ว ได้เขามาเป็นอาจารย์ ภายหน้าอี้เซวียนจะต้องสอบขุนนางได้เป็นแน่แท้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตัดกำลังใจพวกเขา “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านอย่าเพิ่งดีใจกันเร็วเกินไป ท่านอาจารย์เพียงแค่ชี้แนะคำสอนให้เขาเท่านั้น มิได้รับประกันส่งให้เป็นขุนนางได้” 

 

 

เมิ่งชื่อยื่นมือออกไปตีนางเบาๆ พูดเอ็ด “เจ้าเด็กคนนี้ ชอบพูดให้เสียกำลังใจ อี้เซวียนของพวกเราฉลาดเยี่ยงนี้ จักต้องไม่มีปัญหา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดโอนอ่อนไปตามนาง “ใช่ๆๆ อี้เซวียนจะต้องสอบขุนนางได้ แต่ว่าท่านแม่ที่รักของข้า ก่อนจะถึงจุดนั้น พวกเรากินข้าวก่อนได้หรือไม่ ข้าหิวจะตายแล้ว” 

 

 

เมิ่งชื่อขบขันในคำเรียกของนาง “เจ้าลูกคนนี้ ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้สิ่งประหลาดเหล่านี้มาจากไหน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดหน้าทะเล้น “บุตรสาวท่านฉลาดหลักแหลม ไยต้องไปเรียนมาจากใครอีก” 

 

 

ทั้งครอบครัวหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปกับนาง 

 

 

กินอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าไปพักผ่อนในห้องแต่หัวค่ำ 

 

 

เมิ่งชื่อนึกว่านางเหนื่อย ไม่ได้สนใจอะไร 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนกลับมองประตูห้องนางครุ่นคิดอยู่เป็นนาน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนอนบนเตียงเตา พลิกตัวนอนไม่หลับไปมา ในสมองย้อนคิดถึงแต่คำพูดของท่านอาจารย์ 

 

 

 

 

 

[1] ซื่อซูอู่จิง หมายถึง 4ตำรา 5คัมภีร์ เป็นคัมภีร์ของลัทธิขงจื้อ  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด