ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 215-1 โสมคนช่วยชีวิต

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 215-1 โสมคนช่วยชีวิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวนำโสมคนมาแล้ว ก็ไม่คิดจะนำกลับไปอีก จึงไม่รับมา 

 

 

หมอได้แต่พูดเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี เห็นนางยึดมั่นไม่ยอม ก็ไม่ยืนหยัดอีก วางกล่องโสมคนลงบนโต๊ะเก่าในห้อง 

 

 

หลี่ตุนวิ่งเหงื่อโทรมกายกลับมาพร้อมห่อยา 

 

 

“ข้าช่วยต้มให้เอง เจ้าไปดูแลแม่ในบ้านเถอะ” สะใภ้จูอู่ออกอาสาพูดเอง 

 

 

หลี่ตุนส่งห่อยาในมือให้นาง กล่าวขอบคุณด้วยความตื้นตัน “ขอบคุณอาซ้อ” 

 

 

สะใภ้จูอู่โบกไม้โบกมือ พูดว่า “คนบ้านเดียวกัน ช่วยเหลือกันก็สมควรแล้ว” 

 

 

หลี่ตุนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เดินเข้าไปในบ้าน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยังยืนอยู่ในบ้าน รีบไปยกเก้าอี้เก่าๆ ตัวหนึ่ง ใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดอย่างพิถีพิถันไปมาหลายครั้ง แล้ววางไว้ด้านหลังนางอย่างอ่อนน้อมระแวดระวัง “นายหญิง ท่านนั่งก่อนเถิด” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รังเกียจ หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยซอมซ่อ 

 

 

พอมีโสมคน หมอก็มีความเชื่อมั่นช่วยแม่เฒ่าหลี่ตุนให้ฟื้นขึ้นมา จึงไม่รีบร้อนกลับ นั่งบนเก้าอี้เก่าอีกตัวรอให้นางดื่มยาเสร็จ ตรวจอาการอีกรอบค่อยไป 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากพูดกับหมอ “นอกจากโสม หากยังต้องการตัวยาอื่น ขอให้ท่านเขียนออกมา ขอเพียงรักษาคนได้ ราคาเท่าใดก็ไม่มีปัญหา” 

 

 

เขาเป็นหมอในหมู่บ้านละแวกนี้มานานหลายปี ไม่เคยพบเจอนายหญิงที่คิดแทนบ่าวรับใช้เช่นนี้มาก่อน ได้ฟังก็ให้ตกตะลึงพรึงเพริด ใช้แววตาประหลาดใจและเลื่อมใสมองประเมินเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างละเอียดอีกครั้ง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขามองประเมินอย่างเปิดเผย กระทั่งเขาเก็บคืนแววตา ถึงยิ้มถาม “ท่านหมอใช้แววตาเช่นนี้มองข้า เพราะรู้สึกว่าข้าทำอะไรไม่ถูกต้องหรือไม่?” 

 

 

หมอโบกมือเป็นพัลวัน “แม่นางเข้าใจผิดแล้ว ข้าเป็นหมอมานาน พบเจอคนมาไม่น้อย แต่นายหญิงที่คิดแทนบ่าวรับใช้เช่นแม่นาง ข้าเพิ่งจะเคยเจอครั้งแรก จึงมองประเมินเจ้าหลายครั้งด้วยความประหลาดใจ ขอแม่นางอย่าถือสา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านหมอกล่าวเกินไปแล้ว นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” 

 

 

หมอเกิดความรู้สึกเลื่อมใสจนล้นปรี่ 

 

 

“หลี่ตุน!” ลานบ้านด้านนอกมีคนร้องตะโกนเรียก 

 

 

หลี่ตุนขานรับออกไป 

 

 

ชายหนุ่มท่าทางนักเลงเดินแกว่งแขนเข้ามา ในมือถือไก่ตัวหนึ่งเดินเข้ามาในลานบ้าน พอเห็นเขาออกมา ก็ชูไก่ในมือขึ้น “ได้ยินว่าแม่เจ้าป่วย ข้าจับไก่ตัวหนึ่งมาให้ เจ้าเอาไปตุ๋น เอามาให้แม่เจ้ากินบำรุงร่างกาย” 

 

 

หลี่ตุนลังเลเล็กน้อย 

 

 

ชายหนุ่มหรี่ตา มองขวางไม่พอใจ พูดจามีลับลมคมใน “แหมๆ ตอนนี้ชีวิตดีแล้ว ไม่เห็นหัวพวกเราแล้วใช่หรือไม่?” 

 

 

หลี่ตุนฝืนยกยิ้มพูดว่า “ที่ไหนกัน เพราะตอนนี้ท่านแม่ข้าสุขภาพอ่อนแอ กินของมันเลี่ยนไม่ได้ต่างหากเล่า ท่านนำกลับไป เลี้ยงไว้กินเองเถอะ” 

 

 

ชายหนุ่มยื้อยัดไก่ใส่มือเขา “ตอนนี้กินไม่ได้ ก็เก็บไว้กินวันหลัง ของเอามาแล้ว มีใครที่ไหนเอากลับไปบ้าง เจ้าวางใจ ไก่นี้พวกเราเลี้ยงเอง ไม่ได้ลักมา” 

 

 

หลี่ตุนจนใจรับมา วางไก่ไว้อีกด้านบนพื้น ไก่ตัวนั้นถูกมัดขาทั้งสองไว้ แต่ยังกระพือปีกดิ้นรนไม่หยุด 

 

 

ชายหนุ่มก็ไม่รอให้หลี่ตุนเชิญ เดินอาดๆ เข้าไปในบ้าน กลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านนอกเห็นเขาเดินกร่างเข้ามา แยกย้ายกันหลบทางให้เขา ตอนที่หลี่ตุนเห็นชายหนุ่มเดินตรงเข้าบ้าน คิดจะเข้าไปห้ามก็ไม่ทันการณ์แล้ว ตกใจลนลานเร่งฝีเท้าตามเข้ามาในบ้าน 

 

 

ชายหนุ่มเดินเข้ามาในบ้าน เห็นเด็กสาวแต่งกายไม่ธรรมดานั่งบนเก้าอี้เตี้ย ชะงักงันเล็กน้อย 

 

 

หมอเห็นชายหนุ่มเข้ามาก็ให้ย่นยู่หัวคิ้ว 

 

 

ชายหนุ่มหมายจะเดินไปข้างเตียงดูหน้าแม่เฒ่าหลี่ตุน 

 

 

หลี่ตุนรีบเข้ามาดึงเสื้อเขาจากด้านหลังพูดว่า “พี่เอ้อซุ่น ในบ้านมีแขก พวกเราไปคุยกันข้างนอกเถอะ” 

 

 

ชายหนุ่มที่ปกติเป็นคนโอหังอวดดี ได้ยินวาจาของหลี่ตุน พลันไม่พอใจขึ้นทันควัน “ข้ามาเยี่ยมแม่เจ้า เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” 

 

 

หลี่ตุนร้อนใจ ออกแรงมากขึ้น น้ำเสียเจือด้วยความเว้าวอน “พี่เอ้อซุ่น พวกเราไปคุยกันข้างนอกจะดีกว่า” 

 

 

ชายหนุ่มสะบัดแขนออก น้ำเสียงเคืองขุ่น “หลี่ตุน เจ้าเป็นอะไร ข้ามาเยี่ยมแม่เจ้าด้วยเจตนาดี เจ้ากลับเอาแต่ดึงรั้งข้าให้ออกไปข้างนอก” คาดไม่ถึงว่าจะสะบัดแรงเกินไป จนโดนกล่องโสมคนบนโต๊ะตกหล่นพื้น กล่องตกพื้นพร้อมเสียงกระทบพื้น โสมคนด้านในกลิ้งออกมา 

 

 

พอเห็นสิ่งที่หลุดออกมาจากในกล่องคือโสมคน ชายหนุ่มเปล่งเสียง “โฮะ” เบิกตาโพลงแล้วพูดว่า “หลี่ตุน ไม่เลวเลย ตอนนี้มีปัญญาซื้อโสมคนได้แล้ว ถึงได้ดูแคลนไก่ที่ข้าเอามาให้” 

 

 

หลี่ตุนเห็นโสมคนนอนแอ้งแม้งบนพื้น ตกใจหน้าซีด รีบย่อตัวลง เก็บโสมคนขึ้นมา ใช้ปากเป่าเศษฝุ่นเศษดินด้านนอกออกซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ถึงวางใส่กล่องอย่างระมัดระวัง 

 

 

ชายหนุ่มเห็นท่าทีตั้งอกตั้งใจของเขา สบถ “เชอะ” แล้วพูดอย่างดูแคลน “ถึงขั้นนี้เลย? ก็แค่โสมคนสับปะรังเคอันหนึ่ง ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเห็น จะสักกี่อีแปะกันเชียว” 

 

 

หลี่ตุนไม่กล้าล่วงเกินเขา พูดอย่างระวัง “พี่เอ้อซุ่น โสมคนต้นนี้ นายหญิงของพวกเรานำมารักษาโรคให้ท่านแม่ข้า ท่านหมอบอกว่าราคาหลายร้อยตำลึง” 

 

 

ชายหนุ่มได้ฟัง สะท้อนแววตาละโมบพลัน “หลายร้อยตำลึง? โสมคนแค่นี้มีราคาถึงหลายร้อยตำลึง เจ้ามิได้หลอกข้าหรอกนะ?” 

 

 

หลี่ตุนเห็นเขาไม่เชื่อ เริ่มกระวนกระวายใจ “ข้าจะหลอกท่านทำไม ท่านหมอก็อยู่ที่นี่ด้วย ท่านถามเขาก็ได้ อีกทั้งตัวยามีสรรพคุณสูง ท่านแม่ข้าป่วยหนักเช่นนี้ ท่านหมอบอกว่าใช้เพียงรากก็พอ ไม่จำเป็นต้องใช้หมดทั้งต้น” 

 

 

ชายหนุ่มได้ฟังหรี่หลุบนัยน์ตาละโมบคู่นั้นลง พุดว่า “นายหญิงของพวกเจ้าใจกว้างนัก หรือว่าจะมีจุดประสงค์อื่น?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

หมอมองชายหนุ่มแล้วส่ายหน้า 

 

 

หลี่ตุนตกอกตกใจเหงื่อผุดซึมไปทั่วหน้าผาก ไม่หวาดกลัวอะไรแล้ว ร้องตวาดเขาเสียงลั่น “พี่เอ้อซุ่น นายหญิงของพวกเราก็อยู่ที่นี่ ท่านอย่าได้พูดเหลวไหล” 

 

 

ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้อง ใช้นิ้วชี้เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ “นายหญิงที่เจ้าว่า คงไม่ใช่เด็กสาวคนนี้หรอกนะ?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มออกอาการหน้าเปลี่ยนสี 

 

 

หลี่ตุนทำงานกับเมิ่งเชี่ยนโยวมานาน พอจะเข้าใจปฏิกิริยาอาการของนาง เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของนาง รู้ว่านี่เป็นสัญญาณบอกเหตุว่านางจะปะทุอารมณ์แล้ว รีบเข้าไปฉุดกระชากลากถูเอ้อซุ่นผลักให้เขาพ้นประตูออกไป พูดกับเขาเสียงอ่อนเสียงหวาน “พี่เอ้อซุ่น มีอะไรพวกเราออกไปพูดข้างนอกเถอะ” 

 

 

ครั้งนี้เอ้อซุ่นไม่โมโหแล้ว ปล่อยให้เขาผลักพ้นประตูออกมา 

 

 

กลุ่มคนที่ยืนดูเรื่องสนุกในลานบ้านเห็นหลี่ตุนผลักเอ้อซุ่นออกมา ต่างสุมหัวกระซิบกระซาบเซ็งแซ่ 

 

 

เอ้อซุ่นถูกผลักออกมาข้างนอก ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ กลับพูดอย่างอารมณ์ดี “เมื่อนายหญิงของพวกเจ้าอยู่ เช่นนั้นไว้ข้าค่อยมาเยี่ยมแม่เจ้าวันหลังก็แล้วกัน” 

 

 

หลี่ตุนแทบอยากจะไล่เขาไปทันที ไม่ได้คิดถึงความหมายแฝงในวาจาเขา โบกมืออุตลุด “พี่เอ้อซุ่น ปกติท่านยุ่งมาก ไม่ต้องมาแล้วก็ได้” 

 

 

เอ้อซุ่นตบบ่าหลี่ตุน พูดว่า “เจ้าจะเยาะหยันข้าหรือไร ปกติข้าหลักลอยไม่ทำการทำงาน จะเอาที่ไหนมายุ่ง” พูดจบก็พูดว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ไก่ตัวนั้นอีกสองวันค่อยเอามาตุ๋นให้แม่เจ้ากิน ปกติพวกเราเคยคบหากันดี ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้าก็แล้วกัน” 

 

 

พูดจบ ไม่รอให้หลี่ตุนพูด ก็เดินกร่างโยกซ้ายโยกขวาออกไป 

 

 

“พี่เอ้อซุ่น ค่อยๆ เดิน!” หลี่ตุนร้องตะโกนตะกุกตะกักไล่หลังไป 

 

 

เอ้อซุ่นไม่หยุด เดินพ้นลานบ้านออกไป ตอนที่เห็นรถม้าหน้าประตู ดวงตาเปล่งประกาย พินิจมองเล็กน้อย แล้วฮัมเพลงเดินส่ายตัวจากไป 

 

 

เห็นเขาเดินไปไกล หลี่ตุนถึงถอนใจโล่งอก รีบเดินเข้ามาในบ้าน คิดจะอธิบายแก้ตัวกับเมิ่งเชี่ยนโยว พออ้าปากได้กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ทำได้เพียงขยี้หัว ยืนทำหน้าละอายใจอยู่อีกด้าน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตามองมาที่เขาแวบหนึ่ง หลี่ตุนตกใจขาท้องสั่นพั่บๆ พูดอย่างขวัญผวา “นายหญิง ท่านอย่าเข้าใจผิด เมื่อก่อนข้าไม่รู้ความ พลาดไปคบเพื่อนเช่นนี้ แต่ข้าไม่ได้คบหากับเขามานานแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เขาถึงมาได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้เตี้ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่ได้พูดสิ่งใด 

 

 

หลี่ตุนก็ไม่รู้ว่าคำอธิบายของตัวเองใช้ได้ผลหรือไม่ หัวใจเอาแต่เต้นรัว ในตอนนี้เองสะใภ้จูอู่ก็ตะโกนมาจากด้านนอก “ต้มยาเสร็จแล้ว” 

 

 

หลี่ตุนรีบเดินออกไป เข้าไปในครัวหาชามเก่ามีรอยบิ่นใบหนึ่ง หาผ้าเก่ามารองมือ ค่อยๆ เทยาใส่ชาม แล้วยกเข้ามาวางบนโต๊ะซอมซ่อด้วยความระวัง 

 

 

สะใภ้จูอู่ก็ตามเข้ามา ยืนอยู่อีกด้านอย่างพินอบพิเทา 

 

 

หลี่ตุนออกไปเอาชามอีกใบเข้ามา เทยาในชามสลับไปมาสองสามครั้ง จนรู้สึกว่าไม่ร้อนมากแล้ว ถึงยกชามยาเดินมาข้างเตียง เปล่งเสียงเรียกแผ่วเบาหลายครั้ง “ท่านแม่” หวังว่านางจะลืมตาขึ้นมา ดื่มยาในชามลงไป แต่เปล่งเสียงเรียกอย่างไร หญิงชราก็ไม่ตอบสนอง หลี่ตุนไม่มีทางเลือก หันมาพูดขอร้องสะใภ้จูอู่ “อาซ้อ รบกวนท่านไปหยิบช้อนในครัวมาให้หน่อยเถิด” 

 

 

สะใภ้จูอู่หันหลังเดินออกไป ไม่นานก็ถือช้อนเข้ามายื่นให้หลี่ตุน 

 

 

หลี่ตุนใช้ช้อนตักยาในชามป้อนใส่ปากหญิงชราอย่างใจเย็น 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและหมอคอยเฝ้าดูอยู่อีกด้านไม่พูดอะไร 

 

 

คงเพราะตัวยาออกฤทธิ์ ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา หญิงชราค่อยๆ ลืมตาพร่ามัวทั้งคู่ขึ้น มองเห็นคนทั้งหมดอย่างเลือนๆ รางๆ หลับตาลงไปอีกครั้ง 

 

 

หลี่ตุนเห็นหญิงชราฟื้นแล้ว พูดด้วยอารามตื่นเต้นดีใจ “ท่านแม่ ท่านฟื้นแล้ว” 

 

 

หญิงชราถึงลืมตาอีกครั้ง หยั่งเชิงถาม “ตุนเอ๋อร์?” 

 

 

หลี่ตุนพยักหน้าควับ พูดด้วยความปิติ “ท่านแม่ ข้าเอง” 

 

 

หญิงชราหลับตาลงอีกครั้ง ถึงลืมตาขึ้น สติสตังค่อยๆ ฟื้นคืน ถามขึ้น “ตุนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว แม่นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าเสียแล้ว” 

 

 

หลี่ตุนพูดเสียงแผ่ว น้ำเสียงเครือเจือสะอื้น “อาซ้อจูอู่เข้ามาดูท่าน พบว่าท่านป่วย ถึงรีบไปตามข้ากลับมา ไม่เพียงเท่านั้น นายท่านของพวกเราก็มาด้วย ที่ท่านฟื้นขึ้นมาได้ ต้องขอบคุณโสมคนที่นางให้มา” 

 

 

แม่เฒ่าหลี่ตุนขยับเอียงลำคออย่างยากลำบาก เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งอยู่อีกด้าน ขยับร่างกาย หมายจะลุกขึ้นนั่ง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพลันลุกขึ้นพูด “สุขภาพท่านยังอ่อนแอ นอนก็พอแล้ว” 

 

 

แม่เฒ่าหลี่ตุนพยักหน้าให้นางอย่างตื้นตัน “ขอบคุณนายหญิง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือไปมา “เล็กน้อยเท่านั้น ท่านอย่าได้เก็บไปใส่ใจ” 

 

 

เห็นแม่เฒ่าหลี่ตุนฟื้นได้เร็วเช่นนี้ หมอเองก็ดีใจมาก บอกให้นางนอนให้ดีๆ แล้วจับชีพจรให้นางใหม่ ถึงหันไปพูดกับหลี่ตุนว่า “คนฟื้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีก ขอเพียงกินข้าวและกินยาให้ตรงตามเวลาทุกวัน ผ่านไปไม่กี่วันก็จะดีขึ้น” 

 

 

หลี่ตุนได้ฟังดีใจยกใหญ่ กล่าวคำขอบคุณหมอซ้ำไปมา 

 

 

หมอยิ้มพูด “เป็นเพราะโสมคนต้นนั้นแท้ๆ หากไม่มีโสมคนต้นนั้น ต่อให้ข้ามีวิชาการแพทย์สูงส่งเพียงใด ก็คงช่วยแม่เจ้าไม่ได้ เจ้าจะขอบคุณก็จงขอบคุณนายหญิงของเจ้าเถอะ นางช่างเป็นนายหญิงที่หาได้ยากโดยแท้” 

 

 

แม่เฒ่าหลี่ตุนหันไปกล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวอีกชุดหนึ่ง 

 

 

แม่เฒ่าหลี่ตุนไม่เป็นอะไรแล้ว หมอกำชับกำชาหลี่ตุนเวลาต้มยาจะต้องใส่รากโสมคนเข้าไปตามปริมาณที่กำหนด 

 

 

หลี่ตุนจดจำขึ้นใจ แล้วถามหมอว่าทั้งหมดเป็นเงินเท่าใด? 

 

 

หมอตอบว่าสองร้อยอีแปะ 

 

 

หลี่ตุนหยิบเงินสองร้อยอีแปะออกมาจากในตู้มอบให้หมอ 

 

 

หมอรับมา สะพายกระเป๋ายาเดินออกไป 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด