ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 194 เคี่ยวกรำ

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 194 เคี่ยวกรำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นรถม้าหลายคันเข้ามา รู้ว่าครั้งนี้เซี่ยเจียงเฟิงต้องการข้าวโพดจำนวนมาก ก็ไม่ได้บอกปัด เพียงแต่บอกพวกเขาจะไม่ได้ช่วยเปล่า จะให้พวกเขาวันละสามสิบอีแปะ 

 

 

คนที่เดินเข้ามาโบกมือบอกว่าไม่ต้องการ เมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าหากเขาไม่ต้องการก็จะไม่ขอให้พวกเขาช่วย 

 

 

เห็นนางดึงรั้นจะให้ให้ได้ คนที่เดินเข้ามาจำต้องรับปากอย่างจนใจ 

 

 

คนทั้งหมดกำลังเด็ดข้าวโพด เมิ่งเชี่ยนโยวมายืนดูข้างๆ เป็นเพื่อนเซี่ยเจียงเฟิง 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงมองข้าวโพดในแปลงดินพูดว่า “ตั้งแต่ข้ารับทอดกิจการจากครอบครัวมา ทำการค้ามียอดขายถล่มทลายเพียงสองครั้ง หนึ่งก็คือกุนเชียงเมื่อปีที่แล้ว อีกอย่างก็คือข้าวโพดของปีนี้ ด้วยการค้าเพียงสองอย่างนี้ ทำให้รายได้ของข้าเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วหนึ่งเท่าตัว เป็นเพราะได้แม่นางช่วยไว้แท้ๆ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านและข้าทำการค้าล้วนได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ท่านทำกำไรได้มาก พูดได้เพียงว่าท่านรู้จักทำการค้า ท่านอย่าได้คืนความชอบใหญ่หลวงนี้มาที่ตัวข้าเลย” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงพูดว่า “แม่นางถ่อมตนแล้ว หากไม่ใช่ข้า เปลี่ยนเป็นคนอื่น มีการค้าสองชนิดนี้ก็ร่ำรวยชั่วข้ามคืนได้ เพียงแต่ข้าโชคดีกว่า ที่ได้รู้จักแม่นางแต่เนิ่นๆ ก็เท่านั้น” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ เปลี่ยนหัวข้อพูด “คุณชายเซี่ย ท่านดูเถิดว่าข้าวโพดในแปลงดินเหลือไม่มากแล้ว เกรงว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านจะมาขนถ่ายข้าวโพดแล้ว” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ตกใจเล็กน้อย พูดว่า “เร็วเช่นนี้เลย ข้าวโพดมากมายนี้ขายไปหมดแล้ว?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ข้าก็ไม่คิดว่าจะเร็วเช่นนี้ นอกจากท่านแล้ว หลงจู๊เหลาจวี้เสียนและพ่อค้าจากตำบลใกล้เคียงจำนวนหนึ่งก็เข้ามาขนถ่ายข้าวโพดไปหลายครั้ง วันนี้หลังจากบรรทุกจนเต็มรถม้าสองสามคันของท่าน เกรงจะเหลืออีกไม่เท่าไหร่แล้ว” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงเริ่มกระวนกระวาย พูดว่า “เช่นนั้นวันนี้ข้าจะขนข้าวโพดที่เหลือนี้ไปทั้งหมด” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ยิ้มพูด “ข้ายังต้องเก็บไว้จำนวนหนึ่ง หมายจะนำไปทำสิ่งอื่น เกรงว่าจะทำให้เจ้าต้องผิดหวังแล้ว” 

 

 

ทราบดีว่าแต่ไหนแต่ไรเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนที่ตรงไปตรงมามาตลอด หากนางให้ตัวเองได้จะต้องยอมขายให้ตัวเอง ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เซี่ยเจียงเฟิงก็ไม่ยืนหยัดอีก เพียงแค่พูดอย่างเสียใจ “หากรู้เช่นนี้ ตอนนั้นข้าคงเหมาข้าวโพดทั้งหมดนี้เอาไว้เพียงคนเดียว ตอนนี้ดีแล้ว กำลังขายดีเทน้ำเทท่า กลับไม่มีแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ภายหน้าข้ายังมีการค้าที่ดี เอาไว้ข้าจะเก็บไว้ให้ท่าน” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงร้องยินดี พูดว่า “แม่นางอย่าได้ผิดคำพูดเล่า ถึงตอนนั้นจะต้องบอกข้าเป็นคนแรก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “วางใจเถอะ ต้องบอกแน่นอน” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงเตรียมการมาก่อนแล้ว ดังนั้นรถม้าสองสามคันนี้ล้วนแต่บรรทุกมากกว่าปกติอีกหนึ่งเท่าตัว กลุ่มคนใช้เวลาเกือบทั้งเช้าถึงบรรจุเต็มรถม้าที่นำมาทุกคัน 

 

 

หลังจากจ่ายเงินแล้ว เซี่ยเจียงเฟิงก็กำชับเมิ่งเชี่ยนโยวหากมีการค้าที่ดีจะต้องแจ้งให้เขาทราบ แล้วบังคับรถม้ารีบเร่งจากไปพร้อมคนงาน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปเดินวนรอบแปลงข้าวโพดที่เหลือหนึ่งรอบ คำนวณดูว่ายังเหลือข้าวโพดอีกมากแค่ไหน สั่งเหวินเปียวให้เด็ดออกมาจำนวนหนึ่ง แล้วตามตัวเองไปบ้านท่านอาจารย์ 

 

 

ท่านอาจารย์กำลังสอนหนังสือ หลังจากได้ยินคนรับใช้มารายงาน ก็ให้เมิ่งอี้เซวียนทบทวนบทกวีด้วยตัวเอง แล้วเดินมาพบเมิ่งเชี่ยนโยวที่ห้องรับแขก 

 

 

ไม่รอให้ท่านอาจารย์ซักถาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นทันที “ข้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องเล็กน้อยจะมาหารือกับท่านอาจารย์ หวังว่าท่านอาจารย์ฟังจบแล้วจะไม่โมโห” 

 

 

ท่านอาจารย์พูดอย่างอารมณ์ดี “พูดเถอะ เรื่องอันใด?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ข้าอยากให้ท่านและอาจารย์โจวพักการสอนสักสองสามวัน ให้อี้เซวียนและพี่เมิ่งเหรินตามข้าไปทำการค้าสองสามวัน” 

 

 

ท่านอาจารย์ในฐานะตี้ซือ มีข้อเรียกร้องความเข้มงวดต่อราชสกุลสูง ในแต่ละวันต้องเข้าเรียนเวลาใด ต้องเรียนอะไรล้วนแต่มีข้อเรียกร้องอย่างเข้มงวด แต่หลังจากมาสอนให้เมิ่งอี้เซวียน กฎเกณฑ์ถูกทำลายไปทั้งหมด อย่างแรกคือวิธีการเรียนห้าวันพักสองวันเขาก็ไม่เห็นด้วย ทว่าเห็นแก่ที่เมิ่งอี้เซวียนมีสติปัญญาล้ำเลิศ แค่พูดก็เข้าใจทันทีเขาถึงได้ยอมรับปาก แต่ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาขอร้องให้เขาหยุดเรียนสองสามวัน ให้เมิ่งอี้เซวียนไปทำการค้า ท่านอาจารย์เดือดดาลโทสะคุกรุ่นปะทุขึ้นทันควัน “เหลวไหลที่สุด เช่นนี้ไฉนเลยจะยังร่ำเรียนได้อย่างปกติสุข?” 

 

 

ก่อนมาเมิ่งเชี่ยนโยวได้เตรียมใจกับการระบายโทสะของท่านอาจารย์แล้ว ดังนั้นพอเห็นเขาเดือดดาลก็ไม่ได้หวาดถอย กลับพูดอย่างพินอบพิเทา “ข้าเคยพูดกับท่านอาจารย์แล้ว นอกจากความรู้แล้ว ข้ายังอยากให้พวกเขามีอีกหนึ่งทักษะติดตัว เลี่ยงไม่ให้ภายหน้าเกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหัน พวกเขาจะเอาตัวรอดไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงอยากให้พวกเขาหยุดเรียนสองสามวัน ติดตามข้าไปเรียนรู้การทำการค้า ข้าจะให้พวกเขาเสียเวลาเพียงสามวันเท่านั้น ท่านวางใจเถอะ วิชาเรียนในสามวันนี้ข้าจะไม่ให้พวกเขาตกหล่น” 

 

 

ท่านอาจารย์ได้ฟังคลายโทสะลงได้บ้าง พูดว่า “แม่นางเมิ่ง ข้ารู้ความนึกคิดของเจ้า แต่ภายหน้าพวกเขาล้วนแต่จะต้องรับราชการเป็นขุนนาง แม้จะเรียนรู้การทำการค้าไปก็เปล่าประโยชน์กับพวกเขา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านอาจารย์กล่าวผิดแล้ว ต่อให้ภายหน้าพวกเขารับราชการเป็นขุนนาง ก็ไม่แน่ว่าจะราบรื่นไปได้ตลอดรอดฝั่ง การเรียนรู้การทำการค้าไว้ เท่ากับเป็นการเตรียมทางหนีทีไล่ให้กับพวกเขาอีกทาง หากมีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะได้ไม่ต้องมีชีวิตแร้นแค้น ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก อีกอย่าง ครั้งนี้ที่ข้าพาพวกเขาไปก็มิได้เป็นการค้าใหญ่อะไร พูดตามตรงก็คือข้าได้เตรียมสิ่งของจะให้พวกเขาไปร้องเร่ขายข้างถนน สิ่งสำคัญก็คือเพื่อฝึกศักดิ์ศรีหน้าตาของพวกเขา เพราะแต่ไหนแต่ไรเหล่าปัญญาชนมักจะทะนงตนว่าสูงส่ง พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะไม่กล้าลดศักดิ์ศรีลงมา ข้าไม่อยากให้พวกเขากลายเป็นคนเช่นนั้น” 

 

 

ท่านอาจารย์ได้ฟังมองนางอย่างตกตะลึง ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ร้องเร่ขายข้างทาง เสื่อมเสียเกียรติของปัญญาชนเกินไปแล้ว เรื่องเช่นนี้พวกเขาจะทำได้อย่างไร?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ดังนั้น ข้าถึงให้พวกเขาไปฝึกฝน ภายหน้าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดจะได้เอาตัวรอดได้” 

 

 

ท่านอาจารย์ขบคิดครู่หนึ่ง พยักหน้าเห็นด้วย “แม้ข้าจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเจ้า แต่ข้าคิดว่าเจ้าพูดมีเหตุผล เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะอนุญาตให้พวกเขาหยุดได้สามวัน อีกสามวันให้หลังพวกเขาจะต้องมาเข้าเรียนตรงตามเวลา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวผุดลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ 

 

 

ท่านอาจารย์พูดว่า “มีคนในครอบครัวคอยตรึกตรองแทนพวกเขา นับว่าเป็นโชคของพวกเขาแล้ว หวังว่าต่อไปภายหน้าไม่ว่าจะเกิดความพลิกผันเช่นใด พวกเขาจะไม่ลืมการเพาะบ่มอย่าสุดกำลังแรงใจที่เจ้ามีต่อพวกเขา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน หาได้เป็นการเพาะบ่มใดไม่ ข้าเพียงหวังให้ภายหน้าพวกเขาสามารถเอาตัวรอดได้ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขใดก็พอ” 

 

 

ท่านอาจารย์ฟังแล้ว ได้แต่พินิจนางเป็นนานไม่พูดอะไร 

 

 

หลังจากบอกลาท่านอาจารย์ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่บ้าน บอกเมิ่งชื่อว่าพรุ่งนี้ตัวเองตัดสินใจจะเข้าเมืองไปตั้งแผงขายข้าวโพดกับเมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งเหริน เมิ่งอี้และเมิ่งอี้เซวียน 

 

 

เมิ่งชื่อได้ฟังก็ให้ตื่นตกใจ พลันพูดอะไรไม่ออก อึดใจใหญ่ถึงพูดว่า “ตอนนี้บ้านเรามีเงินแล้ว ไม่ต้องการให้พวกเจ้าไปตั้งแผงหาบเร่อีก เจ้าคิดจะทำอะไรอีกกันแน่?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนเมิ่งชื่อ พูดกระเง้ากระงอด “ช่วงเวลานี้ไม่มีอะไรทำ ข้าอยากไปตั้งแผงหาบเร่ แต่ก็ลดเกียรติตัวเองไม่ลง จึงอยากให้พวกเขาไปเป็นเพื่อนข้า” 

 

 

เมิ่งชื่อมองนางอย่างกังขา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวให้นางพินิจมองตามใจอย่างไม่สะทกสะท้าน 

 

 

เมิ่งชื่อมองครู่หนึ่งก็ไม่เห็นว่านางมีตรงไหนผิดปกติ จึงพูดว่า “หากเจ้าอยากจะไปให้ได้ ก็ให้พี่ใหญ่พี่รองไปกับเจ้า อย่าได้ถ่วงเวลาเรียนของอี้เซวียนและเหรินเอ๋อร์” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไหนเลยจะยอม “คนมากถึงจะคึกคัก อีกอย่าง พวกเขาต้องร่ำเรียนทุกวัน จะต้องเหนื่อยมากแล้ว ถึงควรแก่เวลาให้พวกเขาได้พักผ่อนบ้าง ทั้งกลับจะส่งผลดีต่อการเรียนของพวกเขามากขึ้น” 

 

 

เมิ่งชื่อเอ็ดทั้งรอยยิ้ม “แม่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าการตั้งแผงหาบเร่มีผลดีต่อการเรียน เจ้าไปเอาตรรกะประหลาดเช่นนี้มาจากที่ใด?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืดแอ่นอกอย่างซุกซน แสดงอาการร้องขอคำชมจากเมิ่งชื่อ “ย่อมต้องเป็นข้าที่คิดได้เอง ข้าฉลาดหรือไม่เล่า?” 

 

 

เมิ่งชื่อหัวร่องอหาย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเรื่องสำเร็จแล้ว แอบลอบถอนใจโล่งอก 

 

 

ช่วงบ่าย เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเหวินเปียวไปเด็ดข้าวโพดอ่อนสามร้อยฝัก แล้วแบ่งวางไว้สามกอง กระทั่งยามค่ำ ถึงเรียกรวมพลเมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งอี้เซวียน เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ บอกพวกเขาว่าเรื่องที่ตัวเองตัดสินใจจะให้พวกเขาออกไปขายข้าวโพดเองในวันพรุ่งนี้ 

 

 

เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีเคยตั้งแผงขายแล้ว ย่อมไม่ติดขัดสิ่งใด เมิ่งอี้เซวียนค่อนข้างมีอาการตื่นเต้น ส่วนเมิ่งเหรินและเมิ่งอี้กลับมีอาการงุนงง 

 

 

เมิ่งเหรินลองเอ่ยปากถาม “น้องสาวโยวเอ๋อร์ จะไม่ค่อยเหมาะสมหรือไม่ ข้าเป็นปัญญาชน ไปกระทำเรื่องเช่นนั้นจะหมิ่นเกียรติลดคุณค่าได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มหวานพูดว่า “พี่เมิ่งเหรินมิต้องเห็นตัวเองเป็นปัญญาชน ให้คิดว่าตัวเองเป็นคนบ้านนอกที่ยากจนข้นแค้นคนหนึ่ง มีชีวิตที่แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้ว จำต้องไปตั้งแผงหาบเร่ขายข้าวโพด” 

 

 

ในตอนนี้เมิ่งเหรินแสดงความเลื่อมใสเมิ่งเชี่ยนโยวจากหัวใจ รู้ว่านางจะไม่ทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ จึงพยักหน้ารับปาก “ได้ ข้าเชื่อเจ้า พรุ่งนี้พวกเราจะไปขายข้าวโพดกัน” 

 

 

เมิ่งอี้เป็นเสี่ยวเอ้อที่ภัตตาคารมาหลายปี การต้อนรับลูกค้าหาได้เหนือบ่ากว่าแรงไม่ แต่การจะให้เขาไปขายข้าวโพด ก็ให้หวั่นเกรงยิ่งนัก ทว่าแม้แต่เมิ่งเหรินยังรับปากแล้ว ภายใต้ภาวะจำยอม เมิ่งอี้จึงตัดสินใจรับปากไปด้วย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้พวกเขาแบ่งเป็นสามกลุ่ม เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีหนึ่งกลุ่ม ตนเองและเมิ่งอี้เซวียนหนึ่งกลุ่ม เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้หนึ่งกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะได้รับข้าวโพดหนึ่งร้อยฝัก วันพรุ่งให้เข้าไปจับจองพื้นที่ตั้งแผงขายข้าวโพดในตลาดสดแต่เช้าตรู่ 

 

 

เมื่อทุกคนรับปากจะไปขายข้าวโพดแล้ว จึงยิ่งไม่มีความเห็นต่างเรื่องเวลาอีก ต่างรับปากทันควัน 

 

 

ค่ำคืนผ่านไป 

 

 

วันถัดมา เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็มาถึงตรงตามเวลา 

 

 

หลังจากคนทั้งหมดช่วยกันขนถ่ายข้าวโพดมาไว้บนรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวให้บังคับรถม้าเข้าเมือง 

 

 

รถม้ามาถึงตัวเมือง ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสาง คนที่มาตั้งแผงในตลาดสดยังน้อยมาก หลังจากทุกคนลงจากรถม้าแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้ทุกคนแยกกันไปหาที่เหมาะสมเพื่อขายข้าวโพดของตัวเอง 

 

 

คนทั้งหมดทำตามที่นางบอก แยกย้ายไปหาสถานที่แตกต่างกัน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองโดยรอบ แล้วพาเมิ่งอี้เซวียนเดินลึกเข้าไปในตลาดสด หาตำแหน่งที่เหมาะสม หลังจากถามว่าไม่มีคน ก็นำภาชนะบรรจุข้าวโพดออกมาวางบนพื้น 

 

 

หญิงชราที่ตั้งแผงอยู่ข้างเคียงเห็นเด็กน้อยสองคนมาตั้งแผง นึกว่าเป็นเด็กที่ฐานะทางบ้านไม่ดี จึงพูดด้วยความหวังดี “อีกประเดี๋ยวจะมีคนมาเก็บภาษี ข้าเห็นของพวกเจ้ามีไม่มาก ตอนที่พวกเขามาเก็บภาษี พวกเจ้ามายืนด้านหลังข้า ข้าจะบอกว่าของพวกนี้ข้าเป็นคนขาย จะได้จ่ายน้อยลงห้าเฉียน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท “ขอบคุณมาก แต่คงไม่ต้อง” 

 

 

หญิงชราคิดว่าเด็กน้อยทั้งสองยังไม่รู้ถึงความสำคัญของเงิน จึงพูดเตือน “แม่หนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเงินห้าเฉียนมีความสำคัญกับคนอย่างพวกเรามากเพียงใด?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบ ท่านแม่ข้าบอกแล้ว เงินห้าเฉียนซื้อแป้งข้าวโพดได้หนึ่งจิน” 

 

 

หญิงชราเริ่มงุนงง “เช่นนั้นเจ้ายังไม่คิดจะประหยัดเงินห้าเฉียนนี้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าทราบว่าท่านมีเจตนาดี แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าพาน้องชายมาตั้งแผงขาย ข้าไม่อยากให้เขาเรียนรู้การฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบ กลายเป็นนิสัยไม่ดีในภายหน้า” 

 

 

หญิงชรามองนางอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง กลับไม่ได้พูดอะไรอีก 

 

 

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม คนที่มาตั้งแผงในตลาดสดค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ทุกคนเห็นเด็กเข้ามาตั้งแผงขายของ ก็ให้ประหลาดใจ โดยเฉพาะได้เห็นเด็กรูปงามอย่างน่าเหลือเชื่ออย่างเมิ่งอี้เซวียน ถึงกับทอดถอนใจว่า “เป็นเด็กชายที่งดงามยิ่งนัก น่าเสียดายที่เกิดในครอบครัวชาวนา ชีวิตนี้เกรงว่าจะไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากแล้ว” 

 

 

เป็นครั้งแรกที่เมิ่งอี้เซวียนถูกคนมากมายประเมินมองเช่นนี้ เริ่มกระดากอาย เอาแต่ก้มศีรษะไม่กล้าเงยหน้าขึ้น 

 

 

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามกว่า คนที่มาซื้อของในตลาดสดค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดภาชนะที่บรรจุข้าวโพดออก ข้าวโพดสดอ่อนปรากฏต่อหน้าสายตาผู้คน 

 

 

ในฤดูกาลนี้เหลาจวี้เสียนกลับมีข้าวโพดอ่อนขาย คนในเมืองต่างทราบดี ต่างทอดถอนใจที่นายท่านแห่งเหลาจวี้เสียนช่างมีอำนาจบารมีนัก แม้แต่สิ่งของที่ไม่ใช่ฤดูกาลนี้ก็ยังหามาได้ ตอนนี้คนที่มาตั้งแผงหาบเร่เห็นพวกเมิ่งเชี่ยนโยวสองพี่น้องมีข้าวโพดอ่อนมาวางขาย ก็ให้ตกตะลึง ใช้แววตาพินิจมองประเมินพวกเขาอีกครั้ง 

 

 

หญิงชราจิตใจดีข้างๆ ก็ตกใจจนพูดไม่ออกแล้ว ได้แต่ถลึงดวงตาขุ่นมัวคู่นั้น จับจ้องมองพวกเขาสองคนอย่างอัศจรรย์ใจซ้ำไปซ้ำมา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ หลังจากจัดเรียงข้าวโพดแล้ว หันไปถามเมิ่งอี้เซวียน “เจ้าหรือข้าที่ร้องขาย?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนถูกคนมองประเมินจนไม่กล้าเงยหน้ามาตลอด ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา ถึงใช้น้ำเสียงที่แทบจะฟังไม่ได้ยินตอบกลับ “ข้า ข้าทำเอง” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด