ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 190 เหวินซื่อมาหา

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 190 เหวินซื่อมาหา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น หยิบสมุนไพรชนิดหนึ่งขึ้นมาให้เมิ่งอี้เซวียนจำ ความนึกคิดของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปอยู่ที่ตัวเมิ่งอี้เซวียน จ้องมองเขา อยากจะจ้องมองเขาให้ทะลุ ลอบย้อนคิด ตัวเองมีตรงไหนที่บกพร่องไป ทำให้เขามีความคิดเช่นนั้น

 

 

เช้าวันถัดมา ตอนกินอาหารเช้า เมิ่งชื่อรู้สึกว่าศีรษะเมิ่งอี้เซวียนใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อน มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างติเตียน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้าผากเมิ่งอี้เซวียนที่มีรอยบวมแดง แลบลิ้นปลิ้นตาพูดว่า “พอแล้ว ท่านแม่ ท่านไม่ต้องโมโหแล้ว ต่อไปข้าจะลงมือให้เบากว่านี้พอใจแล้วหรือไม่?”

 

 

เมิ่งชื่อพูดอย่างแหนงหน่าย “ไม่ใช่ลงมือเบากว่านี้ แต่อย่าตีเขาอีก เจ้าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้อีก เกรงจะได้ผลลัพธ์ที่ตรงข้ามมาแทน ยิ่งทำให้เขาไม่ชอบสมุนไพรเข้าไปอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับปากอย่างขอไปที “ข้าทราบแล้ว ท่านแม่”

 

 

เมิ่งชื่อเห็นนางไม่ได้รับคำด้วยความจริงใจ ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าเป็นอะไร หรือว่าเกิดเรื่องอะไรที่แม่ไม่รู้เรื่องขึ้น?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงันเล็กน้อย แล้วยิ้มพูด “ไม่มีนะ เหตุใดท่านแม่ถึงถามเช่นนี้?”

 

 

เมิ่งชื่อตอบกลับ “แม้เมื่อก่อนเจ้าจะอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ไม่เคยบันดาลโทสะรุนแรงเช่นนี้ แม่รู้สึกเหมือนเจ้ามีเรื่องใหญ่อะไรซ่อนไว้ในใจ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลอบประหวั่นในใจ ใบหน้ากลับยกยิ้มพูดว่า “ท่านแม่ ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าจะมีเรื่องใหญ่อันใดปิดบังท่านเล่า”

 

 

เมิ่งชื่อมองนางอย่างคลางแคลงใจ พูดยืนยันอีกครั้ง “ไม่มีเรื่องอะไรปิดบังแม่จริงๆ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าหนักแน่น ยิ้มตอบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “ไม่มีจริงๆ”

 

 

เมิ่งชื่อวางใจลง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลอบถอนใจโล่งอก คิดว่าช่วงที่ผ่านมาตนเองใจร้อนเกินไปจริงๆ แม้แต่เมิ่งชื่อก็ยังดูออกว่าตัวเองผิดปกติ ดูท่าจะต้องปรับอารมณ์ตัวเองให้ดีกว่านี้แล้ว คิดถึงตรงนี้ ก็หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “หากเจ้าไม่อยากเรียนสมุนไพรจริงๆ ก็ไม่ต้องเรียนแล้ว”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนยิ้มดีใจ ดวงตาขุ่นมัวสะท้อนแววยินดี พยักหน้าอย่างดีอกดีใจไม่หยุด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถึงตระหนักรู้ว่า ต่อให้เขาฉลาดเพียงใด อย่างไรเขาก็เป็นเพียงเด็กอายุสิบปี ตนเองขู่เข่นเขามากเกินไป และเป็นกังวลมากเกินไป บางทีต่อไปเมื่อเขากลับคืนสู่ฐานันดรศักดิ์แล้ว อาจจะไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่การชิงดีชิงเด่นเหมือนที่ตนเองคิดก็ได้

 

 

เมื่อคิดได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ผ่อนลมหายใจ อารมณ์ที่บีบแน่นตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็ได้ผ่อนคลายลง

 

 

กินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียนไปเรียนหนังสือ เมิ่งเชี่ยนโยววางก้อนหินในใจลง รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก จึงคิดจะเดินทอดน่องไปดูแปลงมันฝรั่ง เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตู รถม้าคันหนึ่งก็แล่นตรงเข้ามา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตามอง เห็นรถม้าแล่นมาหยุดตรงหน้าตนเอง เพ่งพินิจดู ที่แท้เป็นพนักงานของร้านยาเต๋อเหรินบังคับรถม้าเข้ามา

 

 

พนักงานจอดรถม้าจนนิ่งสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะถามเขาว่ามีเรื่องอะไร เหวินซื่อก็เปิดม่านบังรถ ลงมาจากรถม้า เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่หน้าประตู พูดขึ้นตามตรง “ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีร้อนรนของเขา นึกว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไร จึงพูดว่า “มีเรื่องอะไรเข้าไปพูดในบ้านเถอะ”

 

 

เหวินซื่อพยักหน้า เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในบ้าน เพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้ ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากซักถาม ก็พรวดพราดถาม “ช่วงก่อนหน้านี้เจ้าใช้ป้ายหยกที่ท่านพี่ฉู่มอบให้เจ้าไปขึ้นเงินที่สำนักการเงินในตำบลใช่หรือไม่?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

 

 

เหวินซื่อแผดเสียงดังแปดหลอดขึ้นฉับพลัน “แม่เจ้าประคุณเอ๋ย ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ให้เจ้าอย่านำป้ายหยกนั้นออกมาใช้ง่ายๆ เจ้าต้องการเงินเท่าใดก็ให้มาบอกกับข้า ข้าจะเอาให้เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ การกระทำของเจ้าครั้งนี้เกือบจะทำให้เมืองหลวงยุ่งเหยิงจนแทบพลิกแผ่นดิน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจ “ก็แค่ไปขึ้นเงินเท่านั้น เกี่ยวอะไรกับเมืองหลวงด้วย?”

 

 

เหวินซื่อยังคงแผดเสียงพูดว่า “ป้ายหยกชิ้นนั้นนอกจากนำไปขึ้นเงินได้แล้ว ยังเกี่ยวพันถึงเรื่องอื่น ตอนนี้ข้ายังพูดรายละเอียดกับเจ้าไม่ได้ สรุปก็คือ ต่อไปเจ้าต้องใช้ป้ายหยกนั้นให้น้อยที่สุด ขาดเหลือเงินก็ให้มาบอกข้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก “เมื่อป้ายหยกนั้นใช้การไม่ได้ ตอนนั้นเขาให้ข้าไว้ทำไม? หรือแค่เอาไว้ดูสวยๆ เท่านั้น?”

 

 

เหวินซื่อได้ฟังก็โมโห “เจ้าอย่าตีเจตนาดีของคนอื่นผิดได้หรือไม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าป้ายหยกชิ้นนั้นสำคัญต่อท่านพี่ฉู่มากเพียงใด? หากไม่เพราะเจ้ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขา เขาไม่มีทางมอบป้ายหยกนี้ให้ใคร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น หยิบป้ายหยกออกมาจากใน**บ วางลงตรงหน้าเหวินซื่อ “เมื่อป้ายหยกนี้สำหรับกับเขามากเช่นนี้ เจ้าช่วยเอาไปคืนให้เขาก็แล้วกัน ไม่ต้องมาเปลืองเวลาพูดดี สุดท้ายข้าไปขึ้นเงินมาห้าหมื่นตำลึง ก็ปวดใจถึงเพียงนี้”

 

 

เหวินซื่ออารมณ์ขึ้น “ข้าพูดหรือไงว่าปวดใจกับเงินห้าหมื่นตำลึงนั่น? ข้าบอกว่าเจ้าอยากไปเบิกเงินนั้นเหตุใดถึงไม่บอกก่อน ให้พวกเราได้เตรียมตัว เจ้ารู้หรือไม่ตอนที่ท่านพี่ฉู่รู้ว่ามีคนนำป้ายหยกนั่นมาแลกเงินอกสั่นพรั่นพรึงเพียงใด? หากไม่เพราะในกองทัพมีเรื่องยุ่ง เกรงว่าในตอนนี้เขาคงมาถึงเมืองชิงซีแล้ว เฮ้อ ทำเขาดีใจเก้ออีกแล้ว”

 

 

ถูกเหวินซื่อติเตียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มทนไม่ไหวแล้ว “ตอนที่ท่านแม่ทัพฉู่มอบป้ายหยกให้ข้า ได้บอกข้าว่าไม่ว่าเวลาใดสถานที่ใดล้วนสามารถนำไปขึ้นเงินที่สำนักการเงินได้ แต่ไม่ได้บอกว่าขึ้นเงินแล้วจะเกิดผลลัพธ์เช่นไร โชคดีที่ตอนขึ้นเงินข้ามีไหวพริบ แต่งหน้าแปลงโฉม ไม่เช่นนั้นไม่แน่ว่าจะนำมาซึ่งภัยพิบัติถึงแก่ชีวิตได้” พูดถึงตรงนี้ ตัวก็สั่น พูดอย่างหวาดกลัว “เจ้านำป้ายหยกนี้กลับไปเถอะ เพื่อเงินเล็กน้อยแล้วถูกตามฆ่า ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”

 

 

เหวินซื่อชะงักอึ้งเล็กน้อย แล้วถาม “เจ้าแต่งหน้าแปลงโฉม?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว”

 

 

เหวินซื่อโล่งอก “ถึงว่าไม่มีใครตามมาถึงตัวเจ้า นับว่าเจ้าฉลาดมีไหวพริบ” พูดจบถึงนึกขึ้นได้ว่าต่อจากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่าอะไร ผ่อนคลายน้ำเสียง ยิ้มพูด “เจ้าวางใจ ไม่มีใครตามฆ่าเจ้าหรอก พวกเขาเพียงแค่ตามหาสิ่งของเท่านั้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะ “เช่นนั้นก็ไม่ได้ ข้าเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนอก ไม่เคยเจอโลกภายนอก ขี้ขลาดตาขาว ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ เกือบจะตกใจตาย เจ้าช่วยนำป้ายหยกนี้ไปคืนให้ท่านแม่ทัพฉู่เถอะ”

 

 

เหวินซื่อถูกยั่วเย้าจนขำ “คนที่ฆ่าคนก็ยังไม่หวาดกลัวอย่างเจ้า ยังจะพูดว่าขี้ขลาดตาขาว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา “ใครบอกกัน หากให้ข้าไปฆ่าคน ไม่กี่นาทีก็เป็นลมแล้ว”

 

 

“เก่งกาจขนาดนั้นเชียว สอนข้าบ้างสิ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเหวินซื่อเหมือนมองคนปัญญาอ่อน “ข้าหมายความว่าหากเจ้าให้ข้าไปฆ่าคน ข้าได้เป็นลมทันทีแน่ เข้าใจแล้วหรือไม่”

 

 

เหวินซื่อพลันเข้าใจความหมาย รู้ว่ายิ่งพูดก็ยิ่งเสียเปรียบ รีบพูดเข้าประเด็น “เป็นข้าที่ใจร้อนเกินไป ใช้คำพูดเกรี้ยวกราดกับเจ้าไปบ้าง เจ้าอย่าเอามาใส่ใจ รีบเก็บป้ายหยกไว้ให้ดี หากภายหน้าไม่มีเรื่องอะไร อย่านำออกมาง่ายๆ อีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ ถามขึ้น “ป้ายหยกนี้มีความลับอะไรกันแน่ เจ้าต้องบอกข้าวันนี้”

 

 

เหวินซื่อยิ้มพูด “ตอนที่ท่านพี่ฉู่มอบป้ายหยกนี้ให้เจ้าได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้าอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เชื่อ “เช่นนั้นเหตุใดถึงมีคนควานหาป้ายหยกชิ้นนี้ไปทั่ว?”

 

 

เหวินซื่ออธิบาย “ท่านพี่ฉู่บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ? ป้ายหยกนี้มีเป็นคู่ ป้ายหยกในมือท่านพี่ฉู่ชิ้นนี้ ทุกคนต่างรับรู้ แต่กลับไม่รู้ว่าเขาได้มอบให้เจ้าแล้ว นึกว่าเป็นอีกชิ้นหนึ่ง ดังนั้นตอนที่เจ้าไปขึ้นเงิน ถึงได้มีคนอกสั่นพรั่นพรึง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านโกหกข้า ข้าจะต้องรู้ความลับของป้ายหยกสองชิ้นนี้”

 

 

เหวินซื่อยิ้มพูด “ต่อให้ข้ารู้ความลับของป้ายหยกสองชิ้นนี้ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดกับเจ้า อีกทั้งป้ายหยกอีกชิ้นก็ยังหายสาบสูญ สิทธิประโยชน์ของป้ายหยกชิ้นนี้ก็คือเท่านี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาไม่ยินดีจะพูด ก็ไม่ถามมากอีก เพียงแต่ยืนยันอีกครั้ง “ป้ายหยกชิ้นนี้จะไม่นำพาภัยร้ายมาถึงแก่ชีวิตข้าจริงๆ?”

 

 

เหวินซื่อพยักหน้า “ไม่หรอก พวกเขาเพียงแค่ตามหาบางสิ่งเท่านั้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บป้ายหยกคืน วางใส่ใน**บ พูดว่า “เจ้าพูดเองนะ หากข้าถูกคนตามฆ่า ข้าจะไปคิดบัญชีกับเจ้าเป็นคนแรก”

 

 

เหวินซื่อลุกขึ้น “เมื่อเรื่องราวประจักษ์ชัดแจ้งแล้ว ข้าจะรีบกลับไปแจ้งข่าวแก่ท่านพี่ฉู่ บอกเขาตามความจริงทุกอย่าง”

 

 

หลังจากส่งเหวินซื่อแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาขบคิดภายในห้องครู่หนึ่ง แล้วกลับหลังหันเดินไปบ้านใหญ่

 

 

เมิ่งต้าจินและภรรยาพาเมิ่งเหรินเมิ่งอี้ไปทำงานที่แปลงมันฝรั่ง ภายในบ้านเงียบสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวร้องตะโกนในลานบ้าน “ท่านปู่ ท่านย่า พวกท่านอยู่บ้านหรือไม่?”

 

 

หญิงชราเมิ่งขานรับ “โยวเอ๋อร์เรอะ ข้าและท่านปู่เจ้าอยู่ในบ้านเล่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในบ้าน

 

 

เมิ่งจงจวี่กำลังฝึกเขียนพู่กัน เห็นนางเข้ามาก็วางพู่กันในมือลง ล้างมือไปพลางถามอย่างชื่นบาน “มีเรื่องอะไรถึงมาหาปู่กับย่ารึ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ข้ามีเรื่องอยากหารือกับท่านปู่”

 

 

เมิ่งจงจวี่นั่งบนเก้าอี้

 

 

หญิงชราเมิ่งดึงเมิ่งเชี่ยนโยวมานั่งข้างกายตัวเอง “มีเรื่องอะไรก็พูดเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ข้าพูดกับท่านอาจารย์แล้ว จะเชิญบุตรชายของเขามาเป็นอาจารย์สอนสถานศึกษา ให้เจี๋ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ และบุตรชายบุตรสาวของท่านอาสามได้เรียนหนังสือ”

 

 

เมิ่งจงจวี่พยักหน้าดีใจ “นี่เป็นเรื่องดี ปู่สนับสนุน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดต่อ “แต่เพราะไม่มีสถานที่เรียนหนังสือ จึงยืดเยื้อมาถึงตอนนี้ ที่ข้าเข้ามาวันนี้ก็เพราะอยากจะหารือกับท่านปู่ พวกท่านพอจะย้ายไปอยู่เรือนหลังใหม่ให้เร็วขึ้นได้หรือไม่ ข้าอยากให้พวกเขามาเรียนหนังสือที่บ้านใหญ่”

 

 

เรื่องเกี่ยวพันถึงการศึกษาของหลานๆ เมิ่งจงจวี่ไม่แม้แต่จะคิดก็พยักหน้ารับปาก “ได้ ปู่จะรีบหาวันดีที่ใกล้ที่สุด แล้วย้ายไปทันที”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าเมิ่งจงจวี่จะรับปากทันควัน กล่าวขอบคุณอย่างเบิกบานใจ “ขอบคุณท่านปู่”

 

 

เมิ่งจงจวี่โบกมือ ลุกขึ้นไปหยิบปฏิทินจันทรคติ พลิกออกดู อีกสามวันให้หลังจะเป็นวันธงชัยสำหรับการย้ายบ้าน จึงกำหนดให้เป็นวันนั้น

 

 

หลังจากเมิ่งต้าจินและภรรยาพาลูกๆ กลับมาจากแปลงดิน เมิ่งจงจวี่ก็บอกพวกเขาว่าตนเองตัดสินใจจะย้ายเข้าไปอยู่เรือนหลังใหม่ในอีกสามวันให้หลัง ให้พวกเขารีบจัดเก็บข้าวของ

 

 

เมิ่งต้าจินและภรรยาข้องใจเหตุใดเมิ่งจงจวี่ถึงจะย้ายบ้านกะทันหัน แต่การได้ย้ายไปอยู่เรือนหลังใหญ่ที่โอ่อ่ากว้างขวาง พวกเขาเองก็ดีใจเป็นอย่างมาก จึงไม่ถามมากอีก เก็บข้าวของของตัวเองอย่างมีความสุข

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาบ้านก็บอกเมิ่งเอ้ออิ๋นว่าอีกสามวันให้หลังคนที่บ้านใหญ่จะย้ายมาอยู่เรือนหลังใหม่ เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ฟังก็ให้ดีใจเป็นอย่างมาก พูดทันควันว่าวันนั้นจะต้องฉลองกันให้เต็มที่ สองวันผ่านไป เป็นวันที่แสงแดดสดใสมีลมพัดโชยอ่อน เมิ่งจงจวี่ย้ายเข้ามาเรือนหลังใหม่อย่างเบิกบานอิ่มอกอิ่มใจ

 

 

คนในหมู่บ้านเห็นพวกเขาย้ายบ้าน ต่างเข้ามาแสดงความยินดี เมิ่งต้าจินจัดโต๊ะสองสามตัวอย่างครึ้มใจ เชิญหัวหน้าสกุลและคนใกล้ชิดกับครอบครัวเมิ่งมาร่วมรับประทานอาหารอย่างคึกคักครื้นเครง ถือว่าเป็นการย้ายเข้าบ้านใหม่อย่างเป็นทางการ

 

 

พวกเขาย้ายออกไปได้สองวัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้พวกอู๋ต้าเข้ามาปัดกวาดบ้านใหญ่ทุกซอกทุกมุม เข้าไปนำเครื่องเรือนที่เก่าผุพังทั้งหมดออกไปโยนทิ้ง เก็บกวาดจนโล่งไปทั้งบ้าน จากนั้นให้คนไปซื้อโต๊ะเก้าอี้จำนวนหนึ่งมาวางด้านใน แล้วสถานศึกษาก็ก่อเกิดขึ้น

 

 

ทำทั้งหมดนี้เสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไปหาท่านอาจารย์ บอกว่าจัดตั้งสถานศึกษาเรียบร้อยแล้ว ถามว่าจะให้ใครไปสอนหนังสือเด็กๆ

 

 

ท่านอาจารย์บอกว่าให้โจวเสี้ยวไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสพูดเรื่องที่อยากให้บุตรชายของเขาสอนหนังสือให้เมิ่งเหรินตัวต่อตัว บอกว่าเมิ่งเหรินมีพื้นฐานดี มีความเป็นไปได้ที่จะสอบขุนนางได้

 

 

ท่านอาจารย์ขบคิด แล้วพูดว่า “เดิมข้าคิดจะให้เสี้ยวเอ๋อร์ไปสอนที่สถานศึกษา แล้วให้หลีเอ๋อร์ไปเรียนทำการค้ากับเจ้า เมื่อเจ้ายังมีพี่ชายที่ต้องการการสอนสั่ง เช่นนั้นก็ให้เสี้ยวเอ๋อร์ไปสอนพี่ชายเจ้า ให้หลีเอ๋อร์ไปสอนที่สถานศึกษาเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมยินดี

 

 

ท่านอาจารย์ให้บ่าวรับใช้ไปเรียกโจวเสี้ยวและโจวหลี่เข้ามาหารือกำหนดวันเปิดการเรียนการสอนของสถานศึกษา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่บ้าน ร้องเรียกเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง พูดกับเด็กน้อยทั้งสองคนว่า “พี่สาวเชิญอาจารย์โจวมาสอนที่สถานศึกษาแล้ว นับแต่วันมะรืนเป็นต้นไปให้พวกเจ้าไปเรียนหนังสือกับอาจารย์ที่สถานศึกษา”

 

 

เมิ่งเจี๋ยถามขึ้น “แค่พวกเราสองคนหรือ?”

 

 

“ไม่ใช่ นอกจากพวกเจ้าสองคนแล้ว ยังมีโก่วตั้นลูกป้าหวัง และฮวาเอ๋อร์และเมิ่งหย่งลูกท่านอาสะใภ้สามด้วย”

 

 

ได้ยินว่ามีคนเรียนเยอะ เด็กน้อยทั้งสองไชโยโห่ร้อง “พวกเราจะไปโรงเรียน พวกเราจะไปโรงเรียน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด