ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 223-3 เหิมเกริม

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 223-3 เหิมเกริม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิวลี่ถึงได้สติกลับคืนมาว่าเป็นเสียงตะโกนของมารดาตนเอง ใบหน้าแดงฝาดฉับพลัน แต่ก็ไม่คิดจะพูดแก้ ยื่นมือออกไปตวัดตบสาวใช้ที่ประคองตนเองฉาดใหญ่ “นังขี้ข้าสมควรตาย ไม่รู้จักเตือนข้า ทำให้ข้าเกือบต้องขายหน้า”

 

 

สาวใช้ถูกตบหน้าอย่างไร้เหตุผล แต่ก็ไม่กล้าปริปาก ทำได้เพียงก้มหน้ารับผิด

 

 

ชาวบ้านที่มามุงดูยิ่งส่งเสียงวิพากษ์อื้ออึง

 

 

ยังไม่ทันได้ออกหน้าจัดการเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ต้องมาอับอายต่อหน้าคนในหมู่บ้าน หลิวลี่โยนความผิดทั้งหมดนี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว น้ำเสียงยิ่งทวีความเกรี้ยวกราด “ข้าจะบอกเจ้าให้ ตอนนี้ข้าไม่เหมือนในอดีตแล้ว อย่าคิดว่าเด็กบ้านนอกอย่างเจ้า มีเงินเพียงหยิบมือ ก็จะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาได้”

 

 

น้ำเสียงเมิ่งอี้เซวียนเริ่มขุ่นเคือง “เจ้าพูดเกินไปแล้ว ต่อให้สถานะเจ้าสูงศักดิ์เพียงใด มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพวกข้าเล่า? เจ้าพาคนมากมายมารบกวนพวกเราถึงหน้าประตูบ้าน พวกเราไม่ได้ไล่เจ้าไป ถือว่าเกรงใจมากแล้ว”

 

 

พวกเขาล้วนเติบโตในหมู่บ้านมาด้วยกัน หลิวลี่ย่อมรู้จักเมิ่งอี้เซวียน ทว่าในตอนนั้น เขาใบหน้าเหลืองซูบซีด แต่งตัวมอซอ วันๆ เอาแต่เดินก้มหน้าก้มตาตัวสั่นเทิ้ม หลิวลี่ถือตัวว่าเป็นบุตรสาวผู้ใหญ่บ้าน เดินเอาตาไว้บนศีรษะเหมือนสะใภ้หลิวกุ้ย ย่อมดูถูกดูแคลนเขา ตอนนี้เห็นเขาออกหน้าให้เมิ่งเชี่ยนโยว เกิดความริษยาชิงชัง ถามเสียงแหลมสูง “เจ้าเป็นใคร? ข้าพูดกับนังตัวดีนี่ เกี่ยวอะไรกับเจ้า? ถึงต้องมาออกหน้าแทนนาง?”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพักผ่อนไม่ได้แล้ว ตัวเองก็ไม่รีบทำอาหารแล้ว เห็นสภาพบ้าผู้ชายของหลิวลี่เมื่อครู่ เมิ่งเชี่ยนโยวให้เกิดความคิดยั่วเย้านาง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงโอ้อวด “แม่เจ้ามิได้บอกเจ้าหรือ? เขาคือสามีในอนาคตของข้า ย่อมต้องออกรับหน้าแทนข้า”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนผงะร่างแข็งค้าง หันกลับไปมองนางอย่างไม่เชื่อ

 

 

หลิวลี่กรีดร้องเสียงหลง “อะไรนะ? ไม่มีทาง เจ้าจะมีโชคดีเช่นนี้ได้อย่างไร?”

 

 

เสียงหวีดร้องบาดลึกเข้าไปในโสตประสาททุกคน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอุดหูตัวเอง แล้วพูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร? เจ้าถามชาวบ้านเอาเถิด ใครๆ ต่างก็รู้”

 

 

หลิวลี่หันมองมารดาตนเองอย่างไม่เชื่อ

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยเบ้ปาก พูดอย่างเหยียดหยาม “ก็แค่เด็กจนๆ ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ถูกคนเอามาทิ้งคนหนึ่ง ทำเป็นของล้ำค่าวิเศษวิโส โอ้อวดต่อหน้าคนมากมาย ไม่รู้จักกระดากอายบ้าง”

 

 

“ข้ามีเงินมากมาย ไยต้องสนใจว่าเขาจะยากดีมีจน แค่ได้มองใบหน้าเจริญหูเจริญตา ใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชาติ ย่อมดีกว่าใครบางคนที่ยังไม่รู้ว่าต้องแต่งงานกับคนเช่นไร” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยสะอึกกึก

 

 

คำพูดนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยวทิ่มแทงจี้ใจดำหลิวลี่ นางบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ใช้น้ำเสียงแทบอยากจะกลืนกินเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างเคียดแค้น “นังตัวดี เจ้าอย่าลำพองใจไปนัก สักวันกรรมจะตามทัน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งแสดงปฏิกิริยาเห่อเหิมใจ “ข้าไม่ทำเรื่องละอายใจ ไม่กลัวผีมาเคาะประตูกลางดึก ไม่เหมือนใครบางคน วันๆ คิดแต่จะหาเรื่องคนอื่น คนเช่นนั้นถึงจะได้รับผลกรรม”

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยแวดเสียงใส่ “เจ้าว่าใคร? จะบอกให้นะ อย่าคิดว่าเรื่องต่ำช้าที่เจ้าทำจะไม่มีใครรู้ หากข้าพูดออกมา เจ้าได้ชื่อเสียงป่นปี้ ไม่กล้าโงหัวเดินในหมู่บ้านอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับแสดงท่าทีส่งเสริม “ดีเลย เช่นนั้นท่านก็พูดออกมาเลย คนทั้งหมู่บ้านจะได้รู้ ว่าข้าหรือท่านกันแน่ที่จะโงหัวไม่ขึ้น”

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยกำลังจะพูด หลิวกุ้ยเปล่งเสียงยับยั้งนาง “หุบปาก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเหล่มองหลิวกุ้ยแวบหนึ่งอย่างเยาะหยัน พูดกระตุ้นเร้าสะใภ้หลิวกุ้ยต่อ “ว่าอย่างไร ไม่กล้าพูดหรือ? หรือเพราะเรื่องต่ำตมพวกนี้ล้วนเป็นฝีมือท่าน?”

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยถูกกระตุ้นสำเร็จแล้ว ร้องโวยวาย “พูดก็พูด มีบุตรสาวข้าหนุนหลัง ข้ายังต้องกลัวเจ้าอีกเรอะ วันนี้ข้าจะให้ชาวบ้านได้รู้ว่าเจ้าเป็นพวกเนรคุณคน ภายหน้าไม่มีใครอยากมาทำงานให้พวกเจ้าอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ตกตะลึง ยกยิ้มพูด “ได้เลย เช่นนั้นท่านก็พูดมา ว่าข้าเนรคุณคนอย่างไร?”

 

 

หลิวกุ้ยพูดปรามเสียงแข็งอีกครั้ง “หุบปาก วันนี้ลี่เอ๋อร์จะมาคุยเรื่องในอดีตกับนาง เจ้าจะพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนั้นทำไม?” พูดจบ ยังขยิบตาให้นาง

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยที่โมโหจนหน้ามืดตามัวแล้ว ไม่เห็นสายตาที่เขาส่งสัญญาณมา พูดอย่างเหิมเกริม “นางทำให้ครอบครัวพวกเราต้องเป็นเช่นนี้ ทำไมข้าจะพูดไม่ได้ วันนี้ข้าจะต้องพูดออกมา ให้ทุกคนได้รู้ว่านางเป็นคนเ**้ยมอำมหิตเพียงใด ภายหน้าทุกคนจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของนาง”

 

 

หลิวลี่มองดูใบหน้าหล่อเหลาของเมิ่งอี้เซวียนยิ่งให้เคียดแค้นชิงชัง ริษยาตาร้อนผ่าว ร้องโวยวายด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า “พูดเลย ท่านแม่ ท่านจงกล้าหาญพูดสิ่งที่พวกเราถูกข่มเหงรังแกออกมา มีข้าอยู่ ไม่มีใครกล้าแตะต้องท่าน”

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยได้รับการรับรองจากหลิวลี่ น้ำเสียงยิ่งทวีความเหิมเกริม “ได้ ทุกคนฟังให้ดี วันนี้ข้าจะพูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ให้พวกเจ้าได้รู้ว่า นางเป็นคนเ**้ยมอำมหิตเพียงใด”

 

 

ชาวบ้านที่รุมล้อมได้ฟังต่างกลั้นหายใจ ตั้งใจฟังสิ่งที่นางกำลังจะพูดออกมา

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยเห็นชาวบ้านใช้แววตารอคอยมองตนเอง กระหยิ่มยิ้มหย่องใจ พูดกับทุกคนว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่? ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของตาเฒ่าของพวกเรา หาใช่เขาเป็นคนหลีกทางให้ไม่ แต่เป็นนังตัวดีนี่ที่ใช้ต้าเป่ามาข่มขู่พวกเรา บอกว่าหากพวกเราไม่สละตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน นางจะจับต้าเป่าโยนขึ้นเขาให้จิ้งจอกกิน พวกเรามีบุตรชายเพียงคนเดียว ตกใจขวัญหนีดีฝ่อ จึงรับปากพวกเขาทันที เมิ่งต้าจินถึงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน”

 

 

สิ้นเสียงนาง ชาวบ้านส่งเสียงอื้ออึง ว่าแล้ว หลิวกุ้ยกับภรรยาละโมบต่อทรัพย์และอำนาจเช่นนั้นจะยอมสละตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านได้อย่างไร ที่แท้เรื่องนี้ก็มีเงื่อนงำซ่อนอยู่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่โต้แย้ง ปล่อยให้สะใภ้หลิวกุ้ยพูดเพ้อเจ้อตามใจ

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยพูดต่อ “ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องที่ตาเฒ่าของพวกเราถูกโบย เกือบเอาชีวิตไม่รอดนั้น ก็เป็นนางที่ยุยงท่านผู้ว่าการตำบลให้ทำ”

 

 

สิ้นเสียง ชาวบ้านส่งเสียงเซ็งแซ่

 

 

แม้หลิวกุ้ยและภรรยาจะละโมบเงินทอง ไม่มีความเป็นมิตรกับชาวบ้าน แต่หลายปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำอะไรเกินกว่าเหตุ เมิ่งเชี่ยนโยวบีบให้เขาสละตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ยังใช้ชีวิตคนมาข่มขู่ ช่างมีจิตใจที่โหดเ**้ยมอำมหิตนัก

 

 

ได้ยินเสียงวิพากษ์ของชาวบ้าน มีทิศทางเข้าข้างตัวเอง สะใภ้หลิวกุ้ยยิ่งให้ลำพองใจ ใช้สายตามองปะทะเมิ่งเชี่ยนโยว ดูเอาเถิด รอดูว่าเจ้าจะมีจุดจบเช่นไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่สะทกสะท้าน แย้มยิ้มหวานถาม “พูดจบแล้วหรือไม่? หากยังไม่จบก็จงพูดต่อ”

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยแค่นเสียงหึอย่างย่ามใจ “กลัวแล้วสิ จะบอกให้นะ พ้นวันนี้ไปเจ้าจะต้องย่อยยับป่นปี้ มีแต่คนรุมด่ารุมตี”

 

 

“งั้นหรือ?” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อน “ท่านพอจะบอกพวกเขาได้หรือไม่ เหตุใดข้าต้องบีบให้พวกท่านสละตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน?”

 

 

“จะเพราะอะไร? ก็เพราะเจ้าต้องการให้เมิ่งต้าจินเป็นผู้ใหญ่บ้าน อำนวยความสะดวกให้ครอบครัวพวกเจ้าดำเนินเรื่องในหมู่บ้าน” สะใภ้หลิวกุ้ยพูด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ท่านกล่าวเช่นนี้ก็ถูกต้อง”

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยเห็นนางยอมรับ เหิมใจจนหางกระดกเกือบจะถึงฟ้าแล้ว ใช้มือข้างหนึ่งตบฝ่ามืออีกข้างหนึ่งของตัวเองเต็มแรง “ทุกคนฟังเอาเถิด นางยอมรับจากปากเองแล้ว”

 

 

ชาวบ้านยิ่งส่งเสียงวิพากษ์เซ็งแซ่

 

 

หลิวลี่เองก็แสยะยิ้มสะใจ

 

 

“เดิมข้าไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับคนในหมู่บ้าน อย่างน้อยเพื่อให้พวกท่านได้มีที่อาศัยในหมู่บ้านบ้าง ในเมื่อวันนี้พวกท่านถือดีว่ามีคนหนุนหลัง พูดเรื่องทั้งหมดนี้ออกมา เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยผงะก้าวถอยหลังหลายก้าว ถามด้วยความระแวดระวัง “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ก็พูดเรื่องทั้งหมดนี้ออกมาตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไร ให้ทุกคนได้ฟังว่าคนที่ถูกและผิดเป็นใครกันแน่”

 

 

สะใภ้หลิวกุ้ยมือสั่นระริก แล้วพูดว่า “เจ้ายอมรับแล้ว ยังมีอะไรต้องพูดอีก?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้ายอมรับที่ลุงใหญ่ข้าเป็นผู้ใหญ่บ้านมีผลดีต่อครอบครัวพวกเรา อย่างน้อยไม่ต้องถูกคนเสนอเงื่อนไขเพียงเพราะจะซื้อที่ดินเปล่า ข้ามิได้ยอมรับว่าบีบให้พวกท่านสละตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน”

 

 

ตลอดหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ เมิ่งเชี่ยนโยวพอจะมีความน่าเชื่อถือในจิตใจของชาวบ้านอยู่บ้าง คำกล่าวเมื่อครู่ของสะใภ้หลิวกุ้ย แม้ทุกคนจะวิพากษ์วิจารณ์ แต่ในใจของคนส่วนมากก็ยังไม่เชื่อ ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ทุกคนต่างรู้ว่าเรื่องจะต้องไม่ได้เป็นอย่างที่สะใภ้หลิวกุ้ยพูด จึงเงี่ยหูตั้งอกตั้งใจฟัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงปานกลาง ให้ทุกคนฟังได้ยินพอดี “ทุกคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ก่อนที่เราจะสร้างคฤหาสน์ที่ท่านอาจารย์อยู่ตอนนี้ พวกเราได้ไปซื้อที่ดินเปล่ากับหลิวกุ้ย เขาบอกว่าที่ดินผืนนั้นจะนำมาบุกเบิกเป็นที่ดินเพาะปลูก ไม่ว่าพูดอย่างไรก็ไม่ขายให้พวกเรา ที่ดินฝืนนั้นทิ้งร้างมาหลายปี ไม่คิดจะแผ้วถางบุกเบิก พอพวกเราคิดจะซื้อมาปลูกเรือน เขากลับบอกว่าจะบุกเบิก พวกเราทราบดีว่าเขาต้องการกลั่นแกล้งพวกเรา แต่พวกเราก็คิดว่าชาวบ้านมีที่ดินทำกินน้อย หากบุกเบิกมาเป็นที่เพาะปลูกแบ่งให้ทุกคนได้จริง ทุกคนจะได้เก็บเกี่ยวได้มากขึ้น จึงล้มเลิกความคิดนั้น เตรียมจะหาที่ดินอื่น”

 

 

“ไม่คิดว่า วันถัดมาพวกเขาก็มาหาพวกเราถึงบ้าน บอกว่าจะขายที่ดินเปล่าผืนนั้นให้พวกเรา เงื่อนไขคือพวกเราต้องมอบสัญญาทาสของหลิวต้าเป่าและสูตรเนื้อรมควันให้พวกเขา ข้าย่อมไม่ยินดี แต่พวกเขากลับบอกว่าหากพวกเราไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ พวกเขาจะทำให้พวกเราไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข จะคอยกลั่นแกล้งพวกเราไม่จบไม่สิ้น…”

 

 

พูดถึงตรงนี้ สะใภ้หลิวกุ้ยก็กระทืบเท้าโต้แย้ง “เหลวไหลทั้งเพ พวกเราหาได้กล่าวเช่นนั้นไม่ พวกเราเพียงพูดว่าจะทำให้พวกเจ้าปลูกเรือนไม่สำเร็จ”

 

 

ชาวบ้านที่มุงดูส่งเสียงวิพากษ์อื้ออึง สะใภ้หลิวกุ้ยถึงรู้สึกตัวว่าพูดสิ่งใดออกไป ทั้งโกรธทั้งอาย สีหน้าผะอืดผะอมเหมือนตับหมู

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ่อ” พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นข้าคงจะจำผิด ทว่าเรื่องทั้งหมดก็เป็นประมาณนี้ หลังจากได้ฟังคำข่มขู่ของพวกเขา ข้าคิดทบทวน ไม่อาจปล่อยให้เรื่องดำเนินไปเช่นนี้ พวกเราเพียงแค่จะปลูกเรือน พวกเขาก็ยื่นข้อเสนอมากมายเช่นนี้ออกมา หากภายหน้าการค้าของข้าเจริญรุ่งเรือง สร้างโรงงานเพิ่ม พวกเขาก็จะยิ่งเสนอเงื่อนไขเกินกว่าเหตุอีกหรือไม่ ดังนั้นข้าจึงยื่นข้อเสนอกลับ พวกเขาต้องการสัญญาทาสของของหลิวต้าเป่าและสูตรเนื้อรมควันก็ได้ แต่ต้องเอาตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านมาแลก”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด