ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 178-2 หวั่นไหว

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 178-2 หวั่นไหว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พวกจูหลานมาถึงโดยไว คงเพราะได้กลิ่นหอมฟุ้งของพระกระโดดกำแพง เสียงแปดหลอดของจูหลานก็ดังขึ้นนอกประตู “หอมนัก ข้าไม่เคยได้กลิ่นหอมน่าพิศวงเช่นนี้มาก่อน วันนี้พวกเจ้าใครก็ห้ามแย่งข้า ข้าจะต้องกินให้อิ่มหนำ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงพวกเขา ออกมาต้อนรับ

 

 

คนทั้งหมดแย้มยิ้มกล่าวทักทายนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสาวเท้าเดินไปข้างกายซุนฮุ่ย คลี่ยิ้มกล่าวว่า “ท่านพี่ซุน ท่านมาเสียที คิดถึงท่านจะแย่แล้ว”

 

 

ซุนฮุ่ยยิ้มพูด “ข้าก็คิดถึงเจ้า หากไม่เพราะเปาอีฝานยืดเวลาแล้วยืดเวลาเล่า ข้าคงได้มาหาเจ้าไปนานแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกได้ว่าไม่เห็นเปาอีฝาน ถามแหย่เย้าว่า “ท่านพี่ซุน เหตุใดคุณชายเปาถึงไม่ได้มาด้วย? เขาไม่กลัวกลับไปจะถูกท่านให้เขาคุกเข่ายกกระดานซักผ้าหรือ”

 

 

ซุนฮุ่ยเขินหน้าแดง อธิบายว่า “เดิมพวกเราตกลงกันดีแล้ว ว่าวันนี้จะออกมาพร้อมกัน ใครจะไปคิดว่าเมื่อวานท่านใต้เท้าผู้ว่าให้คนมาส่งข่าว บอกว่าคดีพวกค้ามนุษย์เกิดปัญหา ให้เขาเข้าไปร่วมหารือด้วย วันนี้เขาจึงต้องรีบเข้าไปในจังหวัดแต่เช้าตรู่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดึงมือซุนฮุ่ยมาพาเดินเข้าไปด้านใน “เช่นนั้นเขาก็ไม่มีลาภปากแล้ว วันนี้ท่านกินให้มากหน่อย กลับไปค่อยบอกเขาว่าอร่อยมากเพียงใด แกล้งเขาให้น้ำลายสอ”

 

 

ซุนฮุ่ยได้ยินนางพูดด้วยวาจาเหมือนเด็กซุกซน ก็ให้หลุดขำ

 

 

ซุนฮุ่ยและซุนเหลียงไฉหยุดเล่นอาละวาดแล้ว ทั้งสองคนกำลังพูดจาหัวร่อต่อกระซิบข้างกายซุนซ่านเหริน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกนาง “คุณหนูซุน ท่านมาตรงนี้หน่อยเถิด”

 

 

ซุนเชี่ยนได้ฟังลุกขึ้นยืน เดินไปหน้าคนทั้งสอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำซุนเชี่ยนกับนาง “นี่คือท่านพี่ซุน เป็นเพื่อนรักคนหนึ่งของข้า บ้านอยู่ในอำเภอ วันนี้ตั้งใจมากินพระกระโดดกำแพงที่บ้านพวกเรา”

 

 

ซุนเชี่ยนตกตะลึง “ท่านก็แซ่ซุน? เช่นนี้หลายร้อยปีก่อนพวกเราก็คือครอบครัวเดียวกันนะสิ”

 

 

ซุนฮุ่ยชะงักอึ้งเล็กน้อย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย “ท่านนี้คือคุณหนูซุน เป็นเพื่อนรักอีกคนของข้า หากท่านไม่รังเกียจ เรียกนางว่าซุนเชี่ยนก็ได้”

 

 

ซุนฮุ่ยเข้าใจพลัน คลี่ยิ้มพูด “พวกเราต่างก็ถูกอกถูกใจโยวเอ๋อร์ด้วยกัน ไม่แน่ว่าเมื่อก่อนจะเคยเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ”

 

 

หญิงสาวทั้งสามคนคุยกระซิบกระซาบกันไม่หยุด เมิ่งเสียนพาพวกจูหลานทั้งสามคนเข้ามาในลานบ้าน

 

 

คนทั้งหมดเดิมก็เป็นนักกิน ตอนนี้ได้กลิ่นพระกระโดดกำแพง แทบอยากจะเปิดฝาลิ้มรสเสียให้รู้แล้วรู้รอด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหาจังหวะพูดหยอกเย้าคนทั้งสาม “พวกท่านทั้งสามอย่างไรก็เป็นคุณชายเศรษฐี อย่ากระทำตัวไร้การอบรมเช่นนี้ได้หรือไม่?”

 

 

จูหลานตอกกลับ “คุณชายเศรษฐีก็เป็นคน เป็นคนล้วนชอบกิน นี่เป็นการแสดงออกตามสัญชาตญาณของพวกเราต่างหากเล่า”

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม

 

 

ซุนฮุ่ยยิ้มพูด “อย่าไปสนใจพวกเขาเลย พอเห็นของกิน พวกเขาก็ไม่เหลือมาดอะไรแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนฮุ่ยหัวเราะร่วน

 

 

พวกจูหลานก็ไม่สนใจพวกนาง เดินวนรอบโถสูดกลิ่นเต็มแรง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า หันไปพูดกับซุนฮุ่ยและซุนเชี่ยนว่า “พวกท่านทั้งสองคุยกันไปก่อน ข้าจะไปเรียกครอบครัวท่านอาจารย์มา พวกเราก็จะกินกันได้แล้ว”

 

 

ทั้งสองพยักหน้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหาเมิ่งเอ้ออิ๋น ให้เขาไปเรียกคนที่บ้านใหญ่มากินพระกระโดดกำแพงด้วยกัน

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจเป็นอย่างมาก ก้าวเท้ายาวเร่งรุดไปบ้านใหญ่ทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเมิ่งอี้เซวียน ทั้งสองมาถึงเรือนหลังใหม่พร้อมกัน

 

 

บ่าวเฝ้าประตูรู้จักพวกเขาแล้ว รีบเข้ามาถามอย่างอ่อนน้อมว่ามีเรื่องอะไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตาหยีบอกเขา “ข้าทำอาหารเลิศรสชนิดหนึ่งไว้ จะมาเชิญครอบครัวท่านอาจารย์ไปกินด้วยกัน รบกวนท่านช่วยไปรายงานหน่อยเถอะ”

 

 

บ่าวรับใช้ไม่กล้ารอช้า วิ่งแนบเข้าไปรายงานในลานบ้าน

 

 

เมื่อวานหลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนกลับไป อาจารย์โจวก็ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดกับบุตรชายทั้งสองคน ห้ามเอ่ยถามถึงชาติกำเนิดของเมิ่งอี้เซวียนขึ้นอีก โดยกล่าวว่า “แม่นางน้อยกล่าวถูกต้อง เมื่อพวกเราออกห่างจากเมืองหลวงมาแล้ว ก็อย่าได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องจริงๆ เท็จๆ เหล่านี้อีก อย่างมากสามปี พวกเราก็กลับบ้านเกิดแล้ว ถึงตอนนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”

 

 

โจวเสี้ยวและโจวหลี่พยักหน้า แสดงว่าจดจำไว้แล้ว

 

 

แม้ความคิดของพวกเขาจะไม่เลว แต่เรื่องราวมักไม่ได้เป็นไปตามที่ใจปรารถนา ในอนาคตอันใกล้ พวกเขายังต้องกลับไปเมืองหลวง แน่นอนว่าเป็นเรื่องภายหลัง สำหรับสาเหตุ ภายหน้าค่อยบอกเล่า

 

 

บ่าวรับใช้เข้ามาในลานบ้าน เปล่งเสียงรายงานว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมาเชื้อเชิญพวกเขาทั้งครอบครัวไปกินข้าวด้วยกัน ท่านอาจารย์ครุ่นคิดเล็กน้อย คิดว่าเมื่อตนเองรับปากจะอยู่เป็นอาจารย์แล้ว มิควรวางตัวให้สูงศักดิ์เกินไป ควรจะใช้ชีวิตให้เข้าตามถิ่นธรรมเนียมจะเป็นการดีกว่า จึงพยักหน้ารับคำ ให้บ่าวรับใช้ไปบอกเมิ่งเชี่ยนโยวให้รอสักครู่ พวกเขาทั้งครอบครัวจะออกไปเดี๋ยวนี้

 

 

บ่าวรับใช้ขานรับคำ รีบวิ่งกลับออกมาบอกเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนรออยู่หน้าประตูอย่างใจเย็น

 

 

ท่านอาจารย์ให้บ่าวรับใช้ไปบอกโจวเสี้ยวและโจวหลี่ ให้จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ทั้งครอบครัวจะไปกินข้าวบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

โจวเสี้ยวและโจวหลี่ย่อมไม่คัดค้าน ตระเตรียมอย่างรวดเร็ว แต่ละคนพาครอบครัวของตัวเองมายืนรออาจารย์โจวที่หน้าประตู

 

 

อาจารย์โจวและภรรยาก็จัดแจงอย่างว่องไว เดินพ้นประตูลานบ้าน นำคนทั้งหมดมาถึงด้านนอกประตูใหญ่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนเห็นท่านอาจารย์ออกมา รีบเข้าไปทำความเคารพ ท่านอาจารย์โบกมือ “ต่อไปข้าจะพำนักที่นี่ระยะยาว ใช้ชีวิตตามถิ่นธรรมเนียม พิธีการยิบย่อยพวกนี้ให้เลี่ยงไปเถอะ”

 

 

ทั้งสองขานรับคำ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ชนบทพื้นที่ห่างไกล ไม่มีอะไรต้อนรับท่านอาจารย์ วันนี้พอดีมีมิตรสหายมาเยี่ยมเยือน ข้าทำอาหารที่ถนัดไว้ชนิดหนึ่ง อยากเชิญพวกท่านทั้งครอบครัวไปลิ้มรส ถือเป็นการต้อนรับการมาของพวกท่าน”

 

 

ได้ยินว่านางทำอาหารเพียงชนิดเดียว ท่านอาจารย์ก็ให้กังขา ทว่า การถูกอบรมบ่มเพาะมานานหลายปีทำให้เขาไม่ได้ซักไซ้ออกไป เพียงกล่าวอย่างเกรงใจ “ขอบใจแม่นางเมิ่งมาก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนยกยิ้มเดินขึ้นหน้านำทางพวกเขา ท่านอาจารย์นำคนทั้งครอบครัวเดินตามหลังไป

 

 

คนในหมู่บ้านได้เห็นท่านอาจารย์ที่ถูกเชิญมาเป็นครั้งแรก เห็นพวกเขาทั้งครอบครัวแต่งกายไม่ธรรมดา แต่ละคนล้วนมีท่วงท่าสูงศักดิ์แผ่ออกมารอบกาย แอบลอบคาดเดาในใจ บ้านสกุลเมิ่งไปเชิญผู้สูงศักดิ์เช่นนี้มาจากที่ไหนกันแน่

 

 

เดินมาถึงหน้าประตูบ้าน กลิ่นหอมฟุ้งก็ลอยอบอวลออกมา คนทั้งหมดอดใจไม่ไหวสูดดมไปหนึ่งฟอด แม้แต่อาจารย์โจวก็ยังทนไม่ไหว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพาท่านอาจารย์เข้ามาในลานบ้าน เมิ่งจงจวี่และภรรยาก็นำคนในครอบครัวมาถึงแล้ว เห็นท่านอาจารย์เข้ามา เร่งรุดเข้าไปทำความเคารพ ท่านอาจารย์โบกมือ “ต่อไปข้าเป็นเพียงอาจารย์ของอี้เซวียนเท่านั้น ซิ่วไฉเมิ่งมิต้องแสดงความเคารพข้าแล้ว”

 

 

ได้ยินว่าเขารับปากแล้ว เมิ่งจงจวี่ก็ให้ปิติ น้อมคำนับแสดงความเคารพอีกครั้ง พูดอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณท่านอาจารย์”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจัดวางโต๊ะเก้าอี้ไว้สี่โต๊ะ โต๊ะแรกเป็นของครอบครัวท่านอาจารย์ อีกโต๊ะเป็นของคนในสกุลเมิ่งเอง อีกโต๊ะเป็นของครอบครัวเหวินเปียวรวมถึงพวกอู๋ต้า สำหรับซุนซ่านเหริน เมิ่งเชี่ยนโยวจัดสรรให้พวกเขานั่งร่วมกับครอบครัวตัวเอง ส่วนโต๊ะสุดท้ายตนเองและซุนเชี่ยนจะนั่งร่วมวงกินกับซุนฮุ่ยและพวกจูหลาน พ่อครัวเห็นว่าโต๊ะนี้คนน้อย จึงร่วมนั่งโต๊ะนี้ด้วย

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวจัดสรรคนทั้งหมดแล้ว อาหารของเมิ่งชื่อก็ทำเสร็จแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินเปียวและเหวินหู่ให้ยกโถเหล่านั้นที่มีขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากันขึ้นจากเตาแยกย้ายนำไปวางไว้บนโต๊ะแต่ะละตัว ทั้งกำชับพวกอู๋ต้าไปยกอาหารเข้ามา ถึงพูดกับคนทั้งหมดว่า “เอาล่ะ เมื่อเปิดฝาออกก็ลงมือกินได้แล้ว”

 

 

จูหลานอดทนรอไม่ไหวมานานแล้ว สิ้นเสียงเมิ่งเชี่ยนโยว เขาก็ยื่นมือออกไปเปิดฝาออก กลิ่นหอมคละคลุ้งอัดแน่นปะทะเข้าจมูกเต็มๆ อันอี่หยวนยิ่งเร็วกว่า หยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปากทันที อาหารเพิ่งจะเข้าปาก ก็ร้องเสียงหลง “อร่อยเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยกินอาหารที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน” เซี่ยเจียงเฟิงก็ไม่ยอมน้อยหน้า หยิบตะเกียบขึ้นคีบอาหารเข้าปากตัวเองหนึ่งคำ แล้วก็ร้องชื่นชมไม่ขาดเช่นกัน

 

 

ทุกคนเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา ทยอยกันเปิดฝาโถบนโต๊ะตัวเอง กลิ่นหอมตลบอบอวลลอยฟุ้งไปทั่วทั้งลานบ้านฉับพลัน กลิ่นหอมนี้ค่อยๆ ลอยกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ได้กลิ่นหอมตลบไปทั่วทั้งหมู่บ้าน

 

 

ครอบครัวเหวินเปียวและครอบครัวอู๋ต้าต่างไม่มีพิธีรีตอง ไม่เกรงใจกันและกัน หยิบตะเกียบได้ก็ลงมือกินทันที

 

 

คนบ้านสกุลเมิ่งมีเมิ่งจงจวี่อยู่ด้วย กลับไม่มีใครสนใจใครคีบอาหารกินคำโต ทว่าเพราะความเคยตัว ต่อให้รู้ว่าต้องมีมารยาทกว่านี้ แต่ก็ยังมีความมูมมามในการกินอย่างเห็นได้ชัด

 

 

มีเพียงโต๊ะของท่านอาจารย์ อย่างไรก็เป็นวงศ์สกุลบัณฑิต ได้รับการฝึกอบรมมาแต่เด็ก แม้จะอยากอาหารมากเพียงใด ก็มิได้กินมูมมามเหมือนกับคนอื่นๆ

 

 

มีเพียงโต๊ะของจูหลานที่สามารถเรียกว่าแย่งได้

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาไม่สนใจภาพลักษณ์ตัวเอง เกิดอาการอ้าปากตลึงค้าง

 

 

ซุนฮุ่ยกลับเห็นจนชินแล้ว หัวเราะพูดว่า “นี่เพราะอยู่บ้านพวกเจ้า พวกเขาเก็บอาการไปมากแล้ว หากว่าอยู่ที่อื่น ไม่แน่ว่าจะต้องมีใครสักคนอุ้มโถวิ่งหนีไปแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านพูดผิดแล้ว พวกเขามิได้เก็บอาการ พวกเขาเพียงอุ้มโถใบใหญ่นี้ไปไม่ไหว”

 

 

ซุนเชี่ยนและซุนฮุ่ยหัวเราะครื้นเครง

 

 

บุตรสาวของโจวเสี้ยวได้ยินพวกเขาหัวเราะอย่างมีความสุข หันมองมาอย่างอิจฉา

 

 

จูหลานกินไปพลางโอดครวญอย่างไม่พอใจ “ข้าบอกแล้วว่าให้พกเหล้ามาด้วย พวกเจ้าเอาแต่พูดว่าเหล้าจะแตกกลางทางได้ ไม่ยอมให้นำมา ครานี้ดีแล้ว อาหารเลิศรสเช่นนี้ไม่มีเหล้าแก้ม ภายหน้าคิดแล้วก็ให้อาดูรนัก”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด