ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 251-1 พ่อลูกเผชิญหน้า

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 251-1 พ่อลูกเผชิญหน้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมิ่งอี้เซวียนรอยยิ้มแข็งค้าง แล้วกลับคืนสู่สภาพเดิม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงสีหน้าสาแก่ใจ วางป้ายหยกใส่คืนมือเขา พูดว่า “เจ้ารับคืนไปเถอะ ข้าไม่อยากถูกคนตามฆ่าในภายหน้า”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนจับมือนาง วางป้ายหยกใส่มือนาง พูดว่า “หากมีคนกล้าตามฆ่าเจ้า ไม่ว่าเป็นใคร ข้าจักไม่เกรงใจ ให้องครักษ์หลวงฆ่าพวกมันก่อนค่อยว่ากัน”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยเริ่มไม่เห็นด้วย พูดทักท้วง “เซวียนเอ๋อร์ ป้ายหยกสองชิ้นนี้มีความสำคัญมาก เจ้าอย่าได้ใช้แต่อารมณ์ หากเจ้าไม่วางใจครอบครัวแม่นางเมิ่งจริงๆ ก็ให้มอบป้ายหยกที่ข้าเคยให้นางไว้ แต่ห้ามให้นางทั้งสองชิ้นเด็ดขาด”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว ท่านน้า ข้าเป็นองค์ชายโอรสท่านอ๋อง รอบกายมีองครักษ์คุ้มครองไม่น้อย ไม่มีทางได้เรียกใช้องครักษ์หลวง ให้พวกเขาอยู่คอยคุ้มครองบิดามารดาข้าทั้งครอบครัวดีกว่า”

 

 

สิ้นเสียงเขา ฉู่เหวินเจี๋ยตื้นตันใจลุกขึ้นยืน ถามเขาอย่างไม่เชื่อ “เซวียนเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนคลี่ยิ้มเรียกเขาอีกครั้ง “ท่านน้า”

 

 

“อือ” ฉู่เหวินเจี๋ยขานรับ ดวงตาเอ่อคลอ น้ำเสียงละล่ำละลักพูดว่า “ข้านึกว่า ข้านึกว่า ข้านึกว่า…”

 

 

“ท่านน้าคิดว่าพอข้าฟังเรื่องที่ท่านเล่าจบ จะตำหนิโทษท่านหรือ?” เมิ่งอี้เซวียนถาม

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้ารัว “ในตอนนั้นเป็นความผิดของน้าจริงๆ น้าไม่ควรทิ้งเจ้าไว้ ทำให้เจ้าต้องทนทรมานอยู่ในชนบทสิบกว่าปี”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ข้าไม่โทษท่านน้า ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านในตอนนั้น หากเปลี่ยนเป็นข้า บางทีก็อาจจะทำเช่นนั้น”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยตื้นตันใจจนน้ำตาไหลเป็นสาย “ดีๆๆ เจ้าไม่โทษน้าก็ดีแล้ว เจ้าวางใจ นับแต่นี้ไป น้าจะเป็นที่พึ่งพิงสำคัญของเจ้า หากมีคนรังแกเจ้า น้าจะไม่ปล่อยมันผู้นั้นไปเด็ดขาด”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนยิ้มหน้าบาน กล่าวด้วยใจจริง “ขอบคุณท่านน้า”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยดีอกดีใจใหญ่ หากไม่ติดขัดสถานะตนเอง ไม่แน่อาจจะกระโดดโลดเต้นร้องรำแล้วก็เป็นได้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลอบค่อนขอดเมิ่งอี้เซวียนในใจ เจ้าคนแผนสูง ป้อนคำหวานไม่กี่คำก็มัดใจฉู่เหวินเจี๋ยได้ หาร่มโพธิ์ร่มไทรให้ตัวเองได้พึ่งพิง ภายหน้าเติบใหญ่ยังไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปเช่นไร ดูท่าภายภาคหน้าตนเองคงต้องอยู่ให้ห่างจากเขายิ่งไกลก็ยิ่งดี

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยยังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เดินเริงร่าไปมาอยู่ในห้อง

 

 

ตอนที่อ๋องฉีเข้ามา เห็นร่างพลิ้วไหวของเขา ขมวดคิ้วถาม “แม่ทัพฉู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ?”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยยังมีสีหน้าเบิกบาน ตอบกลับด้วยความยินดี “ท่านอ๋อง เซวียนเอ๋อร์เรียกหม่อมฉันว่าท่านน้าแล้ว เขาอภัยให้หม่อมฉันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

อ๋องฉีได้ฟังผงะเล็กน้อย จากนั้นมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างรอคอย

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก ร้องเรียกเสียงแผ่ว “พระบิดา”

 

 

ดวงตาปิติยินดีของอ๋องฉีเบิกโพลง ขานรับคำเสียงรัว

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพูดว่า “ท่านน้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ลูกฟังแล้ว ในตอนนั้นท่านเองก็ไม่มีทางเลือก เป็นลูกที่เข้าใจท่านผิด ขอท่านอภัยให้กับความไม่รู้ความเมื่อครู่ของลูกด้วย”

 

 

อ๋องฉียื่นมือสั่นเทิ้มออกมา ลูบใบหน้าที่เหมือนกับตัวเองราวพิมพ์เดียวกัน น้ำตาเอ่อคลอ พูดว่า “ในตอนนั้นหลังจากที่พ่อรู้ว่าแม่เจ้าตั้งครรภ์ ดีใจจนนอนไม่หลับไปสามคืน คิดภาพฝันกับแม่เจ้าเมื่อเจ้าเกิดแล้วจะเป็นอย่างไร ไม่คิดว่าด้วยเหตุไม่คาดฝันนี้ จะทำให้พวกเราพ่อลูกต้องคลาดกันสิบกว่าปีถึงจะได้พบหน้า เจ้าวางใจ กลับถึงเมืองหลวงพ่อจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเจ้า มอบสิ่งที่สิบกว่าปีนี้ไม่ได้ให้เจ้าชดเชยคืนให้เจ้าทั้งหมด”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนคลี่ยิ้มหวานละมุน “ขอบพระทัยพระบิดา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทนดูท่าทีจอมปลอมนี้ของเขาต่อไปไม่ไหว หลังจากกลอกตามองบนจนเหลือแต่ตาขาว ก็เอนตัวนอนลง ไม่รู้ไม่เห็นดีที่สุด

 

 

เมิ่งอี้เซวียนรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของนาง หันไปถามด้วยความเป็นห่วง “เหนื่อยหรือ? หรือว่าไม่สบายตัวตรงไหน?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้ามองเขาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหน้าแดงเรื่อ

 

 

อ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยที่ตกอยู่ในห้วงความยินดีมิได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้

 

 

เสียงรายงานขององครักษ์ดังขึ้นจากด้านนอก “ท่านอ๋อง คนทั้งหมดถูกโบยเสียชีวิตหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ จะให้โยนศพพวกเขาทิ้งในที่รกร้าง หรือขนกลับไปเสียบประจานในเมืองสามวันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

อ๋องฉีที่เพิ่งจะถูกเมิ่งอี้เซวียนร้องเรียกพระบิดา ตื้นตันเบิกบานใจ ได้ฟังดังนั้นยิ่งอยากแสดงบารมีต่อหน้าโอรสตนเอง สั่งการองครักษ์ “ถ่ายทอดคำสั่งถึงเจ้าเมืองประจำมณฑล ให้เขามาลากคนทั้งหมดไปเสียบประจานหน้าประตูเมืองสามวัน”

 

 

องครักษ์รับคำ จากไปโดยไว

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหันไปพูดกับคนทั้งสอง “พระบิดา ท่านน้า โยวเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว ต้องการพักผ่อน เชิญพวกท่านทั้งสองออกไปก่อนเถิด”

 

 

“อ่อ ได้” ฉู่เหวินเจี๋ยหัวเราะร่า “ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้ ให้แม่นางเมิ่งได้พักผ่อนให้เต็มที่”

 

 

อ๋องฉีกลับถามอย่างคาดหวัง “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าตามไปที่ห้องพ่อได้หรือไม่ ไปเล่าเรื่องเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงหลายปีนี้ให้พ่อฟัง”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนคลี่ยิ้มปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “พระบิดา โยวเอ๋อร์บาดเจ็บสาหัส หม่อมฉันต้องดูแลนาง เอาไว้พวกเรากลับถึงเมืองหลวง หม่อมฉันจะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านฟัง”

 

 

แม้อ๋องฉีจะผิดหวัง แต่เมิ่งอี้เซวียนยอมเอ่ยปากเรียกตนเองว่าพ่อแล้ว จึงไม่กล้าเรียกร้องอีก ผงกศีรษะพูดว่า “ได้ พ่อจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้ วันพรุ่งพวกเราจะเดินทางกลับเมืองหลวง”

 

 

พูดจบ เดินออกไปพร้อมฉู่เหวินเจี๋ย

 

 

เซวียนเอ๋อร์นั่งบนม้านั่งข้างเตียง พูดเสียงละมุน “พักสักหน่อยเถอะ ข้าจะเฝ้าเจ้าอยู่ตรงนี้เอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนทนต่อไปไม่ไหว ยื่นมือออกมาลูบคลำใบหน้าเขา ปากพูดงึมๆ งำๆ “เมิ่งอี้เซวียน ใช่เจ้าจริงๆ หรือ? มิได้เป็นใครปลอมตัวมาหรอกนะ?”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนปล่อยให้นางลูบจับจนหนำใจ ถึงจับมือนางมาพูดเสียงเบา “โยวเอ๋อร์ ขอเพียงเป็นเรื่องที่ดีกับเจ้า ต่อให้ไม่ยินดี ข้าก็จะทำ อีกทั้งพวกเขาก็เป็นพระบิดาและท่านน้าข้า เรียกพวกเขาก็เหมาะสมแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพลันขนลุกชูชัน ชักมือตัวเองกลับ พูดว่า “นี่เป็นเรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวกับข้า อย่าลากข้าเข้าไปเอี่ยวด้วย พอเจ้ากลับเมืองหลวงแล้ว พวกเราก็ทางใครทางมัน ชีวิตนี้ไม่ต้องพบเจอกันอีก”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนร่างแข็งทื่อ แล้วกลับสู่สภาพเดิมพลัน ห่มผ้าให้นาง เบี่ยงบ่ายไปเรื่องอื่น “เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว พักผ่อนก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรไว้เจ้าตื่นแล้วค่อยพูดกัน”

 

 

ดึงดันมาครึ่งวัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็เหนื่อยมากจริงๆ แล้ว หลับตาลง อึดใจเดียวก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

 

 

เมิ่งอี้เซวียนมองนางยามหลับ ความรู้สึกล้านพันกลอกกลิ้งในแววตา ในที่สุดก็สลายหายไป กลับมาเงียบสงบ ลุกขึ้นแผ่วเบา เดินมาหน้าห้องอ๋องฉี

 

 

พ่อบ้านที่เฝ้ารับใช้ด้านนอกเห็นเขาเข้ามา ลุกลนทำความคำนับ ร้องเรียกอย่างอ่อนน้อม “องค์ชาย”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าถาม “พระบิดาอยู่ในห้องหรือไม่? ข้ามีเรื่องจะพบเขา”

 

 

อ๋องฉีได้ยินเสียงเขาแล้ว ไม่รอให้พ่อบ้านตอบ ก็ตอบอย่างไม่รีรอ “เซวียนเอ๋อร์ พ่ออยู่ในนี้ เจ้าเข้ามาเถอะ”

 

 

พ่อบ้านเปิดม่านประตู เมิ่งอี้เซวียนเดินเข้ามาในห้อง

 

 

อ๋องฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังสั่งการแผนการเดินทางเข้าเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้แก่หัวหน้าองครักษ์ เห็นเขาเข้ามาในห้อง หันไปสั่งการองครักษ์ “พวกเราจะกลับในวันพรุ่งยามซื่อ[1] ถึงตอนนั้นให้เจ้าพาคนคุ้มกันส่งแม่นางเมิ่งให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยด้วย”

 

 

องครักษ์รับคำ “พ่ะย่ะค่ะ” แล้วเดินออกไป

 

 

อ๋องฉีมิได้ลุกขึ้น ร้องถามด้วยความยินดี “เซวียนเอ๋อร์ เจ้ามีธุระกับพ่อหรือ?”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนแสดงคำนับชุดใหญ่แก่เขา พูดว่า “วันพรุ่งลูกต้องการจะคุ้มกันส่งโยวเอ๋อร์กลับบ้านด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

อ๋องฉีตกใจผงะ พูดคัดค้านว่า “ไม่ได้ หลายวันมานี้แม่นางเมิ่งสลบไสลไม่ได้สติ เจ้าต้องการเฝ้านางข้างเตียง เห็นแก่ที่ครอบครัวพวกเขาเลี้ยงดูเจ้ามา พ่อจึงยอมอนุญาต ไม่บังคับเจ้ากลับเมืองหลวง ตอนนี้จัดการเรื่องราวทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราก็สมควรกลับไปได้แล้ว พระมารดาเจ้าที่เมืองหลวงไม่รู้ว่าเฝ้ารอเพียงใด ยังมีเสด็จลุงของเจ้า วันแรกที่ทรงได้รับทราบข่าว พระองค์ก็ส่งคนมากำชับให้พ่อรีบพาเจ้ากลับเมืองหลวง บัดนี้เพื่อแม่นางเมิ่งพวกเราเสียเวลามาหลายวันแล้ว ไม่อาจล่าช้าต่อไปได้อีก พ่อสั่งการเรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งพวกเราจะเดินทางกลับเมืองหลวงแต่เช้า สำหรับแม่นางเมิ่ง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พ่อจะให้คนพานางไปส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัยเอง”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “โยวเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บเพราะลูก ลูกจะต้องไปส่งนางถึงบ้านด้วยตัวเองถึงจะวางใจได้ อีกอย่าง สกุลเมิ่งเลี้ยงดูลูกมา ลูกสมควรกลับไปบอกลาพวกเขา มิใช่หายไปโดยไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้”

 

 

เอ่ยถึงเรื่องได้รับบาดเจ็บ อ๋องฉีคล้ายจะขุ่นเคือง น้ำเสียงเจือแววเ**้ยมเกรียม “แม่นางเมิ่งคนนี้ล่วงรู้สถานะของเจ้าตั้งแต่ปีที่แล้ว กลับปิดบังมาถึงบัดนี้ ที่เจ้าต้องประสบวิบากกรรมครั้งนี้ ล้วนมาจากฝีมือนางทั้งสิ้น หากไม่เห็นแก่ที่นางยอมสละชีวิตช่วยเจ้า มีรึที่พ่อจะปล่อยให้นางมีชีวิตมาถึงตอนนี้? ถือว่านางได้ทำคุณไถ่โทษ พ่อจึงยอมไว้ชีวิตนางสักครั้ง จะอนุญาตให้เจ้าส่งนางกลับไปด้วยตัวเองอีกได้อย่างไร สำหรับสกุลเมิ่งนั้น พ่อคิดเอาไว้แล้ว หลังจากกลับถึงเมืองหลวง พ่อจะประทานเงินให้พวกเขาหนึ่งหมื่นตำลึง เพียงพอให้พวกเขาทั้งครอบครัวมีกินมีใช้สุขสบายไปทั้งชีวิต”

 

 

“พระบิดายืนยันที่จะไม่อนุญาตใช่หรือไม่?” เมิ่งอี้เซวียนถามเสียงเบา

 

 

อ๋องฉีพยักหน้า “เจ้าเป็นถึงโอรสแห่งอ๋อง มีสถานะสูงศักดิ์ ต่อไปอย่าได้มีความเกี่ยวข้องกับคนเช่นนี้อีก คนในเมืองหลวงจักนำไปนินทาสนุกปากได้”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนขมวดคิ้วคู่งามเล็กน้อย ยืดสันหลังตรง จ้องมองอ๋องฉีเขม็ง ถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “หากหม่อมฉันดึงรั้นจะไปส่งนางเล่า?”

 

 

อ๋องฉีมองดวงตาเมิ่งอี้เซวียน หัวใจกระตุกวูบ เห็นเพียงดวงตากลมโตที่เหมือนตนเองราวพิมพ์เดียวกัน ใสกระจ่าง แวววาว มีความเด็ดขาดไร้การร้องขอที่เจือแววประหัตประหารล้างผลาญ ราวกับว่าหากตนเองไม่ยินยอมทำตามคำขอ ให้ตายเขาก็จะไม่กลับไปกับตนเอง

 

 

จ้องมองดวงตาคู่นี้แล้ว อ๋องฉีจำต้องกลืนคำพูดคัดค้านที่ปลายลิ้นกลับลงไป

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเห็นเขาเริ่มผ่อนคลายลง จึงผ่อนน้ำเสียงลง “ลูกรับปากพระบิดา หลังจากส่งโยวเอ๋อร์ถึงบ้านอย่างปลอดภัย ลูกจะกลับเมืองหลวงไปกับท่านทันทีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

อ๋องฉีพลันรู้สึกอย่างประหลาดว่าภายหน้าตนเองไม่อาจควบคุมโอรสองค์นี้ได้ เผยอปาก ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา

 

 

เมิ่งอี้เซวียนยืนสงบนิ่งเบื้องหน้าเขา รอการตัดสินใจจากเขา

 

 

 

 

 

 

[1] ยามซื่อ คือเวลา 9.00-11.00 น.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด