ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 219-3 ถูกคนสะกดรอยตาม

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 219-3 ถูกคนสะกดรอยตาม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มาถึงจังหวัด ก็เข้ายามโหย่ว[1]แล้ว เหวินเปียวพาพวกเขาตรงมาหน้าร้านค้าของจางฟู่กุ้ย

 

 

โต๊ะและกระเป๋านักเรียนหน้าร้านค้าถูกเก็บขึ้นหมดแล้ว พวกเมิ่งอี้เซวียนสามคนที่ขายกระเป๋านักเรียนมาทั้งวันรวมถึงเมิ่งเชี่ยนโยว จางฟู่กุ้ย จางลี่กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในห้องรับรองแขกหลังร้าน

 

 

เหวินเปียวเพิ่งจะพลิกตัวลงจากหลังม้า ก็รู้สึกได้ว่ามีคนจับตามองตนเอง หันหลังมองไปรอบทิศ พบว่าไม่ไกลออกไปมีคนกลุ่มหนึ่งทำลับๆ ล่อๆ มองเข้ามา

 

 

เหวินเปียวย่นหัวคิ้ว แล้วพินิจมองดู

 

 

คนกลุ่มนั้นเห็นเหวินเปียวมองมาที่ตัวเอง รีบแสร้งทำท่าทีซื้อข้าวซื้อของ ก้มหน้ามองดูสิ่งของบนแผง

 

 

เหวินเปียวมองไม่ถนัด เก็บคืนแววตา ขมวดคิ้วเดินเข้าไปในร้าน ถามขึ้น “แม่นางของพวกเราอยู่หรือไม่?”

 

 

เหวินเปียวมาส่งสินค้าหลายครั้ง พนักงานในร้านต่างรู้จักเขา ได้ยินเขาถามถึงเมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบตอบ “แม่นางเมิ่งและพวกคุณชายน้อยกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องด้านหลังกับนายท่านของพวกเรา”

 

 

เหวินเปียวกล่าวขอบคุณ สาวเท้าเดินไปหยุดหน้าห้องด้านหลังร้าน เปล่งเสียงพูดผ่านประตู “แม่นาง ข้ากลับมาแล้ว”

 

 

ได้ยินเสียงของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นออกมาข้างนอก เห็นเขาเพียงคนเดียว ขมวดคิ้วถาม “คุณชายจูไม่ว่างตามมาด้วยหรือ?”

 

 

เหวินเปียวมองเข้าไปในห้องแวบหนึ่ง เดินขึ้นหน้าพูดด้วยเสียงเบา “คุณชายจูและบิดามารดาของเขาอยู่หน้าร้านแล้วขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวผงะเล็กน้อย ถามอย่างตกใจ “ท่านลุงจูและท่านป้าจูก็มาด้วย?”

 

 

เหวินเปียวพยักหน้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดครู่หนึ่ง แล้วยกยิ้มหันหลังเดินเข้าไปในห้อง ส่งยิ้มให้จางฟู่กุ้ยแล้วพูดว่า “เถ้าแก่จาง คุณชายจูมาถึงแล้ว ทว่าท่านลุงจูและท่านป้าจูก็ตามมาด้วย ไม่ทราบว่าท่านจะออกไปพบหน้าหรือไม่?”

 

 

จางฟู่กุ้ยถึงกับชะงักงันทันใด จางลี่แก้มฝาดแดงระเรื่อพลัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มมองนางแวบหนึ่ง รอคำตอบของจางฟู่กุ้ย

 

 

อย่างไรจางฟู่กุ้ยก็เป็นพ่อค้า หลังจากนิ่งอึ้งก็ลุกขึ้นเดินออกมา “แขกสำคัญเดินทางไกลเข้ามา ข้าจะไม่ออกไปต้อนรับได้อย่างไร” พูดจบก็พูดว่า “ลี่เอ๋อร์ เจ้าอยู่แต่ในห้องไม่ต้องออกมา”

 

 

จางลี่พยักหน้าฝาดแดง อยู่ในห้องอย่างเชื่อฟัง

 

 

พวกเมิ่งอี้เซวียนสามคนขายกระเป๋านักเรียนวันเดียวได้เกือบสามสิบใบ ดีใจเป็นอย่างมาก กำลังหยอกล้อเล่นกันสนุก

 

 

จางฟู่กุ้ยเดินออกมาหน้าร้านพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

จูหลานและบิดามารดาตนเองลงจากรถม้าแล้ว กำลังยืนข้างรถม้ามองสำรวจเข้ามาในร้าน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขา พูดอย่างสนิทสนม “ท่านลุงจู ท่านป้าจู พวกท่านมาแล้ว”

 

 

แม่จูยิ้มรับ “พอเห็นจดหมายของเจ้า พวกเราก็ดีใจยกใหญ่ จึงตัดสินใจเข้ามาด้วยกัน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชี้จางฟู่กุ้ยแนะนำกับทั้งสามคน “นี่คือเถ้าแก่จาง หญิงสาวที่ข้าเอ่ยถึงในจดหมายก็คือบุตรสาวของเขา”

 

 

พ่อจูเห็นจางฟู่กุ้ยและเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากในร้านด้วยกัน ก็พอจะเดาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว พอเมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำจบ ก็ประสานมือกล่าวกับจางฟู่กุ้ย “พวกเราผลีผลามเข้ามา รบกวนท่านแล้ว”

 

 

จางฟู่กุ้ยรีบประสานมือตอบกลับ “ไม่รบกวนๆ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชี้จูหลานและบิดามารดาของจูหลานแนะนำว่า “นี่คือท่านลุงจู ท่านป้าจูและคุณชายจู”

 

 

จูหลานแสดงความคำนับต่อจางฟู่กุ้ยอย่างมีมารยาท

 

 

จางฟู่กุ้ยเห็นเขาหล่อเหลาหมดจด รูปร่างสะโอดสะอง เป็นคุณชายที่รูปงามรวยทรัพย์คนหนึ่ง ก็ให้ปิติยินดี แสดงสีหน้าพึงพอใจหลายส่วน พูดอย่างเป็นกันเอง “ทุกท่านเดินทางเหนื่อยล้าแล้ว รีบเข้าไปพักผ่อนในร้านเถอะ”

 

 

พ่อจูไม่ขยับ พูดว่า “ใกล้พลบค่ำแล้ว พวกเราควรหาโรงเตี๊ยมเข้าพักก่อน ยามค่ำพวกเราค่อยมานั่งพูดคุยกันให้เต็มที่”

 

 

จางฟู่กุ้ยมีใจหมายจะให้พวกเขาไปพักบ้านตัวเอง แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม หากเรื่องแต่งงานไม่สำเร็จ ทุกคนจะกระอักระอ่วน จึงไม่ยืนหยัด พูดว่า “ข้ารู้จักโรงเตี๊ยมใช้ได้แห่งหนึ่ง ข้าจะพาพวกท่านไปเอง”

 

 

พ่อจูปฏิเสธ “ท่านการค้ารัดตัว ให้พนักงานพาพวกเราไปก็พอ”

 

 

จางฟู่กุ้ยโบกมือ “พวกท่านเดินทางมาไกล ต่อให้การค้ายุ่งเพียงใดข้าก็ต้องวางมือ”

 

 

พ่อจูเห็นเขาถ้อยคำหนักแน่น อัธยาศัยจริงใจ ก็ไม่ปฏิเสธอีก

 

 

จางฟู่กุ้ยสั่งพนักงานบังคับรถม้าออกมา นำคนทั้งหมดไปโรงเตี๊ยม

 

 

พวกบ้านสกุลจูทั้งสามคนกลับขึ้นไปบนรถม้าตัวเอง ตามไล่หลังไป

 

 

เหวินหู่บังคับรถม้าออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปนั่งดีแล้ว สั่งเหวินหู่ให้ตามรั้งท้ายไป

 

 

“ช้าก่อน” เหวินเปียวร้องเรียกเขา มอบม้าให้พนักงานร้านดูแล กระโดดขึ้นไปบนคานรถอีกด้านพูดว่า “ไปเถอะ”

 

 

เหวินหู่เห็นเขาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เดิมคิดจะให้เขาพักผ่อนในร้าน พอเห็นเขากระโดดขึ้นมาบนคานรถ กลับไม่ได้ร้องทัก สะบัดบังเ**ยน บังคับม้ารั้งท้ายตามติดไป

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์ที่คอยเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวเห็นดังนั้น รีบร้อนตามหลังรถม้าไป

 

 

เหวินเปียวเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวด้านหลัง คอยมองไปด้านหลังตลอด พบว่ามีคนตามหลังรถม้ามาจริงๆ สองคิ้วขมวดยู่ย่น ครุ่นคิดว่าคนกลุ่มนี้ตามมามีเรื่องกับใครกันแน่

 

 

ไม่นานก็มาถึงโรงเตี๊ยม คนทั้งหมดลงจากรถม้า จางฟู่กุ้ยนำคนทั้งหมดเข้ามาในโรงเตี๊ยม

 

 

จางฟู่กุ้ยมักจะพาพ่อค้าเข้ามา หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมสนิทสนมกับเขาเป็นอย่างดี เห็นเขาพาคนเข้ามา นึกว่าเป็นพ่อค้าจากที่ไหน ถามอย่างเป็นกันเอง “เถ้าแก่จาง ห้องพักแบบเดิมใช่หรือไม่?”

 

 

จางฟู่กุ้ยตอบด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า “พวกเขาเป็นแขกสำคัญ เปิดห้องพักชั้นดีสองห้อง”

 

 

หลงจู๊มองพวกเขาแวบหนึ่ง รับคำอย่างยินดี หลังจากลงบันทึกเสร็จ ก็พาพวกเขาขึ้นไปชั้นสองด้วยตัวเอง เปิดห้องที่อยู่ด้านในสุดสองห้อง แล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมเรา สะอาดโอ่โถง เปิดหน้าต่างออกไปก็สามารถเห็นทิวทัศน์ด้านนอกได้ พวกท่านดูว่าพอใจหรือไม่?”

 

 

พ่อจูและแม่จูเข้ามาดูตัว มิได้มีข้อเรียกร้องเรื่องโรงเตี๊ยมมากนัก อีกอย่าง ห้องนี้ก็นับว่าใช้ได้ดี จึงพยักหน้าพอใจ พูดว่า “ใช้ได้ พวกเราจะพักสองห้องนี้”

 

 

หลงจู๊ดีใจเป็นอย่างมาก พูดว่า “ทุกท่านเชิญด้านในก่อน ข้าจะบอกเสี่ยวเอ้อยกน้ำขึ้นมา ให้พวกท่านได้ล้างหน้าล้างตา”

 

 

จางฟู่กุ้ยกระวนกระวายอยากกลับไปบอกฮูหยินจางและจางลี่เรื่องที่บิดามารดาของจูหลานก็ตามเข้ามาด้วย จึงพูดโพล่งว่า “พวกท่านเดินทางมาไกล เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว หลังจากล้างหน้าล้างตาก็พักผ่อนก่อนเถิด ข้าไม่รบกวนแล้ว”

 

 

พ่อจูกล่าวขอบคุณอีกครั้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับจางฟู่กุ้ย “ข้าไม่ได้พบท่านลุงจู ท่านป้าจูนานแล้ว จะอยู่คุยกับพวกเขาเสียหน่อย เชิญท่านตามสบาย ประเดี๋ยวข้าจะตรงกลับไปที่จวนของท่าน”

 

 

จางฟู่กุ้ยพยักหน้า เดินลงมาชั้นล่างพร้อมหลงจู๊

 

 

จูหลานเห็นจางฟู่กุ้ยไปแล้ว ติเตียนเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอดไม่ได้ทันที “ตัวเจ้าเองก็ยังเป็นเพียงเด็กสาว ริอาจจะเป็นแม่สื่อ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขุ่นเคือง ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะบอกให้นะ แม่นางจางเป็นหญิงสาวที่สดใสน่ารัก พันลี้ไม่อาจพบ หมื่นลี้ไม่อาจเจอ หากไม่เพราะข้ากลัวท่านป้าจูร้อนใจเรื่องการแต่งงานของเจ้า คงไม่มีทางยอมให้หญิงสาวที่ดีเช่นนี้แต่งกับเจ้าหรอก”

 

 

จูหลานไม่เชื่อ เบ้ปากพูดว่า “หากนางดีอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ เหตุใดจนถึงตอนนี้ยังไม่หมั้นหมาย?”

 

 

แม่จูได้ยินเขาพูดเช่นนี้ โมโหจนต้องยื่นมือออกไปตีเขา พูดเอ็ด “ที่นี่เจ้าไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น จงไปนั่งตรงโน้น”

 

 

จูหลานคิดจะโต้แย้ง พ่อจูกระแอมเบาๆ หนึ่งครั้ง ทำเอาขวัญผวารีบนั่งบนเก้าอี้อีกด้านอย่างเชื่อฟัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ

 

 

แม่จูกล่าวอย่างรู้สึกผิด “หลานเอ๋อร์ไม่รู้ความ เจ้าอย่าได้ใส่ใจคำพูดเขาเด็ดขาด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพยักหน้า

 

 

จูหลานที่นั่งอีกด้านกรอกตาขาวมองบน

 

 

แม่จูพูดต่อ “หลังจากที่พวกเรายกเลิกการแต่งงานกับเฉียวหมิ่น ก็ไม่มีแม่สื่อคนไหนมาพูดทาบทาม ข้าร้อนใจไม่เคยได้นอนหลับสนิท พอเห็นจดหมายที่เจ้าให้คนส่งมา ก็อดรนทนไม่ไหว ตามเข้ามาด้วย พวกเราทำเช่นนี้ไม่เป็นการเสียมารยาทหรอกนะ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อนพูดว่า “ไม่เลยเจ้าค่ะ เถ้าแก่จางก็เป็นคนเปิดเผยจริงใจ เห็นพวกท่านมีความจริงใจเช่นนี้ คงดีใจจนกลั้นไม่อยู่แล้ว จะคิดว่าท่านเสียมารยาทได้อย่างไร”

 

 

แม่จูโล่งใจไปหนึ่งเปราะ พูดว่า “เช่นนั้นก็ดี” พูดจบ ก็พูดต่อทันที “เจ้าคุ้นเคยกับแม่นางสกุลจางมากกว่า รีบบอกข้าถึงอุปนิสัยใจคอของนางว่าเป็นอย่างไรเถิด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “แม่นางสกุลจางมีนิสัยสดใสร่าเริง จริงใจตรงไปตรงมา ไม่ใช่คนร้ายลึก หากคุณชายจูได้แต่งงานกับนาง เกรงว่าต่อไปภายหน้าท่านไม่เพียงจะได้สะใภ้เพิ่ม หนำซ้ำจะได้บุตรสาวเพิ่มอีกคนด้วยเล่า”

 

 

แม่จูฟังนางพูดจบ ดวงตาสะท้อนแสงระยิบระยับ เผยสีหน้าปิติยินดี “แหม เมื่อแม่นางสกุลจางดีเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องกำหนดงานแต่งงานนี้ให้จงได้”

 

 

จูหลานแค่นเสียงหึ พูดซ้ำคำเดิมอีกครั้ง “ท่านอย่าได้ให้รูปลักษณ์ภายนอกหลอกอำพรางสายตาได้ เมื่อแม่นางสกุลจางดีเช่นนี้ เหตุใดจนถึงตอนนี้กลับยังไม่ได้หมั้นหมายเล่า?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบรรจงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มพูดกับพ่อจูและแม่จู “คุณหนูสกุลจางคนนี้มีนิสัยร่าเริงกระโดกกระเดก เถ้าแก่จางและฮูหยินจางเกรงว่าหลังจากนางแต่งงานออกไป จะไม่เป็นที่พอใจของแม่สามี จึงไม่อาจทำใจให้นางหมั้นหมาย ปล่อยเรื่องลากยาวมาถึงตอนนี้ ไม่เช่นนั้นคุณชายจูไหนเลยจะโชคดีได้ไปครอบครอง”

 

 

จูหลานเบ้ปาก พูดอย่างดูแคลน “โชคดีหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ไม่ใช่ว่าแต่งตัวปัญหาเข้าบ้าน ถึงตอนนั้นบ้านข้าได้มีแต่ปัญหาไม่เว้นวายเทียว”

 

 

แม่จูเอ็ดเขา “หุบปาก สายตาแม่นางเมิ่งดีกว่าเจ้านัก นางบอกว่าแม่นางสกุลจางเป็นหญิงดี ก็ต้องดี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ดีหรือไม่ดี เอาไว้เจอหน้ากันพวกท่านก็จะทราบเอง”

 

 

แม่จูเร่งเร้าถาม “เช่นนั้นเมื่อไหร่พวกเราถึงจะได้เจอแม่นางท่านนั้น?”

 

 

“ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปจวนจาง ถามความเถ้าแก่จางและฮูหยินจาง แล้วจะให้เหวินเปียวแจ้งข่าวแก่พวกท่าน” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ

 

 

แม่จูอยากเจอจางลี่ใจจะขาดแล้ว เร่งเร้าเมิ่งเชี่ยนโยว “พวกเราไม่ต้องให้เจ้ามาอยู่ด้วยแล้ว เจ้ากลับไปถามตอนนี้เลย ดูว่าพวกเราสองฝ่ายจะเจอกันเมื่อไรดี”

 

 

จูหลานไม่ยินยอม พูดว่า “ท่านแม่ ท่านจะใจร้อนไปทำไมกัน พวกเราเพิ่งเข้ามาในจังหวัด พักผ่อนเสียก่อน พรุ่งนี้พบหน้าก็ยังไม่สาย”

 

 

แม่จู “รีบเจอกันแต่เนิ่นๆ แล้วกำหนดงานแต่งให้เรียบร้อย แม่ถึงจะวางใจลงได้” พูดจบรบเร้าเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง “พวกเราเป็นคนกันเอง ป้าไม่เกรงใจเจ้าแล้ว เจ้ารีบกลับไปถามตอนนี้เลย ดูว่าพวกเราทั้งสองฝ่ายพอจะพบกัน และกำหนดงานแต่งงานภายในคืนนี้เลยได้หรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าแม่จูจะต้องร้อนใจเรื่องงานแต่งของจูหลานเป็นอย่างมาก แต่ไม่คิดว่านางจะร้อนใจถึงขั้นนี้ อยากจะกำหนดการแต่งงานเสียให้รู้แล้วรู้รอด

 

 

พ่อจูก็รู้สึกว่าแม่จูใจร้อนเกินไป พูดเตือน “พวกเราไม่ได้เจอแม่นางเมิ่งนานแล้ว อย่างไรก็สมควรได้ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกันก่อน เจ้าทำเช่นนี้ออกจะบุ่มบ่ามไปบ้าง”

 

 

แม่จูเอาแต่คิดว่าอยากจัดการเรื่องการแต่งงานให้เรียบร้อย ได้ยินดังนั้นก็พูดว่า “รอให้กำหนดการแต่งงานเรียบร้อย ค่อยให้แม่นางเมิ่งไปอำเภอพร้อมกับพวกเรา มาอยู่กับพวกเราหลายๆ วัน ถึงตอนนั้นข้าจะดูแลต้อนรับนางให้ดีเอง สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือกำหนดการแต่งงานของหลานเอ๋อร์ให้เรียบร้อย”

 

 

พ่อจูจนใจ พูดขอขมาเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าอย่าได้ถือสา นับตั้งแต่หลานเอ๋อร์ยกเลิกการแต่งงาน ป้าจูของเจ้าก็กลายเป็นแบบนี้มาตลอด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าเข้าใจความรู้สึกท่านป้าดี ข้าจะกลับไปถามเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะรีบแจ้งข่าวแก่พวกท่าน”

 

 

พ่อจูพยักหน้า “รบกวนแม่นางเมิ่งแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น พ่อจูแม่จูออกมาส่งนางนอกประตูห้อง พูดกำชับจูหลาน “เจ้าลงไปส่งแม่นางเมิ่งที่ชั้นล่าง”

 

 

จูหลานรับคำ ออกมาส่งเมิ่งเชี่ยนโยวถึงนอกโรงเตี๊ยม มองนางขึ้นรถม้า ค่อยๆ จากไป ถึงหันหลังกลับเข้าโรงเตี๊ยม

 

 

ช่วงเวลาที่รอคอยอยู่หน้าประตู เหวินเปียวเอาแต่คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนด้านหลัง อยากให้แน่ใจว่าพวกเขาทั้งหมดพุ่งเป้ามาที่ใครกันแน่ แต่พวกเขาก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ ผลุบๆ โผล่ๆ หลบๆ ซ่อนๆ เหวินเปียวจึงมองไม่ออก ให้รู้สึกว้าวุ่นใจ

 

 

กระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปนั่งบนรถม้า เดินทางออกมาได้ระยะหนึ่ง คนกลุ่มนั้นก็ยังตามไล่หลังมา เหวินเปียวถึงแน่ใจว่าคนพวกนั้นตามตนเองมา ขบคิดครู่หนึ่งแล้วพูดเข้าไปในห้องโดยสารเสียงเบา “แม่นาง พวกเราอาจจะกำลังถูกสะกดรอยตาม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักเงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วเปิดม่านรถออกพลัน ถามขึ้น “ตั้งแต่เมื่อใด?”

 

 

“ตั้งแต่ที่ข้ากลับมาถึงหน้าร้านเถ้าแก่จาง ก็รู้สึกว่ามีคนเฝ้ามองมาที่ร้านค้า ในตอนนั้นข้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาจับตาดูใครกันแน่ จึงไม่ได้บอกแม่นาง แต่ตอนนี้พวกเขายังตามรถม้าของพวกเรามา น่าจะสะกดรอยตามพวกเราไม่ผิดแน่” เหวินเปียวตอบ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปิดม่านรถลง ขยับเข้ามาด้านหลังห้องโดยสาร แง้มม่านรถด้านหลังออกเป็นช่องเล็กๆ มีกลุ่มชายฉกรรจ์ห้าหกคนทำลับๆ ล่อๆ ตามหลังมาจริงๆ

 

 

“เหวินหู่ เร่งความเร็วรถม้าให้เร็วขึ้น” เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่ง

 

 

เหวินหู่สะบัดแส้ ม้าควบทะยานโดยไว

 

 

กลุ่มคนด้านหลังไม่คิดว่ารถม้าจะเพิ่มความเร็วฉับพลัน หลังจากผงะอึ้ง ก็รีบเร่งฝีเท้าไล่ตาม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลอบเฝ้าสังเกตพวกเขาจากช่องม่านรถ ดูจากท่วงท่าของพวกเขา น่าจะมีฝีมือพอตัว ให้ขมวดคิ้วยู่ย่น

 

 

ฟ้ามืดสนิทแล้ว คนบนท้องถนนค่อนข้างน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ได้สั่ง เหวินหู่จึงบังคับรถม้าเร็วขึ้นอีก

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นดังนั้น ก็เพิ่มความเร็วไล่ตามไปติดๆ

 

 

“เหวินหู่ อย่าเพิ่งไปบ้านเถ้าแก่จาง วิ่งตามถนนไปที่ใดก็ได้สักแห่ง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

เหวินหู่ขานรับคำ บังคับรถม้ามุ่งหน้าตรงไปไม่หยุด

 

 

ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นยังคงตามไล่หลังมา เมิ่งเชี่ยนโยวให้ขบคิดหนัก วรยุทธ์ของคนกลุ่มนี้สูงกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้มาก พวกเขาสามคนไม่แน่ว่าจะเอาชนะพวกเขาได้

 

 

เหวินหู่ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการ บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงหน้าประตูเมือง เหวินหู่ถามเสียงเบา “แม่นาง ถ้ามุ่งหน้าต่อไป พวกเราจะพ้นประตูเมืองออกไปแล้ว”

 

 

“หักเลี้ยวกลับแล้ววิ่งเหยาะกลับไปหยุดตรงหน้าคนกลุ่มนั้น” เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่ง

 

 

เหวินหู่ลดความเร็วลง หักเลี้ยวหัวกลับ บังคับรถม้ากลับไปอย่างเรื่อยเฉื่อย

 

 

ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นวิ่งตามมาได้ระยะเวลาหนึ่งเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว เห็นรถม้าวิ่งไปทางประตูเมือง นึกว่าพวกเขาจะออกนอกเมืองไป แอบโอดร้องในใจ ไม่คิดว่าเหวินหู่กลับลดความเร็วรถม้ากะทันหัน แล้วหักเลี้ยวหัวกลับ ค่อยๆ วิ่งเหยาะๆ กลับมา คนทั้งหมดไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่างตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น กระทั่งได้สติคืนกลับมา คิดจะหาที่หลบ รถม้าก็เดินมาถึงเบื้องหน้าพวกเขาแล้ว

 

 

เหวินหู่บังคับรถม้ามาจอดตรงหน้าคนทั้งหมด เพ่งพินิจดูกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมเหวินเปียว

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์ระแวดระวัง มือลูบคลำบางสิ่งข้างเอว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งในรถม้าไม่ส่งเสียง

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์ไม่กล้าบุ่มบ่าม

 

 

บรรยากาศตรงหน้าพลันแข็งค้าง

 

 

 

 

[1] ยามโหย่ว คือ เวลา17.00-19.00 น.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด