ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 245 สะกดรอยตาม

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 245 สะกดรอยตาม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมิ่งเชี่ยนโยวกระวนกระวายใจ ก้าวเท้าหมายจะเดินเข้าไปในสนามสอบ ถูกเจ้าหน้าที่คุมสนามสอบร้องตวาด “บังอาจ ที่นี่คือสนามสอบ มิใช่ที่ที่พวกเจ้าอยากจะเข้าก็เข้าได้ รีบออกไปซะ ไม่เช่นนั้นจะจับตัวพวกเจ้าขังลืมให้หมด”

 

 

เมิ่งต้าจินเดินขึ้นหน้า พูดขอร้อง “นายท่าน ผู้เข้าสอบของครอบครัวเรายังไม่ออกมา รบกวนท่านให้พวกเขาเข้าไปดูหน่อยเถอะ”

 

 

“เหลวไหลทั้งเพ!” เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อ ดุว่าเสียงเขียว “ที่นี่เป็นสนามสอบ ผู้เข้าสอบสอบเสร็จออกไปหมดแล้ว เจ้ากลับมาพูดว่ายังมีคนไม่ออกมา พวกเราจะกักตัวเขาเอาไว้หรือไร?”

 

 

เมิ่งเหรินสะพายย่ามสัมภาระเดินมาถึงหน้าประตู หลังจากเจ้าหน้าที่คุมสนามสอบปล่อยเขาออกมา มองดูด้านหลังไม่มีคน หมายจะปิดประตูใหญ่สนามสอบ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมีไหวพริบตอบสนองไว รีบหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาแอบยัดใส่มือเจ้าหน้าที่ “นายท่าน พวกเรารออยู่หน้าประตูสอบสนามสอบตลอด ไม่เห็นน้องชายข้าออกมาจริงๆ รบกวนท่านช่วยโอนอ่อน ให้พวกเราเข้าไปดูหน่อยเถิด”

 

 

เฝ้าประตูสนามสอบเป็นงานชั้นต่ำ ไม่ได้มีค่าตอบแทนสูง จู่ๆ ก็ได้เงินก้อนนี้มา เจ้าหน้าที่ดีใจออกนอกหน้า กำลังจะเอ่ยปากพูด อู่เหวินชางก็พาเจ้าหน้าที่ที่ตัวเองพามาเดินเข้ามา “พี่ต้าจิน การสอบเสร็จสิ้นแล้ว ท่านกลับไม่ยอมกลับไป เอาแต่ร้องเอ็ดตะโร อยากจะลองลิ้มรสข้าวแดงใช่หรือไม่?”

 

 

เมิ่งต้าจินไม่สนใจเขา ยังคงมองเจ้าหน้าที่คุมสนามสอบด้วยสายตาวิงวอน

 

 

เจ้าหน้าที่อยู่ต่อหน้าอู่เหวินชาง ย่อมไม่กล้ารับคำให้พวกเขาเข้าไป

 

 

อู่เหวินชางตวาดเจ้าหน้าที่ “ยังไม่รีบประตู กลับไปรายงานท่านใต้เท้าอีก จะรอให้ถูกโบยก่อนใช่หรือไม่?”

 

 

เจ้าหน้าที่เก็บเงินไว้ในแขนเสื้ออย่างดี พยักเพยิดขานรับคำ ค่อยๆ ปิดประตูใหญ่สนามสอบเข้าหากัน ตัดขาดจากสายตาพวกเขาไว้ด้านนอก

 

 

อู่เหวินชางเบ้ปากหัวเราะเยาะมองดูพวกเขา

 

 

เมิ่งต้าจินกัดฟัน กำลังจะเอ่ยปากขอร้องอู่เหวินชาง

 

 

เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นทันควัน “ท่านลุงใหญ่ ไป พวกเรากลับโรงเตี๊ยม”

 

 

เมิ่งต้าจินผงะอึ้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า “ไป!”

 

 

แม้เมิ่งต้าจินจะกังขาเหตุใดเมิ่งอี้เซวียนถึงหายตัวไปได้ แต่ได้ยินเสียงเข้มของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงไม่กล้าถามอีก หันหลังเดินกลับโรงเตี๊ยม

 

 

เมิ่งเหรินเดินตามหลัง เหวินเปียวและเหวินหู่แยกกันเดินขนาบข้างพวกเขาด้วยสีหน้าขึงขัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปากเดินรั้งท้าย

 

 

อู่เหวินชางเดินตามติดพวกเขาไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ราวกับกำลังเล่นแมวจับหนู เดินเอ้อระเหยมองดูพวกเขาร้อนรนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ รู้สึกว่าความคับข้องใจตลอดหลายวันที่ผ่านมาได้ระบายออกมาแล้ว ให้ครึ้มอกครึ้มใจยิ่งนัก

 

 

เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวเสียใจต่อความคิดการกระทำของตนเอง นางวางแผนอย่างรัดกุม ไม่คิดว่าพวกเขาจะกล้าเหิมเกริมบังอาจลักพาตัวอี้เซวียนไปจากสนามสอบ ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ จักต้องมีคนในสนามสอบจำเขาได้แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นคนของใคร อี้เซวียนจะมีอันตรายหรือไม่

 

 

คิดถึงตรงนี้ ยิ่งให้กระสับกระส่าย เร่งฝีเท้าเดินมาข้างเหวินเปียว สั่งการเหวินเปียวและเหวินหู่เสียงเบา “พวกเจ้าไปส่งท่านลุงใหญ่และพี่ใหญ่กลับไป ข้าจะกลับไปดูที่สนามสอบอีกครั้ง”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหายไปจากสนามสอบ เหวินเปียวย่อมกระวนกระวายใจแทบคลั่ง เริ่มรู้สึกลางๆ ว่าสถานะของอี้เซวียนจะต้องไม่ธรรมดา ทั้งย้อนคิดถึงชายนิรนามสองคนที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขาจัดการ ความกลัดกลุ้มกังวลยิ่งถาโถมเข้ามา ได้ฟังคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงพูดทันทีว่า “แม่นาง ข้าไปกับท่านด้วยเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าเบาๆ “ตอนนี้อู่เหวินชางตามพวกเรามา เห็นชัดว่าจะมาหาเรื่องท่านลุงใหญ่ หากเจ้าไปกับข้า แล้วพวกเขาลงมือ เหวินหู่คนเดียวจะรับมือไม่ไหว เจ้าอยู่คุ้มครองพวกเขาอีกแรง”

 

 

เหวินเปียวคิดจะยืนหยัด เมิ่งเชี่ยนโยวตัดสินใจเด็ดขาด “ทำตามที่ข้าบอก จำไว้ให้ดี กลับไปแล้วให้อยู่แต่ในโรงเตี๊ยมห้ามออกไปไหน เขาไม่ลงมือพวกเจ้าก็ห้ามทำการบุ่มบ่าม”

 

 

เหวินเปียวจนใจ พยักหน้าพูดว่า “ท่านระวังตัวด้วย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดรับรอง “วางใจเถอะ ข้าเพียงจะกลับไปตรวจดูอีกครั้ง ไม่นานก็กลับมา”

 

 

คนทั้งหมดเดินหน้าต่อ มีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวที่หยุดเดิน

 

 

อู่เหวินชางต้องการกลั่นแกล้งเมิ่งต้าจิน เห็นนางหยุดเดิน เพียงชะงักมองเล็กน้อย แล้วพาเจ้าหน้าที่เดินผ่านตัวนางไป ไม่สนใจนางอีก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปากมองพวกเขาจากไปไกล ถึงหันหลังเดินกลับไปสนามสอบ

 

 

ประตูใหญ่สนามสอบปิดสนิท เจ้าหน้าที่คุมสนามสอบก็แยกย้ายไปจนหมด รอบสนามสอบไม่เหลือเงาร่างใครแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก เริ่มจากประตูใหญ่ เดินสำรวจดูโดยรอบไปตามกำแพงสนามสอบ

 

 

สนามสอบมีสองประตู หนึ่งเป็นประตูใหญ่ ผู้เข้าสอบล้วนเดินผ่านประตูใหญ่เข้าสอบในสนามสอบ อีกที่เป็นประตูข้าง ให้ผู้ควบคุมการสอบและผู้คุมสอบเข้าออก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสำรวจทุกซอกทุกมุมโดยรอบกำแพงอย่างละเอียด ไม่ละเลยร่องรอยเล็กน้อย ตอนที่สำรวจมาถึงประตูข้าง เมิ่งเชี่ยนโยวพบเศษกระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่บนพื้น ดูแล้วเหมือนถูกสายลมพัดมา แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้ว่านี่เป็นสัญญาณลับที่เมิ่งอี้เซวียนทิ้งไว้ให้นาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจโล่งอก อี้เซวียนทิ้งสัญญาณลับไว้ให้เช่นนี้ แสดงว่าเขาไม่ได้ประสบภัยร้ายแรง แต่ถูกพวกเขาจับตัวไปโดยที่ยังมีสติดี จึงหาดูทันทีว่าแถวประตูข้างยังมีเศษกระดาษอีกหรือไม่ เป็นดังคาด ห่างจากประตูข้างไม่ไกลออกไปก็พบอีกแผ่น ออกเดินหาไปตามทิศทางที่เศษกระดาษร่วงหล่นพื้น ไม่ไกลออกไปก็เจออีกแผ่น

 

 

สองชั่วยามให้หลัง ยังคงไม่พบร่องรอยของอี้เซวียน และเศษกระดาษตามพื้นก็ค่อยๆ น้อยลง เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งให้กระวนกระวายใจ เงยหน้ามองดู ตำแหน่งที่ตนเองอยู่ กลับพบว่าตนเองมาถึงสถานที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง

 

 

หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ฝืนสะกดกลั้นให้ตนเองนิ่งสงบลง ก้มหน้ามองสำรวจไปข้างหน้าต่อ ดูว่ายังมีสัญญาณลับที่อี้เซวียนทิ้งไว้อีกหรือไม่

 

 

ม้าเร็วขบวนหนึ่งฮ้อตะบึงเข้ามา ควบทะยานผ่านนางไปดั่งสายลมหมุน ฝีเท้าม้าทำฝุ่นฟุ้งกระจายจนลืมตาไม่ขึ้น

 

 

ขบวนม้าจากไปไกลแล้ว มองดูถนนว่างเปล่าตรงหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวแทบอยากจะสบถด่า เดิมเศษกระดาษก็น้อยมากแล้ว ตอนนี้ดีแล้ว ถนนทั้งสายสะอาดสะอ้านโล่งเตียน ไม่เหลืออะไรเลย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนสะกดกลั้นให้ตนเองสงบนิ่งอีกครั้ง ทำได้เพียงเดินลัดเลาะเสาะหาข้างทางต่อไป แต่เดิมเศษกระดาษก็ทั้งเล็กและเบาอยู่แล้ว หลังจากถูกเสียงกีบม้าที่มาพร้อมกับลมหอบใหญ่ ไม่รู้เลยว่าถูกพัดไปทางไหนหมดแล้ว

 

 

หาอยู่เป็นนาน ก็หาไม่เจอสักแผ่น เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มกระสับกระส่าย แหงนหน้ามองออกไป ผู้คนด้านหน้าบางตา คิดจะหาคนซักถามช่างยากเย็นนัก

 

 

ตอนที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีนั้น ด้านหลังก็มีเสียงรถม้าดังแว่วมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถอยไปอีกด้าน หันกลับไปมอง เห็นรถม้าหรูหราโอ่อ่าหลายครั้ง วิ่งผ่านหน้านางไป ในรถม้ามีน้ำเสียงน่าเกรงขามหนึ่งดังออกมา “ให้เร็วกว่านี้!”

 

 

คนขับรถม้ารับคำ สะบัดหวดแส้ไม่ยั้ง รถม้ามุ่งทะยานไปอย่างเร็ว

 

 

รถม้าหลายคันด้านหลังก็กระทำตาม หวดแส้ให้ม้าวิ่งตามติดไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกไหว เร่งฝีเท้าตามหลังรถม้าไป

 

 

รถม้าวิ่งด้วยความเร็วสูง เมิ่งเชี่ยนโยวตามมาได้ระยะทางหนึ่ง ค่อยๆ ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ยังดีที่รถม้าทิ้งฝุ่นฟุ้งกระจายไว้ ถึงพอจะตามมาได้จนถึงหน้าเรือนในที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลบสำรวจดูในมุมมืดหนึ่ง นอกจากรถม้าหลายคันแล้ว ยังมีม้าอีกสิบกว่าตัวผูกไว้กับต้นไม้หน้าประตู ซึ่งก็คือขบวนม้าที่วิ่งผ่านนางไปเมื่อครู่ ส่วนคนบนม้า มีสี่คนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตอย่างละเอียด ทั้งสี่คนมีใบหน้าขึงขัง แววตาเฉียบคม ร่างกายกำยำ ลำตัวตั้งตรง เห็นก็รู้ว่ามีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก อ้อมผ่านประตูหน้า เจอต้นไม้ใหญ่ทางฝั่งตะวันตกเหนือของลานเรือน นางรีบปีนขึ้นไป หลังจากหลบซ่อนดีแล้ว มองเข้าไปในลานเรือนลอดผ่านใบไม้ เห็นประตูใหญ่ด้านในลานเรือนยังมีชายกำยำอีกสองคนยืนเฝ้าอยู่ และหน้าประตูห้องหนึ่งก็มีชายสี่คนยืนเฝ้าอยู่

 

 

มีขุนนางแต่งกายชุดข้าราชการกำลังพูดกับชายอีกคนอย่างพินอบพิเทา

 

 

ชายคนนั้นพูดว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าทำได้ยอดเยี่ยมนัก เมื่อข้ากลับไปจะเรียนรายงานท่านราชครู ให้เขามอบบำเหน็จให้พวกเจ้าตามความชอบ”

 

 

เหล่าขุนนางรีบร้อนกล่าวคำขอบคุณ “ขอบคุณท่านหัวหน้าม้อ พวกเราเป็นศิษย์ท่านราชครูสายเดียวกัน ทำเพื่อความเกรียงไกรของท่านราชครูก็สมควรแล้ว”

 

 

ชายคนนั้นกล่าวอีกว่า “เรื่องครั้งนี้ เจ้าห้ามพูดกับคนอื่นเด็ดขาด แม้แต่คนในครอบครัวเจ้าก็ไม่ได้”

 

 

ขุนนางทั้งหมดนิ่งเงียบ อึดใจหนึ่งถึงมีขุนนางคนหนึ่งรวบรวมความกล้าหยั่งเชิงถาม “ท่านหัวหน้าม้อ ไม่ทราบว่าเด็กคนนี้มีสถานะใด ท่านราชครูถึงกับต้องเรียกระดมไพล่พล ซ้ำท่านยังต้องเดินทางมาด้วยตัวเอง?”

 

 

หัวหน้าม้อมองขุนนางคนนั้นแวบหนึ่ง น้ำเสียงเจือแววเย็นเยียบ “เว่ยหง สองปีที่เจ้าเป็นผู้ตรวจการมณฑลอยู่ที่นี่คงสุขสบายเกินไปใช่หรือไม่? แม้แต่คำสอนของท่านราชครูก็ลืมหมดแล้ว”

 

 

เหงื่อเย็นผุดซึมขึ้นบนใบหน้าเว่ยหง ลนลานพูดสำนึกผิด “ท่านหัวหน้าม้อให้อภัยด้วย ผู้น้อยเลอะเลือนเอง”

 

 

หัวหน้าม้อแค่นเสียงหึ หันไปพูดกับทุกคน “พวกเจ้าทั้งหมดฟังให้ดี งานที่ท่านราชครูมอบหมายลงมา พวกเจ้ามีหน้าที่ทำให้ดีก็พอ สำหรับเรื่องอื่น หากบอกพวกเจ้าได้ย่อมจะบอกพวกเจ้า หากบอกไม่ได้ พวกเจ้าก็ไม่ต้องถาม ยิ่งรู้มาก ก็หาได้มีประโยชน์ใดกับพวกเจ้า”

 

 

ขุนนางทั้งหมดโน้มตัวขานรับคำ ยืนอยู่อีกด้านไม่กล้าปริปาก

 

 

เสียงหัวหน้าม้อดังขึ้นอีกครั้ง “พอท่านราชครูได้รับข่าว ก็ส่งข้ามาก่อน ทั้งสั่งการเด็ดขาดให้ข้าเฝ้าดูเด็กคนนี้ให้ดี ห้ามให้ผิดพลาดได้ กำลังคนที่จะมารับงานต่ออีกไม่ช้าก็มาถึง พวกเจ้าไม่มีหน้าที่อะไรแล้ว กลับไปก่อนเถอะ”

 

 

ขุนนางทั้งหมดลนลานพูด “เช่นนั้นผู้น้อยขอตัวลา หากท่านหัวหน้าม้อมีสิ่งใดสั่งการ ให้คนไปแจ้งข่าวแก่พวกเรา พวกเราจะมาทันทีขอรับ”

 

 

หัวหน้าม้อโบกมือ “พาคนของพวกเจ้าไปด้วย พวกเรารับช่วงต่อที่นี่แล้ว พวกเขาอยู่ต่อก็ไร้ประโยชน์”

 

 

เว่ยหงรับคำ เตรียมจะไปเรียกคน

 

 

เสียงแผ่วเบาของหัวหน้าม้อดังขึ้น “กลับไปแล้วจัดการให้เรียบร้อย เลี่ยงไม่ให้เรื่องเล็ดลอดไปได้”

 

 

เว่ยหงตกตะลึง มองหัวหน้าม้ออย่างไม่เชื่อ

 

 

หัวหน้าม้อสีหน้าเรียบเฉย ไร้ปฏิกิริยาใดๆ “มอบเงินให้ครอบครัวพวกเขามากหน่อย ถือว่าพวกเขาได้ตายอย่างสมภาคภูมิแล้ว”

 

 

เว่ยหงริมฝีปากสั่นระริก

 

 

หัวหน้าม้อมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง

 

 

เว่ยหงไม่ได้พูดอะไรออกมา เดินโงนเงนไปเรียกคนของตัวเองในห้องด้วยตัวเอง

 

 

วินาทีที่ประตูเปิดออกนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนจะเห็นร่างเมิ่งอี้เซวียนอยู่ในนั้น

 

 

เว่ยหงนำชายฉกรรจ์ทั้งหมดออกมาจากในห้อง ทำการคำนับหัวหน้าม้อด้วยสีหน้าสับสน แล้วออกไปจากเรือนพร้อมขุนนางอีกคน ขึ้นนั่งบนรถม้าตัวเอง สั่งคนขับรถบังคับรถม้ากลับไป ส่วนชายฉกรรจ์เหล่านั้นวิ่งตามหลังรถม้ากลับไป

 

 

กระทั่งคนไปไกลแล้ว หัวหน้าม้อถึงพูดพึมพำกับตัวเอง “เว่ยหงคนนี้ เป็นท่านผู้ตรวจการมาสองปี กลับใจอ่อนมีเมตตา ดูท่าภายหน้าจะเรียกใช้ไม่ได้แล้ว”

 

 

รอบกายไม่มีเสียงตอบรับ

 

 

หัวหน้าม้อเงียบงันครู่หนึ่ง ถามชายคนหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่อีกด้านมาตลอด “ม้อซื่อ เวลานี้ม้อสือน่าจะพาคนออกมาจากเมืองหลวงแล้วสินะ”

 

 

ม้อซื่อขบคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “ตอนที่พวกเราออกมา ท่านราชครูแจ้งข่าวไปให้เขาแล้ว หากระหว่างนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด ยามนี้เขาน่าจะออกจากเมืองหลวงมาได้หนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว หากม้าเร็วไม่หยุดพัก ยามฟ้าสางก็คงถึงขอรับ”

 

 

หัวหน้าม้อพยักหน้า “เมื่อท่านราชครูยังได้รับข่าวนี้ ไม่นานจวนอ๋องฉีก็จะต้องได้ข่าวนี้ ก่อนที่พวกเขาจะลงมือ พวกเราจะต้องรีบพาเด็กคนนี้กลับเข้าเมืองหลวง มอบให้ท่านราชครูจัดการต่อไป”

 

 

ม้อซื่อไม่เข้าใจ ถามว่า “ท่านหัวหน้า ท่านราชครูต้องการให้โอรสของพระชายารองสืบทอดบรรดาศักดิ์องค์ชายมิใช่หรือ ถึงให้พวกเราคิดหาวิธีตามหาเด็กคนนี้ให้เจอ เมื่อตอนนี้พวกเราพบเขาแล้ว เหตุใดถึงไม่ฆ่าเขา แต่กลับต้องทำเรื่องให้ยุ่งยากพาเขากลับเมืองหลวงเล่าขอรับ?”

 

 

หัวหน้าม้อหรี่นัยน์ตา มองม้อซื่อ

 

 

ม้อซื่อตกใจขนหัวลุก ลนลานคุกเข่าร้องขอชีวิต “ม้อซื่อสมควรตาย ท่านหัวหน้าไว้ชีวิตด้วย”

 

 

หัวหน้าม้อไม่บอกให้เขาลุกขึ้น แต่นิ่งเงียบมองเขา

 

 

ม้อซื่อรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตาย เหงื่อเย็นไหลซึมออกมา

 

 

ครู่หนึ่ง หัวหน้าม้อถึงพูดว่า “ม้อซื่อ เจ้าอยู่ข้างข้ามาก็หลายปี เข้าใจข้อปฏิบัติของข้าดี สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม ครั้งนี้เห็นแก่ที่เป็นความผิดครั้งแรก ข้าจะให้อภัยเจ้า หากยังมีครั้งหน้า เจ้าจงปลิดชีพตนเองซะ”

 

 

“ขอบพระคุณท่านหัวหน้าม้อที่ไม่ฆ่าข้า ม้อซื่อจดจำไว้ขึ้นใจ ต่อไปไม่กล้าทำผิดอีกขอรับ” ม้อซื่อรีบพูดรับประกัน

 

 

“อือ” หัวหน้าม้อเอ่ยเสียงรับ “ลุกขึ้นเถอะ ทำหน้าที่เจ้าให้ดี พอม้อสือพากำลังคนมาถึง พวกเราจะไปเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด”

 

 

ม้อซื่อที่ก้าวเท้าไปสู่ประตูนรกแล้วข้างหนึ่ง เสื้อผ้าเปียกชุ่ม หลังจากกล่าวขอบคุณ ตอนที่ลุกขึ้นขายังมีอาการสั่น

 

 

ได้ฟังพวกเขาสนทนากัน เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจสั่นไหว ตอนที่หมายจะสำรวจให้ละเอียด คล้ายว่าหัวหน้าม้อจะรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่าง หันไปร้องคำรามใส่ต้นไม้ใหญ่ “ใครอยู่ตรงนั้น? ไสหัวลงมาเดี๋ยวนี้!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด