ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 196 บุคคลลึกลับ

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 196 บุคคลลึกลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เช้าวันรุ่งขึ้น เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้มาตรงตามเวลา เห็นข้าวโพดในตะกร้าสะพายหลัง ก็ให้คลางแคลงใจ เมิ่งเชี่ยนโยวบอกความคิดของตัวเองกับพวกเขาว่า “การเดินเร่ขายในตรอกซอยกับร้องขายในตลาดสดไม่มีอะไรแตกต่างกัน ขอเพียงพวกท่านร้องตะโกนเสียงดัง จะต้องมีคนออกมาซื้อ”

 

 

เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เคยร้องขายในตลาดสดแล้ว รู้สึกว่าขายที่ไหนก็ไม่แตกต่าง พยักหน้าทันควัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแบ่งพื้นที่ให้ทุกคน เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ไปฝั่งตะวันออก เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีอยู่ใจกลางเมือง ส่วนตนเองและเมิ่งอี้เซวียนไปฝั่งตะวันตก เมื่อตกลงกันเรียบร้อย ไม่ว่าจะขายได้เท่าใด หลังจากนี้สองชั่วยามให้มารอยังสถานที่ที่แยกย้ายกัน เหวินเปียวจะบังคับรถม้ามารับพวกเขา

 

 

เหวินเปียวบังคับรถม้าส่งพวกเขาแต่ละคนตั้งแต่ตะวันออกไปยังตะวันตก แล้วไปจอดรอที่ฝั่งตะวันตกของเมือง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสะพายตะกร้าใบใหญ่ขึ้นหลัง ส่งสัญญาณให้เมิ่งอี้เซวียนสะพายตะกร้าใบเล็กที่วางอยู่ให้ดี พูดว่า “วันนี้ข้ามีหน้าที่แบกของเท่านั้น เก็บเงิน ร้องเร่ขายเป็นหน้าที่ของเจ้า”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า สะพายตะกร้าไว้ด้านหน้าร้องเร่ขาย เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลังไป

 

 

ทั้งสองเดินไปได้สองถนน ขายได้ยี่สิบถึงสามสิบฝัก เห็นใบหน้าน้อยๆ ของเมิ่งอี้เซวียนมีเหงื่อซึม เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะให้เขาพักสักครู่ ตรงข้ามมีคนสองคนเดินเข้ามาพอดี เมิ่งอี้เซวียนฉวยโอกาสนี้ร้องเร่ขาย

 

 

ทั้งสองคนเงยหน้ามองตรงมา ทว่าวินาทีที่เห็นโฉมหน้าของเมิ่งอี้เซวียนก็อ้าปากค้าง

 

 

เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้สนใจ ถามขึ้น “พวกท่านซื้อข้าวโพดหรือไม่? ข้าวโพดสดใหม่หวานอร่อย”

 

 

ทั้งสองชี้เมิ่งอี้เซวียนอึกอักพูดไม่ออก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาผิดปกติของพวกเขา พูดว่า “อี้เซวียน พวกเขาไม่ซื้อข้าวโพด พวกเราไป”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า สาวเท้าเดินขึ้นหน้า หนึ่งคนในนั้นพลันขวางหน้าเขาไว้ ถามด้วยใบหน้าขึงขัง “คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านแซ่อะไร?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคว้าเมิ่งอี้เซวียนมาไว้ด้านหลัง ถามอย่างระแวดระวัง “พวกท่านจะถามไปทำไม?”

 

 

คนผู้นั้นเห็นนางเป็นเพียงเด็กสาว จึงไม่สนใจนาง พูดอย่างขอไปที “ข้ารู้สึกคุ้นหน้าคุณชายท่านนี้ เหมือนจะเคยพบที่ไหน จึงลองถามดู”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พวกเราเติบโตในชนบท เข้ามาในเมืองเป็นครั้งแรก จะเคยพบพวกท่านได้อย่างไร พวกท่านจำคนผิดแล้ว”

 

 

คนผู้นั้นมองสบตาเมิ่งอี้เซวียนอย่างแคลงใจหลายครั้ง แล้วหลีกทางหลบให้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนเดินขึ้นหน้าไปหลายก้าว

 

 

“ช้าก่อน” เสียงคนผู้นั้นดังไล่หลังอีกครั้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่นเกร็งไปทั้งตัว ส่งสัญญาณให้เมิ่งอี้เซวียนหันศีรษะกลับไป ตนเองหันไปถามอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกท่านต้องการอะไร?”

 

 

ทั้งสองเดินขึ้นหน้า กางม้วนภาพในมือออก ชี้คนในภาพแล้วถาม “ไม่ทราบว่าแม่นาง เคยเห็นคุณชายท่านนี้ในละแวกใกล้เคียงหมู่บ้านพวกเจ้าหรือไม่?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองอย่างละเอียด เป็นภาพเหมือนวันที่ตัวเองไปเบิกเงินนั่นเอง หัวใจกระตุกวูบ ขมวดคิ้วมุ่น ขบคิดครู่หนึ่งถึงตอบว่า “เหมือนว่าจะเคยเห็น น่าจะเป็นคุณชายน้อยสกุลอู๋อยู่นอกเมืองฝั่งตะวันตกห่างออกไปห้าสิบลี้”

 

 

ทั้งสองหันสบตากัน ถามอย่างยินดี “เจ้าแน่ใจรึ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งพินิจมองอีกครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่แน่ใจ เพียงแค่รู้สึกว่ามีความคล้ายคลึง” พูดจบแสร้งถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “พวกท่านหาตัวคุณชายอู๋ไปเพื่อการใด? เขาเป็นบุตรรักของสกุลอู๋ ปกติสกุลอู๋จะให้เขาออกมาเจอคนน้อยมาก”

 

 

ทั้งสองฟังความหมายแฝงของนางออก พยักหน้าให้กันอย่างยินดี พร้อมกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณแม่นาง”

 

 

“หากพวกท่านไม่มีอะไรแล้ว พวกเราไปได้แล้วหรือไม่? พวกเรายังมีข้าวโพดอีกมากที่ยังขายไม่ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

ทั้งสองรีบหลีกทางให้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนเดินออกไป

 

 

ทั้งสองหันหน้าสบตากัน คนผู้หนึ่งพูดเสียงเบากับอีกคนหนึ่งอย่างคลางแคลงใจ “ข้าไม่ได้ตาลายไปหรอกนะ เด็กผู้นั้นหน้าตาเหมือนท่านอ๋องของพวกเราเกินไปแล้ว หากไม่เพราะในมือมีภาพเหมือนใบนี้ ข้าจะจับเด็กคนนี้กลับไปให้พระชายารองเดี๋ยวนี้”

 

 

อีกคนหนึ่งก็พยักหน้า “ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนมาก น่าเสียดายที่ไม่ใช่ พระชายารองบอกแล้วว่า ตอนที่ทำเด็กคนนั้นหายข้างกายมีแผ่นหยกติดตัว อยากได้เงินเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ปัญหา ไม่มีทางตกอับถึงขั้นมาร้องขายของข้างทางเช่นนี้”

 

 

คนผู้นั้นรู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผล พยักหน้าพูดว่า “บางทีเป็นพวกเราที่คิดมากเกินไป เด็กคนนี้อาจจะแค่มีใบหน้าละม้ายท่านอ๋องเท่านั้น”

 

 

อีกคนหนึ่งพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็อย่ารอช้าเลย รีบไปหาคุณชายสกุลอู๋ เมื่อเจอตัวแล้ว หากว่าใช่เขา พวกเราก็หาโอกาสลักพาตัวเขา กลับไปมอบคืนให้พระชายารองรอรับบำเหน็จ”

 

 

อีกคนพยักหน้า ทั้งสองจากไปทันควัน

 

 

กระทั่งทั้งสองคนไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วแน่น ครุ่นคิดอยู่เป็นนาน มองไปตามทางที่สองคนนั้นจากไป

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเดินร้องเร่ขายไปข้างหน้า ครู่หนึ่งถึงรู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเมิ่งเชี่ยนโยว หันกลับมาอย่างประหลาดใจ เห็นนางยืนนิ่งห่างออกไปด้านหลังจ้องมองบางสิ่งไกลออกไปอย่างเลื่อนลอย จึงหันหลังกลับเดินมาตรงหน้านาง ถามขึ้น “เจ้าเป็นอะไรหรือ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเขาตัดตอนความคิด ได้สติกลับมา หลังจากขานรับ “อ่อ” ก็พูดว่า “ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว พวกเราพักกันสักประเดี๋ยวเถอะ”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า

 

 

ทั้งสองหาที่วางตะกร้าลง ยืนพักข้างทาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมา ซับเหงื่อบนหน้าผาก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขาเสียงละมุน “เหนื่อยหรือไม่?”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนแหงนใบหน้าแดงระเรื่อขึ้น ตอบอย่างกระหยิ่มใจ “ไม่เหนื่อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองใบหน้างดงามหมดจดของเขา คำพูดเมื่อครู่ของชายสองคนนั้นดังก้องในสมองอีกครั้ง หัวใจสั่นไหวอย่างประหลาด รู้สึกคล้ายมีบางสิ่งสะท้อนวาบภายในสมอง เร็วจนตัวเองคว้าจับไม่ทัน

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางสติเลื่อนลอยอีกครั้ง ถามอย่างเป็นห่วง “เจ้ามีเรื่องหนักใจหรือ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสะพายตะกร้าของตัวเอง พูดว่า “คงเพราะเมื่อคืนวานนอนไม่พอ วันนี้ก็เลยเหม่อลอยไปบ้าง พวกเรารีบไปขายเถอะ ขายเสร็จจะได้กลับบ้าน”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า สะพายตะกร้าใบน้อยของตัวเอง เปล่งเสียงร้องเร่ขายไปตามถนนในตรอก น้ำเสียงกังวานอ่อนเยาว์ดังลอยไปไกล

 

 

เมื่อวานมีขายข้าวโพดในตลาดสด คนไม่น้อยพอได้ข่าวก็ตรงเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ ขายหมดกลับบ้านไปนานแล้ว ผู้คนต่างพากันผิดหวัง วันนี้ถึงกับมีคนตั้งใจไปเดินวนรอบตลาดสด ก็หาซื้อข้าวโพดไม่ได้ ในตอนที่กำลังเสียใจนั้น เกิดได้ยินเสียงเมิ่งอี้เซวียนร้องตะโกน มีคนเปิดประตูบ้านกวักมือให้พวกเขา หลังจากซักถามราคาแล้ว ก็ล้วงเงินออกมาซื้อ

 

 

ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่า ข้าวโพดในตะกร้าของพวกเขาสองคนก็ขายหมดเกลี้ยง

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเห็นข้าวโพดถูกขายออกไปทั้งหมด ก็ให้ตื่นเต้นดีใจ ด้านหนึ่งเดินมุ่งหน้ากลับไปที่จอดรถม้า อีกด้านก็เอาแต่พูดจ้อกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับคำเขาอย่างขอไปที ไม่นานทั้งสองก็มาถึงข้างรถม้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววางตะกร้าไว้บนรถม้า แล้วสั่งการเหวินเปียวไปตามหาพวกเมิ่งเสียน ทว่าในตอนที่หันหลังจะก้าวขึ้นรถม้ากลับเหลือบไปเห็นชายฉกรรจ์ที่เจอเมื่อเช้าสองคนโดยไม่รู้ว่าตามตนเองมาตั้งแต่เมื่อไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วแน่น เปลี่ยนความตั้งใจ หลังจากเร่งเร้าเมิ่งอี้เซวียนให้ขึ้นรถม้า ก็สั่งการเหวินเปียวให้บังคับรถม้าไปทางทิศตะวันตกด้วยอาการขึงขัง

 

 

เหวินเปียวก็ไม่ถามมาก บังคับรถม้าออกจากประตูเมือง มุ่งหน้าตรงไปทิศตะวันตก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแอบเปิดม่านบังรถ มองออกไปนอกรถ เห็นสองคนนั้นวิ่งทะยานตามหลังมาอย่างสุดกำลัง จึงสั่งเหวินเปียวให้บังคับรถม้าช้าลง

 

 

ทั้งสองเห็นรถม้าลดความเร็วลง หันสบตากัน เร่งฝีเท้าตามติดอย่างไม่ลดละ

 

 

ออกมาได้ประมาณสามถึงสี่ลี้ ข้างทางไม่มีคนสัญจรแล้ว หลังจากสั่งเหวินเปียวให้หยุดรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวก็เปิดม่านบังรถแล้วเดินลงมาจากรถม้า เอ่ยถามทั้งสองคนที่ตามติดมาตลอดทางด้านหลังว่า “ทั้งสองท่านตามติดข้ามาตั้งแต่ในเมืองจนถึงที่นี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด?”

 

 

ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะสังเกตเห็นพวกเขาแต่แรกแล้ว นิ่งอึ้งครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่ปิดบัง “แม่นางน้อย ข้าอยากถามเจ้า คุณชายน้อยที่ขายข้าวโพดคนเมื่อครู่เป็นอะไรกับเจ้า?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “น้องชายข้า พวกท่านจะถามไปเพื่ออะไร?”

 

 

ชายฉกรรจ์ถามต่อ “พวกเจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร บ้านช่องอยู่ที่ไหน?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วแน่น ย้อนถาม “พวกท่านเป็นใคร?”

 

 

ชายฉกรรจ์มองสหายข้างกายแวบหนึ่ง พูดโป้ปด “แม่นางน้อย พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย พวกเราเพียงตามหาคนผู้หนึ่ง อายุใกล้เคียงกับน้องชายเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงกิริยาโกรธเกรี้ยว พูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “พวกเจ้าตามหาคนแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเรา? รีบไสหัวไป! อยู่ให้ห่างจากรถม้าของพวกเรา”

 

 

ทั้งสองหันหน้ามองกัน ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินขึ้นหน้า หมายจะพูดบางสิ่งกับนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งร้อง “อ่ะ” แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว

 

 

เหวินเปียวปล่อยบังเ**ยนในมือ สาวเท้าเดินมาเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “แม่นาง ท่านไม่เป็นกระไรนะ?”

 

 

ชายฉกรรจ์เห็นท่วงท่าของเหวินเปียว รู้ว่าเป็นคนมีวรยุทธ์ ให้เกิดความระแวดระวัง

 

 

เหวินเปียวร้องถามทั้งสองคน “พวกท่านเป็นใครกัน ต้องการสิ่งใดต่อแม่นางของพวกเรา?”

 

 

ชายฉกรรจ์โบกมือเป็นพัลวัน “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงต้องการสอบถามเรื่องบางอย่างจากแม่นาง มิได้มีจุดประสงค์ร้าย”

 

 

“ที่ข้ารู้ก็บอกพวกเจ้าไปหมดแล้ว พวกเจ้ายังคิดจะถามอะไรอีก?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างไม่พอใจ

 

 

ชายฉกรรจ์ประสานมืออีกครั้ง “พวกเราเพียงต้องการถามชื่อแซ่ แลบ้านช่องของพวกท่าน?”

 

 

เดิมเมิ่งเชี่ยนโยวต้องการให้เหวินเปียวออกหน้า ให้พวกเขาสองคนรู้ความจากไปเอง ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะเป็นพวกกอเอี๊ยะหนังสุนัข สะบัดไม่หลุด ตามตอแยไม่เลิกรา

 

 

ในตอนนี้เพลิงโทสะในใจเมิ่งเชี่ยนโยวเผาไหม้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว “พวกเราไม่รู้จักกัน พวกเจ้าจะสอบถามอย่างไร้สาเหตุไปเพื่อการใด? หรือพวกท่านมีจุดประสงค์อะไรต่อพวกเรา?”

 

 

ชายฉกรรจ์เห็นนางอย่างไรก็ไม่ยอมตอบแต่โดยดี เกิดความแคลงใจ ถามขึ้น “ข้าบอกแม่นางแล้ว พวกเรากำลังตามหาคนผู้หนึ่ง แม่นางบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบพวกเรา หรือว่าจะเป็นดั่งที่พวกเราคาดเดาไว้จริงๆ…”

 

 

ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวถ่มน้ำลายใส่ “หน้าไม่อายยิ่งนัก สะกดรอยตามพวกเรากลางวันแสกๆ ตอนนี้ยังจะมาถามชื่อแซ่ข้า พวกเจ้ายังกล้าพูดว่าไม่มีจุดประสงค์”

 

 

ชายฉกรรจ์โกรธเกรี้ยว อารมณ์พลุ่งพล่าน เช็ดน้ำลายบนใบหน้า พูดคุกคาม “พวกเจ้าอย่าได้ไม้อ่อนไม่ชอบชอบไม้แข็ง พวกเราถาม เจ้าก็ตอบมาตามสัตย์จริง ไม่เช่นนั้น อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งหวาดผวาตบหน้าอก พูดว่า “ตกใจหมดเลย ไม่ทราบว่าพวกเจ้าจะไม่เกรงใจอย่างไร?”

 

 

ชายฉกรรจ์ยิ้มอย่างลำพองใจ ชี้เหวินเปียวแล้วพูดว่า “พวกเราสองคนจะฆ่าพวกเจ้าสองคนทิ้ง จากนั้นพาเด็กคนนั้นกลับไปรับรางวัล” พูดจบ รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวหวาดกลัวร้องขอชีวิต

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ๊ายหย่า” แล้วยิ้มพูดว่า “บังเอิญนัก ข้าก็มีความคิดเช่นนี้พอดี”

 

 

ชายฉกรรจ์ตะลึงงัน แล้วพูดเกรี้ยวกราด “นังเด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เจ้ารนหาที่ตายแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงสีหน้าดูแคลน “อย่างเจ้านะหรือ?”

 

 

ชายฉกรรจ์ยิ่งบันดาลโทสะ เลือดขึ้นหน้า โถมตัวเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยวฉับพลัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงตัวหลบ เหวินเปียวรุกขึ้นหน้าเข้าขวางเบื้องหน้านาง ออกอาวุธสู้กับชายฉกรรจ์

 

 

เมิ่งอี้เซวียนได้ยินเสียงต่อสู้ นึกว่าเป็นเหมือนครั้งก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขาหลบอยู่ในห้องโดยสาร ดังนั้นจึงไม่กล้าลงจากรถม้า เพียงแต่เลิกม่านรถคอยลอบแอบดูในมุมหนึ่ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของเขาด้วยหางตา ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ พูดว่า “ลงมาเถอะ”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนดีอกดีใจ รีบลงจากรถม้ามายืนข้างกายนาง

 

 

ชายฉกรรจ์อีกคนเห็นเขาลงจากรถม้า จับจ้องเขาตาไม่กะพริบ นัยน์ตาสะท้อนแววละโมบ

 

 

เมิ่งเสียนเห็นเหวินเปียวและชายฉกรรจ์สู้ปะทะกันไปมา เกิดความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยากสู้บ้าง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาเขา ชี้ชายฉกรรจ์อีกคนพูดกับเขาว่า “เจ้าร่ำเรียนวรยุทธ์มาก็ไม่น้อยแล้ว เข้าไปประลองกับเขาหน่อยเถิด”

 

 

ได้ยินวาจาของนาง เมิ่งอี้เซวียนเลือดลมสูบฉีด แสดงท่าออกอาวุธแล้วโถมตัวเข้าหาชายฉกรรจ์

 

 

ชายฉกรรจ์เห็นเขาอายุยังน้อย ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำ บวกกับคล้ายจะมีความกังวล ทำให้ปฏิกิริยาตอบโต้ช้า ถูกเขาถีบจนถอยหลังไปหลายก้าว

 

 

เมิ่งอี้เซวียนออกอาวุธสำเร็จ ความมั่นใจทวีขึ้นพลัน ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ยืนมั่นคง ก็จู่โจมเข้าใส่ทันที

 

 

ครั้งนี้ชายฉกรรจ์เตรียมรับมือแล้ว เบี่ยงตัวหลบอย่างง่ายดาย หาช่องว่างสับมือใส่ลำคอเมิ่งอี้เซวียน

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหลบได้อย่างหวุดหวิด

 

 

ชายฉกรรจ์ออกอาวุธไม่สำเร็จ ตะลึงงัน เมิ่งอี้เซวียนฉวยโอกาสนี้อ้อมมาด้านหลังเขา ถีบใส่กระดูกขาหลังเขาสุดแรง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด