ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 233-1 ผู้สอดแนมตามติดดั่งเงาตามตัว

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 233-1 ผู้สอดแนมตามติดดั่งเงาตามตัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ครั้งนี้ ไม่เพียงคนหมู่บ้านหวงที่ฮือฮาแตกตื่น แม้แต่คนในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงก็ตื่นเต้นคึกคักไปด้วย ทุกคนต่างชะเง้อชะแง้คอรอให้วันนี้มาถึง

 

 

ใกล้วันแต่งงาน เมิ่งเชี่ยนโยวให้คนป่าวประกาศอีกหนึ่งข่าว วันที่สิบหกเดือนสิบสองจะจัดงานหลิวสุ่ยสีหน้าประตูเรือนใหญ่หนึ่งวัน ไม่ว่าเป็นคนในหมู่บ้านหรือคนนอกหมู่บ้าน สามารถเข้ามากินได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน

 

 

ครานี้ ผู้คนยิ่งให้แตกตื่นโกลาหล พอถึงวันที่สิบหก ทั้งชายหญิงเด็กคนแก่ในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง ต่างเข้ามายืนอออยู่หน้าประตูเรือนใหม่แต่เช้า เพื่อมาดูมหกรรมงานช้างที่น้อยครั้งจะได้เห็น

 

 

ลักษณะงานในครั้งนี้ค่อนข้างใหญ่ อาศัยแค่พวกอู๋ต้าไม่มีทางรับมือไหว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงให้คนในโรงงานลางานสามวัน ให้พวกเขาเข้ามาช่วย ให้ค่าแรงตามเดิม แม้แต่คนในหมู่บ้านหลี่ก็ไม่ยกเว้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังขอยืมม้าขนาดใหญ่สองตัวมา ครานี้ถือว่าสิ่งของเครื่องใช้สำหรับพิธีรับเจ้าสาวเป็นอันครบถ้วนแล้ว

 

 

ก่อนวันงานหนึ่งวันเมิ่งชื่อให้เหวินเปียวเอารถม้าไปรับบิดามารดาตนเองเข้ามา ครอบครัวจางจู้และครอบครัวจางเกินที่หลังจากเลิกงานไม่ได้กลับไป อยู่คอยช่วยงานภายใน

 

 

ครอบครัวสกุลเมิ่งรวมถึงสองผู้เฒ่าเมิ่งต่างตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืน วันรุ่งขึ้นทุกคนต่างตื่นขึ้นมาอย่างสดใสมีชีวิตชีวา ช่วยกันแต่งตัวให้เจ้าบ่าวทั้งสามคนอย่างพิถีพิถัน ตรวจตราสิ่งของสำหรับรับเจ้าสาว

 

 

นอกเรือนใหม่มีชาวบ้านมามุงดูความคึกคักไม่น้อยแล้ว ต่างยิ้มแย้มแจ่มใส ส่งเสียงอึกทึกเซ็งแซ่

 

 

เจ้าสาวมีทั้งใกล้และไกล เพื่อให้กลับมาทันเวลากราบไหว้ฟ้าดินพร้อมกัน กำหนดการของเจ้าบ่าวจึงไม่เหมือนกัน เริ่มจากเมิ่งเสียน แต่งกายในชุดเจ้าบ่าว ท่าทีทะมัดทะแมงมีชีวิตชีวานั่งรถม้าออกไปก่อน โดยมีเหวินเปียวบังคับรถม้าที่ประดับตกแต่งสดใสเป็นสิริมงคล เมิ่งเจี๋ยนั่งคุมอยู่ในรถม้าด้วยความตื่นเต้นยินดี ตามด้วยขบวนรับเจ้าสาว สุดท้ายเป็นขบวนปี่แตรบรรเลงบทเพลงอย่างครึกครื้น คนทั้งหมดเดินมุ่งหน้าเข้าตำบลไปท่ามกลางสายตาร้อนผ่าวของทุกคน

 

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมิ่งเหรินที่แต่งกายด้วยชุดเจ้าบ่าวขี่ม้าตัวใหญ่ โดยมีเหวินหู่บังคับรถม้าที่ประดับตกแต่งงดงามตามติดไป ภายในรถคือเมิ่งชิงที่นั่งคุมไปด้วยอาการตื่นเต้นดีใจไม่แพ้กัน รั้งท้ายด้วยขบวนปี่แตรเดินเป็นขบวนไปรับเจ้าสาวที่หมู่บ้านซุน

 

 

เมิ่งอี้ที่สวมชุดเจ้าบ่าวแล้วเป็นคนสุดท้ายที่เดินออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวจัดเตรียมขบวนรับเจ้าสาวให้เขาเป็นเกี้ยวใหญ่ขนาดแปดคนหาบ เมิ่งอี้อยู่ข้างหน้า เกี้ยวอยู่ข้างหลัง มีเมิ่งอี้เซวียนนั่งอยู่ภายในด้วยจิตใจตื่นเต้นกระสับกระส่าย ขบวนปี่แตรบรรเลงเพลงวนรอบหมู่บ้านหวงหนึ่งรอบ สุดท้ายมาหยุดที่หน้าประตูบ้านโจว

 

 

ครั้งนี้ทุกคนได้เปิดโลกทัศน์อย่างแท้จริง เหล่าคนแก่เฒ่าชราต่างทอดถอนใจ การได้อยู่เห็นขบวนรับเจ้าสาวเช่นนี้ ถือว่าชีวิตนี้ไม่เสียชาติเกิดแล้ว ส่วนคนที่อ่อนเยาว์ลงมาก็มองด้วยความอิจฉาตาร้อน คิดว่าตอนที่ตนเองแต่งงานมีรถเทียมเกวียนสักคันก็ไม่แย่แล้ว

 

 

ขบวนรับเจ้าสาวทั้งสามขบวนไล่หลังกลับกันมาตามเวลาที่กำหนดไว้

 

 

เริ่มจากเมิ่งเหรินนำขบวนรับเจ้าสาวกลับมา แม้ครอบครัวอิงจื่อจะยากแค้น แต่บิดามารดาอิงจื่อรักใคร่บุตรสาว ไม่เพียงหาบสินสอดสิบหกหาบที่ส่งไปบ้านซุนกลับมาในสภาพเดิมทุกประการ ยังรวบรวมสมทบหาเพิ่มให้บุตรสาวอีกสี่หาบ เครื่องแต่งงานทั้งหมดยี่สิบหาบ บวกกับคนมารับและมาส่งเจ้าสาว ยิ่งใหญ่บาดตาทำเอาผู้มาดูความคึกคักตาเกือบบอด

 

 

ตามขนบประเพณีของหมู่บ้าน หลังจากเจ้าบ่าวลงจากรถม้า สะใภ้ซุนประคองเดินข้ามกระถางไฟ จากนั้นให้เมิ่งเหรินพาเดินเข้าบ้าน

 

 

คนที่สองคือเมิ่งอี้ บ้านโจวมีพื้นเพดี ย่อมไม่ขาดแคลนเงินทอง ไม่เพียงส่งสินสอดทั้งหมดกลับมา ยังสมทบส่งมาให้อีกสิบหกหาบ

 

 

ชาวบ้านเห็นเครื่องแต่งงานสามสิบสองหาบ ได้ยินแต่เสียงสูดลมหายใจเข้าปาก

 

 

เมิ่งอี้พาโจวอิ๋งข้ามกระถางไฟเดินเข้าไปตามประเพณีดั้งเดิม

 

 

สุดท้ายคือเมิ่งเสียน

 

 

ซุนซ่านเหรินถือได้ว่าเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆ ของตำบล งานแต่งหลานสาวย่อมไม่ยอมให้ต่ำต้อย เป็นที่หัวเราะเยาะของชาวเมืองได้ นอกจากจะส่งสินสอดบ้านเมิ่งสิบหกหาบกลับคืนมา ยังทบส่งเพิ่มมาอีกสามสิบสองหาบ

 

 

ครั้งนี้แม้แต่เสียงสูดลมหายใจของชาวบ้านก็ไม่มีแล้ว ได้แต่อ้าปากค้าง เบิกตาโพลง ตกตะลึงจนพูดไม่ออก

 

 

เมิ่งเสียนทำตามประเพณีพาซุนเชี่ยนข้ามกระถางไฟเดินเข้าไป

 

 

ภายในบ้าน สองผู้เฒ่าเมิ่งนั่งบนเก้าอี้ประธาน เมิ่งต้าจินและภรรยานั่งฝั่งซ้าย เมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยานั่งฝั่งขวา

 

 

หลังจากเสียงตะโกนของแม่สื่อบ่าวสาวทั้งสามคู่เริ่มจากคำนับสองผู้เฒ่าเมิ่ง จากนั้นแยกกันคำนับบิดามารดาของตนเอง สุดท้ายบ่าวสาวคำนับกันและกัน หลังสิ้นเสียงส่งตัวเข้าห้องหอของแม่สื่อ เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้จูงผ้าแพรแดง พาภรรยาของตนเองแยกไปที่ห้องหอของตน

 

 

ห้องหอของเมิ่งเสียนอยู่บ้านเมิ่ง หลังเสร็จพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน เมิ่งเสียนพาซุนเชี่ยนกลับขึ้นรถม้าด้วยความระมัดระวัง ส่งนางมายังห้องหอบ้านตนเอง

 

 

พิธีไหว้ฟ้าดินเสร็จสิ้น เมิ่งจงจวี่กล่าวโอวาทที่ยากจะซ่อนความปลื้มปริ่มใจเอาไว้ได้ จากนั้นงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีด้านนอกก็ดำเนินการไปพร้อมกัน

 

 

ชาวบ้านที่เข้ามาดูความคึกคักแต่เช้าหาที่นั่งไว้เรียบร้อยแล้ว พองานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีเริ่มต่างสวาปามกินอย่างตะกละตะกลาม คนที่มาที่หลังไม่มีที่นั่ง ก็ไม่ร้อนรน ต่างไปต่อแถวรอยาวอย่างมีสติ

 

 

งานเลี้ยงจัดขึ้นในลานกว้างภายในบ้าน

 

 

เมิ่งจงจวี่และบิดาจางจู้ และหัวหน้าสกุลอาวุโสยังมีคนเฒ่าคนแก่ในสกุลเมิ่งนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันในห้องหนึ่ง

 

 

หญิงชราเมิ่ง มารดาจางจู้และผู้ติดตามฝ่ายหญิงนั่งอยู่อีกห้องหนึ่ง

 

 

ส่วนคนที่เหลือที่มาส่งเจ้าสาวและผู้ติดตามนั่งกินเลี้ยงในลานเรือน คนทั้งหมดกินดื่มด้วยความเบิกบานยินดี พูดคุยเสวนาถึงการแต่งงานที่ยากจะได้เห็นสักครั้ง

 

 

วันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีบทบาทอะไร ดังนั้นนางจึงสบายยิ่งนัก เริ่มจากเข้าไปดูอิงจื่อและโจวอิ๋ง กำชับคนข้างกายให้หาของกินมาให้พวกนาง จากนั้นกลับมาดูซุนเชี่ยนที่บ้านตัวเอง

 

 

ด้านนอกเรือนใหม่มีแต่คนจากหลากหลายหมู่บ้านเข้ามากินเลี้ยงหลิวสุ่ยสี เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แม้แต่จะมอง เดินตรงเข้าไปในบ้าน ทว่าเดินได้ไม่ไกล ก็ให้รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องตนเอง ชะงักเล็กน้อย แล้วหันศีรษะขวับ กลับไม่พบผู้ต้องสงสัยใดๆ

 

 

หันหลังเดินเข้าบ้าน สายตาคู่นั้นกลับตามติดมาอีก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า ขบคิดเล็กน้อย หันหลังเดินกลับไปหาเหวินเปียวและเหวินหู่ที่กำลังจัดระบบระเบียบ สั่งการพวกเขาเสียงเบา ทั้งสองพยักหน้า เริ่มเดินแทรกเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังกินข้าวและยังไม่ได้กินข้าว ตรวจดูว่ามีใครที่มีเค้าลางน่าสงสัย

 

 

หามาได้พักใหญ่ ก็หาไม่พบ ทั้งสองส่ายหน้าให้เมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว กวักมือเรียกให้ทั้งสองคนเข้ามา แล้วกำชับทั้งสองคนให้คอยจับตาดูคนที่มากินข้าววันนี้ หากมีใครมีท่าทีผิดสังเกต ให้ลงมือกำราบเขา กุมตัวไปไว้อีกด้านก่อน กระทั่งงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีเลิกแล้วค่อยว่ากัน

 

 

ทั้งสองขานรับคำ เดินลาดตระเวนคนที่มากินข้าวต่อ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมาหาอู๋ต้า ให้เขาเฝ้าหน้าประตูครัวด้วยตัวเอง บอกเขาว่านอกจากคนทำอาหารในครัว วันนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกห้องครัวนี้

 

 

อู๋ต้าเห็นท่าทีขึงขังของนาง รู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ ตบปากรับประกันว่าจะไม่ไปไหน จะคอยเฝ้าหน้าประตูครัวเป็นอย่างดี

 

 

หลังจากกำชับทั้งหมดนี้เสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวถึงหันหลังกลับเข้าบ้าน ครั้งนี้ไม่ปรากฏแววตาคู่นั้นแล้ว

 

 

ซุนเชี่ยนมีผ้าคลุมหน้า โดยมีสาวใช้นั่งนิ่งอยู่ในห้องหอด้วย พอเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา สาวใช้แสดงการคำนับนาง ร้องเรียก “คุณหนู”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับพวกนางทั้งสองคน “ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้ พวกเจ้าสองคนไปกินข้าวแล้วค่อยเข้ามาเถอะ”

 

 

สาวใช้ทั้งสองไม่กล้าขานรับคำ หันมองซุนเชี่ยนพร้อมกัน

 

 

ซุนเชี่ยนคลับคล้ายจะสัมผัสได้ถึงแววตาจับจ้องของพวกนาง พูดเสียงละมุน “ไปเถอะ เหนื่อยมาครึ่งค่อนวันแล้ว พวกเจ้าคงหิวแล้ว”

 

 

สาวใช้ทั้งสองกล่าวขอบคุณด้วยความยินดี เดินเคียงไหล่ออกไปเรือนใหม่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงเบื้องหน้าซุนเชี่ยน ยิ้มถาม “ท่านเอาแต่คลุมใบหน้าเช่นนี้ไม่อึดอัดหรือ? ยังไม่รีบแหวกผ้าขึ้นอีก”

 

 

ซุนเชี่ยนได้ฟังก็เลิกผ้าคลุมตรงหน้าทบขึ้นไปบนศีรษะ สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พูดว่า “อึดอัดจะแย่แล้ว มีพวกนางสองคนคอยเฝ้าข้าไม่กล้าแหวกผ้าออก เลี่ยงไม่ให้ตอนกลับบ้านพวกนางกลับไปรายงาน ถึงตอนนั้นท่านปู่ท่านย่าได้เอ็ดข้าเป็นแน่เทียว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ ลุกขึ้นยกถาดขนมที่จัดวางอย่างประณีตมาเบื้องหน้านาง “หิวแล้วสินะ กินอะไรหน่อยเถอะ”

 

 

ซุนเชี่ยนก็ไม่กระบิดกระบวน หยิบขนมชิ้นหนึ่งมากัดคำเล็ก พอกลืนลงไปแล้วถึงพูดว่า “เจ้าไม่รู้หรอก ข้าเผลอหลับไปก็ถูกพวกนางเรียกให้ตื่น ทรมานทรกรรมยิ่งนัก หากข้ารู้ว่าการแต่งงานจะเหนื่อยเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ตกลงแต่งงานเร็วเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องรอไปอีกสองถึงสามปี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “หากท่านเลื่อนออกไปอีกสองสามปีค่อยแต่งงาน คาดว่าท่านแม่ข้าจะต้องร้อนใจจนเสียสติไปก่อน นางอยากอุ้มหลานจะแย่แล้ว”

 

 

ซุนเชี่ยนสำลักขนม ไอไม่หยุด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบลุกขึ้นไปรินน้ำ ยื่นให้นาง

 

 

ซุนเชี่ยนรับมา ดื่มเข้าไปหลายอึก ถึงหยุดสำลักไอ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางหน้าแดงก่ำ รู้ว่านางเขินอาย จึงไม่แกล้งนางอีก ให้นางกินขนมอย่างสบายใจ

 

 

ขนมตกลงท้อง ซุนเชี่ยนก็มีเรี่ยวแรงฟื้นคืนมาไม่น้อย

 

 

ทั้งสองคุยกันอีกครู่หนึ่ง ด้านนอกถึงมีเสียงฝีเท้าของสาวใช้ดังแว่วมา ซุนเชี่ยนตกใจรีบลดผ้าคลุมหน้าลง นั่งอย่างสงบนิ่งบนเตียง

 

 

สาวใช้สองนางเคาะประตูเบาๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอกให้พวกนางเข้ามาได้

 

 

สาวใช้ทั้งสองเข้ามาในห้อง เห็นขนมบนโต๊ะลดลงไปหลายชิ้น รู้ว่าซุนเชี่ยนกินเข้าไป ไม่ได้ส่งเสียงกระโตกกระตาก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “วันนี้คนในบ้านต่างไปเรือนใหม่ ในบ้านไม่มีคน พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมีพิธีมาก พักผ่อนเสียหน่อยเถอะ”

 

 

สาวใช้ทั้งสองกล่าวขอบคุณ ยังคงยืนด้วยความอ่อนน้อม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน พูดกับซุนเชี่ยน “ข้ายังต้องกลับไปดูที่เรือนใหม่ ท่านรออีกประเดี๋ยว คาดว่าเวลานี้พี่ใหญ่ข้าน่าจะดื่มฉลองเสร็จแล้ว ไม่นานก็คงเข้ามา”

 

 

ซุนเชี่ยนพยักหน้าแผ่วเบา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองสาวใช้ทั้งสองแวบหนึ่ง หมุนตัวออกไปจากห้อง

 

 

งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีหน้าประตูเรือนใหม่ยังคงคึกคัก

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ก็มิได้หย่อนกำลัง คอยเดินตรวจตราในกลุ่มคน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่รู้สึกถึงแววตาคู่นั้นแล้ว

 

 

เรื่องพี่น้องสกุลเมิ่งสามคนแต่งงานวันเดียวกันเป็นที่ฮือฮาเกรียวกราวไปทั้งตำบลชิงซี เป็นอีกหนึ่งครั้งที่บ้านเมิ่งแห่งหมู่บ้านหวงกลายเป็นที่จดจำของชาวบ้านชาวเมือง หลังงานเลี้ยงอาหาร ทุกคนต่างยังคงพูดถึงเรื่องนี้อย่างเพลิดเพลิน

 

 

หลังงานแต่งงานจบลง ยอดจองสินค้าของโรงงานก็เพิ่มมากขึ้น คนงานที่เซี่ยเจียงเฟิงส่งมารับกุนเชียงบอกเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “แม่นางขอรับ นายท่านของพวกเราบอกว่าเศรษฐีเจ้านายในเมืองหลวงต่างสั่งจองกุนเชียงจำนวนมากไว้ ก่อนปีใหม่ให้ท่านจักต้องเตรียมกุนเชียงหนึ่งแสนจินไว้ เขาบอกว่ารู้ว่าทำให้ท่านต้องลำบาก เมื่อพ้นช่วงเวลายุ่งเหยิงนี้ เขาจะมาพร้อมกับของกำนัลปีใหม่ชุดใหญ่ เข้ามาแสดงคำขอบคุณท่านด้วยตัวเองขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้วว่า ในช่วงปีใหม่ของปีนี้ยอดขายกุนเชียงในเมืองหลวงจะต้องเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นพอเข้าเดือนสิบสองจึงให้คนงานเพิ่มเวลาในการทำงานเพิ่มอีกวันละครึ่งชั่วยาม เพื่อทำกุนเชียงได้เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่คิดว่าเซี่ยเจียงเฟิงจะต้องการในคราเดียวถึงหนึ่งแสนจิน บวกกับปริมาณสินค้าที่ต้องออกตามปกติทุกวัน คนงานจะต้องเพิ่มเวลางานวันละหนึ่งชั่วยามถึงจะทำออกมาได้ แต่หากทำเช่นนั้น คนงานจะเหนื่อยเกินไป

 

 

หลังจากคนงานบรรทุกกุนเชียงออกไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหาเมิ่งเสียน บอกเรื่องที่เซี่ยเจียงเฟิงต้องการกุนเชียงหนึ่งแสนจิน ทั้งปรึกษากับเขาว่าควรทำอย่างไรดี? จะหาคนงานเพิ่ม หรือให้คนงานในโรงงานเพิ่มเวลาทำงานอีกหนึ่งชั่วยาม

 

 

เมิ่งเสียนก็ตัดสินใจไม่ได้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเดินไปที่โรงงานแต่ละแห่ง ให้ทุกคนหยุดพักงานในมือ ซักถามความเห็นพวกเขา บอกพวกเขาว่า หากทำงานเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม คนสับหมูจะได้วันละเจ็ดสิบอีแปะ คนบรรจุกุนเชียงจะได้วันละห้าสิบอีแปะ คนงานได้ยินดังนั้น ต่างร้องขอจะทำเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบอกคนงานทุกคนตามตรงว่า ตนเองกังวลว่าสุขภาพของพวกเขาจะรับไม่ไหว

 

 

ทุกคนต่างพูดอย่างไม่ไยดี “ช่วงฤดูเก็บเกี่ยว พวกเราต้องรีบเก็บเกี่ยวทั้งกลางวันกลางคืน ร่างกายยังไม่เป็นอะไร นายหญิงวางใจเถอะ พวกเราสุขภาพแข็งแรงดี อย่าว่าแต่เพิ่มเวลาวันละหนึ่งชั่วยามเลย ต่อให้เป็นสองชั่วยามพวกเราก็รับไหว อีกอย่าง มิใช่แค่ไม่กี่วันนี้หรือ? พอปีใหม่ พวกเราก็จะได้หยุดพักอย่างสุขสำราญใจแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังคนงานพูดเช่นนี้ จึงพยักหน้าเห็นชอบ พูดว่า “นับจากวันพรุ่งนี้ไป ให้คิดเงินค่าแรงเป็นเจ็ดสิบอีแปะ ข้ารู้ว่าพวกท่านใจร้อนอยากหาเงิน แต่หากร่างกายทนรับไม่ไหว จักต้องบอกกล่าว พักผ่อนบ้างค่อยทำงานต่อ ห้ามฝืนทนเด็ดขาด เพราะหากร่างกายเหนื่อยล้าเกินไป จะได้ไม่คุ้มเสีย”

 

 

คนงานต่างรับคำไม่มีปัญหา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด