ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 219-2 ถูกคนสะกดรอยตาม

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 219-2 ถูกคนสะกดรอยตาม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชาวบ้านล้อมเข้ามา เห็นกระเป๋านักเรียนสีสันลวดลายต่างๆ กัน ก็ให้นิยมชมชอบ ซักถามราคาค่างวด?

 

 

เมิ่งอี้เซวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงใสน่าฟัง “กระเป๋านักเรียนแบบประณีตใบละสิบตำลึง กระเป๋านักเรียนแบบธรรมดาใบละห้าตำลึง”

 

 

“แพงนัก ลดราคาได้หรือไม่” ชายที่ยืนด้านหน้าพูด

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหยิบกระเป๋านักเรียนหนึ่งใบออกมา เปิดด้านในออกอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วยกสูงให้ทุกคนได้เห็นด้านใน “ทุกคนดูเถิด ด้านในกระเป๋านักเรียนของพวกเรามีหลายชั้น สามารถแบ่งเก็บของได้หลากหลาย ทั้งสะดวกและหาง่าย สิบตำลึงนับว่าไม่แพงแล้ว” พูดจบ ก็ให้ซุนเหลียงไฉหันหลัง แล้วให้เขาสะพายกระเป๋านักเรียนขึ้นหลัง พูดว่า “ทุกคนดูเถิด สะพายกระเป๋านักเรียนไว้เช่นนี้ น่าดูใช่หรือไม่ หากท่านซื้อกลับไป ไม่แน่ว่าบุตรหลานของพวกท่านจะต้องยิ่งอยากไปโรงเรียนมากขึ้น”

 

 

ชาวบ้านเริ่มหวั่นไหวคล้อยตาม พลันมีคนล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมา “ข้าซื้อแบบประณีตหนึ่งใบ”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนรับเงินมาอย่างชื่นบาน ส่งสัญญาณให้ซุนเหลียงไฉหยิบกระเป๋านักเรียนหนึ่งใบมา

 

 

ช่วงเวลานี้ซุนเหลียงไฉก็ได้เรียนรู้วิธีการทำการค้ามาไม่น้อย ชี้กระเป๋านักเรียนที่วางเป็นแถวบนโต๊ะถามขึ้น “ท่านดูก่อนว่าชอบลวดลายไหน?”

 

 

คนที่ซื้อกระเป๋านักเรียนมองดูรอบหนึ่ง รู้สึกว่าชอบทุกแบบ พลันตัดสินใจไม่ได้

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหยิบกระเป๋านักเรียนลายที่ตัวเองชอบขึ้นมา พูดว่า “ท่านดูก่อนว่าใบนี้เป็นอย่างไร? ข้าชอบลายนี้มาก คิดว่าบุตรหลานของท่านก็น่าจะชอบด้วย”

 

 

คนซื้อกระเป๋านักเรียนดูจนตาลายแล้ว ตัดสินใจไม่ถูก เชื่อคำแนะนำของเขา ขานรับทันควัน “เอาใบนี้ล่ะ” พูดจบ รับกระเป๋านักเรียนมา หันหลังเดินจากไปอย่างเบิกบาน

 

 

จางเฉิงเห็นทั้งสองคนค้าขายกันอย่างมีความสุข ค่อยๆ เดินกลับมาข้างโต๊ะ หยิบกระเป๋านักเรียนใบหนึ่งขึ้นมาอย่างระวัง ลองยื่นให้คนที่เข้ามาซื้อกระเป๋านักเรียน คนผู้นั้นจ่ายเงินแล้วรับกระเป๋านักเรียนเดินออกไปอย่างเบิกบานเช่นกัน

 

 

จางเฉิงรับเงินมาด้วยหัวใจตื่นเต้นพองโต หันหลังกลับ แบมือให้จางฟู่กุ้ยดูเงินในมือ

 

 

จางฟู่กุ้ยก็ตื้นตันใจมาก พยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด

 

 

จางเฉิงตื่นเต้นดีใจ หันหลังกลับมาขายกระเป๋านักเรียนกับทั้งสองคนต่อ

 

 

ชาวบ้านที่เดินไปมาเห็นหน้าร้านค้าคนเยอะคึกคัก ต่างใคร่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รุมล้อมเข้ามามุงดู คนเข้ามาดูกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซุนเหลียงไฉจึงลองเลียนแบบเมิ่งอี้เซวียนบ้าง ขยับเส้นเสียงตะโกนร้องเรียกแขก

 

 

คนที่เข้ามามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ เหวินหู่กลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน คอยยืนข้างโต๊ะ จับตาดูฝูงคนที่รุมล้อมเข้ามา

 

 

หลังจากวุ่นวายพักหนึ่ง ผู้คนเริ่มกระจัดกระจายหายไป ทั้งสามคนต่างเหงื่อออกโทรมกาย จางฟู่กุ้ยหันไปสั่งพนักงานนำผ้าขนหนูมา เดินออกมาจากในร้าน ยื่นผ้าในมือให้เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉคนละผืน หลังจากรับมา เด็กทั้งสองก็เช็ดไปมาลวกๆ แล้วลงมือนับว่าได้เงินมาเท่าใด จางฟู่กุ้ยถือผ้าขนหนูในมือคิดจะเช็ดให้จางเฉิงเอง จางเฉิงเบี่ยงศีรษะหลบควับ พูดว่า “ข้าทำเอง”

 

 

จางฟู่กุ้ยให้ปิติ ยื่นผ้าขนหนูส่งให้เขา จางเฉิงก็เช็ดไปมาลวกๆ แล้วยัดผ้าขนหนูกลับใส่มือจางฟู่กุ้ย ยื่นหน้าเข้าหาเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉ ดูว่าขายได้เงินทั้งหมดเท่าใด

 

 

เหวินหู่ยังคงอยู่ข้างโต๊ะมองดูพวกเขา

 

 

ไกลออกไปมีชายฉกรรจ์สองคนเดินเข้ามา ตอนที่เห็นเหวินหู่ที่ยืนข้างโต๊ะ สาวเท้าถอยไปหลบหลังป้ายตั้งพื้นด้านหลังพลัน แล้วลอบพิจารณาห่างๆ

 

 

เหวินหู่ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ยกยิ้มมุมปากมองดูเด็กทั้งสามคนนับเงินที่ได้รับมา

 

 

ชายทั้งสองคนเพ่งพินิจดูอย่างถี่ถ้วน กระทั่งแน่ชัดแล้วว่าเป็นเหวินหู่ ชายฉกรรจ์หนึ่งคนในนั้นหันไปพูดกับสหาย “เป็นเหวินหู่ไม่ผิด ข้าจะเฝ้าจับตาอยู่ที่นี่ เจ้ารีบกลับไปเรียกคนอื่นเข้ามา”

 

 

ชายฉกรรจ์อีกคนพยักหน้า หันหลังวิ่งแนบออกไป

 

 

เหวินหู่คลับคล้ายว่าจะสังเกตอะไรบางอย่างได้ หันมองมาทางนี้แวบหนึ่ง

 

 

ชายฉกรรจ์รีบหลบหลังป้าย อำพรางร่างกายตนเอง

 

 

เหวินหู่มองดูแวบหนึ่ง ไม่พบบุคคลต้องสงสัย คิดว่าตัวเองคงคิดมากไป ส่ายหน้าแล้วมองเด็กทั้งสามคนนับเงินต่อ

 

 

เด็กทั้งสามคนนับเงินเสร็จ มีมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง ต่างไชโยโห่ร้องเสียงลั่น

 

 

จางฟู่กุ้ยยืนมองบุตรชายตนเองด้วยความปลามปลื้มใจ ยิ่งให้ทวีความซาบซึ้งใจต่อเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เหวินเปียวสะบัดบังเ**ยนควบม้าเร็วรี่ ใช้เวลาสองชั่วยามก็มาถึงอำเภอชิงเหอ หลังจากสอบถามบ้านของจูหลาน ก็ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูบ้านเขา เขาพลิกตัวลงจากหลังม้า เดินตรงมาหน้าประตู ถามอย่างมีมารยาท “ไม่ทราบว่าที่นี่คือบ้านคุณชายจูหลานหรือไม่?”

 

 

คนเฝ้าประตูเห็นเขาแม้จะดูอ่อนล้าจากการเดินทางไกล กลับมีมาดดุดันเ**้ยมหาญ เกิดความระแวงระวัง มิได้ตอบกลับ กลับย้อนถามเขา “เจ้าเป็นใคร?”

 

 

“ข้าเป็นบ่าวของแม่นางเมิ่ง แม่นางของเรามีจดหมายให้ข้ามอบให้คุณชายจูกับมือ” เหวินเปียวตอบกลับ

 

 

คนเฝ้าประตูได้ยินว่าเป็นคนที่เมิ่งเชี่ยนโยวส่งมา ก็ให้โล่งอก ท่าทีเป็นกันเองขึ้นมาก พูดว่า “เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะเข้าไปรายงานเดี๋ยวนี้”

 

 

เหวินเปียวพยักหน้า ยืนสงบนิ่งรออยู่หน้าประตู

 

 

วันนี้จูหลานไม่ได้ออกไปตรวจสอบร้านค้าพอดี กำลังรายงานสถานการณ์ของร้านค้าประจำเดือนนี้แก่พ่อจู

 

 

คนเฝ้าประตูเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาในลานเรือน ร้องรายงานอย่างอ่อนน้อม “คุณชายขอรับ แม่นางเมิ่งให้คนส่งจดหมายมาให้ท่าน จะให้เขาเข้ามาหรือไม่?”

 

 

บ้านเมิ่งเชี่ยนโยวมิได้ห่างไกลจากอำเภอชิงซี หากมีเรื่องอันใดให้คนส่งข่าวมาก็ได้แล้ว ไฉนเลยต้องเขียนเป็นจดหมายมา

 

 

จูหลานได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวให้คนนำจดหมายเข้ามา นึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ต้องการความช่วยเหลือ จึงสั่งความทันควัน “รีบให้คนส่งจดหมายเข้ามา”

 

 

คนเฝ้าประตูขานรับ กวดฝีเท้าวิ่งออกไป แล้วสั่งคนให้ดูม้าของเหวินเปียวให้ดี พาเขาเข้ามาในลานเรือนอย่างไม่รอช้า

 

 

จูหลานรอด้วยความกระวนกระวายใจอยู่หน้าประตูแล้ว เห็นเหวินเปียวเข้ามา ในใจพลันกระตุกวูบ เร่งเร้าถาม “เกิดเรื่องขึ้นกับแม่นางเมิ่งใช่หรือไม่?”

 

 

เหวินเปียวล้วงจดหมายในอกเสื้อออกมา มอบให้จูหลานอย่างนบนอบ พูดว่า “แม่นางมิได้เกิดเรื่องอันใด เพียงแค่ให้ข้านำจดหมายนี้มามอบให้ท่าน บอกว่าหากท่านเห็นด้วย ก็ให้ตามข้าไปจังหวัดด้วยกัน”

 

 

ไม่ใช่เกิดเรื่องกับเมิ่งเชี่ยนโยว จูหลานก็ให้โล่งอก รับจดหมายมา เปิดออกดู พลันร้องอุทานอย่างไม่เชื่อ “นางดูตัวแม่นางคนหนึ่งให้แทนข้า! ให้ข้าเข้าไปพบหน้าที่จังหวัด!”

 

 

นับตั้งแต่ที่เกิดเรื่องเฉียวหมิ่นขึ้น ไม่มีใครเอ่ยเรื่องงานแต่งงานของจูหลานอีก แม่จูเลียบเคียงถามหาแม่สื่อมากมาย ก็ไม่มีใครยอมรับปาก ไม่รู้เลยว่าเพราะเรื่องนี้ทำแม่จูผมหงอกขึ้นอีกเท่าใด โดยเฉพาะเมื่อเห็นเปาอีฝานได้แต่งงานแล้ว ไม่แน่ว่าปีหน้าก็จะให้กำเนิดทารกตัวอ้วนพี แม่จูยิ่งให้ทุกข์ระทม วันๆ เอาแต่นั่งทอดถอนใจเบื้องหน้าพ่อจู พ่อจูถูกนางแพร่เชื้อ ก็ให้กลัดกลุ้มใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย ได้ยินเสียงจูหลานร้องลั่น รีบลุกขึ้นเดินมาหาจูหลาน หยิบจดหมายในมือเขามาอ่านอย่างละเอียด แล้วยกยิ้มพูด “ดีๆๆ แม่นางเมิ่งจัดการเรื่องนี้ได้ดีนัก”

 

 

จูหลานหยิบจดหมายมาจากมือเขา พูดว่า “ท่านพ่อ นางเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงดีเป็นอย่างไร อีกทั้ง จังหวัดก็อยู่ไกลจากอำเภอชิงเหอมาก ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า นางจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงคนนั้นเหมาะสมกับข้า”

 

 

พ่อจูเพิกเฉยต่อคำพูดของเขา สั่งการบ่าวรับใช้ “รีบไป เรียกฮูหยินมา บอกว่าเรื่องการแต่งงานของคุณชายมีความคืบหน้าแล้ว”

 

 

บ่าวรับคำจากไปโดยไว

 

 

จูหลานกระทืบเท้าเร่าๆ “ท่านพ่อ การแต่งงานครั้งนี้ข้ายังไม่เห็นด้วย ท่านจะเรียกท่านแม่มาทำไม?”

 

 

พ่อจูยังคงไม่สนใจเขา ชี้เหวินเปียวแล้วสั่งบ่าวอีกคน “พาเขาไปต้อนรับให้ดี”

 

 

บ่าวขานรับคำ เหวินเปียวกลับไม่ขยับ พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นางของพวกเราบอกว่า ไม่ว่าพวกท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ ก็ให้ข้ารีบกลับไป”

 

 

“เจ้าไปพักสักครู่เถอะ ประเดี๋ยวพอฮูหยินเข้ามา พวกเราหารือกันเสร็จจะรีบตอบกลับทันที ใช้เวลาไม่นานเท่าใด” พ่อจูกล่าว

 

 

เหวินเปียวพยักหน้า เดินตามบ่าวออกไป

 

 

แม่จูได้ทราบข่าวจากบ่าว รีบรุดตรงมายังลานเรือนอย่างเร็วรี่ เพิ่งจะเข้ามาถึงก็ตื่นเต้นดีใจถามพ่อจู “ท่านพี่ จริงหรือที่เรื่องการแต่งงานของหลานเอ๋อร์มีความคืบหน้าแล้ว เป็นหญิงสาวบ้านไหน หน้าตาเป็นอย่างไร?”

 

 

พ่อจูยิ้มพูด “เป็นหญิงสาวในจังหวัดที่แม่นางเมิ่งหมายตาไว้ให้หลานเอ๋อร์ บอกให้เขาเข้าไปพบหน้าคาดตากัน”

 

 

พอได้ยินว่าเป็นหญิงสาวในจังหวัด ก็ชะงักเล็กน้อย แล้วถามเป็นพรวนว่า “หญิงสาวคนนั้นทำอะไร อายุเท่าเท่าใด?”

 

 

พ่อจูตอบนาง “แม่นางเมิ่งเพียงบอกว่าครอบครัวของหญิงสาวนางนั้นทำการค้า เป็นคนเปิดเผยจริงใจ ไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่านี้”

 

 

แม่จูรับคำเป็นมั่นเหมาะยิ่งกว่าพ่อจู “หญิงสาวที่แม่นางเมิ่งพูดทาบทามให้จะต้องใช้ได้ เรื่องการแต่งงานพวกเราตกลงแล้ว” พูดไปพลางเดินเข้าไปในห้อง

 

 

จูหลานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้ถามความเห็นข้า ก็ตกลงแล้วได้อย่างไร”

 

 

แม่จูโบกมือ “ความเห็นเจ้าไม่สำคัญ แม่และพ่อเจ้าเห็นด้วยก็พอ”

 

 

จูหลานพูดเตือนนาง “ท่านแม่ หญิงสาวนางนั้นเป็นคนในจังหวัด บ้านช่องอยู่ไกลไม่ว่า ทั้งอุปนิสัยใจคอพวกเราก็สืบถามไม่ได้ พวกท่านไม่กลัวพอแต่งงานแล้ว จะมีเรื่องให้เดือนร้อนไม่ได้หยุดหย่อนหรือ”

 

 

แม่จูพูดว่า “อย่างไรก็เป็นหญิงสาวแต่งเข้ามา บ้านอยู่ไกลจะต้องกลัวอะไร อุปนิสัยใจคอพวกเราไม่ต้องไปสืบถามแล้ว แม่นางเมิ่งบอกว่าดีก็ต้องดี”

 

 

จูหลานเห็นทั้งสองคนเห็นพ้องแล้ว จึงเงียบปากไม่พูดอะไรอีก

 

 

พ่อจูพูดว่า “คนที่แม่นางเมิ่งให้นำจดหมายมาส่งบอกว่าให้หลานเอ๋อร์ตามเขาไปในจังหวัดด้วย เจ้าดูว่ามีสิ่งใดต้องระวังก็จงบอกเขาไป”

 

 

แม่จูพูดว่า “ปัดโธ่ ท่านพี่ เรื่องใหญ่เช่นนี้ให้เขาไปเอง หากทำเรื่องพังจะทำอย่างไร? ไม่เช่นนั้นพวกเราเข้าไปกับเขาด้วยกัน หากพวกเราทั้งสองฝ่ายพอใจ จะได้กำหนดวันหมั้นหมายเลย”

 

 

พ่อจูคิดแล้วก็พยักหน้า “ก็ดี ข้าจะไปสั่งบ่าวให้เตรียมรถม้า เจ้าก็กลับไปเตรียมตัวเถอะ อย่างช้าวันพรุ่งพวกเราก็คงกลับมาได้”

 

 

แม่จูลุกขึ้น ออกไปเตรียมสิ่งของอย่างสุขใจ

 

 

พ่อจูเปล่งเสียงสั่งบ่าวให้รีบไปเตรียมรถม้า

 

 

จูหลานอ้าปากตาค้างมองบิดามารดาตัวเอง พูดอะไรไม่ออกสักคำ

 

 

เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พ่อจูก็ให้คนไปเรียกเหวินเปียว บอกเขาว่าพวกเขาจะตามเข้าจังหวัดไปทั้งครอบครัว

 

 

เหวินเปียวไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ชะงักอึ้งเล็กน้อย

 

 

พ่อจูจัดแจงงานในบ้านเสร็จ ก็ขึ้นรถม้าไปพร้อมแม่จูและจูหลาน สั่งบ่าวให้บังคับรถม้าเร็วขึ้น

 

 

บ่าวสะบัดบังเ**ยน รถม้าพุ่งทะยานไปตามถนนมุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัด เหวินเปียวขี่ม้าตามหลังไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด