ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 219-1 ถูกคนสะกดรอยตาม

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 219-1 ถูกคนสะกดรอยตาม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จางลี่ตกใจร้องถาม “ท่านแม่ ท่านกับท่านพ่อเห็นพ้องกับการแต่งงานนี้แล้วหรือ?”

 

 

ฮูหยินจางคลี่ยิ้มพยักหน้า

 

 

“ไกลเกินไป ข้าไม่เห็นด้วย” จางลี่พูดโต้แย้ง

 

 

ฮูหยินจางไม่คิดว่าจางลี่จะไม่เห็นด้วย ชะงักเล็กน้อย สีหน้าเริ่มเหยเกดูไม่ได้ กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งห้วน “นับแต่อดีตเรื่องการแต่งงาน ล้วนเป็นบิดามารดาจัดการ เจ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่มีประโยชน์ ขอเพียงข้ากับท่านพ่อเจ้าพึงพอใจ การแต่งงานนี้ก็จะถูกกำหนด”

 

 

จางลี่ก็มิได้จะไม่ยินยอมจากใจ เพียงแค่รู้สึกว่าอำเภอชิงเหอไกลจากจังหวัดเกินไป รู้สึกห่วงหา ครั้นพอเห็นฮูหยินจางชักสีหน้าเข้ม ก็แลบลิ้นแผล็บๆ ไม่กล้าพูดอะไรอีก

 

 

ฮูหยินจางเห็นนางรู้กาลเทศะ จึงไม่พูดอะไรที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกระคายเคืองใจต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว แอบถอนใจโล่งอก หันมายิ้มแย้มแล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “แม่นางเมิ่งอย่าได้เอาคำพูดลี่เอ๋อร์มาใส่ใจ นางยังเด็ก นางยังไม่รู้ว่าคู่ครองที่ดีสำคัญกับนางมากเพียงใด เจ้ารีบไปรับตัวคุณชายคนนั้นมาให้เร็วที่สุดเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “รบกวนฮูหยินให้คนเตรียมพู่กันกระดาษ ข้าจะเขียนจดหมายถึงเขา อีกอย่างให้คนไปเรียกเหวินเปียวเข้ามา ข้ามีเรื่องจะกำชับเขา”

 

 

ฮูหยินจางเปล่งเสียงเรียกสาวใช้สองนางที่เฝ้าประตูด้านนอก สั่งพวกนางไปจัดการสองเรื่องนี้

 

 

สาวใช้สองนางรับคำจากไป อึดใจเดียวสาวใช้นางหนึ่งก็นำพู่กันและกระดาษเข้ามา วางลงบนโต๊ะภายในห้อง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบกระดาษพู่กันขึ้นมา เขียนจดหมายสั้นหนึ่งฉบับ เนื้อความบอกจูหลานว่าตนเองช่วยหาหญิงสาวที่น่าพึงใจให้เขา กำชับเขาหลังจากอ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว ให้รีบตามเหวินเปียวเข้าจังหวัดมา

 

 

เหวินเปียวตามสาวใช้มาถึงนอกห้องแล้ว ยืนรอในลานบ้านอย่างอ่อนน้อม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถือจดหมายที่เขียนเสร็จแล้วมอบให้เขา พูดว่า “พรุ่งนี้พอฟ้าสางเจ้าจงไปที่อำเภอชิงเหอ มอบจดหมายฉบับนี้ให้คุณชายจู พอเขาอ่านจดหมายนี้แล้วให้ตามเจ้ากลับมา”

 

 

เหวินเปียวขานรับคำ รับจดหมายมาใส่ในอกเสื้อ หันหลังสาวเท้าออกไปจากลานเรือน

 

 

ฮูหยินจางเห็นว่าจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว ยกยิ้มพูดว่า “ข้าจะกลับไปบอกนายท่าน ไม่รบกวนพวกเจ้าพูดคุยกันแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

ฮูหยินจางเยื้องย่างเอ้อระเหยออกไปจากลานเรือนอย่างแช่มชื่นเบิกบาน

 

 

จางลี่ลืมเรื่องที่เมื่อครู่ยังคัดค้านไปจนหมดสิ้น พูดลิงโลด “แบบนี้วันพรุ่งเจ้าก็กลับไม่ได้แล้ว เช่นนั้นคืนนี้พวกเราก็จะนอนดึกได้แล้วสิ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า จางลี่ดึงนางเข้าไปในห้อง พูดคุยสรวลเสเฮฮาไปถึงยามค่ำดังว่าจริงๆ

 

 

ฮูหยินจางกลับไปบอกจางฟู่กุ้ยว่าเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการให้คนไปรับคุณชายท่านนั้นเข้ามาในวันพรุ่งแล้ว พอคิดว่าในที่สุดการแต่งงานของบุตรสาวจะเป็นจริงเสียที สองสามีภรรยาจางถึงกับตื่นเต้นดีใจจนนอนหลับไม่สนิทไปทั้งคืน

 

 

สำหรับเมิ่งอี้เซวียนซุนเหลียงไฉและจางเฉิงหลังจากเล่นสนุกกันจนเหนื่อย สุดท้ายนอนเบียดกันบนเตียงใหญ่ภายในห้องจางเฉิง

 

 

ค่ำคืนผันผ่าน

 

 

เช้าวันต่อมา ฟ้าเพิ่งจะสาง เหวินเปียวก็จูงม้าออกไปจากบ้านจางฟู่กุ้ย พลิกตัวขึ้นหลังม้า มุ่งทะยานตรงไปอำเภอชิงซีเร็วรี่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาตื่นในโมงยามที่ต้องตื่นมาฝึกวรยุทธ์ทุกวันอยู่แล้ว หันมองจางลี่ที่ยังหลับสนิทข้างกาย ขยับตัวลุกขึ้น เดินออกไปนอกห้อง

 

 

สาวใช้เฝ้าเวรยามหน้าห้องเห็นนางตื่นแล้ว รีบตรงเข้ามาหมายจะถามว่านางต้องการสิ่งใด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเอามือวางแนบปากส่งเสียง “ชูว์”  “เบาๆ อย่าทำคุณหนูของพวกเจ้าตื่น”

 

 

สาวใช้ลดเสียงลงต่ำ ถามอย่างนอบน้อม “คุณหนูตื่นเช้าเช่นนี้มีอะไรจะเรียกใช้หรือไม่?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่มีอะไร ข้าเพียงคุ้นชินกับการตื่นในยามนี้ทุกวัน ไม่ทราบว่าจวนของพวกเจ้ามีสวนดอกไม้อะไรเทือกนั้นหรือไม่ ข้าอยากจะไปเดินเล่น”

 

 

“มีเจ้าค่ะ ข้าจะพาคุณหนูไปเดี๋ยวนี้” สาวใช้ตอบ

 

 

“ไม่ต้องรบกวนเจ้าแล้ว เจ้าบอกข้าว่าอยู่ที่ไหน ข้าไปเองก็ได้แล้ว”

 

 

สาวใช้พาเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงนอกลานเรือน ชี้บอกทางไปสวนด้านหลังอย่างละเอียด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ ไม่นานก็เดินมาถึงสวนด้านหลัง มองไปโดยรอบไม่มีคน จึงยืดเหยียดร่างกายตามความเคยชิน แล้ววิ่งเหยาะรอบทางเดินเล็กๆ ในสวน

 

 

ท้องฟ้าสว่างแจ้งแล้ว จางลี่ถึงลืมตาตื่น มองดูข้างกายไม่มีเงาของเมิ่งเชี่ยนโยว ถลึงตัวลุกขึ้น ร้องเรียกสาวใช้ถามว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไปไหน

 

 

สาวใช้บอกว่าแขกของนางตื่นตั้งแต่ฟ้าเพิ่งเริ่มสาง เดินไปที่สวนด้านหลังลำพัง

 

 

จางลี่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ให้นึกเสียใจยิ่งนัก รีบสวมใส่เสื้อผ้า เตรียมจะไปหาคนที่สวน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเดินกลับเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง

 

 

พอเข้ามาในห้อง เห็นจางลี่ใส่เสื้อผ้าเสร็จพอดี ยกยิ้มพูดว่า “เจ้าตื่นแล้ว?”

 

 

จางลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด “เจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อใด? เหตุใดถึงไม่ปลุกข้าด้วยเล่า?”

 

 

“ข้าชินกับการตื่นโมงยามนี้ทุกวันเสียแล้ว เห็นเจ้าหลับสนิท จึงไม่ได้ปลุกเจ้า”

 

 

จางลี่พูดว่า “ช่างเสียมารยาทนัก หากท่านพ่อท่านแม่ข้าทราบเข้า ได้ตำหนิข้าเป็นแน่แท้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เจ้าไม่บอกพวกเขาก็จบแล้ว อย่างไรพวกเขาก็ไม่รู้หรอก”

 

 

จางลี่ตะลึงงันมองนาง แล้วยิ้มพูด “นี่นับว่าเป็นวิธีที่ดี” พูดจบหันไปกำชับสาวใช้ข้างกาย “พวกเจ้าใครก็ห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อท่านแม่ข้า”

 

 

บรรดาสาวใช้ส่งเสียงขานรับ

 

 

ทั้งสองจัดการตัวเองเรียบร้อย ฮูหยินจางก็ส่งคนมาเรียกพวกเขาไปกินอาหารเช้า

 

 

ทั้งสองเดินจูงมือมาถึงห้องอาหาร คนทั้งหมดมากันครบแล้ว รอเพียงพวกนางสองคน

 

 

ฮูหยินจางเห็นพวกนางสนิทสนมรักใคร่กันดี พยักหน้าปลื้มปริ่ม สั่งบ่าวให้รีบยกอาหารเข้ามา

 

 

จางฟู่กุ้ยกล่าวอย่างชื่นบาน “แม่นางเมิ่ง เมื่อวันนี้พวกเจ้ากลับไม่ได้ เช่นนั้นให้ลี่เอ๋อร์และเฉิงเอ๋อร์พาพวกเจ้าไปเดินเล่นในตัวเมืองอย่างเต็มที่เถอะ”

 

 

ซุนเหลียงไฉที่พอได้ยินว่าสามารถเที่ยวเล่นสนุกในจังหวัดได้อีกวัน หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยดวงตาระยิบระยับ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังยกยิ้มส่ายหน้า “อี้เซวียนและเหลียงไฉต้องเรียนหนังสือทุกวัน ไม่ค่อยได้ออกไปไหน วันนี้ข้าคิดจะฝึกฝนพวกเขา ให้พวกเขาเปิดแผงขายกระเป๋านักเรียนหน้าร้านค้าท่าน หากคุณชายจางสนใจ ก็สามารถมาทำร่วมกันได้”

 

 

ได้ยินนางพูดจบ จางฟู่กุ้ยตะลึงพรึงเพริด “จะ จะเหมาะสมหรือ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ในอนาคตพวกเขาทั้งหมดจะเป็นผู้สืบทอดกิจการของครอบครัว ให้พวกเขาฝึกฝนแต่เนิ่นๆ จะต้องมีประโยชน์กับพวกเขาในภายหน้า ข้าอบรมเลี้ยงดูอี้เซวียนและเหลียงไฉเช่นนี้”

 

 

จางฟู่กุ้ยยิ่งให้ตะลึงค้าง “คุณชายเมิ่งมีพรสวรรค์ด้านการเรียนเป็นเลิศ ยังต้องฝึกทำการค้าอีกหรือ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ชีวิตคนมีขึ้นมีลง เรื่องในอนาคตใครก็บอกไม่ได้ มีทักษะความสามารถอีกอย่างติดตัวย่อมต้องเป็นเรื่องดี”

 

 

จางฟู่กุ้ยพยักหน้า กล่าวชื่นชมด้วยใจจริง “แม้แต่ปัญหายาวไกลเช่นนั้นแม่นางเมิ่งก็คิดคำนวณได้อย่างถี่ถ้วน น่าเลื่อมใสยิ่งนัก” พูดจบก็พูดว่า “ดี หลังจากกินอาหารเสร็จพวกเราจะไปร้านค้า ข้าจะไปเตรียมสิ่งของสำหรับใช้ในการตั้งแผงลอยให้พวกเขา”

 

 

แม้จะไม่ได้ไปเดินเที่ยว แต่พอคิดว่าจะได้ออกไปตั้งแผงขายกระเป๋านักเรียน ซุนเหลียงไฉก็ยังตื่นเต้นดีใจ หันไปถามจางเฉิง “เจ้าจะไปด้วยหรือไม่?”

 

 

แม้ตอนนี้จางเฉิงจะมีนิสัยสดใสร่าเริงขึ้นแล้ว แต่ก็จำกัดกับคนที่ตนเองสนิทด้วยไม่กี่คนนี้เท่านั้น สำหรับคนแปลกหน้ายังคงไม่ยินดีทำความรู้จักด้วย จึงยังมีอาการลังเล

 

 

ซุนเหลียงไฉพูดยั่วยวนเขา “ตั้งแผงลอยสนุกมากนะ ยังหาเงินค่าขนมได้ด้วย”

 

 

จางเฉิงเริ่มหวั่นไหว หันไปมองจางฟู่กุ้ย

 

 

จางฟู่กุ้ยพยักหน้า

 

 

ฮูหยินจางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “แต่ไหนแต่ไรเฉิงเอ๋อร์ไม่เคยพูดต่อหน้าคนมากมาย คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ?”

 

 

จางฟู่กุ้ยปลอบใจนาง “ตั้งแผงอยู่หน้าร้านค้าของพวกเรา จะเกิดเรื่องอะไรได้ อีกอย่าง ยังมีคุณชายน้อยทั้งสองและพนักงานของร้านอยู่ด้วย เจ้าวางใจเถอะ”

 

 

ฮูหยินจางมองจางเฉิงอย่างกังวลแวบหนึ่ง เห็นเขามีสีหน้าสดใสร่าเริงดี จึงไม่คัดค้าน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวให้สัญญากับทั้งสามคน “กระเป๋านักเรียนทุกใบที่พวกเจ้าขายได้วันนี้ ข้าจะมีเงินให้พวกเจ้าใบละหนึ่งตำลึง พวกเจ้าอยากนำไปซื้ออะไรก็ได้”

 

 

ซุนเหลียงไฉไชโยโห่ร้อง อยากจะออกไปขายกระเป๋านักเรียนในตอนนี้เลย

 

 

เมื่อตกลงเรื่องเรียบร้อย หลังกินอาหารเช้าเสร็จ พวกเมิ่งเชี่ยนโยวสามคนและพวกจางฟู่กุ้ยอีกสามคนแยกกันนั่งรถม้ามายังร้านค้า

 

 

พอลงจากรถม้า จางฟู่กุ้ยก็สั่งการพนักงานให้ไปยกโต๊ะตัวใหญ่ในห้องบัญชีหลังร้านออกมาวางหน้าร้าน ทั้งสั่งให้คนไปนำกระเป๋านักเรียนลวดลายต่างๆ กันออกมาจัดวางบนโต๊ะ

 

 

เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม

 

 

เมิ่งอี้เซวียน ซุนเหลียงไฉและจางเฉิงก็เข้าไปยืนด้านหลังโต๊ะวางกระเป๋านักเรียน

 

 

ร้านค้าของจางฟู่กุ้ยอยู่ติดถนน คนเดินผ่านไปมาขวักไขว่ เห็นกระเป๋านักเรียนจำนวนไม่น้อยตั้งวางอยู่บนโต๊ะหน้าร้าน ต่างมองเข้ามาอย่างประหลาดใจ

 

 

ซุนเหลียงไฉไม่เคยตั้งแผงลอย นึกว่าพอจัดของเสร็จคนก็จะเข้ามาซื้อเอง ตอนนี้เห็นผู้คนเพียงแค่มองเข้ามา แต่ไม่มีใครเดินมาซื้อ งุนงงตาค้าง จางเฉิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง เห็นคนมากมายมองเข้ามา อายจนแทบอยากจะมุดหน้าลงปใต้โต๊ะ

 

 

มีเพียงเมิ่งอี้เซวียนที่ขยับลูกคอเปล่งเสียงกังวานใส ร้องตะโกนลั่น “ขายกระเป๋านักเรียนจ้า กระเป๋านักเรียนฝีมือละเอียดประณีต ทุกคนรีบเข้ามาดูเถิด”

 

 

ซุนเหลียงไฉตกใจสะดุ้ง มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

จางเฉิงเงยหน้ามองเขาอย่างเลื่อมใส

 

 

เมิ่งอี้เซวียนร้องตะโกนต่อ “เดินผ่านไปผ่านมา อย่าให้พลาดกระเป๋านักเรียน สินค้าชั้นดีที่ทั้งราคาถูกและทนทานใบนี้ ทุกคนรีบเข้ามาซื้อกลับไปให้ลูกหลานที่บ้านคนละใบเถอะ”

 

 

ชาวบ้านได้ยินเสียงร้องตะโกนของเขา เริ่มมีคนใคร่รู้เดินมุงล้อมเข้ามา

 

 

เห็นคนจำนวนมากเดินล้อมเข้ามา จางเฉิงตกใจตัวสั่น ถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว

 

 

จางฟู่กุ้ยก้าวเท้าจากในร้านออกไปหน้าร้านสองก้าวพลัน แต่พอคิดถึงคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ตัดสินใจกัดฟันถอยหลังกลับไป

 

 

ซุนเหลียงไฉกลับได้สติกลับมาแล้ว ช่วยต้อนรับลูกค้า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด