ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 242-1 ลางสังหรณ์

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 242-1 ลางสังหรณ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมิ่งจงจวี่ได้แต่รอคอยให้วันนี้มาถึง ดังนั้นจึงเตรียมจดหมายแนะนำให้เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เซวียนไว้นานแล้ว

 

 

ด้วยเพราะไม่เคยไปหัวเมือง เมิ่งเชี่ยนโยวตัดสินใจเข้าไปก่อนห้าวัน หนึ่งเพราะไม่รู้ว่าระยะทางไปหัวเมืองไกลแค่ไหน หากล่าช้ากลัวจะไม่ทันการ อีกอย่างก็คิดว่าพอทั้งสองคนถึงหัวเมืองแล้ว จะให้พักผ่อนสองวัน เพื่อให้มีสภาพร่างกายที่ดีที่สุดสำหรับเข้าร่วมการสอบ

 

 

เมิ่งชื่อไม่เห็นด้วย บอกว่าหากจะเข้าไปก่อนห้าวัน รวมเวลาเดินทางไปและกลับ บวกกับเวลาสอบ จะต้องใช้เวลาประมาณสิบวัน เวลายาวนานเกินไปนางไม่อาจวางใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดปลอบใจนาง “ท่านแม่เจ้าค่ะ พวกเราไปถึงหัวเมืองยังต้องหาโรงเตี๊ยม หาสนามสอบ เวลาสามวันน้อยเกินไป หากระหว่างทางเกิดเรื่องเล็กน้อยทำให้ล่าช้า เป็นไปได้ว่าจะทำให้พี่เมิ่งเหรินและอี้เซวียนพลาดการสอบได้ ถึงตอนนั้นพวกเราเสียใจก็คงไม่ทันแล้ว ท่านแม่วางใจเถอะ พอพวกเราถึงหัวเมือง นอกจากเข้าร่วมการสอบ จะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะทำตัวดีๆ อยู่แต่ในโรงเตี๊ยม รอพวกเขาสองคนสอบเสร็จ พวกเขาก็จะกลับมา”

 

 

เมิ่งชื่อก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ระยะนี้จิตใจกระสับกระส่ายรุนแรง อย่างไรก็ไม่ยอมให้ทั้งสองคนเข้าไปก่อน ทว่านางก็รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดถูก ไปถึงหัวเมืองแต่เนิ่นๆ ตระเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย พอถึงเวลาสอบจะได้ไม่ลุกลนฉุกละหุก หลังจากกำชับแล้วกำชับอีก ถึงฝืนใจยอมให้ไป

 

 

เมิ่งเสียนเห็นเมิ่งชื่ออย่างไรก็วางใจไม่ลง จึงบอกว่าตนเองจะตามไปด้วย เมิ่งชื่อไม่ยอม พูดว่า “ตอนนี้เชี่ยนเอ๋อร์อายุครรภ์มากแล้ว ไม่แน่ว่าจะคลอดวันไหน เจ้าจงอยู่แต่ในบ้าน ห้ามไปไหนทั้งนั้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ห้ามเขา พูดว่า “พี่ใหญ่วางใจเถอะ ข้าพาเหวินเปียวและเหวินหู่ไปด้วย พวกเขามีวรยุทธ์เก่งกล้า คุ้มครองพวกเราได้สบาย”

 

 

เมิ่งเสียนมองท้องกลมใหญ่ของซุนเชี่ยน จำต้องล้มเลิกความคิดที่จะตามไปด้วย

 

 

เมื่อได้ข้อยุติแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเหรินเก็บห่อสัมภาระ เตรียมออกเดินทางวันรุ่งขึ้น พระอาจารย์โจวกลับให้คนมาตามนางเข้าพบ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับนาง

 

 

พระอาจารย์โจวมาเชิญนางเข้าพบตอนนี้ จักต้องมีเรื่องสำคัญจะบอกตนเอง เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รอช้า หันไปบอกเมิ่งชื่อ แล้วตรงมาบ้านพระอาจารย์โจวทันที หลังจากบ่าวเรียนรายงาน น้ำเสียงน่ายำเกรงของพระอาจารย์โจวก็ดังลอยออกมา “เชิญแม่นางเมิ่งเข้ามาได้!”

 

 

บ่าวเปิดม่านประตู หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ก็เห็นพระอาจารย์โจวนั่งรอนางอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าขึงขัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงการคำนับพระอาจารย์โจว

 

 

พระอาจารย์โจวให้นางนั่ง แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้ยินว่าพรุ่งนี้แม่นางจะพาอี้เซวียนเดินทางไปหัวเมือง ข้ามีเรื่องหนึ่งจะกำชับแม่นาง”

 

 

“เชิญท่านพูดเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวอย่างอ่อนน้อม

 

 

พระอาจารย์โจวพูดตามตรง “แม่นางอาจจะยังไม่รู้ การสอบในระดับภูมิภาคนี้จะมีผู้คุมสอบจากหลายๆ ท้องที่ และผู้คุมสอบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นศิษย์ร่วมสำนักของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างๆ จากในเมืองหลวง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องมองเขา รอคำกล่าวต่อมาของเขา

 

 

พระอาจารย์โจวเห็นนางทำหน้าฉงน จึงพูดตามตรง “หรือก็คือ อี้เซวียนอาจจะถูกจับได้จากการสอบระดับภูมิภาคครั้งนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “ข้าทราบเจ้าค่ะ”

 

 

พระอาจารย์โจวร้องอุทาน “เจ้ารู้?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

พระอาจารย์โจวไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเจ้ายังจะให้เขาไปเข้าสอบระดับภูมิภาค?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งเงียบครู่หนึ่ง พูดว่า “ครอบครัวพวกเราเลี้ยงดูเขามา การได้เป็นซิ่วไฉสร้างชื่อเสียงให้วงศ์สกุลพวกเรา เป็นความปรารถนาของอี้เซวียนมาตลอด ข้าจะต้องให้เขาได้สมปรารถนา อีกอย่างก็คือ…” พูดมาถึงตรงนี้ ก็หยุดชะงัก

 

 

พระอาจารย์โจวก็ไม่เร่งเร้านาง รอให้นางเอื้อนเอ่ยเอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “อีกอย่างก็คือ ภายใต้การเคี่ยวสอนอย่างเข้มงวดของท่าน ถือว่าอี้เซวียนร่ำเรียนประสบผลสำเร็จ ซึ่งก็ถึงเวลาให้เขาได้กลับคืนฐานันดรแล้ว การเข้าสอบระดับภูมิภาคถือเป็นโอกาสที่ดี”

 

 

พระอาจารย์โจวได้ฟังก็นิ่งเงียบ ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “แม่นางไม่กลัวว่าจะทำเกินกว่าเหตุ กลายเป็นนำพาปัญหามาสู่เจ้าและอี้เซวียนแทนหรือ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจเสียงแผ่ว “ข้าคิดจะบอกชาติกำเนิดกับอี้เซวียนมานานแล้ว แต่เขาไม่ยินยอม หากข้าส่งจดหมายถึงท่านแม่ทัพฉู่ ฝืนใจส่งเขากลับไป เกรงว่าเขาจะต้องเกลียดข้าไปตลอดชีวิต เช่นนี้กำลังดี หากชาติกำเนิดของเขาถูกเปิดเผย จะอยู่หรือไปแล้วแต่เขาเลือกเอง”

 

 

พระอาจารย์โจวส่ายหน้า “หากชาติกำเนิดของเขาถูกเปิดเผย เขาไม่มีทางมีโอกาสเลือก ท่านอ๋องฉีดูภายนอกเป็นคนอ่อนโยน ความเป็นจริงเป็นคนดุดันเด็ดขาด ในตอนนั้นหลังจากอี้เซวียนหายสาบสูญไป สาวใช้ บ่าวรวมถึงทหารองครักษ์ข้างกายพระชายาอ๋องฉี ถูกสั่งลงดาบตายทั้งเป็น ว่ากันว่าเสียงร้องโหยหวนหน้าประตูจวนอ๋องฉีดังต่อเนื่องยาวนานตลอดหนึ่งวันถึงจางหายไป ขุนนางน้อยใหญ่ที่พักอาศัยละแวกใกล้เคียง ต่างหวาดกลัวไม่กล้าเดินผ่านหน้าจวนเขาเป็นเวลานาน ต้องเดินอ้อมไปเข้าเฝ้า”

 

 

“ข้าก็หวังให้เขาไม่มีทางเลือก” ฟังคำพระอาจารย์โจวจบ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เดิมอี้เซวียนก็ไม่ควรมาตกระกำอยู่ในชนบทนี้ เขาควรจะกลับไปยังที่ที่เป็นของเขา ที่ข้าไม่ยอมส่งข่าวแจ้งไปทางเมืองหลวง เพราะข้ากลัวหลังจากเขากลับไปแล้วจะทนรับสภาพแวดล้อมเช่นนั้นไม่ได้ ถึงเห็นแก่ตัวปิดบังมายาวนาน บัดนี้เขามีความสามารถเอาตัวเองรอดได้ สมควรให้เขากลับไปได้แล้ว”

 

 

พระอาจารย์โจวได้ฟังนิ่งเงียบอึดใจหนึ่ง แล้วพูดว่า “แม่นางทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อเมิ่งอีเซวียนไปไม่น้อยเลยจริงๆ หวังว่าเขาจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง ใช้ชีวิตในจวนท่านอ๋องได้อย่างอยู่รอดปลอดภัย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ดังนั้นพระอาจารย์ก็เก็บข้าวของเตรียมตัวให้พร้อมเถิด หากข้าคาดไม่ผิด หลังจากอี้เซวียนถูกค้นพบ อย่างมากสิบวัน อย่างน้อยห้าวัน ท่านอ๋องฉีจะต้องส่งคนมารับท่านเข้าเมืองหลวง ให้ไปเป็นอาจารย์ของเขาต่อ”

 

 

พระอาจารย์โจวได้ฟังส่ายหน้า ทอดถอนใจ “แม่นางคิดในแง่ดีเกินไปแล้ว ข้าปิดบังเรื่องสำคัญเช่นนี้ ท่านอ๋องฉีไม่คาดโทษข้าฐานปิดบังก็ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกันกับเขา “ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้ามีบุญคุณช่วยชีวิตท่านแม่ทัพฉู่ ถึงตอนนั้นข้าจะขอร้องให้เขาไว้ชีวิตท่าน ท่านวางใจเถิด ทว่าความปรารถนาที่จะเกษียณตัวเองกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบที่บ้านเกิดของท่าน เกรงว่าจะเป็นจริงไม่ได้แล้ว”

 

 

พระอาจารย์โจวถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เรื่องนี้ นับแต่วินาทีที่ข้าเห็นอี้เซวียน ข้าก็รู้แล้วว่า ชีวิตข้าไม่มีวันได้กลับบ้านเกิดอีกแล้ว”

 

 

“ก็ไม่แน่หรอกเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “อย่างมากห้าปี รอให้อี้เซวียนตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง รับประกันความปลอดภัยให้ท่านได้ หากท่านยังคิดจะกลับไปใช้ชีวิตยามแก่ที่บ้านเกิด ท่านก็บอกเขา เขาจะต้องรับปากท่าน”

 

 

พระอาจารย์โจวกล่าวโดยไม่คาดหวังใดๆ “หวังว่าข้าจะยังมีชีวิตถึงตอนนั้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพูดว่า “ไยพระอาจารย์ถึงคิดแต่แง่ร้ายเล่า กลับเมืองหลวงมิใช่จะเลวร้ายเสียทีเดียว ท่านอาจารย์โจวเสี้ยวและโจวหลี่ล้วนมีความสามารถล้นเหลือ ไม่ควรจะถูกเก็บซ่อนไว้ในชนบท เมืองหลวงถึงจะเป็นสถานที่เหมาะสมของพวกเขา”

 

 

พระอาจารย์โจวส่ายหน้า “ข้าเป็นตี้ซือมาหลายปี เข้าใจดีว่าเคียงข้างเจ้าดั่งเคียงข้างราชสีห์ ถึงคิดอยากจะพาพวกเขากลับบ้านเกิด กลับไปใช้ชีวิตสุขสราญ ไม่คิดว่าอย่างไรก็หลบไม่พ้น”

 

 

“ท่านอาจารย์ทั้งสองเพื่อแสดงความกตัญญู ถึงยอมไปจากเมืองหลวงที่ใหญ่โตคึกคัก กลับชนบทกับท่าน นี่อาจจะไม่ใช่ความปรารถของพวกเขาก็เป็นได้ ตอนนี้ได้ใช้โอกาสนี้ ให้พวกเขากลับไปความสามารถของตัวเองที่เมืองหลวง มิใช่เป็นเรื่องดีหรอกหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

พระอาจารย์โจวถอนหายใจแผ่ว “เรื่องมาถึงตอนนี้ ก็คงต้องคิดเช่นนี้แล้ว หวังท่านอ๋องฉีจะเห็นแก่ที่ข้าสอนสั่งอี้เซวียน ช่วยรักษาชีวิตครอบครัวพวกเราเอาไว้ได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น “ความหมายของท่านคือท่านประสบปัญหาร้ายแรงในเมืองหลวงหรือ?”

 

 

พระอาจารย์โจวโบกมือ “เจ้ารู้เรื่องของข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ แม่นางอย่าได้สืบถามเลย หวังว่าพวกเจ้าไปหัวเมืองครั้งนี้จะสำเร็จราบรื่นทุกอย่าง”

 

 

พระอาจารย์โจวแสดงว่าไม่พูดเรื่องของตัวเองอย่างชัดแจ้ง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ถามอีก หลังจากกล่าวขอบคุณ ก็บอกลากลับไปบ้าน

 

 

หลังจากนางกลับไปแล้ว พระอาจารย์โจวนั่งนิ่งอยู่ในห้องหนึ่งชั่วยาม ถึงสั่งการบ่าวให้ไปตามโจวเสี้ยวและโจวหลี่เข้ามา

 

 

พระอาจารย์กันบ่าวออกไปให้ไกล พูดเสียงเบากับทั้งสองคนอยู่เป็นนาน

 

 

หลังจากโจวเสี้ยวและโจวหลี่ออกมา หันหน้ามองกัน ไม่มีใครพูดจาตรงกลับไปที่เรือนของตนเอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงบ้าน เมิ่งชื่อกำลังเย็บเสื้อผ้าเด็กในลานเรือน เห็นนางกลับมา ก็ถามขึ้น “เหตุใดพระอาจารย์ถึงเรียกเจ้าไปปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้บอกความจริงกับนาง ยิ้มพูดโป้ปด “พระอาจารย์โจวได้ยินว่าพรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทาง ตั้งใจเรียกข้าไปเพื่อกำชับข้าเรื่องที่ต้องระวังสำหรับการสอบระดับภูมิภาคนี้”

 

 

เมิ่งชื่อแคลงใจ “เรื่องพวกนี้เขาน่าจะกำชับอี้เซวียนไม่ใช่หรือ? เหตุใดกลับเรียกเจ้าเข้าไปอีก?”

 

 

“เขากำชับอี้เซวียนแล้วเจ้าค่ะ แต่กลัวเขาจะเผอเรอจึงตามข้าเข้าไป”

 

 

เมิ่งชื่อไม่สงสัยอีก พยักหน้า “พระอาจารย์โจวคิดอ่านรอบคอบนัก สมควรกำชับเจ้าอีกรอบจริงๆ”

 

 

“เช่นนั้นข้าจะเข้าไปเก็บของ พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางแต่เช้า”

 

 

“ไปเถอะ อย่าลืมพกเงินไปมากหน่อย เดินทางไปไกล มีเงินติดตัวมากหน่อยไม่ใช่สิ่งไม่ดี” เมิ่งชื่อกำชับ

 

 

“ทราบแล้วเจ้าค่ะท่านแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับคำแล้วเดินเข้าไปในห้องตัวเอง เก็บเสื้อผ้าที่ตัวเองจะต้องใช้เปลี่ยนของหลายวันนี้ จากนั้นเปิด**บออก คิดจะหยิบตั๋วเงินออกมา ครั้นพอเห็นชุดทารกของเมิ่งอี้เซวียนก็หยุดชะงัก มองขบคิดครู่หนึ่ง ถึงนำชุดทารกนั้นออกมา วางรวมกับเสื้อผ้าตัวเอง

 

 

แล้วล้วงเข้าไปก้น**บ หยิบป้ายหยกสองชิ้นนั้นออกมา วางเก็บไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง สุดท้ายหยิบตั๋วเงินหลายแผ่นออกมา ถึงลงกลอน**บ

 

 

ตอนบ่ายทั้งครอบครัวไม่มีใครไปโรงงาน เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อยืนล้อมเมิ่งอี้เซวียนกำชับเขาไม่ขาดปาก บอกเขาว่า “ตอนสอบไม่ต้องตื่นเต้น หากครั้งนี้สอบไม่ได้ พวกเราค่อยสอบใหม่ อย่างไรเจ้าก็อายุยังน้อย ใช้เวลาสอบหลายปีก็ไม่เป็นไร”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนจดจำขึ้นใจ พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองท่าทีของเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อ ให้เจ็บหัวใจแปลบ ไม่รู้ว่าหลังจากมีคนจำอี้เซวียนได้ เห็นนางกลับมาคนเดียว ทั้งสองจะทนรับได้หรือไม่

 

 

เมิ่งเสียนเห็นสีหน้าผิดปกติของนาง ถามอย่างเป็นห่วง “น้องสาว เจ้าเป็นอะไร?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบแย้มยิ้ม พูดว่า “เห็นท่านพ่อท่านแม่เป็นห่วงอี้เซวียน ข้าเริ่มจะอิจฉาแล้ว”

 

 

เมิ่งชื่อได้ฟังยื่นมือออกมา จิ้มหน้าผากนางเบาๆ ยิ้มพูดว่า “เจ้าจะอิจฉาอะไร? พวกเจ้าช้าเร็วก็ต้องแต่งงานกัน แม่ดีกับอี้เซวียนหรือดีกับเจ้าก็ไม่เห็นจะแตกต่าง?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรอยยิ้มแข็งค้าง ไม่พูดอะไร

 

 

เมิ่งชื่อนึกว่านางเขิน จึงไม่ได้เอามาใส่ใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด